พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น./โฆษก บช.น. และ พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์
รอง ผบช.น./ รองโฆษก บช.น. ขอชี้แจงให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบ เกี่ยวกับแนวทางการทำงานของสื่อมวลชนในพื้นที่การชุมนุม และกฎการใช้กำลังเกี่ยวกับยุทธวิธีในการใช้กระสุนยาง ดังนี้
ด้วยเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2565 ท่าน พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้มีความห่วงใยเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพและความปลอดภัยของสื่อมวลชนในการรายงานข่าวในพื้นที่การชุมนุม
จึงได้เรียนเชิญผู้บริหารของ 6 องค์กร สื่อ 76 สำนักข่าว เพื่อเข้าร่วมประชุมหารือแนวทางการทำงานของสื่อมวลชนร่วมกัน ประกอบด้วย
1. สภาการสื่อสารมวลชนแห่งชาติ
2. สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
3. สมาคมนักข่าววิทยุโทรทัศน์ไทย
4. สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
5. สหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย
และ 6. สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์
โดยในที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับเรื่องที่สำคัญดังนี้
ประการแรก : เห็นชอบการจัดทำปลอกแขนแบบใหม่ของสมาคมนักข่าว เพื่อให้สื่อมวลชนใช้แสดงตัวตน เพื่อประโยชน์ในการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ประการที่ 2 : มีการกำหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เกิดความปลอดภัยของนักข่าว โดยเฉพาะการจัดเตรียมพื้นที่ปลอดภัยในการทำข่าวของสื่อมวลชน, การใช้ป้ายผ้าเตือน, ธงหรือแสง เพื่อแจ้งเตือนก่อนจะใช้กำลังหรือยุทธวิธีการปฏิบัติตามกฎการใช้กำลัง และการกำหนดระยะเวลาที่เพียงพอเพื่อให้สื่อมวลชนได้รับทราบและหลีกเลี่ยงก่อนเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการใช้กำลัง
และประการที่ 3 : ได้มีการหารือร่วมกันเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติของตำรวจควบคุมฝูงชน เพื่อไม่ให้เป็นการปิดกั้นหรือคุกคามการทำงานของสื่อมวลชน เว้นแต่กรณีที่สื่อมวลชนเข้าไปสนับสนุนหรือมีส่วนร่วมเกี่ยวกับการชุมนุม และกรณีที่มีเหตุการณ์ที่ตำรวจผู้ปฏิบัติอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องป้องกันตนเอง
สำหรับกรณีที่มีการวิจารณ์กรณีเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2565 ตำรวจควบคุมฝูงชนได้ใช้กระสุนยางไม่เป็นไปตามแนวปฏิบัติของสหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชน โดยมีการยิงแบบประทับบ่า และไม่ได้เล็งต่ำไปที่ท้องส่วนล่างหรือขานั้น
ขอเรียนชี้แจงว่า ท่านผู้บัญชาการตำรวจนครบาลได้ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว โดยจัดให้มีการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง และเน้นย้ำให้ปฏิบัติภายใต้กรอบของกฎหมายโดยเคร่งครัด โดยเฉพาะในเรื่องกฎการใช้กำลังนั้น จะต้องยึดหลักปฏิบัติ 4 ประการคือ
1. ต้องมีกฎหมายรองรับ
2. ต้องมีความจำเป็น
3. ต้องได้สัดส่วน
และ 4. ต้องมีความเหมาะสมกับสถานการณ์
กรณีการใช้กระสุนยางถือเป็นอาวุธที่ไม่ได้เจตนาทำร้ายถึงชีวิต แต่เป็นการใช้เพื่อระงับยับยั้งกลุ่มผู้ชุมนุมที่ใช้ความรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นไปตามหลักสากลในการควบคุมฝูงชน
สำหรับการยิงแบบประทับบ่านั้น ถือเป็นท่าพื้นฐานและเป็นไปตามมาตรฐานในการใช้อาวุธ ที่ทำให้สามารถเล็งเป้าหมายได้ และมีอันตรายน้อยกว่าการยิงในท่าที่ไม่มีการเล็ง หากยิงท่าอื่นที่ไม่มีการเล็งอาจจะถูกอวัยวะที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บขึ้นได้ ในขณะที่ท่ายิงที่มีการเล็งนั้น สามารถเลือกบริเวณจุดที่ไม่เกิดอันตรายหรือบาดเจ็บกับผู้ที่ถูกกระสุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าท่าที่ไม่มีการเล็ง
ประการต่อมา กรณีไม่ได้เล็งต่ำนั้น ขอเรียนว่าโดยปกติจุดของการเล็งระหว่างร่างกายช่วงบนและช่วงล่างนั้น มุมหรือองศาของกระบอกปืนนั้นจะไม่แตกต่างกันมากนั้น การโฟกัสไปที่กระบอกปืนอย่างเดียวไม่สามารถยืนยันได้ว่าขณะนั้นผู้ยิงเล็งปากกระบอกปืนไปยังจุดใด นอกจากนี้สถานที่เกิดเหตุก็มีส่วนสำคัญ ขณะนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมอยู่ในจุดที่สูงหรือต่ำกว่าผู้ยิงหรือไม่ เพราะฉะนั้นการยิงในท่านอนก็อาจยิงจุดที่สูงได้ ในขณะที่ท่ายืนก็อาจจะยิงในจุดที่ต่ำได้ การพิจารณาเฉพาะท่าการยิงและสรุปว่าเป็นการยิงสูงนั้น จึงอาจมีน้ำหนักไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าเล็งสูงได้
กองบัญชาการตำรวจนครบาล จึงขอเรียนชี้แจงให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบ เกี่ยวกับแนวทางการทำงานของสื่อมวลชนในพื้นที่การชุมนุม และกฎการใช้กำลังกับยุทธวิธีในการใช้กระสุนยางเพื่อให้ได้รับทราบเพียงเท่านี้


