ในวันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2566 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุมอมรวิวัฒน์ อาคารอเนกประสงค์ ภ.1
ตามนโยบายรัฐบาลให้ความสำคัญในการควบคุมและลดความรุนแรงของอาชญากรรมซึ่งเป็นภัยคุกคาม ต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. สั่งการให้มีการบูรณาการเพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรม ประเภทต่างๆ ปัญหาการใช้อาวุธปืนโดยผิดกฎหมาย ความผิดที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน อาวุธสงคราม เครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด รวมถึงการจำหน่ายอาวุธต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจำหน่ายผ่านระบบออนไลน์ หรือผ่านสื่อโซเชียลมีเดียโดยผิดกฎหมาย ซึ่งนำไปก่อเหตุอาชญากรรมสะเทือนขวัญ สร้างความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และสร้างความตื่นตระหนกในสังคมต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ประกอบกับในช่วงวันที่ 13 – 17 เมษายน 2566 เป็นวันหยุดยาวเทศกาลวันสงกรานต์ประจำปี 2566 และเตรียมความพร้อมในการรักษาความสงบเรียบร้อย ก่อนการจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้การป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและการรักษาความสงบเรียบร้อยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเกิดความสงบเรียบร้อยในทุกพื้นที่
ตำรวจภูธรภาค 1 โดย พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ก. 1, พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.ก. 1 และ ผบก.ภ.จว.ในสังกัด ภ.1 ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยนำมาตรการการควบคุมอย่างเป็นระบบ รวดเร็ว มีผลเป็นรูปธรรม เพื่อลดการก่อเหตุที่มีการใช้อาวุธปืนมากระทำผิด และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน จึงกำหนดให้มีการปิดล้อมตรวจค้นจับกุมอาวุธปีน อาวุธสงคราม เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดจำนวน 2 ครั้ง ในวันที่ 18 และ 25 มีนาคม 2566 สามารถบรรลุเป้าหมายตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนด
จำแนกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้
1.คดีอาวุธปัน มีผลการจับกุม รวม 288 คดี ผู้ต้องหา 271 คน รวมอาวุธปืน 261 กระบอก แยกเป็น ปืนมีทะเบียน 140 กระบอก ปีนไม่มีทะเบียน 121 กระบอก วัตถุระเบิด 2 ชิ้น และเครื่องกระสุนปืน จำนวน 2,498 นัด
2.ความผิดจำหน่ายอาวุธปัน (ออนไลน์) รวมคดีอาวุธปืน 11 คดี แยกเป็น ปีนมีทะเบียน 2 คดี ปืนไม่มีทะเบียน 6 คดี เครื่องกระสุนปีน 3 คดี
3.คดียาเสพติด แบ่งเป็น ยาบ้า จำนวน 22,040 เม็ด ยาไฮซ์ 68.22 กรัม และเคตามีน 0.9 กรัม
ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และตำรวจภูธรภาค 1 ขอความร่วมมือจากภาคประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถมีส่วนร่วมในการช่วยสังคมแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดตามกฎหมายผ่านทางสถานีตำรวจทุกแห่ง และหมายเลขโทรศัพท์สายด่วน 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง








