ชาวสะเดา หนีร้อนแห่เล่นน้ำที่น้ำตก วังหินสูง กันคึกคัก


วันนี้ 24 เมษายน 2565 ที่ หมู่ 6 บ้านควนดินเหนียว ต.ทุ่งหมอ อ.สะเดา จ.สงขลา ได้มีชาวอำเภอสะเดา และ อำเภอใกล้เคียง ต่างหนีอากาศที่ร้อนจัดในช่วงเที่ยงๆ ขับรถยนต์ และ รถจักรยานยนต์หลบร้อนไปเล่นน้ำที่น้ำตก วังหินสูง กันเป็นจำนวนมากจนดูคึกคัก โดยภายในน้ำตกวังหินสูง มีบรรดาพ่อค้า แม่ค้า นำสิ่งของมาวางขายกันเป็นระเบียบ พร้อมทั้งมี ห้องน้ำให้บริการฟรีอีกด้วย ซึ่งในวันนี้ เป็นวันหยุด จึงทำให้มีชาวบ้านใน อ.สะเดา และ อ.ใกล้เคียง ต่างพาครอบครัว และเพื่อนๆขับรถยนต์ รถจักรยานยนต์มาเล่นน้ำกันที่น้ำตกแห่งนี้พร้อมทั้งนำเสื่อมาปู ตั้งวงนั่งทานอาหารกันด้วย ทำให้บรรยากาศภายในน้ำตกดูคึกคักขึ้น หลังจากที่ปิดให้เข้าไปเล่นน้ำมานานพอสมควร
ซึ่งน้ำตกดังกล่าว ท่านสามารถขับรถไปตามถนนสายบ้านคลองแงะ เข้าไปทางบ้านควนสะตอเกือบ 20 ก.ม. ก็จะถึง น้ำตก วังหินสูง ซึ่งจะมีป้ายสูง เขียน คำว่า น้ำตก วังหินสูง ให้เห็นอย่างชัดเจน ซึ่งน้ำตกแห่งนี้ก็ถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของชาว ตำบลทุ่งหมอ อ.สะเดา จ.สงขลา ที่มีผู้คนหนีอากาศร้อนเข้าไปเล่นน้ำเพื่อคลายร้อนกันได้ หนทางไปมาสะดวก ปลอดภัย

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ สั่งดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ผู้ต้องหาหลอกลวงต่างด้าวอายุ 17 ปี ไปข่มขืน

จากกรณีที่เมื่อวันที่ 1 เม.ย.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.หัวหมาก ได้รับแจ้งเหตุ นางสาวเอ (นามสมมุติ) อายุ 17
ปี สัญชาติเมียนมา ถูกคนขับรถแท็กซี่อ้างชื่อคนอื่นหลอกว่าจะพาไปสมัครงาน ก่อนพาเข้าม่านรูดและข่มขืนกระทำ
ชำเรา หลังก่อเหตุคนขับแท็กซี่ดังกล่าวพาไปส่งตำรวจเพื่อแจ้งจับกุมข้อหาหลบหนีเข้าเมือง นั้น
ในการนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./
ผอ.ศพดส.ตร. และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศพดส.ตร. ให้ดำเนินการสืบสวนจับกุมผู้ก่อเหตุ
ดังกล่าวโดยเร่งด่วน

จากกรณีดังกล่าว พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ฯ ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศพดส.ตร. ได้สั่งการให้ เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ
ศพดส.ตร. ดำเนินการสืบสวนสอบสวนร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.หัวหมาก โดยจากการสอบสวนผู้เสียหายร่วมกับ
เจ้าหน้าที่สหวิชาชีพและล่ามแปลภาษาแล้วได้ทราบว่า ผู้ก่อเหตุรายนี้คือ นายอดิเรก แซ่แบ๊ อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่
3 หมู่ 10 ต.วังหิน อ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์ โดยมีพฤติการณ์ในคดีคือ ก่อนเกิดเหตุประมาณเดือน มี.ค.65 ผู้เสียหายได้
ให้น้ำสาวของตนซึ่งพูดและอ่านภาษาไทยได้ ช่วยโพสต์หางานผ่านทางเฟซบุ๊กของตน ก่อนจะมีเฟซบุ๊กของผู้ต้องหาซึ่ง
ใช้ใบหน้าและชื่อของผู้อื่นทักมาว่าต้องการรับเข้าทำงาน และจะให้รถท็กซี่ไปรับผู้เสียหายจนกระทั่งน้าสาวของ
ผู้เสียหายหลงเชื่อ ต่อมาเมื่อวันที่ 1 เม.ย.65 นายอดิเรกฯ ได้ขับรถแท็กซี่สีชมพู ทะเบียน ทฬ-8744 กทม. มารับ
ผู้เสียหายจากที่พัก โดยหลอกว่าจะพาไปพบนายจ้าง น้าสาวได้ให้ผู้เสียหายขึ้นรถไปเพียงคนเดียว แทนที่ผู้ต้องหาจะ
พาไปพบนายจ้างตามที่กล่าวอ้าง กลับพาออกไปที่โรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่งในซอยอินทมาระ 31 อ้างว่าจะพาไปตรวจ
ATK และบอกให้ผู้เสียหายพักรออยู่ภายในห้องในโรงแรมดังกล่าว ก่อนที่นายอดิเรกฯ จะกลับมาอีกครั้งประมาณ
21.30 น. โดยจับผู้เสียหายใส่กุญแจมือและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจำนวน 3 ครั้ง มีการถ่ายภาพขณะข่มขืน
ชำเราเก็บไว้ด้วยโทรศัพท์มือถือ และยังได้ลักเอาโทรศัพท์มือถือจำนวน 1 เครื่องและเงินสด 500 บาทของผู้เสีย
หายไปอีกด้วย หลังจากก่อเหตุดังกล่าว นายอดิเรกฯ ได้ขับรถพาผู้เสียหายไปส่งที่ สน.คลองตัน โดยแจ้งตำรวจ
ให้จับกุมตัวผู้เสียหาย เนื่องจากเป็นบุคคลต่างด้าวที่ไม่พกพาหนังสือเดินทาง ก่อนขับรถออกไป เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.
คลองตัน ได้จัดหาล่ามแปลภาษามาและสอบถามจากผู้เสียหายเบื้องต้น จึงได้ทราบว่า ผู้เสียหายถูกนายอติเรกฯ
หลอกไปข่มขืนก่อนมาส่งให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ให้ความช่วยเหลือเบื้องตัน และได้
พาไปแจ้งความที่ สน.หัวหมาก ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบดังกล่าว

ต่อมา เมื่อวันที่ 8 เม.ย.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ศพดส.ตร. ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.หัวหมาก ได้นำหมายจับ
ศาลอาญาที่ 685/2565 ลงวันที่ 8 เม.ย.65 เข้าทำการจับกุมนายอดิเรก แซ่เบ๊ ได้บริเวณแขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน
กรุงเทพฯ โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน “พรากผู้เยาว์อายุเกินกว่า สิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี ไปเสียจากบิดา
มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อการอนาจาร, ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญ ด้วย
ประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ และได้กระทำโดยให้ผู้ถูกกระทำ
เข้าใจว่าผู้กระทำมีอาวุธปืน, หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพใน
ร่างกาย, ชิงทรัพย์โดยมีอาวุธในเวลากลางคืน, ครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางเพศ
สำหรับตนเองหรือผู้อื่น, มีเครื่องวิทยุคมนาคมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ” โดยมีอัตราโทษสูงสุดจำคุกตั้งแต่
เจ็ดปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนสี่หมื่นบาทถึงสี่แสนบาท
จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า นายอติเรกฯ ผู้ต้องหารายนี้ มีพฤติการณ์ในการหลอกลวงผู้หญิงที่เป็น
บุคคลต่างด้าวที่มีหนังสือเดินทาง โดยอ้างว่าสามารถพาไปทำงานได้ ก่อนจะหลอกพาเข้าโรงแรมอ้างว่าเพื่อตรวจ ATK
และให้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะใช้โทรศัพท์มือถือแอบถ่ายหรือกระทำอนาจาร

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า “ในคดีนี้คนร้ายถือโอกาสที่เหยื่อเป็นบุคคลต่างด้าวที่ต้องการหางานทำ หลอกลวง
ว่าจะพาเหยื่อไปสมัครงานก่อนจะพาเข้าโรงแรมไปข่มขืนโดยโดยการใส่กุญแจมือ ซึ่งผู้เสียหายเองยังเป็นเยาวชนและมี
ข้อจำกัดทางภาษา ประกอบกับผู้ปกครองซึ่งเป็นน้าสาวของผู้เสียหายหลงเชื่อผู้ต้องหา จึงปล่อยให้ผู้เสียหายขึ้นรถไป
ด้วย จึงอยากจะขอเตือนไปยังพี่น้องประชาชน เกี่ยวกับการช่วยกันดูแลบุตรหลานของตน มิให้ตกเป็นเหยื่อจากการ
ล่วงละเมิดทางเพศ ระมัดระวังในการมอบความดูแลเด็กและเยาวชนให้กับบุคคลอื่น เพื่อมีให้เกิดเหตุสะเทือนใจเช่นนี้
อีก รวมทั้งการหางานผ่านสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีการหลอกลวงหลายรูปแบบ
ที่มีตัวอย่างเกิดขึ้นให้เห็นเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงแอบอ้างบุคคลอื่นแล้วพาผู้เสียหายไปกระทำ
อนาจาร หรือการหลอกลวงไปทำงานผิดกฎหมายในต่างประเทศ จึงอยากจะขอให้มีการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของ
บุคคลที่รับสมัครงานอย่างถี่ถ้วน เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อพวกมิจฉาชีพที่ฉวยโอกาสหลอกลวงสร้างความเสียหายให้กับ
ประชาชน”

ในการนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอความร่วมมือพี่น้องสื่อมวลชน ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน ได้ทราบถึง
การดำเนินการและการกระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก หากประชาชนพบเห็นการกระทำผิดใน
ลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งข้อมูลมายัง ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาค
ประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) โดยตรง ช่องทางสายด่วน 1599 หรือ
http://www.humantrafficking.police.go.th หรือ ผ่านช่องทางเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/TICAC2016 หรือ
LineOA: @HUMANTRAFFICKTH หรือ TWITTER: @safe_dek หรือช่องทางใหม่ล่าสุดคือ การสแกน QRCODE
เพื่อกรอกแบบฟอร์มในการแจ้งเหตุและเบาะแสการกระทำผิดดังกล่าวเพื่อแจ้งเบาะแสในการปราบปรามการกระทำ
ผิดต่อไป

ผวางูจงอาง เลื้อยเข้าใต้ถุนบ้าน แจ้งกู้ภัยมาจับ เชื่อให้โชค


วันนี้ 23 เมษายน 2565 ที่ หน่วยกู้ภัยอริโยสามัคคีนาทวี อ.นาทวี จ.สงขลา ขณะที่ นายศุภชัย กีรติมากุล กำลังเข้ารับเวรเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยอยู่ในหน่วยกู้ภัยมูลนิธิอริโยสามัคคีนาทวี พร้อมกับคนอื่น ก็ได้รับแจ้งทางโทรศัพท์จากนายสมพล เต็มรัตน์ อายุ 57 ปี อยู่บ้านเลขที่ 97 ม.5 ต.ประกอบ อ.นาทวี จ.สงขลา ว่าขณะที่ตนเองกำลังเดินเล่นอยู่ที่บริเวณบ้าน ทันใดสายตาก็มองไปเห็นงูจงอางขนาดใหญ่ กำลังเลื้อยเข้าไปอยู่ที่ใต้ถุนบ้าน หลังตนเองตั้งสติได้ จึงรีบหาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วรีบโทรแจ้งให้กู้ภัยฯช่วยมาจับงูให้ด้วย
หลังจากที่นายศุภชัยฯได้รับแจ้งจึงได้พร้อมด้วย นายวิชชุกร ช้างอินทร์
และ นางสาวเสาวลักษณ์ ทักคำแหง รีบนำอุปกรณ์ในการจับสัตว์เลื้อยคลานรุดเข้าตรวจสอบและจับทันที เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงก็พบว่างูจงอางเลื้อยเข้าไปอยู่ที่ใต้ถุนบ้าน จึงได้นำอุปกรณ์ในการจับงู เข้าทำการจับ โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาอยู่นานพักหนึ่งก็สามารถจับงูจงอางได้ นำมาวัดปรากฏว่างูจงอางมีความยาวถึง 4 เมตร และน้ำหนัก 7 กก.เจ้าหน้าที่จึงนำใส่กระสอบ เตรียมนำไปปล่อยคืนสู่ป่าธรรมชาติที่อยู่ห่างไกลบ้านเรือนผู้คนต่อไปเพื่อความปลอดภัย โดยชาวบ้านที่มายืนมุงดูบางคนก็พูดว่างูจงอางมาให้โชคลาภ โดยถือบ้านเลขที่เป็นเลขเด็ด งวดนี้

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

จุรินทร์ ถก กรอ.ภาคใต้ ขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจในพื้นที่ ต่อยอด ภาคการเกษตร ตลาดต่างประเทศ ครัวฮาลาล หวังชาวใต้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น



วันที่ 22 เมษายน 2565 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ (กรอ.พาณิชย์) ภาคใต้ ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมบุรีศรีภู อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยมีนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รองผวจ.สงขลา รองผวจ.ยะลาปลัดกระทรวงพาณิชย์ หัวหน้าส่วนราชการ และภาคเอกชนเข้าร่วมประชุม ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมบุรีศรีภู อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

โดยที่โครงสร้างเศรษฐกิจของภาคใต้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคใต้ ปี ๒๕๖๒ มีมูลค่า ๑.๔๗ ล้านบาท ประชากรมีรายได้เฉลี่ยต่อหัว ๒๔๓,๗๘๗ บาทต่อคนต่อปี โดยจังหวัดที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมสูงสุด ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต รองลงมาคือจังหวัดพังงา และจังหวัดชุมพร ตามลำดับ เศรษฐกิจภาคใต้ยังคงพึ่งพิงภาคเกษตรเป็นหลัก (ร้อยละ ๒๒) รองลงมาเป็นสาขาการท่องเที่ยว (ร้อยละ ๑๖) พาณิชย์
และสาขาการค้า (ร้อยละ๑๑) ตามลำดับ โดยมีพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และไม้ผลปี ๒๕๖๔ เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นจากปี ๒๕๖๓ เนื่องจากการฟื้นตัวของ
ภาคการผลิตและส่งออก ประกอบกับเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ทยอยฟื้นตัวส่งผลต่อเนื่องให้การลงทุนภาคเอกชนปรับดีขึ้น ด้านการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนหดตัวน้อยลงจากกำลังซื้อที่ลดลง ภาคการท่องเที่ยวยังคงหดตัวใกล้เคียงเดิม เป็นผลจากการแพร่ระบาดของ COVID-๑๙ ระลอกสาม ที่รุนแรง
และยืดเยื้อ โดยมีอัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ ๑.๖๙ ปรับสูงขึ้นตามราคาพลังงานและอาหารสด

รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยต่อด้วยว่า การประชุมในวันนี้ มีผลสรุปที่สำคัญ ประกอบด้วย 1.การกระจายผลไม้ภาคใต้และเพิ่มพื้นที่กระจายผลไม้ในสถานีบริการน้ำมัน เพิ่มพื้นที่เฉพาะเพื่อระบายผลไม้ในแต่ละจังหวัด และการเปิดตลาดผลไม้ในต่างประเทศ 2.การส่งเสริมสนับสนุนจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นครัวโลกด้านสินค้าฮาลาล โดยการคัดเลือกสินค้าที่มีความโดดเด่นในเบื้องต้น 20 รายการและจะขยายเป็น 200 รายการในเร็ววัน 3.การส่งเสริมตลาดสมุนไพรไทย ในประเทศที่นิยม คู่ค้า โดยเริ่มแรกคือประเทศภูฏาน 4.แก้ไขปัญหาจากสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยที่เรียกร้องให้ลดต้นทุนการจัดส่งสินค้าออนไลน์ 5. จ.กระบี่ ขอจัดกระบี่streetfood อาหาร ศิลปะ กีฬา ซึ่งจะมีส่วนช่วยเพิ่มรายได้
ให้แก่จังหวัด 6.จ.พังงา ขอให้ช่วยสร้างแบรนด์ของความเป็นพังงา เพื่อการประชาสัมพันธ์
7.ศอ.บต.ได้ดำเนินการกิจกรรมที่สำคัญได้แก่ 1.ให้จชต.เป็นเมืองปศุสัตว์ปี65-69 กองทุนฟื้นฟูและพัฒนา 30,000 ตัว ปน.9,000 ยะลา 6,000 นรา10000 2.เมืองผลไม้ 3.การดำเนินการเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดน ขับเคลื่อนเชื่อมด่านสะเดากับฝั่งมาเลเซีย หาจุดที่ลงเพื่อทำถนนเชื่อมกัน งบ 251 ล.ของบกลางปี65ไปจ่อที่ฝั่งมาเลย์

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

ตำรวจจับกุมผู้ต้องหาคดีใช้อาวุธปืนยิงผู้อื่นเสียชีวิตพื้นที่ สภ.ควนกาหลง


วันนี้ 22 เมษายน 2565 จากการสืบทราบของ พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9 ว่าคนร้ายที่ก่อเหตุยิงนายหมาดฮาหรน มรรคาเขต เสียชีวิตที่โต๊ะสนุกเกอร์ หลังบ้านเลขที่ 86/1 ซ.บ้านสวน ม.11 ต.ทุ่งนุ้ย อ.ควนกาหลง จว.สตูล ว่าหลังก่อเหตุคนร้ายได้หลบหนีไปกบดานที่ จ.ตรัง จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ต.อรุษ แสงจันทร์ ผบก.ภ.จว.สตูล นำกำลังเข้าประสานงานกับ พล.ต.ต.สันทัด วินสน ผบก.ภ.จว.ตรัง พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจภาค 9 โดยการนำ ของ พล.ต.ต.ทิวธวัช นครศรี ผบก.สส.ภ.9 และ พ.ต.อ.ศักดา เจริญกุล รอง ผบก.สส.ภ.9 พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบ จ.สตูล ,จ.ตรัง และ จ.สงขลา เข้าทำการจับกุมตัวนายสุทัศ ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง เป็น ชาวไทยใหญ่ได้ที่พักอยู่ในห้องพักหมายเลข 3 ของแสงทองรีสอร์ท ม.4 ต.ไม้ฝาด อ.สิเกา จว.ตรัง

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 เม.ย 65 เวลาประมาณ 21.15 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้รับแจ้งเหตุคนร้ายไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด ก่อเหตุใช้อาวุธปืนกราดยิงใส่วัยรุ่นที่กำลังขับขี่รถจักรยานยนต์ หลังจากทำละหมาดที่มัสยิดบ้านทุ่งนุ้ย ต.ทุ่งนุ้ย อ.ควนกาหลง จว.สตูล จำนวนหลายนัด ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บแต่รถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหาย จากนั้นคนร้ายได้ขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนี ไปก่อเหตุยิงนายหมาดฮาหรน มรรคาเขต เสียชีวิตที่โต๊ะสนุกเกอร์ หลังบ้านเลขที่ 86/1 ซ.บ้านสวน ม.11 ต.ทุ่งนุ้ย อ.ควนกาหลง จว.สตูล ต่อหน้าพยาน 5 คนซึ่งกำลังเล่นสนุ๊กเกอร์กันอยู่ แล้วขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป เจ้าหน้าที่จึงได้ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุพบศพ นายหมาดฮาหรน มรรคาเขต นอนเสียชีวิต สภาพศพนอนหงายอยู่ข้างโต๊ะสนุกเกอร์ พบบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนบริเวณเหนือราวนมขวา 1 นัด พบปลอกกระสุน ขนาด 9 มม. บริเวณข้างโต๊ะสนุกเกอร์ จำนวน 3 ปลอก พบหัวกระสุนบริเวณข้างโต๊ะสนุกเกอร์ จำนวน 2 หัว ต่อมาเจ้าหน้าที่สืบสวนทราบว่าผู้ก่อเหตุในคดีนี้คือนายสุทัศ ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง เป็นชาวไทยใหญ่ แต่เข้ามาประกอบอาชีพรับจ้างกรีดยางอยู่ในพื้นที่ อ.ควนกาหลง ได้ประมาณ 10 ปี และก่อนเกิดเหตุที่โต๊ะสนุ๊กเกอร์ไม่นาน นายสุทัศฯ ได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่หลานของผู้เสียชีวิต บริเวณหน้ามัสยิดบ้านทุ่งนุ้ย พบปลอกกระสุน ขนาด 9 มม.ตกอยู่รวม 9 ปลอก ตรงปากซอยหน้ามัสยิด จากการสอบถามพยานในที่เกิดเหตุให้การสอดคล้องตรงกันว่า ขณะที่ ผู้เสียชีวิตยืนอยู่ที่โต๊ะสนุกเกอร์ ได้มี นายสุทัศน์ฯ ขับรถจักรยานยนต์เดินเข้ามาที่โต๊ะสนุกเกอร์แล้วได้ชักอาวุธปืนขนาด 9 มม. ยิงผู้เสียชีวิต จำนวน 4 นัด ติดต่อกันจากนั้นได้ขับรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นเวฟ หลบหนีไป สาเหตุการยิงน่าจะเกิดจากนายสุทัศ มีความแค้นส่วนตัวกับผู้เสียชีวิต เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจสอบบ้านพักของ นายสุทัศน์ฯ พบว่ามีปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. ที่ใช้ซ้อมยิงไว้แล้วกว่า 50 ปลอก ถูกเก็บซุกซ่อนไว้ จึงเชื่อได้ว่านายสุทัศฯ ได้มีการตระเตรียมการในการก่อเหตุมาเป็นอย่างดี แต่ไม่พบตัวนายสุทัศฯ จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ร่วมกันสนธิกำลังกว่า 100 นาย สกัดกั้นและเดินทางเท้าเข้าตรวจสอบขึ้นป่าเขา ปิดล้อมเส้นทางที่น่าเชื่อได้ว่านายสุทัศฯ จะหลบหนีและซ่อนตัว เนื่องจากผู้ต้องหาประกอบอาชีพรับจ้างกรีดยางบนพื้นที่ป่าเขามีความชำนาญเส้นทางในพื้นที่เป็นอย่างดีจึงสามารถหลบหนีไปได้ พนักงานสอบสวน สภ.ควนกาหลง ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับนายสุทัศฯ ตามหมายจับของศาลจังหวัดสตูล ที่ จ.97/2565 ลงวันที่ 21 เมษายน 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพยามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว พาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยเปิดเผย หรือโดยไม่มีเหตุอันควร ทำให้เสียทรัพย์”

ต่อมาเมื่อวานนี้ 21 เมษายน 2565 เวลาประมาณ 16.30 น. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ทำการสืบสวนเพิ่มเติมจนทราบว่านายสุทัศฯ เคยทำงานเป็นลูกจ้างเลี้ยงกุ้งและเคยมีภรรยาชาวไทยใหญ่ในพื้นที่ อ.สิเกา จ.ตรัง จึงได้นำกำลังไปติดตาม และได้รับแจ้งจากสายลับทราบว่ามีรถจักรยานยนต์ป้ายทะเบียนสตูลจอดอยู่ใกล้กับรีสอร์ท แสงทอง บ้านปากเม็ง จึงได้ไปตรวจสอบปรากฎว่าเป็นรถจักรยานยนต์คันเดียวกันที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ น่าเชื่อว่านายสุทัศน์ฯ พักอยู่ในห้องพักหมายเลข 3 ของแสงทองรีสอร์ท ม.4 ต.ไม้ฝาด อ.สิเกา จว.ตรัง จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และสั่งการให้ร่วมกันวางแผนนำกำลังเข้าจับกุมจึงได้ประสาน นายวินัย ชูเสียงแจ้ว กำนัน ต.ไม้ฝาด อ.สิเกา จว.ตรัง และนายสมบูรณ์ กิ่งเกาะ ผญ. ม.5 ต.ไม้ฝาด อ.สิเกา จว.ตรัง ร่วมเข้าตรวจสอบ ผลการตรวจค้นพบนายสุทัศน์ฯ พักอยู่ในห้องพักหมายเลข 3 จึงแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมทั้งได้แสดงหมายจับศาลจังหวัดสตูล ที่ จ.97/2565 ลงวันที่ 21 เมษาย 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพยามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว พาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยเปิดเผย หรือโดยไม่มีเหตุอันควร ทำให้เสียทรัพย์” ให้นายสุทัศน์ฯ ดู และอ่านหมายจับ และแสดงรูปภาพบุคคลตามหมายจับ จนเป็นที่เข้าใจดีแล้ว (นายสุทัศน์ฯ สามารถอ่านเขียน-เขียนภาษาไทยได้เข้าใจ) รับว่าตนเองเป็นบุคคลตามหมายจับ และไม่เคยถูกจับดำเนินคดีตามหมายจับนี้มาก่อน จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงขอตรวจค้นห้องพัก โดยก่อนตรวจค้นเจ้าหน้าที่ได้แสดงความบริสุทธิ์ จนเป็นที่พอใจแก่นายสุทัศน์ฯแล้วจึงยินยอมและนำตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบอาวุธปืนพกสั้น ขนาด 9 มม. ยี่ห้อ CZ 2075 RAMI สีดำ หมายเลขประจำตัวปืน A962508 พร้อมด้วยกระสุนปืนขนาด 9 มม. จำนวน 7 นัด บรรจุอยู่ในแม็กกาซีน และพบรถจักรยานยนต์คันของนายสุทัศน์ฯ ยี่ห้อ HONDA รุ่น WAVE 110 i สี ดำ เทา หมายเลขทะเบียน 1กฉ 2433 สตูล จอดอยู่ข้างห้องพัก ตรวจค้นพบเครื่องกระสุนขนาด 9 มม. ยี่ห้อ LUGER จำนวน 2 กล่อง รวม 95 นัด ซุกซ่อนอยู่ในช่องเก็บของใต้เบาะ จึงยึดไว้เป็นของกลาง สอบถามนายสุทัศน์ฯ รับสารภาพว่าของกลางที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจยึดได้เป็นอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนของตน ที่ใช้ก่อเหตุยิงนายหมาดฮาหรน มรรคาเขต ที่บริเวณโต๊ะสนุกเกอร์ ซ.บ้านสวน หลังบ้านเลขที่ 86/1 ม.11 ต.ทุ่งนุ้ย อ.ควนกาหลง จว.สตูล เมื่อวันที่ 19 เม.ย.65 เวลาประมาณ ๒21.15 น. เสียชีวิตจริง และหลังก่อเหตุได้ขับรถจักรยานยนต์หลบหนีมาเปิดห้องพักอาศัยอยู่ที่แสงทองรีสอร์ท เจ้าหน้าที่จึงให้นายสุทัศน์ฯ ชี้ยืนยันของกลาง พร้อมได้ถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐาน
เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวนายสุทัศน์ฯผู้ต้องหาพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.สตูล เพื่อดำเนินคดีต่อไป

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

ผบช.ภ.5 และ คณะที่ปรึกษา ผบช.ภ.5 ได้มอบหมวกนิรภัยสำหรับขับขี่รถจักรยานยนต์จำนวน 48 ใบ ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร กลุ่มงานจราจรตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ และครอบครัว

วันพุธที่ 20 เมษายน 2565 เวลา 14.00น.
พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 และ คณะที่ปรึกษา ผบช.ภ.5 ได้มอบหมวกนิรภัยสำหรับขับขี่รถจักรยานยนต์จำนวน 48 ใบ ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร และ ครอบครัว เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ตระหนักถึงความปลอดภัยในการขับขี่รถจักรยานยนต์โดยจะต้องสวมใส่หมวกนิรภัยทุกครั้งตามโครงการใช้ถนนปลอดภัยเริ่มที่เรา (road safety starts with us) ณ ที่ทำการกลุ่มงานจราจรตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

ผบช.น. พร้อม รองผบช.น. ร่วมแถลงการจับกุมคนร้ายก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์(สน.บางชัน)และผู้กระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดและอาวุธปืน(ผบก.น.2)

สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุชาติ

ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้เร่งรัดสืบสวนปราบปรามจับกุมผู้ต้องหา ก่อเหตุ อุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญซี่งเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยทั่วไป รวมทั้งคดีที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนในห้วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน

กองบัญชาการตำรวจนครบาล โดย พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น., พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น., พล.ต.ต.โชคชัย งามวงศ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.สำเริง สวนทอง รอง ผบช.น. ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.พรชัย ขจรกลิ่น ผบก.น.4, พ.ต.อ.สินเลิศ สุขุม รอง ผบก.น.4, เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.บางชัน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.4 เร่งรัดติดตามตัวคนร้ายให้ได้โดยเร็ว จากกรณีเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2565 เวลาประมาณ 12.25 น. ได้มีเหตุคนร้ายชาย 1 คน ก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์ร้านทองออโรร่า สาขาบิ๊กซี แฟชั่นไอส์แลนด์ ถนนรามอินทรา แขวงคันนายาว เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร โดยคนร้ายได้สร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท จำนวน 2 เส้น แล้ววิ่งหลบหนีขึ้นรถแท็กซี่ไป

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.บางชัน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.4 ได้ดำเนินการลงพื้นที่เกิดเหตุ สืบสวนหาข่าว และตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด จนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานจนทราบว่าคนร้ายที่ก่อเหตุในคดีดังกล่าวคือ นายกานต์ฯ อายุ 24 ปี สัญชาติไทย ซึ่งพักอาศัยอยู่ที่ห้องพักเลขที่ 105 หอพักบ้านดาราทร เลขที่ 52 ซอยพหลโยธิน 55 แยก 6 แขวงอนุสาวรีย์

เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร

เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.บางชัน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.4 ได้ติดตามตัวยังสถานที่ต่าง ๆ จนกระทั่งต่อมา เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2565 เวลา 17.30 น. ได้จับกุมตัวผู้ต้องหา คือ

นายกานต์ฯ โดยกล่าวหาว่า “วิ่งราวทรัพย์” จากการสอบถามนายกานต์ให้การยอมรับสารภาพว่า ตนเป็นผู้ที่ก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์สร้อยคอทองคำจำนวน 2 เส้นดังกล่าว จากที่ร้านทองออโรร่า สาขาบิ๊กซี แฟชั่นไอส์แลนด์ไปจริง และสมัครใจนำพาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำการตรวจยึดทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดในวันดังกล่าวด้วยตนเอง จนนำไปสู่การนำตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมกับตรวจยึดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จำนวน 9 รายการ ประกอบด้วย

1. แหวนทองรูปพรรณ น้ำหนัก ครึ่งสลึง จำนวน 2 วง

2. เอกสารบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ แบบไม่มีสมุดคู่ฝาก (SCB E-Passbook) ของธนาคารไทยพาณิชย์ หมายเลขบัญชี 171-418469-7 ชื่อบัญชี นายกานต์ฯ จำนวน 1 เล่ม

3. หน้ากากอนามัยสีขาว จำนวน 1 อัน

4. โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ HUAWEI สีดำ หมายเลขโทรศัพท์ 063-161-4601 จำนวน 1 เครื่อง

5. กระเป๋าสะพายสีน้ำเงิน จำนวน 1 ใบ

6. เสื้อยืดแขนสั้นสีดำ จำนวน 1 ตัว

7. กางเกงขายาวสีดำ จำนวน 1 ตัว

8. รองเท้าผ้าใบยี่ห้อ NIKE สีดำ จำนวน 1 คู่

9. บัตรรับฝากทองของห้างทองหลีกิมเส็ง เลขที่ 3073 จำนวน 1 ฉบับ

จากการซักถาม นายกานต์ฯ ให้การอีกว่า เคยทำงานอยู่ที่ห้างบิ๊กซี สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์มาก่อนที่จะมาทำการก่อเหตุ และมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุ เพราะต้องการนำเงินไปใช้หนี้สินของตนและนำเงินส่งให้ลูกที่อยู่ต่างจังหวัด

สถานที่จับกุม บริเวณหน้าศูนย์การค้าเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพหมานคร

จากนั้นจึงได้นำตัวผู้ต้องหา พร้อมด้วยรายการสิ่งตรวจยึด ส่งพนักงานสอบสวน สน.บางชัน

เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

บช.น. ขอเรียนพี่น้องประชาชนว่า ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19

แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงปฏิบัติหน้าที่ในการบำบัดทุกข์และบำรุงสุขให้แก่พี่น้องประชาชน หากพบเห็นหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิด โปรดแจ้งสายด่วน 191 หรือสถานีตำรวจท้องที่

ผกก.สน.บางชัน พ.ต.อ.วสุ เชื่อพุทธ

คดีที่2

กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 กองบัญชาการตำรวจนครบาล โดย พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ ผบก.น.2

พ.ต.อ.สุรพงค์ ธรรมพิทักษ์ รอง ผบก.น.2, พ.ต.อ.ชูศักดิ์ ศรีวงษ์ชัย รอง ผบก.น.2, ว่าที่ พ.ต.อ.อัครพล โทยะ ผกก.สส.บก.น.2พ.ต.ท.ณเอก เนตรจรัสแสง, พ.ต.ท.รัชพล กิตติคุณชนก, พ.ต.ท.สุทธิเดช โอฬาริ รอง ผกก.สส.บก.น.2, สั่งการให้ชุดสืบสวนหาข่าวกองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 ออกสืบสวนหาข่าวผู้กระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับ

ยาเสพติดและอาวุธปืน จนมีผลการปฏิบัติ ดังนี้

ได้ร่วมกันทำการจับกุมตัวผู้ต้องหา 5 ราย

1. นายอภิสิทธิ์ ฯ อายุ 25 ปี

2. นายอัจฉระฯ หรือโอ อายุ 25 ปี

3. นายวีรพงษ์ฯ อายุ 25 ปี

4. นายเอกรินทร์ฯ อายุ 25 ปี

5. นายสมชายฯ หรือโต้ง อายุ 25 ปี

โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า

มียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (เคตามีน) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย”

พร้อมด้วยของกลางและตรวจยึด

ยาเคตามีน จำนวน 9 กระสอบ น้ำหนักรวม 360 กิโลกรัม

รถยนต์ จำนวน 2 คัน

ก่อนการจับกุมในคดีนี้ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้ทำการสืบสวนขยายผลจากการจับกุมยาเสพติดเมื่อ เดือนตุลาคม พ.ศ.2564 จนสืบทราบมาว่ากลุ่มคนร้ายคือ นายอัจฉระ หรือโอ ชาญชำนิ กับพวก มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ลักษณะรับจ้างขนยาเสพติดจากแนวชายแดนจังหวัดเชียงรายเข้ามายังกรุงเทพมหานคร จากการสืบสวนทราบว่า กลุ่มคนร้ายมีลักษณะการแบ่งหน้าที่กันทำ โดยจะใช้รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้ออีซูซุ รุ่น D-MAX สีเทา เป็นรถยนต์ที่ใช้ขนยาเสพติด และมีรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อโตโยต้า รุ่น C-CAB สีขาว เป็นรถยนต์ที่คอยขับประกบตาม ร่วมกันลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากชายแดนจังหวัดเชียงรายมาซุกซ่อนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อรอจำหน่ายให้กับลูกค้าทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้เคียงตามคำสั่งของนายทุนหรือผู้ว่าจ้าง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงลงพื้นที่สืบสวน ทำการติดตามพฤติกรรมจนทราบแน่ชัดว่า ผู้ต้องหากับพวก ได้ทำการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจริง

ต่อมาถึงวันที่ 16 เมษายน 2565 ผู้ต้องหากับพวก ได้มีการขับรถออกจากจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของผู้ต้องหาไปชายแดนจังหวัดเชียงรายและจังหวัดเชียงใหม่ จนกระทั่งวันที่ 20 เมษายน ๒๕๖๕ ได้ขับรถกลับเข้า

กรุงเทพมหานคร โดยรถลำเลียงยาเสพติดได้จอดพักที่สถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขาโกตี๋ ตำบลนครชุม อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร และรถอีกคันที่คอยประกบขับตามเมื่อมาถึงด่านตรวจทรงธรรม ตำบลทรงธรรม อำเภอเมืองกำแพงเพชร ก่อนถึงสถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขาโกตี๋ ประมาณ 7 กม เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แสดงตัวเข้าจับกุมตัวและตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบของกลางเป็นยาเคตามีน จำนวน 9 กระสอบ น้ำหนักรวม 360 กิโลกรัม อยู่ภายในกระบะบรรทุกซึ่งได้มีการติดตั้งโครงกระบะคอกแสตนเลส โดยมีสับปะรดทับปิดบังเจ้าหน้าที่ไว้เพื่อใช้ในการลำเลียงยาเสพติด จากการสอบถามผู้ต้องหา

ทั้ง 5 ราย ให้การรับสารภาพว่า เป็นกลุ่มที่ร่วมกับรับจ้างขนยาเสพติดมาจากชายแดนจังหวัดเชียงรายมาส่งที่กรุงเทพฯ จริง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมของกลางส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

บช.น. ขอเรียนพี่น้องประชาชนว่า ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19

แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงปฏิบัติหน้าที่ในการบำบัดทุกข์และบำรุงสุขให้แก่พี่น้องประชาชน หากพบเห็นหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิด โปรดแจ้งสายด่วน 191 หรือสถานีตำรวจท้องที่

พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น.
พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น.

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. ขับเคลื่อนงานชุมชนสัมพันธ์และโครงการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล

ตามนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน (Stronger Together) ผลการปฏิบัติ 1 เดือน สร้างเครือข่ายภาคประชาชนทั่วประเทศแล้ว 74,463 คน และเร่งรัดแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนสำคัญเร่งด่วนให้ประชาชนทั่วประเทศเสร็จสิ้นแล้ว 631 เรื่อง

วันที่ 19 เมษายน 2565 พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ตามนโยบายรวมไทยสร้างชาติ และขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันของรัฐบาล ที่ให้ทุกส่วนราชการ ร่วมกับภาคประชาชน ร่วมกันพัฒนา และแก้ไขปัญหาในชุมชน สังคม และท้องถิ่น ตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาของประชาชนในทุกมิติ นั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ได้นำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ โดยจัดทำโครงการ “สร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล เพื่อสนับสนุนการป้องกันอาชญากรรม ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน (Stronger Together)” ให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล โดยมีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 36/2565 ลงวันที่ 31 มกราคม 2565 มอบหมายให้ตน เป็นหัวหน้าคณะทำงาน และมี พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นรองหัวหน้าคณะทำงาน โดยมีเป้าหมาย “เพื่อให้ชุมชน สังคมมีความสุขสงบเรียบร้อย ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีอาชีพมีรายได้ ส่งเสริมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว”

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เริ่มดำเนินโครงการแล้วในปี 2563 และ 2564 มีเครือข่ายประชาชนรวม 294,272 คน และในปี 2565 ได้อบรมเจ้าหน้าที่ตำรวจในสถานีตำรวจทั่วประเทศ
เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานเครือข่าย จำนวนกว่า 9,000 นาย และได้คัดเลือกผู้นำท้องถิ่น ผู้นำตามธรรมชาติ ในแต่ละสถานีตำรวจเพื่ออบรมทำหน้าที่เป็นเครือข่ายประชาชน 1,483 สถานี สถานีละ 50 คน รวมจำนวน 74,463 คน จากนั้นได้ทำการอบรมให้ความรู้ เพื่อทำหน้าที่ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจประสานงานเครือข่าย เพื่อสะท้อน ความต้องการ ปัญหา และหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกันในระดับชุมชุน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัด โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ประสานการปฏิบัติ ผ่านคณะกรรมการระดับ ตำบล อำเภอ และจังหวัด หากความต้องการและปัญหาใดเกินขีดความสามารถของจังหวัด ให้รายงานมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อรายงานให้รัฐบาลทราบต่อไป โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 เป็นต้นมา

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2565 ตนในฐานะหัวหน้าคณะทำงานฯ พร้อมกับ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้ช่วย ผบ.ตร./รองหัวหน้าคณะทำงานฯ ได้ประชุมเพื่อขับเคลื่อนและติดตาม ผลการปฏิบัติกับหน่วย บช.น., ภ.1 – 9 และ สถานีตำรวจ 1,483 แห่งทั่วประเทศ เพื่อรับทราบผลการปฏิบัติประจำเดือน มีนาคม 2565

โดยหน่วยได้รายงานปัญหาและความต้องการของประชาชน ใน 4 ประเภท จำนวนทั้งสิ้น 780 เรื่อง แบ่งเป็น
ปัญหาที่หน่วยดำเนินการแก้ไขเสร็จสิ้นแล้ว จำนวน 631 เรื่อง ได้แก่
1.ปัญหาด้านสังคม เช่น ยาเสพติด การแข่งรถในทาง การลักลอบเข้าเมือง กลุ่มผู้มีอิทธิพล แหล่งอบายมุข และสถานบริการ อาชญากรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์ ฯลฯ จำนวน 469 เรื่อง
2.ปัญหาด้านเศรษฐกิจ เช่น ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ การว่างงานและปัญหาหนี้สิน การขาดแคลน
ที่ทำกิน ฯลฯ จำนวน 22 เรื่อง
3.ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การขาดแคลนแหล่งน้ำ มลภาวะทางอากาศ ฝุ่นควันโรงงานอุตสาหกรรม ภัยแล้งและอุทกภัย ฯลฯ จำนวน 105 เรื่อง
4.ปัญหาด้านความขัดแย้ง เช่น ความเห็นต่างทางการเมือง ศาสนาและเชื้อชาติ ข้อพิพาทเรื่องที่ดินทำกินทับซ้อน การสร้างความเดือดร้อนรำคาญในรูปแบบต่าง ๆ ฯลฯ จำนวน 35 เรื่อง

ปัญหาที่หน่วยอยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไข จำนวน 147 เรื่อง

ปัญหาที่หน่วยแก้ไขปัญหาไม่ได้และรายงานมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 2 เรื่อง คือ ปัญหาด้านเศรษฐกิจ เรื่องราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ เช่น ข้าว สับปะรดและผลไม้ ในพื้นที่ จ.เชียงราย ซึ่งจะได้รายงานไปยังรัฐบาลเพื่อดำเนินการแก้ไขต่อไป

พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดชุมชนสัมพันธ์ทุกสถานีตำรวจทั่วประเทศ ให้เพิ่มความถี่ในการลงพื้นที่เพื่อประสานงานและรับทราบสภาพปัญหาและความต้องการของชุมชนและประชาชนให้มากขึ้น พร้อมทั้งเร่งรัดการแก้ไขปัญหาของคณะกรรมการในแต่ละระดับตั้งแต่ระดับท้องถิ่น อำเภอ และจังหวัด เพื่อตอบสนองความต้องการและแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชน เพื่อสนองนโยบายรวมไทยสร้างชาติ และขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันของรัฐบาลต่อไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ได้ปฏิบัติงานสนองนโยบายของรัฐบาล และเห็นถึงความสำคัญของประชาชนในการมีส่วนร่วมทำงาน แก้ไขปัญหาของสังคมร่วมกัน ข้าราชการตำรวจเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นองค์กรที่ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธาอย่างแท้จริง

25 ปี ม.หาดใหญ่ พัฒนาบัณฑิตคุณภาพ รับใช้สังคม

นับตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2540 ที่เป็นจุดก่อกำเนิดมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งแรกของภาคใต้ ด้วยความมุ่งมั่น และมีเจตจำนงค์อันแน่วแน่ของท่านอาจารย์ประณีต ดิษยะศริน ผู้ก่อตั้งและอุปนายกสภามหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ในการขยายโอกาสทางการศึกษาให้ถึงระดับปริญญาตรีผู้สนใจศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา โดยมีปรัชญา “รู้คิด รู้ธรรม รู้สำเร็จ” เน้นพัฒนาบัณฑิตคุณภาพออกรับใช้สังคมและประเทศชาติ
ท่านอาจารย์ประณีต ดิษยะศริน ผู้ก่อตั้งและอุปนายกสภามหาวิทยาลัยหาดใหญ่ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 25 ปี คณะผู้บริหารได้จริงจังในการบริหารมหาวิทยาลัย โดยเน้นเรื่องคุณภาพของนักศึกษาและเทคโนโลยีให้ทันสมัยกับโลกปัจจุบัน รวมทั้งการทำ MOU กับต่างประเทศ เช่น ประเทศจีน มาเลเซียและอินโดนีเชีย เป็นต้น โดยที่ผ่านมาบุคลากรและนักศึกษาได้รับรางวัลระดับประเทศอย่างมากมายใน ทุก ๆ ปี รวมทั้งมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ได้รับรางวัลโปร่งใสและมหาวิทยาลัยคุณธรรมอีกด้วย
“ขอขอบคุณ ขอบใจ ผู้บริหาร คณาจารย์ และนักศึกษาทุกคนที่ได้ช่วยกันสร้างมหาวิทยาลัยให้มีชื่อเสียง พร้อมทั้ง ขอขอบคุณท่านผู้ปกครอง ผู้สนับสนุน โดยผู้บริหารมหาวิทยาลัย มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ให้เจริญรุ่งเรืองตลอดไป เพื่อช่วยกันสร้างประเทศชาติของเรา” ท่านอาจารย์ประณีตกล่าว
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิทวัส ดิษยะศริน สัตยารักษ์ อธิการบดี กล่าวว่า มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ครบรอบ 25 ปีในปีนี้ ถือว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร และเริ่มเป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มที่ ปัจจุบันมีอาจารย์และบุคลากรที่มีความสามารถ มีนักศึกษาและบัณฑิตมีคุณภาพ มีหน้าที่การงานที่ดี ในระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา ชื่อเสียงของ ม.หาดใหญ่ เป็นที่รู้จักในระดับประเทศ หรือแม้แต่ในระดับอาเซียน เพราะเราได้มุ่งเน้นพัฒนามหาวิทยาลัยหาดใหญ่สู่ความเป็นนานาชาติ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในระยะอีกไม่กี่ปีข้างหน้า การพลิกโฉมมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ก็จะนำมาซึ่งความสำเร็จของมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ทั้งในด้านของบุคลากร และบัณฑิตที่จบไปเพื่อทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ รับใช้ชุมชนและสังคมต่อไป
ดร.ธารพรรษ สัตยารักษ์ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร กล่าวว่า ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา 25 ปีและทิศทางที่ชัดเจนในอนาคต รวมถึงพลังจากบุคลากร นักศึกษาและศิษย์เก่า จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการพัฒนามหาวิทยาลัย และสังคม ชุมชน ให้เติบโตไปพร้อมกัน
ปัจจุบันมหาวิทยาลัยหาดใหญ่เปิดสอนตั้งแต่ระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอก คือ ระดับปริญญาตรี 7 คณะได้แก่ คณะบริหารธุรกิจ คณะรัฐศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คณะศึกษาศาสตร์และศิลปศาสตร์ คณะนิเทศศาสตร์ และวิทยาลัยนานาชาติดิษยะศริน ระดับปริญญาโท 3 หลักสูตร ได้แก่ บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (M.B.A.) ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต (M.Ed.) การจัดการมหาบัณฑิต (M.M.) ระดับประกาศนียบัตร ได้แก่ หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู และระดับปริญญาเอก 2 หลักสูตร ได้แก่ ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (Ph.D.) และศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต (Ed.D.)
นอกจากนี้เนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปี มหาวิทยาลัยหาดใหญ่มีการกิจกรรมหลากหลายตลอดทั้งปี 2565 อาทิ การวิ่ง Virtual Run กับ Hatyai U App, ม.หาดใหญ่ ห่วงใย มอบถุง HU Care, การเปิดศูนย์การเรียนรู้เกษตรปลอดภัยและชันโรง, กิจกรรมการแข่งขันแผนการท่องเที่ยว, การบรรยายพิเศษ, กิจกรรมวาดภาพบนผนัง, มอบรางวัลให้ศิษย์เก่าดีเด่น, มะหาดคืนถิ่น, โครงการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning Platform) โดยติดตามกิจกรรมต่าง ๆ ได้ผ่านเว็บไซต์ http://www.hu.ac.th หรือ เฟซบุ๊กแฟนเพจ HatyaiUOfficial /////////////////////////////////

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

Design a site like this with WordPress.com
Get started