ตำรวจท่องเที่ยวเชิญทุกภาคส่วนบูรณาการแก้ปัญหาทัวร์ผี ไกด์เถื่อน

เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2566 เวลา 1700 น. ณ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช ทท ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา โฆษกกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวแจ้งต่อสื่อมวลชนว่า

ในวันเดียวกัน เวลา 13:30 น. ณ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว พล.ต.ท.สุคุณฯ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวพร้อมด้วยคณะผู้บริหารของกองบัญชาการฯ ได้เชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยทั้งหมดทั้งภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ ผู้แทนจากสำนักงานตำรวจคนเข้าเมือง กรมการท่องเที่ยว กรมการจัดหางานของกระทรวงแรงงาน กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กรมสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย – จีน ชมรมมัคคุเทศก์ภาษาจีนกลางแห่งประเทศไทย ชมรมมัคคุเทศก์เพื่อนักท่องเที่ยวเกาหลี ชมรมมัคคุเทศก์เพื่อนักท่องเที่ยวเวียดนาม สมาคมมัคคุเทศก์ไทย เข้าร่วมประชุมหารืออย่างใกล้ชิดเพื่อรับฟังปัญหาหาที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและแนวทางแก้ไข รวมไปถึงการที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับการท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้นในอนาคต

พล.ต.ต.อภิชาติฯ กล่าวว่า การประชุมหารือดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้แทนทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้นำเสนอปัญหาพร้อมแนวทางแก้ไขอย่างจริงใจ ซึ่งผลการประชุมหารือสรุปได้ดังนี้

  1. ทุกฝ่ายเห็นร่วมกันว่า ที่ประชุมวันนี้มีเป้าหมายที่ต้องทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยมีความโปร่งใส มีการพัฒนาการที่ยั่งยืน และจับต้องได้ ซึ่งหน่วยงานใดเพียงหน่วยงานหนึ่งไม่สามารถแก้ไขพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพได้
  2. การไปสู่เป้าหมายดังกล่าวตามข้อ 1 นั้น ที่ประชุมเห็นร่วมกันว่าจะดำเนินการด้วยมาตรการระยะสั้นและมาตรการระยะยาวดังนี้
    2.1 สำหรับมาตรการระยะสั้น 1. ทุกหน่วยต้องจริงใจในการแก้ไขปัญหาและตอบสนองปัญหาอย่างรวดเร็ว 2. กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวรวมไปถึงหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพให้มากขึ้น 3. ต้องมีการทำงานแบบบูรณาการกันทุกหน่วยทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน และ 4. ต้องมีการประชาสัมพันธ์ที่เป็นรูปธรรมและเชิงรุกในทุกรูปแบบ
    2.2 ส่วนมาตรการระยะยาวนั้น ประกอบด้วย 1. ต้องร่วมกันผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายในบางส่วนหรือให้มีกฎระเบียบที่เหมาะสมในการทำงานมากขึ้น ทั้งนี้ ต้องอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ของประเทศชาติและคนไทย 2. ต้องผลักดันให้มีการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานของมัคคุเทศก์ซึ่งมีประสิทธิภาพดีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และที่สำคัญ ให้มีจำนวนเพียงพอกับอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต

พล.ต.ต.อภิชาติฯ โฆษกตำรวจท่องเที่ยวกล่าวอีกว่า การประชุมในลักษณะนี้จะไม่เกิดขึ้นเพียงครั้งนี้ครั้งเดียว เพราะมาตรการในแต่ละข้อนั้น จะต้องมีการประชุมย่อยระหว่าง บชทท และหน่วยงานเฉพาะอีกเพื่อนำไปสู่การดำเนินการที่เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

สุดท้าย โฆษกตำรวจท่องเที่ยวยืนยันว่า กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวมีความตั้งใจอย่างสูงยิ่งที่จะทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยในทุกภาคส่วนปลอดภัย โปร่งใส มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้นในเวทีโลก ที่สำคัญที่สุด พร้อมที่จะทำงานแบบบูรณาการควบคู่ไปกับหน่วยงานอื่นทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อให้เกิดผลการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมชัดเจนและรวดเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม อาจจะมีบางมาตรการที่อาจต้องใช้เวลาขับเคลื่อนบ้าง แต่ก็ร่วมกันเร่งพยายามผลักดันให้เกิดผลขึ้นโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ

นอกจากนี้ โฆษกตำรวจท่องเที่ยวยังได้กล่าวเชิญชวนประชาชนทุกภาคส่วนร่วมกันให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ โดยหากพบความผิดปกติด้านการท่องเที่ยวไม่ว่าจะรูปแบบใด หรือมีข้อแนะนำใดที่จะนำไปสู่ประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวไทยในภาพรวมแล้ว สามารถโทรให้ข้อมูลได้ที่หมายเลขโทรศัพท์สายด่วน 1155 ซึ่งตำรวจท่องเที่ยวจะขอเป็นศูนย์กลางนำข้อมูลที่ได้ไปร่วมหารือกับหน่วยงานทุกภาคส่วนเพื่อนำไปสู่การแก้ไขและมาตรการที่เหมาะสมต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รอง ผบ.ตร. พร้อมคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจข้าราชการตำรวจในสังกัด สภ.ชุมตาบง และ สภ.ห้วยคต

วันนี้ (16 มิ.ย.66) เวลา 14.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจข้าราชการตำรวจในสังกัดสถานีตำรวจภูธรชุมตาบง จังหวัดนครสวรรค์ โดยมี พล.ต.ต.ชาญวิทย์ กนกมาก ผบก.ภ.จว.นครสวรรค์ พ.ต.อ.อธิพงษ์ วุฒิวิวัฒน์นนกุล ผกก.สภ.ชุมตาบง พร้อมข้าราชการตำรวจในสังกัดให้การต้อนรับ
โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้มอบนโยบายการปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชน และกำชับ ให้การดูแลเฝ้าระวังการป้องกันประชาชนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ให้บริการประชาชน โดยยึดเอาประชาชนเป็นศูนย์กลางในการทำงาน การดูแลความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกด้านจราจร ให้กับพี่น้องประชาชน การดูแลเอาใจใส่ผู้ใต้บังคับบัญชา หากมีปัญหาให้เข้าไปช่วยแก้ไขปัญหา

ต่อมา เวลาประมาณ 16.30 น.พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ฯ จึงได้เดินทางไปตรวจเยี่ยม สภ.ห้วยคต จ.อุทัยธานี โดยมี พล.ต.ต.สุเมฆ บวรเศวตฉัตร ผบก.ภ.จว.อุทัยธานี พ.ต.ท.สุริยัน ศุทธินีติกรกุล รรท.ผกก.สภ.ห้วยคต พร้อมข้าราชการตำรวจในสังกัดให้การต้อนรับ โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้กำชับให้ผู้บังคับบัญชาดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชา ให้มีความปลอดภัยและเป็นไปตามหลักยุทธวิธี ศึกษาข้อกฎหมายให้ละเอียดอยู่เสมอ รวมทั้งขอให้มีจิตใจสาธารณะ มีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่รับใช้ประชาชนด้วยความมุ่งมั่น และรักษาความสงบสุขของประชาชน

บิ๊กโอ๋ ผบช.ภ.7 ตรวจเยี่ยมและขับเคลื่อนการยกระดับการบริการประชาชน

พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7 ตรวจเยี่ยมและขับเคลื่อนการยกระดับการบริการประชาชนของสถานีตำรวจ ตามนโยบายของ ผบ.ตร. ณ สภ.ท่าไม้รวก ภ.จว.เพชรบุรี โดยในการนี้ได้มอบสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อบำรุงขวัญและกำลังใจแก่ข้าราชการตำรวจ สภ.ท่าไม้รวก

ณ สภ.ท่าไม้รวก ต.ท่าไม้รวก อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี

พล.ต.ต.พันธนะ รอง ผบช.สตม./หน.ชุด ศปอส.ตร. พร้อมคณะร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหา2คดีสำคัญ

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม./หน.ชุด ศปอส.ตร. ชุดที่ 1, พล.ต.ต.ศุภณัฎฐ์ เจริญเรืองสกุล ผบก.ตม.5, พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สราวุธ คนใหญ่ รอง ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.อภิมุข กานตยากร รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.ศท.ตม.ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.สรธรรศจ์ เอี่ยมละออ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงษ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.โชติกานต์ คงรอด ผกก.(สอบสวน) บก.สส.บช.น. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

คดีที่ 1

บก.ตม.5 จับหนุ่มแดนมังกร หลอกลวงคนไทยลงทุนไฮบริดสแกม เสียหาย 140 ล้านบาท
บก.ตม.5 จับกุมนายจาง (นามสมมุติ) สัญชาติจีน อายุ 37 ปี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ในข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, ซ่องโจร ความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 และความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 พร้อมด้วยของกลาง บัตรประจำตัวประชาชนของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน หนังสือเดินทาง และโทรศัพท์ ส่งพนักงานสอบสวน สน.บางเขน ดำเนินการตามกฎหมาย
พฤติการณ์จับกุม สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้สั่งการให้ กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5 ติดตามจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ซึ่งร่วมกันก่อเหตุหลอกลวงประชาชน โดยคนร้ายได้ใช้เครือข่ายเฟซบุ๊ก และไลน์ ก่อเหตุหลอกลวงประชาชนในลักษณะหลอกลงทุนไฮบริดสแกม ซึ่งกระทำการเป็นเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งที่ 3/2566 ให้สืบสวนขยายผลในคดีอาญาที่ 1471/2565 ของ สน.บางเขน กรณี นายสุธี ผู้เสียหาย แจ้งความร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับกลุ่มคนร้ายซึ่งร่วมกันก่อเหตุหลอกลวงให้ลงทุนไฮบริดสแกม ทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวนกว่า 140 ล้านบาท และมีการทำเป็นเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ
จากการตรวจสอบในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่านายจาง ผู้ต้องหาตามหมายจับ ได้เดินทางเข้ามาและอยู่ในประเทศไทย เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ทำการสืบสวนติดตามตัว จนกระทั่งเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2566 พบผู้ต้องหากำลังจะเดินทางออกนอกราชอาณาจักรฯ ที่บริเวณด่านผ่านแดนบ้านสบรวก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้แสดงตัวเข้าจับกุม เบื้องต้นนายจาง ให้การรับสารภาพว่าได้หลอกลวงผู้เสียหายจริง โดยนายจาง ผู้ต้องหา รับผิดชอบเป็นเจ้าของกระเป๋าเงินดิจิตอลต้นทาง ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้หลอกลวงให้ผู้เสียหายโอนเงินสด ซื้อเหรียญดิจิทัล ก่อนที่กลุ่มเครือข่ายของคนร้ายจะโยกย้ายเหรียญจากกระเป๋าเงินดิจิตอลดังกล่าวออกไป

คดีที่2

บก.สส.สตม. รวบหนุ่มจีนหัวใสพร้อมแฟนสาวปลอมรอยตราประทับวีซ่า และเอกสารราชการ หลอกเพื่อนร่วมชาติเพียบ
กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้ทำการสืบสวนกรณีมีผู้ต้องหาจำนวน 2 ราย มีพฤติกรรมในการรับทำการขออยู่ต่อในราชอาณาจักรไทยปลอม ซึ่งทางกองบังคับการสืบสวนสอบสวนได้ทำการออกหมายจับ ดังนี้

MR.DING หรือ นายติง (นามสมมุติ) สัญชาติจีน อายุ 32 ปี

นางสาวกุลธิดา ขอสงวนนามสกุล สัญชาติไทย อายุ 27 ปี
ซึ่งทั้งสองเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ในข้อหา ร่วมกันปลอมขึ้นซึ่งดวงตราหรือรอยตราของทบวงการเมือง ขององค์การสาธารณะ หรือของเจ้าพนักงาน,ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในหนังสือเดินทางโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
พฤติการณ์จับกุม เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กก.4 บก.สส.สตม. ได้รับการร้องเรียนว่ามีบุคคลที่อ้างว่าสามารถทำการขออนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักรได้ แต่เมื่อส่งหนังสือเดินทางไปให้ทำ ปรากฏว่ารอยตราประทับการอนุญาตขออยู่ต่อเป็นรอยตราประทับและวีซ่าปลอม จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานและทำการออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งสองราย และได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า ผู้ต้องหาทั้งสองรายพักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ย่านมีนบุรี กรุงเทพฯ ทางเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้ทำการขออนุมัติหมายค้นต่อศาลอาญามีนบุรี เพื่อเข้าทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบบุคคลทั้งสองราย ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลอาญา และยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการตรวจค้ที่พักอาศัยพบหนังสือเดินทางของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 64 เล่ม (มีการประทับรอยตราและวีซ่าปลอม) ตราประทับรอยตราวีซ่าและสำหรับรับรองเอกสารราชการปลอม จำนวน 41 ชิ้น โทรศัพท์มือถือ หลายรายการ จากนั้นจึงได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
โดยพฤติการณ์ของผู้ต้องหาทั้งสองราย จะทำการโฆษณาเชิญชวนลูกค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ว่าเป็นบริษัทในการรับต่อวีซ่า จากนั้นจะมีบุคคลต่างชาติหลงเชื่อและยินยอมส่งมอบหนังสือเดินทางมาให้เพื่อไปทำการขออนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักร โดยจะคิดค่าบริการเล่มละ 70,000 บาท ต่อมาเมื่อผู้ต้องหาได้รับหนังสือเดินทางมาแล้วจะนำมาประทับรอยตราและวีซ่าปลอม จากนั้นจะทำการถ่ายภาพยืนยันว่ามีการประทับตราแล้วส่งคืนให้กับเจ้าของหนังสือเดินทาง ซึ่งหากเจ้าของหนังสือเดินทางคนใดทราบว่าเป็นตราปลอม จะถูกข่มขู่และเรียกรับเงินเพื่อเป็นค่าไถ่ในการคืนหนังสือเดินทาง เล่มละ 200,000 บาท จากการตรวจสอบพบว่ามีการส่งหนังสือเดินทางมาให้ทำมากกว่า 80 เล่ม และพบการปลอมรอยตราและวีซ่าของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดขอนแก่น ลำพูน บุรีรัมย์ และตราประทับเพื่อรับรองเอกสารราชการของสถานทูตหลายประเทศ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ แถลงความคืบหน้าการดำเนินคดีขายปันส่วนสัตว์น้ำดำเนินคดีเจ้าหน้าที่รัฐ-พลเรือนร่วมทุจริตรวม 7 ราย

จากกรณีที่ผู้แทนสหภาพยุโรป ได้ดำเนินการประเมินมาตรการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานในภาคประมงของประเทศไทย และได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกรณีตรวจพบเรือประมงซึ่งมีพฤติการณ์ในการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) ไว้ได้นำเข้าปลาที่ได้จากการทำประมงผิดกฎหมายมาจำหน่ายที่ประเทศไทย และถูกกรมศุลกากรตรวจยึดและดำเนินการขายปันส่วนเมื่อปี 2562 นั้น เป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามขั้นตอนหรือไม่ ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) ได้รับทราบปัญหาดังกล่าวเพื่อดำเนินการตรวจสอบและแจ้งผลให้ทราบ

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้ เจ้าหน้าที่สืบสวนชุดเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายในภาคประมง เข้าตรวจสอบการดำเนินการเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวโดยละเอียด โดยให้ไล่ตรวจสอบตามลำดับเวลาการปฏิบัติแต่ละขั้นตอนโดยละเอียด และทำความจริงให้กระจ่างโดยเร็ว หากพบการกระทำผิดให้ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด

พฤติการณ์กล่าวคือ เมื่อวันที่ 1 ต.ค.62 กรมศุลกากรได้มีการตรวจยึดปลาแช่แข็งนำเข้าจำนวน 7 ตู้ ซึ่งนำเข้ามาเพื่อจำหน่ายในประเทศไทย ผ่านท่าเรือศุลกากรพระสมุทรเจดีย์ 1 ตู้ น้ำหนัก 26 ตัน และสำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพจำนวน 6 ตู้ น้ำหนัก 147 ตัน โดยเป็นปลาที่ได้มาจากเรือประมงที่มีพฤติการณ์ต้องสงสัยในการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) ซึ่งกรมศุลกากรได้สั่งให้ผู้นำเข้าปลาดังกล่าวมาดำเนินพิธีการขาเข้า แต่ทำไม่ได้เพราะผู้นำเข้าไม่สามารถขอใบอนุญาตนำเข้าสัตว์น้ำจากกรมประมงได้ เนื่องจากปลาดังกล่าวได้มาจากเรือ WADANI 2 ซึ่งไปทำการประมงที่น่านน้ำประเทศโซมาเลีย แต่ทางรัฐบาลโซมาเลียไม่ยืนยันเอกสารรับรองแหล่งที่มาสัตว์น้ำดังกล่าว เนื่องจากเรือประมงลำดังกล่าวมีพฤติการณ์ในการชักธงเรือ 2 สัญชาติ ทำให้ต้องสงสัยว่าจะมีการทำประมงโดยผิดกฎหมาย ต่อมาเมื่อวันที่ 7 พ.ย.62 กรมศุลกากรจึงได้ดำเนินการขายปันส่วนปลาแช่แข็งดังกล่าวไปทั้งหมด

ต่อมาช่วงเดือน พ.ค.63 ก่อนการประชุมร่วมกับสหภาพยุโรปเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานในภาคประมงของประเทศไทย สหภาพยุโรปได้มีการตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า ปลาแช่แข็งซึ่งต้องสงสัยว่าได้มาจากการทำประมงผิดกฎหมาย และได้ดำเนินการขายปันส่วนออกไปนั้น ดำเนินการอย่างถูกต้องตามขั้นตอนหรือไม่ ดังนั้น กรมประมงจึงได้สอบถามข้อมูลการดำเนินการจากกรมศุลกากร กรมศุลกากรจึงได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการดำเนินการในการขายปันส่วน และสรุปผลการตรวจสอบเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.63 โดยเสนอให้มีการลงโทษ นายกีรติ หัวหน้าฝ่ายของกลางและของตกค้าง กรมศุลกากร กรณีผิดวินัยไม่ร้ายแรงจากการไม่ดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้อง และรายงานผลการตรวจสอบดังกล่าวให้คณะอนุกรรมการตรวจสอบและติดตามการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาการทำประมงและแรงงานในภาคประมง (อ.2) พิจารณา พร้อมรายชื่อผู้ซื้อปันส่วนจำนวน 98 ราย

ต่อมาเมื่อวันที่ 25 ม.ค.65 หลังจากคณะอนุกรรมการ อ.2 ได้ตรวจสอบตามรายงานที่ได้จากกรมศุลกากรแล้ว ได้มีการส่งประเด็นให้กรมศุลกากรตรวจสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายชื่อผู้ซื้อปันส่วนทั้ง 98 รายและขั้นตอนการปันส่วน เนื่องจากพบว่า มีบางรายชื่อที่ถูกกล่าวอ้างแต่ไม่ได้มีการลงชื่อปันส่วนจริง กรมศุลกากรจึงมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง แต่การตรวจสอบในครั้งนี้กลับไม่นำเอาผลการตรวจพบรายชื่อที่ไม่ได้ลงชื่อปันส่วนมาตรวจสอบด้วย และเร่งสรุปผลกลับมายังคณะอนุกรรมการ อ.2 ในวันที่ 8 มิ.ย.65 โดยเสนอให้มีการลงทัณฑ์ภาคทัณฑ์ นายกีรติฯ เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าคณะทำงานเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ควบคุม และเฝ้าระวังการทำประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ในขณะนั้น หลังได้รับทราบเรื่องดังกล่าว จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายในภาคประมง ดำเนินการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว จากการสืบสวนพบว่า หลังจากที่กรมศุลกากรได้อนุมัติให้มีการขายปันส่วนปลาแช่แข็งทั้งหมด 7 ตู้นั้น ได้ดำเนินการขายปันส่วนตามขั้นตอนจริงจำนวน 1 ตู้ ซึ่งดำเนินการโดยด่านศุลกากรพระสมุทรเจดีย์ ในส่วนอีก 6 ตู้ ที่ถูกตรวจยึดที่สำนักศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ รวมน้ำหนัก 147 ตันนั้น ก่อนจะมีการเปิดตู้คอนเทนเนอร์เพื่อขายปันส่วนปลาดังกล่าวในวันที่ 7 พ.ย.62 นั้น ได้มีการเจรจาแบ่งผลประโยชน์กันหลายฝ่าย โดยได้มีวางแผนการถ่ายภาพจัดฉากให้เสมือนว่า มีการจำหน่ายปันส่วนจริงจำนวน 15 ตัน ให้กับนายบุญมา ผอ.ศุลกากรท่าเรือกรุงเทพฯในขณะนั้น จำนวน 10 ตัน และนายกีรติฯ จำนวน 5 ตัน แต่กลับไม่มีการจ่ายเงินแต่อย่างใด

นอกจากนี้ในส่วนของปลาแช่แข็งที่เหลืออีก 132 ตันนั้น ได้มีการจัดหาผู้เหมาซื้อปลาแช่แข็งดังกล่าวเพียงรายเดียวคือ น.ส.ชญาภรณ์ เอเย่นรับซื้อขายปลา เพื่อจำหน่ายปลาให้แต่เพียงเจ้าเดียวทั้งหมด และได้จัดทำรายชื่อผู้ขอซื้อปันส่วนปลาจำนวน 98 รายขึ้นมาเพื่อใช้ประกอบให้ครบกระบวนการ โดยน.ส.ชญาภรณ์ฯ ได้นำเงินมาชำระค่าปลาแช่แข็งเพื่อเข้าตามระบบจำนวน 1.859 ล้านบาท และมีการมอบเงินให้กับนายกีรติฯ ส่วนตัวอีก 871,000 บาท จากนั้นจึงรับปลาแช่แข็งดังกล่าวไปจำหน่ายให้กับลูกค้าทั่วไปจนหมด
นอกจากนี้ จากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่า ในช่วงที่มีการตั้งกรรมการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวของกรมศุลกากร พบว่ามีเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ มีพฤติการณ์เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อช่วยเหลือให้นายกีรติฯ รับโทษทางวินัยน้อยลงจากพฤติการณ์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมด นำเสนอผู้บังคับบัญชาทราบ และได้มอบหมายให้ชุดปฏิบัติการคณะทำงานฯ ร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรที่เป็นผู้ตรวจสอบกรณีของนายกีรติฯ ที่ สน.ท่าเรือ แต่เนื่องจากคดีดังกล่าวเป็นคดีสำคัญและมีความเกี่ยวข้องกับการทำประมงผิดกฎหมายซึ่งเป็นนโยบายสำคัญระดับชาติ จึงได้มีการแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อรับผิดชอบคดีดังกล่าว โดยได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหารวมทั้งสิ้น 7 ราย ประกอบด้วย

  1. นายกีรติ หัวหน้าฝ่ายของกลางและของตกค้างฯ ทำหน้าที่หัวหน้าการขายปันส่วนสัตว์น้ำ
  2. น.ส.สุดารัตน์ กรรมการขายปันส่วนสัตว์น้ำ
  3. น.ส.ปานวาด กรรมการขายปันส่วนสัตว์น้ำ
    ดำเนินคดีในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของงตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
  4. น.ส.ชญากรณ์ เป็นผู้สนับสนุนการทุจริตขายปันส่วนโดยการเหมาซื้อโดยผิดขั้นตอน
  5. นายบุญมา ผอ.สง.ศุลกากรท่าเรือกรุงเทพฯ/เป็นผู้รับซื้อปลาแต่ไม่ชำระเงินเข้าระบบ
    ดำเนินคดีในความผิดฐาน เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของงตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย และสนับสนุนการกระทำผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
  6. นางนฤมล นิติกรชำนาญการพิเศษ กรมศุลกากร/ผู้ตรวจสอบนายกีรติฯ
  7. นายรัฐกรณ์ นิติกร กรมศุลกากร/ผู้ตรวจสอบนายกีรติฯ
    ดำเนินคดีในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีที่ทางสหภาพยุโรปให้ความสนใจเป็นอย่างมากเกี่ยวกับการดำเนินการจัดการบังคับใช้กฎหมายในคดีดังกล่าว เนื่องจากเป็นสัตว์น้ำที่มาจากเรือประมงต้องสงสัยที่มีพฤติการณ์ชักธงเรือ 2 สัญชาติ นับเป็นการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) ดังนั้นทางการสหภาพยุโรปจึงให้ความสนใจกับการดำเนินการของประเทศไทยในกรณีดังกล่าว จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนตรวจสอบกรณีดังกล่าวอย่างละเอียดจนพบว่า การขายปันส่วนสัตว์น้ำดำเนินการโดยทุจริตโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ต่อมาภายหลังแม้มีการตั้งกรรมการตรวจสอบการดำเนินการดังกล่าว ก็ยังได้รับความช่วยเหลือจากกรรมการเพื่อมิให้นำเรื่องดังกล่าวมาพิจารณา ดังนั้นเมื่อตรวจพบการกระทำผิดดังกล่าว จึงให้ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดโดยเด็ดขาด เพื่อให้เป็นมาตรฐานในการดำเนินคดีลักษณะดังกล่าว และส่งสัญญาณให้นานาชาติเห็นว่า ประเทศไทยไม่สนับสนุนการทำประมงผิดกฎหมายในทุกกรณี และขอประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชน หากมีเบาะแสหรือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทุจริตในคดีนี้ สามารถแจ้งข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่ผ่านหมายเลข 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

พล.ต.ท.ธนายุตม์ ผบช.ภ.7 รับมอบสิ่งของ เพื่อนำไปแจกจ่าย ให้กับข้าราชการตำรวจ สังกัดตำรวจภูธรภาค 7

วันนี้(วันพุธ ที่ 14 มิ.ย. 66) เวลา 14.00 น.

พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์
ผบช.ภ.7

พร้อมด้วย
พล.ต.ต.กฤษณะ สุขสมบูรณ์
ผบก.อก.ภ.7
พล.ต.ต.ไชยา สงวนจีน
ผทค.ตร. รรท.รอง ผบก.อก.ภ.7
พ.ต.อ.พรชัย จันทนะภาพ
ผกก.ฝอ.1 บก.อก.ภ.7
พ.ต.อ.ตุลย์ สุนทรวิภาต
ผกก.ฝอ.2 บก.อก.ภ.7
พ.ต.อ.สมศักดิ์ อนันตผล
ผกก.ฝอ.3 บก.อก.ภ.7
พ.ต.อ.สายพิณ รอดหงส์ทอง
ผกก.ฝอ.4 บก.อก.ภ.7
พ.ต.อ.หญิง กนกวรรณ แสงวิรัช ผกก.ฝอ.6 บก.อก.ภ.7

รับมอบของจาก
คุณชนะ เหล่าวีระกุล
ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจขนส่งในประเทศและต่างประเทศ เครือเจริญโภคภัณฑ์

โดยมี

  1. ข้าวสารตราฉัตร 1 กก. จำนวน 300 ถุง
  2. น้ำดื่ม ซี.พี. จำนวน 1,200 ขวด

เพื่อนำไปแจกจ่าย ให้กับข้าราชการตำรวจ สังกัดตำรวจภูธรภาค 7 พนักงาน ลูกจ้าง และครอบครัว เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป

ณ อาคารตำรวจภูธรภาค 7 ถ.ข้างวัง ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม

ตำรวจ ปส.(NSB) ทลายเครือข่ายยาเสพติดผ่านระบบขนส่งทางพัสดุรายใหญ่ ยึดไอซ์ได้กว่า 350 กก. มูลค่ามหาศาลและสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดได้ 4 เครือข่ายเป็นยาบ้ากว่า 12 ล้านเม็ด ไอซ์ 300 กก. คีตามีน 30 กก. ก่อนแพร่กระจายภายในประเทศ และส่งผ่านต่อไปต่างประเทศ

เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.66 เวลาประมาณ 10.00 น. พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส., พล.ต.ต.สมกิต พุ่มวารี ผบก.ขส., พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3 พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และ กอ.รมน. ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดตามนโยบาย ตร. ประกอบกับการเดินหน้าทำลายเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่และรายย่อยตามนโยบายเร่งด่วนของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. อย่างเข้มข้น ล่าสุดตำรวจ ปส.(NSB) สามารถทลาย 4 เครือข่าย ผู้ต้องหา 11 คน พร้อมของกลางไอซ์ 650 กก., ยาบ้า 12 ล้านเม็ด และคีตามีน 30 กก.

คดีที่ 1 เมื่อวันที่ 25 พ.ค.66 เวลาประมาณ 17.15 น. ตำรวจ ปส.3 จับกุม 3 ผู้ต้องหาคือ นายกฤษณ์, นายยิ่งยศ และนายบุญเลิศ หลังได้สืบสวนติดตามกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดซึ่งใช้วิธีการส่งพัสดุไปกับบริษัทขนส่งเอกชน กระทั่งทราบว่าจะมีการส่งยาเสพติดทางพัสดุจำนวนมากอีกครั้ง ตำรวจ ปส.3 จึงได้สืบสวนจับกุม โดยทราบว่า นายบุญเลิศ ได้นำยาเสพติดส่งพัสดุและระบุให้รถขนส่งนำยาเสพติดไปวางไว้หน้าบ้านเลขที่ 316 ซึ่งเป็นบ้านร้าง ภายในซอยอ่อนนุช 70/1 แยก 2 ต่อมาได้มีนายกฤษณ์ ได้ขับรถกระบะมาหยิบกล่องพัสดุทั้งหมดขึ้นใส่ท้ายรถ ส่วนนายยิ่งยศ เพื่อนร่วมแก๊งค์ ได้ขี่รถจักรยานยนต์วนเวียนคอยคุ้มกัน ก่อนจะขับรถตามกันออกไป ตำรวจ ปส.3 จึงนำกำลังเข้าสกัดจับกุมนายกฤษณ์ และนายยิ่งยศ ได้ที่บริเวณถนนในซอยสุภาพงษ์ 3 แยก 8 ลานจอดรถข้างโรงแรมเดอะสปริง ต่อเนื่องบริเวณทางเข้าออกจากสันติภาพลานจอดรถซอยสุภาพงษ์ 3 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพฯ ตรวจสอบพบ ไอซ์ซุกซ่อนในซองสีน้ำตาลห่อละประมาณ 20 กก. จำนวน 20 ห่อ น้ำหนักรวม 350 กิโลกรัม นอกจากนี้ยังตรวจยึดรถตู้ทึบที่ใช้ลำเลียงไอซ์มาส่งพัสดุ 1 คัน, รถกระบะ 1 คัน และรถจักรยานยนต์ 1 คัน จากนั้น ได้ติดตามจับกุมนายบุญเลิศ ได้ที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดยได้นำผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน ปส.3 ดำเนินคดีและขยายผลจับกุมผู้ร่วมขบวนการต่อไป

คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 25 พ.ค.66 ตำรวจ ปส.3 ร่วมกับหน่วย AITF ประกอบด้วย ป.ป.ส., ศุลกากร และ ศรภ. จับกุมผู้ต้องหาชาวเวียดนาม คือ นายฟาน ทัน กวิ๊ และนายโฮ ตรุง เงียน โดยตำรวจ ปส.3 สืบสวนทราบว่าผู้ต้องหาทั้งสอง เป็นผู้ว่าจ้างรถตู้รับจ้างให้ไปส่งที่โรงแรม ในซอยสุขุมวิท 24 จึงได้ติดตามและพบว่าทิ้งกล่องลังไม้บรรจุยาเสพติดไว้ที่โรงแรมดังกล่าว จึงเชื่อว่าอาจมีสิ่งผิดกฎหมายซุกซ่อนอยู่ ต่อมาตรวจสอบพบคีตามีนซุกซ่อนในโมเดลตุ๊กตา น้ำหนัก 29 กก. ซึ่งผู้ต้องหารับว่า เป็นยาเสพติดที่เตรียมจัดส่งไปต่างประเทศ และพบคีตามีน 143 กรัมและ เอ็กซ์ตาซี่ 150 กรัม พร้อมตรวจยึดเงินสด 51,000 บาท และสินค้าแบรนด์เนมกว่า 700,000 บาท จึงจับกุมผู้ต้องพร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน ปส.3 ดำเนินคดีและขยายผลจับกุมผู้ร่วมขบวนการต่อไป

คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.66 เวลาประมาณ 13.40 น. ตำรวจ ปส. บก.สกส. ร่วมกับ บก.ขส. ร่วมจับกุมตัว นายชิตวร และนายพงษ์ศรี พร้อมยาเสพติดไอซ์ 300 กก.และยาบ้า 1,000,000 เม็ด ได้ที่บริเวณแยกเขาทราย ต.เขาทราย อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร หลังสืบทราบว่าเครือข่ายนี้จะลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากจากพื้นที่ทางภาคเหนือ จะมาส่งมอบให้กับลูกค้าอีกทอดหนึ่งในพื้นที่ จ.สระบุรี จึงวางแผนจับกุม โดยเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.66 เวลาประมาณ 13.40 น. ตำรวจ บก.สกส. ได้วางกำลังตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร ได้พบรถกระบะโตโยต้า หมายเลขทะเบียน 2ฒช 24xx กทม. และรถกระบะอีซูซุ หมายเลขทะเบียน บม 10xx สุโขทัย ขับขี่ไปถึงแยกเขาทราย ต.เขาทราย อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร มีพฤติการณ์น่าสงสัยและลักษณะตรงกับข้อมูลที่ได้รับ จึงแสดงตัวเข้าจับกุม จากการตรวจสอบรถกระบะอีซูซุ หมายเลขทะเบียน บม 10xx สุโขทัย ซึ่งมีนายชิตวร เป็นผู้ขับขี่ พบยาเสพติดไอซ์น้ำหนัก 300 กก. ซุกซ่อนอยู่ที่ท้ายกระบะ ซึ่งมีผ้าใบสีดําคลุมปดทับไว้และตรวจค้นพบยาบ้า จํานวน 1,000,000 เม็ด ซุกซ่อนบริเวณ ที่นั่งผู้โดยสารด้านหลังคนขับของรถยนต์คันดังกล่าว และจับกุมนายพงษ์ศรี ซึ่งขับขี่รถกระบะโตโยต้า หมายเลขทะเบียน 2ฒช 24xx กทม. ทำหน้าที่รถนําทางและสํารวจเส้นทาง จากนั้นได้ติดตามไปตรวจยึด รถกระบะมิตซูบิชิ หมายเลขทะเบียน บล 40xx พระนครศรีอยุธยา ซึ่งนายแย้ง (หลบหนี) ผู้ร่วมขบวนการยาเสพติด ได้จอดรถทิ้งไว้ ที่บริเวณริมถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 225 ต.วังบ่อ อ.หนองบัว จว.นครสวรรค์ ตำรวจ บก.สกส. จึงจับกุมผู้ต้องหา พร้อมตรวจยึดของกลางส่งพนักงานสอบสวน บก.ปส.3 ดําเนินคดี ติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่หลบหนีและบุคคลในเครือข่ายนี้ต่อไป

คดีที่ 4 สืบเนื่องจากตำรวจ ปส.2 ได้จับกุมยาเสพติด ในพื้นที่ อ.เมือง จ.อ่างทอง จากนั้นได้สืบสวนขยายผล จนทราบว่าวันที่ 7 มิ.ย.66 เครือข่ายนี้จะนำยาเสพติดจำนวนมากไปส่งที่ จ.สระบุรี โดยมีนายบุญครอง และน.ส.ธิดา ซึ่งเป็นสามีภรรยา ได้ใช้รถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุสีบรอนซ์ ทะเบียน บจ 49xx บึงกาฬ ซุกซ่อนยาเสพติดที่กระบะท้ายบรรทุกยาบ้า จำนวน 19 กระสอบ มีการอำพรางโดยติดคอกเหล็กที่กระบะหลัง ในลักษณะที่ให้เห็นว่าเป็นการบรรทุกสิ่งของทั่วไป แล้วคลุมด้วยผ้ากันฝนและปกคลุมผ้าสแลนสีดำอีกชั้นหนึ่ง โดยขนยาเสพติดจาก อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร เพื่อนำไปเก็บไว้ที่บ้านเช่าแห่งหนึ่งใน อ.หนองแค จ.สระบุรี เพื่อรอส่งให้ลูกค้า โดยมี น.ส.บุหลัน และนายมะณูน ใช้รถยนต์หมายเลขทะเบียน บธ 31xx นครพนม ทำหน้าที่สำรวจเส้นทางจาก อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร ตำรวจ ปส.2 ได้สืบสวนติดตามรถทั้ง 2 คัน โดยตลอด จนกระทั่งเวลาประมาณ 10.45 น. ของวันที่ 7 มิ.ย.66 พบว่ารถคันหมายเลขทะเบียน บจ 49xx บึงกาฬ ซึ่งบรรทุกยาเสพติด มีนายบุญครอง เป็นผู้ขับขี่ และน.ส.ธิดา นั่งไปด้วย ได้เลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันบางจาก ต.ขนงพระ อ.ปางช่อง จ.นครราชสีมา จึงได้แสดงตัวจับกุม จากการตรวจค้นพบยาบ้า 19 กระสอบ จำนวน 10,000,000 ล้านเม็ด ในรถคันดังกล่าว ขณะเดียวกันตำรวจ ปส.2 อีกชุด ซึ่งติดตามรถคันหมายเลขทะเบียน บธ 31xx นครพนม ได้จับกุมตัวนายมะณูน และ น.ส.บุหลัน ได้ที่บริเวณ ถ.มิตรภาพ ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 พร้อมยาเสพติดของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน บก.ปส.2 เพื่อดำเนินคดีและขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการต่อไป

คดีที่ 5 เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.66 เวลาประมาณ 17.00 น. ตำรวจ ปส.3 ได้ร่วมกันตรวจยึดยาเสพติด ยาบ้า 1,000,000 ล้านเม็ด ได้ที่บริเวณที่พักริมทาง กม.24 ต.ทุ่งขั่วพวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ โดยก่อนเกิดเหตุ ตำรวจ ปส.3 ได้สืบสวนทราบว่า เครือข่ายยาเสพติดกลุ่มลีซอ จะลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากไปส่งให้ลูกค้า จึงเฝ้าติดตามจับกุม จนกระทั่งพบรถยนต์ยี่ห้อเชฟโรเล็ต ทะเบียน ขห 79xx เชียงใหม่ ขับขี่ผ่านมาถึงที่เกิดเหตุ ท่าทางพิรุธน่าสงสัย จึงแสดงตัวเข้าจับกุม ปรากฏว่าผู้ขับขี่ได้จอดรถแล้ววิ่งหลบหนีลงข้างทาง ซึ่งเป็นพื้นที่เขาสูงชัน แล้วอาศัยความชำนาญพื้นที่ หลบหนีไปได้ ตำรวจ ปส.3 ได้ตรวจสอบพบยาบ้ารวม 500 มัด จำนวน 1,000,000 ล้านเม็ด ซุกซ่อนอยู่ในห้องโดยสารรถยนต์ และภายในฝากระโปรงท้ายของรถคันดังกล่าว จึงได้ตรวจยึดยาเสพติดและรถของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดี ออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องและติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่หลบหนีต่อไป

สำหรับเดือน พ.ค.66 ตำรวจ ปส. สามารถจับกุมยาเสพติดรายสำคัญได้ 18 คดี ได้ผู้ต้องหา 54 คน ของกลางยาบ้า 20 ล้านเม็ด, เฮโรอีน 220 กก., ไอซ์ 3,250 กก. โดยยาเสพติดของกลางที่ตรวจยึดมาได้นั้นพนักงานสอบสวนจะส่งไปตรวจพิสูจน์ยังหน่วยที่กำหนดไว้ อาทิ สำนักงาน ป.ป.ส.,กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ หลังจากนั้นยาเสพติดของกลางจะถูกเก็บรักษาไว้ที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อการทำลายต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นประธานเปิดการอบรมพัฒนาศักยภาพศูนย์ PIPO

วันนี้ (12 มิ.ย.66) เวลา 11.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) ได้เป็นประธานในการเปิดการอบรมสัมมนายกระดับขีดความสามารถในการตรวจเรือประมงและแรงงานในเรือประมงของผู้ปฏิบัติงาน ศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้าออก (Port In Port Out Control Center: PIPO) ณ โรงแรมโนโวเทล ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.ชุมพร โดยการเปิดการอบรมนี้เป็นการอบรมเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ PIPO เป็นรุ่นที่ 3 แล้ว มีเจ้าหน้าที่จากกองบังคับการตำรวจน้ำ พนักงานสอบสวน ภ.7 กรมประมง กรมเจ้าท่า กรมการจัดหางาน และกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มาเข้ารับการอบรมจำนวน 62 ราย

ในการอบรมครั้งนี้ สืบเนื่องจากการประเมินระดับการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ของทางการสหรัฐฯ ซึ่งประเทศไทยได้รายงาน TIP Report และได้รับคำแนะนำเป็นข้อสังเกตว่า ประเทศไทยยังต้องมีการพัฒนาการตรวจแรงงานที่ท่า ซึ่งยังไม่ได้ใช้วิธีการตามมาตรฐานในการตรวจสอบการสูญหายในทะเล และการค้ามนุษย์บนเรือประมง รวมทั้งเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ยังขาดความสม่ำเสมอและขาดประสิทธิภาพในการตรวจเนื่องจากยังขาดประสบการณ์ ดังนั้น ในปีที่ผ่านมา ศพดส.ตร. จึงได้มีการปรับปรุงคู่มือการปฏิบัติงานศูนย์ PIPO ประจำปี 2566 โดยมุ่งพัฒนา 4 ด้าน ได้แก่ เพิ่มแนวทางปฏิบัติกรณีพบลูกเรือพลัดตกน้ำ การตรวจหนังสือคนประจำเรือ การตรวจคุ้มครองแรงงานบนเรือประมง และตรวจสภาพแวดล้อมของแรงงานเพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้เป็นการยกระดับมาตรฐานแนวทางการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ยังมีความจำเป็นในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานเพื่อให้เป็นไปตามแนวทางดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ได้มีแผนที่จะอบรมเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ PIPO ทั่วประเทศในปีนี้จำนวน 10 รุ่นด้วยกัน

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า หลังจากปีที่ผ่านมา ได้เดินทางไปที่สหรัฐอเมริกาและนำเสนอผลการดำเนินการปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทยให้ทางการสหรัฐรับทราบ ได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ PIPO ว่า ควรมีการพัฒนาแนวทางให้มีมาตรฐานที่ดียิ่งขึ้น เพื่อให้การป้องกันการค้ามนุษย์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในภาคประมง สามารถทำได้โดยมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในปีนี้ ศพดส.ตร. จึงได้มีการพัฒนาคู่มือการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ PIPO รวมทั้งจัดการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ร่วมกัน เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและพัฒนาศักยภาพในการตรวจแรงงานในเรือประมง รวมทั้งสร้างมาตรฐานในการปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทยก้าวหน้าไปอีกขึ้นหนึ่ง และยกระดับประเทศไทยสู่เทียร์ 1 ต่อไป

สีสันบรรยากาศ ชมการแข่งขันฟุตบอลคู่ชิงชนะเลิศ ตร.

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. , พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ประธาน ก.ก.ป.ฟุตบอล ตร. และ พล.ต.ท.ดร.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร./รองประธาน ก.ก.ป.ฟุตบอล ตร. พร้อมผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ ตร. ร่วมชมการแข่งขันฟุตบอลคู่ชิงชนะเลิศ ระหว่าง ตชด. กับ นขต. ณ สนามฟุตบอลบุณยะจินดา สโมสรตำรวจ

ปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นปราบปรามการกระทำความผิดในคดี 10 กลุ่มต้องห้าม ,Overstay และความผิดอื่นๆ ที่ส่งกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทุกรูปแบบพร้อมกันทั่วประเทศ

วันนี้ (9 มิ.ย.66) พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท. ภายใต้สั่งการของ พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท. ได้ประชุมสรุปผลปฏิบัติการปล่อยแถวปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมาย การกระทำความผิดในคดี 10 กลุ่มต้องห้าม ,Overstay และความผิดอื่นๆ ที่ส่งกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทุกรูปแบบที่ได้ดำเนินการพร้อมกันทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 6-9 มิ.ย.66 โดยมี รอง ผบก.บก.ทท.1-3 , ผกก.ในสังกัด บก.ทท.1-3 , สว.ส.ทท.ในสังกัด บช.ทท., สว.สืบสวนในสังกัด บช.ทท.ร่วมรายงานผลการปฏิบัติ

โดยตลอดห้วง 3 วันของปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว พร้อมหน่วยร่วมบูรณาการ สามารถกวาดล้างจับกุมผู้กระทำความผิดได้ถึง 612 ราย ผู้ต้องหา 584 คน รวมยอดจับกุมตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ 2566 ทั้งสิ้น 10,478 ราย ผู้ต้องหา 11,481 คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดเกี่ยวกับทัวร์ด้อยคุณภาพ/ความผิดตาม พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ฯ การลักลอบหลบหนีเข้าเมือง ยาเสพติด และความผิดเกี่ยวกับยานพาหนะเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว ซึ่งบ่อนทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยวที่ดีของประเทศ

นอกจากนี้ พล.ต.ต.พงษ์สยามฯ ยังได้เน้นย้ำกำลังพลทุกนาย ขอให้มองว่าปฏิบัติการฯนี้ คือการทบทวนความพร้อมของฝ่ายเจ้าหน้าที่ ต่อจากนี้ จะต้องมีการสืบสวนจับกุมอย่างต่อเนื่อง และขอให้ทุกนาย เร่งทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการในพื้นที่รับผิดชอบของตน ขอความร่วมมือให้ดำเนินการตามกฎหมาย ร่วมเป็นเจ้าบ้านที่ดี โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศในภาพรวมด้วย

Design a site like this with WordPress.com
Get started