สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยออนไลน์“แก็งคอลเซ็นเตอร์ สวมรอยส่งข้อความ SMS ยังไม่สิ้นซาก”


เนื่องจากในรอบสัปดาห์ มีการจับกุมมิจฉาชีพรับจ้างแก็งคอลเซ็นเตอร์ (Call Center)นำเครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) ส่งข้อความสั้น(SMS) สวมรอยช่องทางปกติของสถาบันการเงิน และหน่วยงานอื่น หลอกลวงผู้เสียหายกดลิงก์เพิ่มเพื่อนไลน์และหลอกให้โหลดแอปพลิเคชันควบคุมเครื่องโทรศัพท์แล้วโอนเงินออกจาก Mobile Banking ของผู้เสียหาย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. เป็นห่วงพี่น้องประชาชน ที่อาจจะตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพรายอื่นสวมรอยส่งข้อความสั้น(SMS) ในลักษณะเดียวกัน จึงมอบหมายให้ พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วยคณะทำงาน แถลงข่าวเตือนภัย เมื่อวันที่ 30 พ.ค.2566 เวลา 13.30 น. ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากยังมีการส่งลิงก์ในลักษณะดังกล่าวอยู่ และมีการส่งในรูปแบบอื่นๆ อีกจำนวนมาก
พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ ตร.กล่าวว่าในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (21-27 พ.ค.2566) มีสถิติการรับแจ้งความคดีออนไลน์มากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ อันดับ 1) คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ 2) คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ 3) คดีหลอกลวงให้กู้เงิน 4) คดีหลอกลวงให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมระบบในเครื่องโทรศัพท์ฯ และ 5) คดีข่มขู่ทางทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center) สำหรับคดีออนไลน์ที่มิจฉาชีพนำมาหลอกลวงในช่วงนี้ คือ คดีหลอกลวงให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมระบบในเครื่องโทรศัพท์ฯ โดยใช้วิธีส่งข้อความสั้น (SMS) สวมรอยช่องทางปกติของสถาบันการเงิน หรือหน่วยงานอื่น โดยขยับมาจากอันดับ 6 เป็นอันดับ 4 ซึ่งถือเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนต้องย้ำเตือนให้ประชาชนได้รับทราบ
พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ตอท.บช.สอท. กล่าวถึงรายละเอียดภัยออนไลน์ที่มิจฉาชีพรับจ้างแก็งคอลเซ็นเตอร์ (Call Center) นำเครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) ส่งข้อความสั้น(SMS)หลอกลวงผู้เสียหาย ดังนี้
ก่อนหน้านี้มิจฉาชีพแก็งคอลเซ็นเตอร์ส่งข้อความสั้น (SMS) หลอกลวงผู้เสียหายโดยใช้ SIM BOX โทรศัพท์จากต่างประเทศผ่านระบบ VOIP หรือส่งผ่านอีเมลผ่านบริษัทรับส่งข้อความสั้น (SMS) แต่ในรอบเดือนที่ผ่านมา มิจฉาชีพนำเครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) ใส่ไว้ในรถขับไปเส้นทางต่างๆ ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล แล้วส่งสัญญาณไปยังโทรศัพท์มือถือที่อยู่บริเวณใกล้เคียง โดยใช้ชื่อผู้ส่งเป็นสถาบันการเงิน ส่งข้อความสั้น (SMS) ว่า “มีผู้เข้าสู่ระบบธนาคารของผู้เสียหายจากอุปกรณ์อื่น หากไม่ได้ดำเนินการด้วยตนเอง ให้ผู้เสียหายติดต่อธนาคารผ่านลิงก์ไลน์(Line)ทันที” และมีผู้เสียหายหลงเชื่อกดลิงก์เพิ่มเพื่อนไลน์ แล้วคนร้ายจะโทรผ่านไลน์หลอกให้กดลิงก์โหลดแอปพลิเคชันควบคุมเครื่องโทรศัพท์ และโอนเงินออกจาก Mobile Banking ของผู้เสียหาย โดยในห้วงเดือน เม.ย. -พ.ค. 2566 มีการแจ้งความออนไลน์ จำนวน 1,398 เคส รวมมูลค่าความเสียหาย 235,135,988.50 บาท
ต่อมาวันที่ 24 พ.ค.66 เวลาประมาณ 08.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์โดยการนำของพล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ตอท. ได้ประสานความร่วมมือกับ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ,สำนักงานคณะกรรมการ การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ,สำนักงานคณะกรรมการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ,ผู้ให้บริการเครือข่าย AIS TRUE และ DTAC, ธนาคารกสิกรไทย และ ศูนย์ประสานงานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคธนาคาร (TB-CERT) ทำการสืบสวน ตรวจค้น จับกุมกลุ่มขบวนการดังกล่าว โดยจับกุม นายสุขสันต์ อายุ 40 ปี กับพวก รวม 6 คน ในข้อหา “ร่วมกัน ทํา มี ใช้ นําเข้า นําออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ตามมาตรา 6 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ.2498, ร่วมกันตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาตตามมาตรา 11 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ.2498, ร่วมกันใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาตอันมีลักษณะที่เป็นการประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สาม ตามมาตรา 67(3) ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม, เป็นอั้งยี่หรือซ่องโจรตามประมวลกฎหมายอาญา” ตรวจยึดรถยนต์ที่ติดตั้งเครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) จำนวน 4 คัน พร้อมอุปกรณ์ 4 ชุด ตรวจยึดเครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) ที่ยังไม่ได้แกะออกมาใช้อีก 1 ชุด ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การรับว่าได้รับการติดต่อว่าจ้างจากคนรู้จักที่ทำงานอยู่ประเทศเพื่อนบ้านขับรถนำเครื่องจำลองสถานีฐาน (False Base Station) ส่งข้อความสั้น (SMS) หลอกลวงประชาชนในรัศมี 2 กม. หรือครอบคลุมพื้นที่ 4 ตร.กม. โดยจะได้ค่าจ้างสำหรับการวิ่งส่งสัญญาณเดือนละ 80,000 บาท ซึ่งเครื่องดังกล่าวนั้นสามารถส่งสัญญาณไปยังโทรศัพท์ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้วันละ 20,000 หมายเลขต่อเครื่อง
ขอเน้นย้ำให้ได้รับทราบว่า ในช่วงแรกมิจฉาชีพต้องการให้ผู้เสียหายเพิ่มเพื่อนไลน์เพื่อหลอกลวงด้วยการพูดคุยตลอดเวลาให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและทำตามขั้นตอน จากนั้นจะพยายามส่งลิงก์ผ่านไลน์เพื่อให้ผู้เสียหายกดโหลดแอปพลิเคชันควบคุมเครื่องโทรศัพท์ โดยมิจฉาชีพจะคอยแนะนำขั้นตอนต่างๆ ทีละขั้นตอน เนื่องจากการกดยอมรับแอปพลิเคชันให้ควบคุมเครื่องโทรศัพท์นั้น มีขั้นตอนยุ่งยาก ผู้เสียหายไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง ต้องทำตามคำแนะนำของคนร้าย และเมื่อผู้เสียหายกดยินยอมขั้นตอนสุดท้ายแล้ว หน้าจอจะมีข้อความเป็นเปอร์เซ็นต์หรือข้อความกำลังอัพเดด กรุณารอสักครู่ ช่วงนี้มิจฉาชีพจะทดลองเข้าแอปพลิเคชันธนาคารจากรหัสที่เราตั้งในแอพ หรือจากเบอร์โทรศัพท์ของเรา โอนเงินออกจากบัญชี Mobile Banking ของผู้เสียหาย หากเข้าไม่ได้ก็จะหลอกให้โอนเงินไปลงทะเบียน หรือโอนระหว่างบัญชี ซึ่งคนร้ายจะเห็นว่าเรากดรหัสอะไร
จุดสังเกต
1) มิจฉาชีพส่งข้อความสั้น (SMS) พร้อมแนบลิงก์สวมรอยช่องทางปกติในการส่งข้อความจาก
ธนาคาร และใช้ชื่อไลน์คล้ายกับเจ้าหน้าที่ธนาคาร หรือหน่วยงาน
2) มิจฉาชีพส่งข้อความสั้น (SMS) ขณะขับรถไปตามเส้นทางต่างๆ แสดงว่าทุกคน ทุกอาชีพมี
โอกาสได้รับข้อความสั้น (SMS) และตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ
3) พนักงานธนาคาร ไม่ใช้ไลน์ส่วนตัวในการติดต่อลูกค้า
4) เว็บไซต์ปลอมที่มิจฉาชีพให้กดโหลดแอปพลิเคชันควบคุมเครื่องโทรศัพท์นั้น สามารถกดได้
เฉพาะเมนูดาวน์โหลด เมนูอื่นๆ เมื่อกดแล้วจะไม่ขึ้นข้อมูลใดๆ
4) ธนาคารไม่มีนโยบายการส่งข้อความ SMS แบบแนบลิงก์ทุกชนิด หรือมีข้อความให้แอดไลน์
ไอดี หรือเพิ่มเพื่อนในไลน์
วิธีป้องกัน
1) ไม่เปิดอ่านหรือ กดลิงก์ใน SMS แปลกปลอม หรือติดตั้งแอปพลิเคชันที่มิจฉาชีพหลอกให้
ติดตั้ง
2) กรณีมีการส่ง SMS ที่ผิดปกติ ควรโทรศัพท์ตรวจสอบกับ สายด่วนของธนาคารหรือ
หน่วยงานนั้นๆ โดยตรง
3) หากต้องการติดตั้งแอปพลิเคชันใดๆ ควรโหลดและติดตั้งจาก Google Play store หรือ
Apple Store เท่านั้น อย่าเชื่อคำแนะนำของคนร้ายให้กดเข้าบราวเซอร์อื่น
4) มิจฉาชีพอาจใช้วิธีการหลอกลวงในรูปแบบให้สแกน QR Code หรือเพิ่มเพื่อนไลน์ทาง ID
Line จึงไม่ควรสแกนหรือเพิ่มเพื่อนไลน์ทาง ID Line จากคนที่ไม่น่าเชื่อถือ
จากข้อมูลสถิติรับแจ้งความออนไลน์พบว่า หลังจากแก็งคอลเซ็นเตอร์ (call center) ดังกล่าวข้างต้นถูกจับกุมแล้ว ปรากฏว่ายังมีสถิติการรับแจ้งความมิจฉาชีพส่งข้อความสั้น (SMS) แอบอ้างสถานบันการเงิน การไฟฟ้า ประปา และหน่วยงานอื่นหลอกลวงประชาชนอยู่ เนื่องจากยังมีแก็งคอลเซ็นเตอร์(call center) จำนวนหนึ่งยังไม่ถูกจับกุมตัวดำเนินคดี และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพแก็งคอลเซ็นเตอร์(call center) ดังกล่าว จึงขอแจ้งเตือนให้ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารถึงวิธีการของมิจฉาชีพ และให้ตระหนักไว้ว่าหากมี SMS แปลกปลอม ต้องไม่เปิดอ่านหรือ กดลิงก์ใน SMS แปลกปลอม หรือติดตั้งแอปพลิเคชันที่มิจฉาชีพหลอกให้ติดตั้ง กรณีมีการส่ง SMS ที่ผิดปกติ ควรโทรศัพท์ตรวจสอบกับ สายด่วนของธนาคารหรือหน่วยงานนั้นๆ โดยตรง หรือไปติดต่อหน่วยงานนั้นๆ ด้วยตนเอง และที่สำคัญหากต้องการติดตั้งแอปพลิเคชันใดๆ ควรโหลดและติดตั้งจาก Google Play store หรือ Apple Store เท่านั้น และเพื่อให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ในรูปแบบใหม่ สามารถติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนภัยออนไลน์ได้จาก เว็บไซต์ และเพจ เตือนภัยออนไลน์ หรือโทรสายด่วน 1441

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เยือนสิงคโปร์ ประชุมร่วมตำรวจสากล ประสานข้อมูล จัดทำแผนปฏิบัติการ พร้อมเตรียมจัดตั้งศูนย์ประสานงานปราบปรามค้ามนุษย์ในไทย

เพื่อยกระดับแสวงหาความร่วมมือในการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์สู่ระดับสากล

วันที่ 29 พ.ค.66 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) พร้อมด้วย พ.ต.อ.ทรงเอก พัชรวิชญ์ รอง ผบก.กองการต่างประเทศ และ พ.ต.อ.พงษ์ธร พงศ์รัชตนันทน์ ผกก.ตม.จว.สงขลา/ สมาชิกชุดปฏิบัติการนานาชาติเพื่อการปราบปรามการกระทำความรุนแรงต่อเด็ก FBI ได้เข้าร่วมการประชุมความร่วมมือในการป้องกันปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศเด็กและการค้ามนุษย์ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และองค์การตำรวจสากล ณ อาคารสำนักงานนวัตกรรมองค์การตำรวจสากล (Interpol Global Complex for Innovation: IGCI) สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีคุณสมิตา มิตรา และ คุณกอร์ดาน่า วูจิซิส ผู้แทนจากองค์กรตำรวจสากล แผนกอาชญากรรมเกี่ยวกับเด็กเข้าร่วมด้วย ในที่ประชุม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้นำเสนอเกี่ยวกับผลการปฏิบัติของ ศพดส.ตร. ในด้านการบังคับใช้กฎหมายและจับกุมคดีค้ามนุษย์และคดีแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศต่อเด็กทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีผลการปฏิบัติมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งความก้าวหน้าในการพัฒนากระบวนการช่วยเหลือเยียวยาเหยื่อจากการค้ามนุษย์ ซึ่งได้มีการนำเสนอต่อผู้แทนรัฐบาลสหรัฐอเมริกาจนได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี ขยับให้ประเทศไทยเป็นเทียร์ 2

มีการหารือการแสวงหาความร่วมมือร่วมกันในการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์และการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก สถานการณ์การกระทำผิดกฎหมายประเภท Online Scam ที่ประเทศเป้าหมายคือประเทศไทย พม่า ลาว กัมพูชา และฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะเหยื่อการค้ามนุษย์ใน Online Scam ที่เพิ่มขึ้นในประเทศพม่า และเหยื่อเหล่านั้นยากต่อการช่วยเหลือ เพราะมีสถานการณ์การสู้รบในประเทศพม่า แต่ตำรวจสากลก็ยังสามารถช่วยเหลือเหยื่อได้บางส่วนจากการประสานงานกับตำรวจสากลในประเทศไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย โดยมีเคสที่อยู่ระหว่างการดำเนินการอยู่ 9 เคส และดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว 12 เคส และสามารถช่วยเหลือเหยื่อได้ 88 คน จากหลากหลายสัญชาติ โดยในปีนี้ทางตำรวจสากลจะจัดการประชุมในประเทศไทยในประเด็นดังกล่าว
ตำรวจสากลต้องการจัดทำแผนปฏิบัติการและต้องการตั้งศูนย์ประสานงานในประเทศไทยเพื่อป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศพดส.ตร. ได้เห็นด้วย พร้อมแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์อาชญากรรรมปัจจุบันจะรวมกันอยู่ทั้งหมด เช่น กลุ่มแก็งค์ กลุ่มขบวนการยาเสพติดก็จะทำผิดในความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ และเชื่อมโยงกับกลุ่มประมงผิดกฎหมาย ซึ่งจะสังเกตตุได้ว่าเป็นขบวนการเดียวกัน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องอาศัยความร่วมมือทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการในการทำงานร่วมกันของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ก็ได้ไปประชุมทวิภาคีเพื่อป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์กับประเทศพม่า
และที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับเบาะแสการล่วงละเมิดทางเพศเด็กจาก NCMEC และจาก Interpol สิ่งที่ทำเพิ่มเติมที่แตกต่างจากอดีตคือการขยายผลหาตัวเหยื่อในทุกคดี เพื่อปกป้องและเยียวยาเด็กส่งคืนสู่สังคม และดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในทุกมิติ ทุกข้อหาที่กระทำความผิด รวมถึงการยึดทรัพย์และดำเนินคดีในความผิดฐานฟอกเงิน
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ได้ขอความร่วมมือให้ Interpol ส่งข้อมูลเบาะแสการกระทำความผิดที่มากกว่านี้ เหมือนกับที่ได้รับข้อมูลมาจาก NCMEC ซี่งที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับข้อมูลจาก Interpol มาจำนวน 5 กรณี ซึ่งได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด และช่วยเหลือเหยื่อเด็กออกมาได้ทุกกรณี
ซึ่งทาง Interpol จะส่งข้อมูลเบาะแสให้ผ่าน ICSE Database และ TICAC จะเป็นเจ้าภาพในการปฏิบัติการและรายงานผลให้ Interpol ทราบโดยทันทีเมื่อเสร็จสิ้นปฏิบัติการ
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ยังให้ความมั่นใจกับ Interpol ว่า ในประเทศไทยไม่มีฐานของแก็งค์ Call Center ในประเทศไทย ฐานแก็งค์เหล่านั้นล้วนอยู่ประเทศรอบ ๆ ประเทศไทยทั้งสิ้น และสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทยยังช่วยเหลือเหยื่อแก็งค์ Call Center กลับมาได้ประมาณ 1,700 คน และคัดแยกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ได้ประมาณ 200 คน ส่วนที่เหลือล้วนเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดทั้งสิ้น ดังนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอความร่วมมือไปยังตำรวจสากลในการออกหมายแดงแก่ผู้ต้องหาที่กระทำความผิดในประเทศไทย และการสืบสวนหาพิกัดของผู้ต้องหาเหล่านั้นที่เดินทางหลบหนีออกไปจากประเทศไทย เพื่อทางการไทยจะได้ติดตามจับกุมมาดำเนินคดีในประเทศไทยต่อไป พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีที่ได้ร่วมประชุมแสวงหาความร่วมมือด้านการปราบปรามการค้ามนุษย์ร่วมกับผู้แทนองค์การตำรวจสากล ซึ่งที่ผ่านมา ศพดส.ตร. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ได้ประสานความร่วมมือกับองค์การตำรวจสากลในหลายๆด้าน และในครั้งนี้ ได้ขอความร่วมมือในการประสานข้อมูลเกี่ยวกับผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการแสวงหาประโยชน์ทางเพศต่อเด็กที่อาจหลบหนีมากระทำผิดในประเทศไทย เพื่อที่ทางการไทยจะได้ปราบปรามอาชญากรเหล่านี้ให้หมดไป รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือในการเพิ่มศักยภาพให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติซึ่งจะได้รับการสนับสนุนจากองค์การตำรวจสากลได้อีกในอนาคต เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของไทยในการปราบปรามการค้ามนุษย์สู่ระดับสากล

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ฯ นำประชาชนชาวสุราษฎร์ธานี ร่วมปลูกต้นไม้ ปล่อยสัตว์น้ำ และเก็บผักตบชวา สร้างจิตสำนึก “จิตอาสาพัฒนาบึงขุนทะเลเฉลิมพระเกียรติ” พร้อมเตรียมขยาย ไปสู่พื้นที่ภาคอื่นๆ ทั่วประเทศ

วันนี้ (27 พ.ค.66) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะนายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประธานในพิธี ร่วมกับจังหวัดสุราษฎร์ธานี สมาคมชาวสุราษฎร์ธานี ตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี นำประชาชนชาวสุราษฎร์ธานีเข้าร่วมในโครงการ "จิตอาสาพัฒนาบึงขุนทะเลเฉลิมพระเกียรติ" โดยภายในงานนี้มี ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคีเครือข่ายเอกชน ข้าราชการ นักเรียนนักศึกษา ตลอดจนประชาชนจิตอาสา รวมกันกว่า 3,000 คน เข้าร่วมโครงการอย่างพร้อมเพรียง ณ บึงขุนทะเล ต.มะขามเตี้ย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า กิจกรรมจิตอาสาในครั้งนี้ สมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับภาคส่วนต่างๆ จัดโครงการดังกล่าวเพื่อร่วมแสดงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ ระลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งทรงมีพระราชปณิธานในการสืบสาน รักษาและต่อยอดพระราชกรณียกิจของพระราชบิดา

ภายในงานมีกิจกรรมหลายอย่างประกอบไปด้วย
(1) กิจกรรมปลูกต้นไม้ 3,000 ต้น ประกอบด้วย ต้นราชพฤกษ์ , เหลืองอินเดีย , อินทนิล และทองอุไรเพื่อสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนในพื้นที่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
(2) กิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ ซึ่งประกอบไปด้วย ปลาตะเพียน และปลาพวงจำนวนกว่า 150,000 ตัว
(3) กิจกรรมเก็บผักตบชวาในบึงขุนทะเล เพื่อกำจัดวัชพืช และฟื้นฟูสภาพสิ่งแวดล้อมภายในบึงขุนทะเลอีกทั้งครั้งนี้ ทางสมาคมฯ ได้ร่วมกันบริจาคมอบชุดกาวน์ยาวสำหรับบุคคลากรทางการแพทย์ จำนวน 3,250 ชุด ให้แก่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี และสาธารณสุขจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อใช้ในกิจการโรงพยาบาลและสาธารณสุขต่อไป

นายกสมาคมชาวปักษ์ใต้บอกอีกว่าที่ผ่านมาทำมาแล้ว 11 ครั้งไม่เพียงจะรวมใจชาวปักษ์ใต้เพื่อสืบสานรักษาต่อยอดโครงการพระราชดำริ ยังเป็นการประกาศให้รู้ว่าชาวใต้รักในสถาบันพระมหากษัตริย์ เทิดทูนและจากนี้จะขยายไปสู่พื้นที่ภาคอื่นๆที่ยังมีชาวปักษ์ใต้ไปอาศัยอยู่ เพื่อสร้างความรักสามัคคีและยังเป็นการสร้างสิ่งแวดล้อมดีดีให้กับชาวชุมชน อย่างกรณีการมาปลูกป่าครั้งที่ 11 นี้จะเห็นได้ว่าเลือกพื้นที่ที่เป็นสวนสาธารณะเรียกว่าบึงขุนทะเลซึ่งเป็นสถานที่ที่ชาวสุราษฎร์ธานีใช้เป็นสถานที่ออกกำลังกายแอย่างกรณีการมาปลูกป่าครั้งที่ 11 นี้จะเห็นได้ว่าเลือกพื้นที่ที่เป็นสวนสาธารณะเรียกว่าบึงขุนทะเลซึ่งเป็นสถานที่ที่ชาวสุราษฎร์ธานีใช้เป็นสถานที่ออกกำลังกายและฟอกปอด ซึ่งเป็นการทำให้ซึ่งเป็นการทำให้ประชาชนมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี

ส่วนพื้นที่สามจังหวัดใช้แดนภาคใต้นั้นก็จะเดินทางไปทำส่วนพื้นที่สามจังหวัดใช้แดนพักใต้นั้นก็จะเดินทางไปทำโครงการเช่นกัน เพราะ ทั้งไทยพุทธและมุสลิมเราอยู่ด้วยกันบนพื้นแผ่นดินไทย และรักเทิดทูนในสถาบันพระมหากษัตริย์เหมือนกัน มุสลิมเข้าวัดไทยพุทธก็เข้ามัสยิด นี่เป็นวิถีชุมชนซึ่งเป็นรากเหง้าอย่างแท้จริง

พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ ผบช.สตม. พร้อม พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. ร่วมแถลงการจับกุมผู้ต้องหาหัวหน้าแก๊งชาวไต้หวัน

พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.อภิมุข กานตยากร รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.ศท.ตม.ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.สรธรรศจ์ เอี่ยมละออ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงษ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้
สตม. รวบหัวหน้าแก๊งชาวไต้หวันเปิดบริษัทผลิตยาในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ปั่นหุ้นหลอกลวงประชาชน ผู้เสียหายกว่า 10,000 ราย ความเสียหายมากกว่า 23,000 ล้านบาท
สตม. ได้รับการประสานงานจากสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย กรณีผู้ต้องหาตามหมายจับของสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) รายสำคัญ คือ MR.HUANG หรือ นายหวง (นามสมมติ) อายุ 61 ปี สัญชาติจีน (ไต้หวัน) ซึ่งก่ออาชญากรรมหลอกลวงประชาชน เปิดบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ ปั่นหุ้นหลอกลวงประชาชน มีผู้เสียหายมากกว่า 10,000 ราย ความเสียหายมากกว่า 23,000 ล้านบาท
บก.สส.สตม. จึงได้สั่งการให้ พ.ต.ต.สิทธิมณ สร้อยภู่ระย้า สว.กก.4 บก.สส.สตม. พร้อมพวก สืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้สืบสวนจนทราบว่า MR.HUANG ถือหนังสือเดินทางประเทศวานูอาตู เดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 ก.พ.64 ด้วยวีซ่า THAILAND PRIVILEGE CARD และหลบซ่อนตัวอยู่ในคอนโดหรูแห่งหนึ่งย่านประตูน้ำ จึงได้ทำการสืบสวนและติดตามจนพบ MR.HUANG ซึ่งเป็นบุคคลเดียวกันกับบุคคลตามหมายจับสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นการชั่วคราวฯ ที่บริเวณริมถนนย่านประตูน้ำ จึงแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและ ขอทำการตรวจค้น ก่อนการตรวจค้นได้แสดงความบริสุทธิ์จนเป็นที่พอใจแล้ว โดย MR.HUANG สมัครใจ พาตรวจค้นห้อง ผลตรวจค้นพบ เงินสดมูลค่า 1 ล้านบาท, โทรศัพท์มือถือ 5 เครื่อง, บัตรประชาชนของประเทศสิงคโปร์ พร้อมทั้งบัตรเครดิตจำนวนหลายรายการ และ MR.HUANG ยังยอมรับว่า ก่อนหน้านี้ได้หลบหนีไปที่ประเทศสิงคโปร์ จากนั้นได้ทำหนังสือเดินทางประเทศวานูอาตู และหลบหนีเข้ามาที่ประเทศไทย ซึ่งหลังการจับกุมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนและหัวหน้าแผนกประสานงานอาชญากรรมประจำประเทศไทยกองบัญชาการตำรวจสืบสวนอาชญากรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติไต้หวัน ได้ร่วมทำการสอบสวนขยายผลเพิ่มเติม และนำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
พฤติการณ์ของแก๊งดังกล่าวนั้น มีการจัดตั้งบริษัทเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยาในช่วงสถานการณ์ การแพร่ระบาด COVID-19 หลังจากมีการเปิดบริษัทแล้วได้นำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์และให้ผู้ร่วมขบวนการทำการเปิดบริษัทที่อยู่ในต่างประเทศทำการเข้าซื้อหุ้นของบริษัทดังกล่าว และทำรายงานอันเป็นเท็จเพื่อเผยแพร่ให้กับประชาชนเพื่อหลอกลวงให้ประชาชนเข้าซื้อหุ้น โดยราคาของหุ้นจะถูกปั่นไปจนถึง 500,000 กว่าบาทต่อ 1000 หุ้น และหลังจากที่มีประชาชนซื้อหุ้นแล้วได้โยกเงินไปยังต่างประเทศแล้วทำการปิดบริษัท เบื้องต้นมีผู้เสียหายมากกว่า 10,000 ราย ความเสียหายมากกว่า 23,000 ล้านบาท และจากการสืบสวนขยายผลของผู้ต้องหารายนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติไต้หวัน ได้ทำการยึดทรัพย์ของผู้ต้องหาได้เพิ่มอีก 60 ล้านบาท และ มีการออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการได้อีก 29 ราย โดยจับกุมได้แล้ว 27 ราย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งการจับกุมเจ้าของทัวร์ Happy Tripsหลอกขายทัวร์แล้วทิ้งลูกค้า

จากกรณีเมื่อวันที่ 15 พ.ค.66 ที่ผ่านมา กลุ่มผู้เสียหายได้รวมตัวกันมาร้องเรียนกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กรณีถูกเจ้าของบริษัททัวร์ชื่อ Happy Trips หลอกลวงชักชวนให้ผู้เสียหายซื้อโปรแกรม นำเที่ยวต่างประเทศ อาทิ ทัวร์ดูบอลที่ประเทศอังกฤษ หรือทัวร์ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยมีการโฆษณาผ่านทางสื่อออนไลน์ต่างๆ เช่น Facebook, YouTube, Website โดยมีการใช้ดารานักแสดงร่วมเดินทางเพื่อสร้างความเชื่อถือ และยังจูงใจด้วยการจัดโปรโมชั่นลดแลกแจกแถม เช่น ไป 5 จ่าย 4 เป็นต้น เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อซื้อโปรแกรมนำเที่ยวกับผู้ต้องหา แต่หลังจากจ่ายเงินซื้อทัวร์แล้ว กลับถูกผู้ต้องหาทิ้งทัวร์โดยไม่มีการจัดนำเที่ยวตามที่ตกลงไว้ เป็นเหตุให้มีผู้เสียหายจำนวนกว่า 320 ราย มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 8 ล้านบาท

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวน สภ.คูคต ภ.จว.ปทุมธานี ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุ รับคำร้องทุกข์และรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายจับ นายสุขสันต์ (สงวนนามสกุล) เจ้าของบริษัททัวร์ดังกล่าว ศาลจังหวัดธัญบุรีได้อนุมัติตามหมายจับที่ 292/2566 ลงวันที่ 19 พ.ค.66 ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและผู้ใดโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนำเข้าซึ่งข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และเป็นผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวต้องไม่กระทำการอันใดให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวหรือนักท่องเที่ยว”

ความคืบหน้าล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุม นายสุขสันต์ฯ พักอยู่ภายในบริเวณบ้านเลขที่ 40/51 หมู่ 5 ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.คูคต เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ซึ่งนอกจากคดีของ สภ.คูคต แล้ว กลุ่มผู้เสียหายยังได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักสอบสวนในพื้นที่ สน.ปทุมวัน, สภ.บางกรวย ภ.จว.นนทบุรี, สภ.ทุ่งสง ภ.จว.นครศรีธรรมราช ซึ่งได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับนายสุขสันต์ฯ ไว้แล้ว จะได้ดำเนินการอายัดตัวผู้ต้องหาตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป นอกจากนี้ ความผิดดังกล่าวยังเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ฟอกเงินฯ จะได้ร่วมกับ ปปง. ในการดำเนินการยึดทรัพย์ตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า หลังจากที่กลุ่มผู้เสียหายได้มายื่นเรื่องขอความเป็นธรรมในเรื่องดังกล่าว ได้สั่งการให้ สภ.คูคต ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เกิดเหตุ เร่งดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับเจ้าของบริษัททัวร์ดังกล่าว และสามารถจับกุมได้ เบื้องต้นได้สั่งให้ท้องที่ที่มีการเกิดเหตุอื่นๆ เร่งออกหมายจับและนำมาอายัดตัวผู้ต้องหาเพื่อดำเนินคดีจนถึงที่สุด หลังจากนี้จะได้ดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินของผู้ต้องหาเพื่อตรวจยึดอายัดและนำมาคืนให้ผู้เสียหายต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมคณะเดินทางประชุมร่วมทวิภาคีเมียนมา-ไทย แสวงหาความร่วมมือปราบปรามการค้ามนุษย์

วันนี้ (25 พ.ค.66) เวลา 09.00 น.พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เข้าร่วมการประชุมทวิภาคีเมียนมา-ไทย ว่าด้วยความร่วมมือด้านการปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 10 ซึ่งจัดขึ้นวันที่ 24 – 25 พ.ค.66 ณ โรงแรมปาร์ค รอยัล กรุงเนปิดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งผู้แทนฝ่ายเมียนมา นำโดย พล.ต.ต.อ่อง อ่อง รอง ผบ.ตร.เมียนมา พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมียนมา เข้าร่วมหารือความร่วมมือด้านการปราบปรามการค้ามนุษย์ร่วมกัน ซึ่งสลับกันเป็นเจ้าภาพ ยาวนานมาจนถึงครั้งที่ 10 แล้ว

ในที่ประชุม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ในฐานะ ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) ได้นำเสนอสถานการณ์การค้ามนุษย์ของประเทศไทย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเมียนมา โดยมีการยกตัวอย่างคดีที่เกิดขึ้น เช่น การช่วยเหลือคนไทยที่ถูกแสวงหาประโยชน์จากการหลอกลวงไปค้าประเวณีที่เมืองป๊อก และเมืองล็อกก่าย ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปี 65 – 66 ที่ผ่านมา โดยสามารถช่วยเหลือคนไทยกลับมายังประเทศไทยได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้เป็นผลมาจากความร่วมมือกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจจากทั้งสองประเทศ ดังนั้นจึงอยากสานต่อความร่วมมือในการปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อให้ขบวนการของผู้กระทำผิดเหล่านี้ ไม่สามารถกระทำความผิดในลักษณะดังกล่าวได้อีก

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ กล่าวว่า การเดินทางมาประชุมทวิภาคีร่วมกับตำรวจเมียนมาในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดียิ่ง ที่จะได้ประสานความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองประเทศอย่างต่อเนื่อง ในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับความร่วมมืออันดีจากเจ้าหน้าที่ทางการเมียนมา ในการให้ความช่วยเหลือคนไทยที่เป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ รวมทั้งประสานจับกุมผู้ต้องหาเพื่อนำกลับมาดำเนินคดีที่ประเทศไทย ดังนั้นหลังจากการประชุมทวิภาคีในครั้งนี้ จะยิ่งทำให้การทำงานร่วมกันของเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อให้การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติแพการค้ามนุษย์มีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป

ผู้ช่วย ผบ.ตร. ห่วงใยประชาชน ขับเคลื่อนโครงการ “สุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย”ลดอุบัติเหตุและการเสียชีวิตบนท้องถนน มุ่งสร้างตำรวจจราจรมืออาชีพ มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล

วันนี้ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.(มค) ได้ให้ความสำคัญในการอำนวยความสะดวกการจราจร การป้องกันและลดอุบัติเหตุ ตลอดจนลดการเสียชีวิตและบาดเจ็บบนท้องถนน สร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินแก่ประชาชนและสังคม จึงได้จัดทำโครงการ “สุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย” โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รองผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผอ.ศจร.ตร.) ประชุมขับเคลื่อน เร่งรัดและติดตามประเมินผลความคืบหน้าโครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย โดยมีผู้แทน บช.น., ภ.1-9 และ บช.ก. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รับผิดชอบงานจราจรของ บก.น., ภ.จว., บก.ทล. และเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายจราจรทุกสถานีตำรวจทั่วประเทศ ร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกลโดยพร้อมเพรียงกัน

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า การดำเนินโครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย มีวัตถุประสงค์เพื่อลดอัตรา การเสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ประชาชนมีความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน นอกจากนี้ยังเป็นการแก้ไขปัญหาภาพลักษณ์ และพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร เช่น การทุจริต การข่มขู่ บุคลิกท่าทาง ที่ไม่เหมาะสม มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพ การทำงานให้กับข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่งานจราจร และสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนภาคีเครือข่ายและข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ ตลอดจนสร้างขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจและหน่วยงานที่ปฏิบัติ โดยได้รับความร่วมมือจากบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ร่วมบูรณาการขับเคลื่อนโครงการ

สุภาพบุรุษจราจร แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ สุภาพบุรุษจราจรประเภทบุคคล โดยจะต้องปฏิบัติตามหลัก 5S คือ SMlLE ยิ้มแย้มเป็นมิตร SMART บุคลิกภาพดี SALUTE สุภาพให้เกียรติ SERVICE MlND มีจิตอาสาบริการ และ STANDARD
มีมาตรฐานสากล โดยจะต้องนำไปสู่จำนวนสถิติอุบัติเหตุบนท้องถนนที่ลดน้อยลง สำหรับสุภาพบุรุษจราจรประเภทหน่วยงาน
จะต้องมีผลการปฏิบัติที่มีจำนวนสถิติอุบัติเหตุบนท้องถนนที่ลดน้อยลง ตามเป้าหมาย คือ ผู้เสียชีวิตลดลงมากกว่า 5 % หรือ ลดลง
มากกว่า 10 คน ขึ้นไป จากค่าสถิติจากบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถเฉลี่ยปี 2560 – 2562 สำหรับ ภ.1-9 และจากค่าสถิติ อบถ. ปี 2564 สำหรับ บช.น. โดยประเภทบุคคลจะมีการคัดเลือกข้าราชการตำรวจที่เหมาะสมได้รับรางวัลจำนวน บก./ภ.จว. ละ 2 นาย (สัญญาบัตร 1 นาย และ ประทวน 1 นาย) รวม 188 นาย ซึ่งผู้ได้รับรางวัลจะต้องมีบุคลิกลักษณะตามหลัก 5S ผ่านเกณฑ์ทดสอบความรู้ ผ่านผลการประเมินของประชาชนและผู้บังคับบัญชา มีภาพลักษณ์ วิสัยทัศน์และทัศนคติที่ดีในการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนในประเภทหน่วยงาน จะมีรางวัลในระดับ บก. 29 รางวัล ระดับ บช. 3 รางวัล รวมจำนวน 32 รางวัล โดยในห้วง ต.ค.65 – ปัจจุบัน
หน่วย บช.น., ภ.1 – 9 และ บก.ทล. ได้เร่งรัดดำเนินกิจกรรมโครงการ เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามโครงการสุภาพบุรุษจราจร
ประชาชนสัญจรปลอดภัย ในพื้นที่ของหน่วย โดยเฉลี่ย กว่า 1,500 กิจกรรมโครงการต่อหน่วย ซึ่งได้รับความร่วมมือและการตอบรับ จากประชาชนและสังคมเป็นอย่างดีและเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวต่อว่า ในวันนี้ได้ร่วมประชุม เพื่อเร่งรัดติดตามความคืบหน้าและผลการปฏิบัติตามโครงการ ทั้งนี้ได้กำชับ ให้ผู้บังคับบัญชาที่รับผิดชอบงานจราจรทุกหน่วย ประชุมชี้แจงสถานีตำรวจในสังกัด ให้ดำเนินการตามโครงการ สร้างความรู้ความเข้าใจ บทบาทของตำรวจตามหลัก 5S และแนวทางการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุในพื้นที่ตามเป้าหมายของโครงการ พร้อมทั้งเร่งรัดดำเนินกิจกรรมตามโครงการให้บรรลุผลสำเร็จ ทั้ง 2 ประเภท หน่วยที่มีผลการดำเนินการน้อยหรือไม่ครบถ้วน ให้เร่งรัดดำเนินการก่อนเวลาสิ้นสุดโครงการ พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และมุ่งแสวงหาความร่วมมือ จากภาคประชาชนและภาคีเครือข่าย และให้ผู้บังคับบัญชาให้คำแนะนำ กำชับและกำกับดูแลการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด โดยต้องพร้อมรองรับการตรวจจากผู้บังคับบัญชาและการประเมินผล

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความมุ่งหวังว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวจะประสบผลสำเร็จ ประชาชนสามารถสัญจรอย่างปลอดภัย ป้องกันและลดอุบัติเหตุ ตลอดจนการเสียชีวิตและบาดเจ็บบนท้องถนน ทั้งยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นมาตรฐานสากล ภายใต้ความร่วมมือของประชาชนและสังคม ดังนั้นสถานีตำรวจและข้าราชการตำรวจทุกนาย จักต้องดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องจริงจังให้เห็นผลเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนและสังคมได้รับประโยชน์สูงสุด

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ แถลงปิดคดีบ้านพักเด็กครูยุ่นดำเนินคดีครูยุ่นและภรรยาข้อหาทำร้ายเด็กและบังคับใช้แรงงาน

จากกรณีเมื่อวันที่ 29 ต.ค.65 ที่ผ่านมา มูลนิธิเส้นด้าย ได้เข้าแจ้งขอความช่วยเหลือจาก สภ.อัมพวา ภ.จว.สมุทรสงคราม กรณีพบเด็กซึ่งอยู่ในความดูแลของมูลนิธิคุ้มครองเด็กของ นายมนตรี หรือครูยุ่น อายุ 61 ปี ถูกทำร้ายร่างกาย โดยมีภาพถ่ายวิดีโอปรากฏภาพของเด็กจำนวนหนึ่งถูกนายมนตรีฯ ใช้ไม้ตี ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อัมพวา และ กก.5 บก.ปคม. พร้อมด้วย พม.จว.สมุทรสงคราม และมูลนิธิเส้นด้าย ได้เข้าตรวจสอบที่มูลนิธิคุ้มครองเด็ก (บ้านครูยุ่น) เลขที่ 56 หมู่ 1 ต.สวนหลวง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม พบเด็กอายุตั้งแต่ 1 ปี เศษ ถึง 18 ปี รวมจำนวน 56 ราย จึงได้ร่วมกันคัดแยกเหยื่อ เบื้องต้นพบเป็นเหยื่อจำนวน 8 ราย จึงได้นำไปดูแลคุ้มครอง ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอไปแล้วนั้น กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศพดส.ตร. ได้สั่งการให้ สภ.อัมพวา ภ.จว.สมุทรสงคราม ดำเนินการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับนายมนตรีฯ หรือครูยุ่น รวมทั้งสืบสวนขยายผลดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง รวมทั้งเร่งให้การพิจารณาช่วยเหลือเยียวยาเด็กที่ได้รับผลกระทบจากเหตุดังกล่าว จากการสอบสวนเด็กที่เป็นผู้เสียหายร่วมกับสหวิชาชีพพบว่า มีเด็กทั้งหมด 33 คน เคยถูกครูยุ่นลงโทษด้วยการทุบตีหลายครั้ง โดยถูกตีด้วยเหล็กหรือไม้ไผ่ ตบศีรษะ บีบคอ หรือแม้กระทั่งถูกลากไปกดน้ำที่อ่างน้ำจนสำลัก นอกจากนี้ยังถูกบังคับให้ไปทำงานที่ บ้านแม่น้ำรีสอร์ท ต.บางขันแตก อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม ซึ่งเป็นของ นางพิมล อายุ 61 ปี ภรรยาของครูยุ่น โดยทำหน้าที่ทำความสะอาด และเปลี่ยนผ้าปูที่นอน โดยจะให้ค่าแรงคนละ 40-60 บาท แต่หากไม่ไปทำ ก็จะถูกหักเงินค่าขนมในแต่ละวัน พนักงานสอบสวน สภ.อัมพวา ได้สอบปากคำพยานมากกว่า 100 ปาก รวมทั้งตรวจสอบข้อมูลบุคคลที่เกี่ยวข้องและเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับตัวครูยุ่นและมูลนิธิคุ้มครองเด็ก และสรุปสำนวนสั่งฟ้องผู้ต้องหาจำนวน 3 ราย ประกอบด้วย 1. นายมนตรี หรือครูยุ่น อายุ 61 ปี ดำเนินคดีฐาน เป็นผู้ปกครองสวัสดิภาพโดยไม่ได้รับการแต่งตั้ง,เป็นผู้ปฏิบัติงานในสถานสงเคราะห์เด็กทำร้ายร่างกายหรือจิตใจหรือลงโทษเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแลโดยวิธีการรุนแรงประการอื่น , กระทำอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก, ทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจ และ ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ, ร่วมกันบังคับใช้แรงงานโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกาย ขู่เข็ญด้วยประการใดๆกระทำด้วยประการอื่นใดอันมีลักษณะคล้ายคลึงกันกับการกระทำดังกล่าวข้างต้นและได้กระทำให้ผู้ถูกกระทำนั้นอยู่ในสภาวะที่ไม่อาจขัดขืนได้ , ร่วมกันกระทำความผิดฐาน ร่วมกันเป็นนายจ้างจ้างเด็กอายุต่ำกว่า ๑๕ ปี เป็นลูกจ้าง , ร่วมกันเป็นนายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างน้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ , ร่วมกันเป็นนายจ้าง จ้างเด็กอายุต่ำกว่า ๑๘ ปีเป็นลูกจ้างโดยมิได้แจ้งการจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กนั้นต่อพนักงานตรวจแรงงานภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่เด็กทำงาน ,ร่วมกันกระทำด้วยประการใดอันเป็นการแสวงหาประโยชน์จากเด็ก 2. นางพิมล อายุ 61 ปี ดำเนินคดีฐาน ร่วมกันบังคับใช้แรงงานโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อ ร่างกาย ขู่เข็ญด้วยประการใดๆกระทำด้วยประการอื่นใดอันมีลักษณะคล้ายคลึงกันกับการกระทำดังกล่าวข้างต้นและได้กระทำให้ผู้ถูกกระทำนั้นอยู่ในสภาวะที่ไม่อาจขัดขืนได้,ร่วมกันกระทำความผิดฐาน ร่วมกันเป็นนายจ้างจ้างเด็กอายุต่ำกว่า ๑๕ ปี เป็นลูกจ้าง ,ร่วมกันเป็นนายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างน้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ,ร่วมกันเป็นนายจ้าง จ้างเด็กอายุต่ำกว่า ๑๘ ปีเป็นลูกจ้างโดยมิได้แจ้งการจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กนั้นต่อพนักงานตรวจแรงงานภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่เด็กทำงาน ,ร่วมกันกระทำด้วยประการใดอันเป็นการแสวงหาประโยชน์จากเด็ก 3. มูลนิธิคุ้มครองเด็ก โดยมีนายแก้วสรร เป็นประธานกรรมการฯ ดำเนินคดีฐาน เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งสถานสงเคราะห์ ไม่ยื่นขอแต่งตั้งผู้ปกครองสวัสดิภาพเด็ก แต่ยังกระทำการเป็นผู้ปกครองสวัสดิภาพ นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 28 มี.ค.66 เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบว่า มูลนิธิคุ้มครองเด็กได้มีการวางตู้รับบริจาคที่บริเวณห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล เวิลด์ ลาดพร้าว จึงได้ตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมพบว่า มูลนิธิมีการวางตู้รับบริจาคหลายพื้นที่ทั่วประเทศมากกว่า 300 จุด เพื่อนำเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายของมูลนิธิ แต่มิได้มีการขออนุญาตตามกฎหมายแต่อย่างใด จึงได้ร้องทุกข์ดำเนินคดีกับ มูลนิธิคุ้มครองเด็ก พร้อมกรรมการจำนวน 6 คน ที่พื้นที่ สน.โชคชัย ในความผิดฐาน ทำการเรี่ยไรโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยออกหมายเรียกผู้ต้องหามารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 24 พ.ค.66 นี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ กล่าวว่า คดีดังกล่าวหลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้เข้าช่วยเหลือเด็กที่มีภาพปรากฏในคลิปที่ถูกทำร้ายเบื้องต้นแล้ว ก็ได้สอบปากคำและคัดแยกผู้เสียหายและให้การช่วยเหลือคุ้มครองเด็กทั้งหมดจนพบว่า มีเด็กหลายคนที่อยู่ภายใต้ความดูแลของครูยุ่น ถูกทำร้ายทุบตีมากถึง 33 คน รวมทั้งยังถูกบังคับให้เด็กไปทำงานที่รีสอร์ทของภรรยาตนเอง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นจากบุคคลที่เด็กไว้วางใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมูลนิธิที่มีหน้าที่ดูแลให้ความคุ้มครองเด็กโดยตรง จึงได้ดำเนินคดีกับทั้งครูยุ่น ภรรยา และตัวมูลนิธิ นอกจากนี้ยังสืบทราบว่า มูลนิธิดังกล่าวได้มีการวางตู้บริจาคเพื่อเรี่ยไรเงินนำมาใช้จ่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย จึงได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมายจนถึงที่สุด

พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ รอง ผบช.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ 2คดี

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม./หน.ชุด ศปอส.ตร.ชุดที่ 1, พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.อภิมุข กานตยากร รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.ศท.ตม.ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.สรธรรศจ์ เอี่ยมละออ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงษ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

คดีที่ 1

1. สตม. ร่วมกับ ศปอส.ตร.รวบมือขวาแก๊งหลอกลงทุนแชร์ลูกโซ่จีน สร้างความเสียหายกว่า 150,000 ล้านบาท
สตม. ได้รับประสานข้อมูลจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย
กรณีผู้ต้องหาตามหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีนรายสำคัญ คือ MR.ZHAO หรือ นายจ้าว (นามสมมติ) อายุ 35 ปี ซึ่งก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี ลักษณะฉ้อโกงประชาชน ฯ ร่วมกับพวกเปิดบริษัทเกี่ยวกับการลงทุน และได้ชักชวนประชาชนให้เข้าร่วมการลงทุนซึ่งมีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่ โดยแจ้งว่าหากนำเงินมาลงทุนจะได้รับผลประโยชน์ 7-10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีประชาชนจำนวนมากหลงเชื่อลงทุนกว่า 150,000 ล้านบาท โดยเบื้องต้นยังมีทรัพย์สินที่จะต้องติดตามคืนกว่าอีก 75,000 ล้านบาท
บก.สส.สตม. จึงได้สั่งการให้ พ.ต.ต.สิทธิมณ สร้อยภู่ระย้า สว.กก.4 บก.สส.สตม. และเจ้าหน้าที่ ศปอส.ตร.ชุดที่ 1 พร้อมพวก สืบสวนติดตามจับกุม MR.ZHAO เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า MR.ZHAO ได้หลบซ่อนอยู่ในคอนโดหรูแห่งหนึ่งย่านพระราม 9 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้ทำการเฝ้าดูและติดตาม จนพบ MR.ZHAO ซึ่งเป็นบุคคลเดียวกันกับบุคคลตามหมายจับสาธารณะรัฐประชาชนจีนและถูกเพิกถอนการอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นการชั่วคราวฯ ออกมาจากห้อง จึงแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและขอทำการตรวจค้น โดยก่อนการตรวจค้นได้แสดงความบริสุทธิ์จนเป็นที่พอใจแล้ว ซึ่ง MR.ZHAO สมัครใจพาตรวจค้นห้อง ผลการตรวจค้นพบ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ จำนวนหลายรายการ จึงได้นำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

คดีที่ 2
  1. บก.สส.สตม. รวบ 3 ผู้ต้องหาแดนมังกรหนีหมายจับ กบดานไทย
    ตามที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พิจารณาดำเนินการกรณี สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย มีหนังสือมายังกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งข้อมูลผู้ต้องหาสัญชาติจีนที่มีหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีน ดังนี้
    1. นางสาวเยี่ยนฟาง (นามสมมติ) อายุ 35 ปี เป็นผู้ต้องหาในการหลบเลี่ยงภาษี 25 ล้านหยวน (ประมาณ 125 ล้านบาท)
    2. นายชิงอี (นามสมมติ) อายุ 44 ปี เป็นผู้ต้องหาในการลักลอบนำเข้าขยะ 15 ตัน
    3. นายหยวน (นามสมมติ) อายุ 45 ปี เป็นผู้ต้องหาในการลักลอบนำเข้าขยะพลาสติก 474 ตัน
    จากการตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า ผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยโดยถูกต้องตามกฎหมาย และการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่สิ้นสุด ผบก.สส.สตม. จึงได้อนุมัติให้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับ มีพฤติการณ์ที่สมควรเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร และได้สั่งการให้ กก.1 บก.สส.สตม. สืบสวนติดตามผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย เพื่อนำตัวมาดำเนินกระบวนการในการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร กก.1 บก.สส.สตม. จึงได้ระดมกำลังในการสืบสวนติดตามผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จนกระทั่งต่อมาได้พบ นางสาวเยี่ยนฟาง ที่คอนโด ย่านพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ, พบนายชิงอี ในบริษัทแห่งหนึ่งใน ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ และพบนายหยวน ที่ ต.หนองข้างคอก อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี จึงได้แจ้งหนังสือแจ้งการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ให้ได้รับทราบ และนำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อรอการส่งกลับไปดำเนินคดีที่สาธารณรัฐประชาชนจีนต่อไป

พล.ต.ท.สุคุณ ผบช.ทท. เพิ่มความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน

วันนี้ (22 พ.ค.66) เวลา 15.00 น.
พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท. ได้เข้าร่วมงานแถลงข่าว Trusted Thailand, You Taiguo Yue WanYue Kaixin โดย ททท. ร่วมกับ ตร.
เพื่อเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน

โดยมี คุณธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ ททท. เป็นผู้เเทน ททท.

ณ Iconsiam ห้อง Icon Luxe ชั้น 1

Design a site like this with WordPress.com
Get started