สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรม จัดงานมอบรางวัล และ มอบทุนการศึกษา

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร เป็นประธานพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ ต้นแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ให้แก่ ข้าราชการตำรวจ ที่มีผลงานดีเด่น รางวัลผู้สื่อข่าวภาคสนาม ดีเด่น รางวัลผู้ประกาศข่าวดีเด่น และมอบทุนการศึกษาบุตร-ธิดาของผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย

“พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ” ประธานพิธีวางพวงมาลัยอนุสาวรีย์ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เนื่องในโอกาสวันสถาปนา กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ครบรอบปีที่ 70

วันที่ 6 พ.ค.66 ที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลัยอนุสาวรีย์พลตำรวจเอกเผ่า
ศรียานนท์ เนื่องในโอกาสวันสถาปนากองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ครบรอบปีที่ 70
พร้อมด้วยผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน อดีตผู้บังคับบัญชา ข้าราชการตำรวจ
และหน่วยงานอื่นๆ ร่วมพิธี นอกจากนี้ยังมีพิธีมอบโล่ ใบประกาศนียบัตร ให้แก่ข้าราชการตำรวจ
ที่มีผลการปฏิบัติดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ มอบเครื่องหมายนักโดดร่มกิตติมศักดิ์ เครื่องหมายการต่อต้านการก่อ
การร้ายกิตติมศักดิ์ เครื่องหมายการต่อต้าน ปราบปรามการก่อความไม่สงบ (ตปส.) กิตติมศักดิ์ ประกาศเกียรติคุณแก่บุคคล หน่วยงานและข้าราชการตำรวจดีเด่นอีกด้วย
กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน จัดตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2496 ภายใต้สภาวะที่ประเทศไทยเผชิญกับภัยคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่พยายามจะขยายอิทธิพลมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศไทย ทำให้รัฐบาลในขณะนั้น ต้องมีมาตรการในการป้องกัน
ครั้นจะมอบหมายให้หน่วยทหารดำเนินการก็ติดเงื่อนไขอนุสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ที่ห้ามมิให้
นำกำลังทหาร วางไว้ระยะ 25 กิโลเมตรจากแนวชายแดน หากใช้กำลังตำรวจภูธรก็มีไม่เพียงพอ เนื่องจาก
ต้องดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ตอนในของประเทศ รัฐบาลและกรมตำรวจ เพื่อรักษาความมั่นคง และความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน ภายใต้คุณลักษณะ 3 ประการ คือ ทำการรบ
ในระดับหน่วย ขนาดเล็กได้อย่างทหาร ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ได้อย่างตำรวจ และพัฒนา
และช่วยเหลือประชาชน ได้อย่างข้าราชการพลเรือน โดยมีพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ
เป็นผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนคนแรก กว่า 70 ปี ที่ตำรวจตระเวนชายแดน ได้ปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ที่มีปัญหาความมั่นคงอย่างมืออาชีพ มุ่งเน้นงานด้านการรักษาความสงบเรียบร้อยและป้องกันปราบปรามอาชญากรรมสำคัญตามแนวชายแดน ดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในยามที่เกิดภัยพิบัติต่างๆ ส่งเสริมการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร
ในก้าวต่อไปของตำรวจตระเวนชายแดน ยังคงมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติภารกิจอย่างเต็มกำลังความสามารถ
ด้วยความเสียสละ อดทน และยึดมั่นในอุดมการณ์ของตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อปกป้อง เทิดทูนและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และความผาสุกของประชาชน ดำรงไว้ซึ่งเกียรติยศและศักดิ์ศรีของหน่วย ครองตนอยู่ในระเบียบวินัย เป็นตำรวจที่ประชาชนเชื่อมั่น ศรัทธา รวมถึงสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง มีอุดมการณ์จิตอาสา เป็นตำรวจมืออาชีพและเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เดินทางตรวจการดำเนินการตามกระบวนการ NRM กรณีจับกุมขบวนการนำพาบุคคลต่างด้าวที่กาญจนบุรี

วันนี้ (3 พ.ค.66) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย NGOs และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินทางเข้าตรวจเยี่ยมการดำเนินการตามกระบวนการกลไกส่งต่อระดับชาติ (National Referral Mechanism: NRM) ที่ ภ.จว.กาญจนบุรี โดยมีเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพ อาทิ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ,สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด , แรงงานจังหวัด , ประมงจังหวัด, สาธารณสุขจังหวัด, ยุติธรรมจังหวัด และป้องกันจังหวัด ร่วมประชุมชี้แจงความคืบหน้าในการดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาและดูแลผู้ถูกคัดกรอง โดยในส่วนของ ภ.จว.กาญจนบุรีนั้น ได้มีการรับดำเนินการตามกระบวนการ NRM จากกรณีระหว่างวันที่ 30 เม.ย. – 1 พ.ค.66 ที่ผ่านมา กองกำลังสุรสีห์ ร่วมกับ สภ.ทองผาภูมิ ภ.จว.กาญจนบุรี ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้จับกุมผู้ต้องหาบุคคลต่างด้าวชาวเมียนมาที่มีการลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักร รวมจำนวน 115 คน และพบรถกระบะที่ใช้ในการขนบุคคลต่างด้าวถูกจอดทิ้งไว้จำนวน 2 คัน คดีอยู่ในความรับผิดชอบของ สภ.ทองผาภูมิ ภ.จว.กาญจนบุรี โดยจะต้องนำบุคคลต่างด้าวทั้งหมดผ่านกระบวนการคัดแยกเหยื่อ หลังจากนั้นจะเข้าสู่กลไกส่งต่อระดับชาติ (NRM)

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ในฐานะ ผอ.ศพดส.ตร. ได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามความคืบหน้าของการดำเนินการทั้งหมด โดยความคืบหน้าล่าสุด ได้นำบุคคลต่างด้าวทั้ง 115 คน มาพักอาศัยอยู่ที่ กองร้อย ตชด.136 ซึ่งมีสถานที่กว้างขวางพร้อมรองรับความเป็นอยู่ของบุคคลต่างด้าวทั้งหมด โดยแยกพักอาศัยชาย-หญิง ส่วนเด็กและเยาวชนพักอาศัยร่วมกับผู้ปกครอง หลังจากดำเนินการคัดแยกเหยื่อจากการค้ามนุษย์แล้วพบว่า ทั้ง 115 คน ไม่พบผู้ใดเป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์ โดยบุคคลต่างด้าวเหล่านี้สมัครใจที่จะลักลอบเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรผ่านการจ่ายเงินให้กับเอเย่นคนละ 20,000 – 30,000 บาท เพื่อเดินทางไปหางานทำในประเทศไทยหรือไปต่อยังประเทศมาเลเซีย โดยสามารถลักลอบเข้ามาได้สำเร็จ แต่ถูกเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมเสียก่อน

ทั้งนี้ กลไกการส่งต่อระดับชาติ หรือ National Referral Mechanism นั้น เป็นกลไกที่ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการประสานความร่วมมือ การแบ่งปันข้อมูล การส่งต่อความช่วยเหลือและคุ้มครองบุคคลที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า จะเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ การบังคับใช้แรงงานหรือบริการ และเพื่อช่วยให้บุคคลเหล่านี้สามารถเข้าถึงบริการและการช่วยเหลือทั้งหมดได้

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า หลังจากที่ได้เดินทางไปประชุมติดตามความคืบหน้าการดำเนินการในกระบวนการกลไกส่งต่อระดับชาติ (NRM) ในแต่ละจังหวัด รวมถึงที่กาญจนบุรีนี้ พบว่า ทุกจังหวัดมีความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติการสนับสนุนตามกระบวนการดังกล่าวได้เป็นอย่างดี มีการจัดสถานที่ในการคัดแยกเหยื่อได้อย่างเหมาะสม และดูแลความเป็นอยู่ของบุคคลต่างด้าวได้ตามมาตรฐาน โดยกระบวนการดังกล่าวช่วยสร้างความตระหนักรู้ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งทำให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้จะช่วยยกระดับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของไทยในภาพรวมให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล

พล.ต.ท.ธิติ ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.จิรสันต์ รอง ผบช.น. เข้าเยี่ยม มอบเงินและสิ่งของช่วยเหลือแก่ ส.ต.ท.ภูวดล ผบ.หมู่ งานศูนย์ควบคุมจราจร

วันนี้(พุธที่ 3 พ.ค.66) เวลา 09.30 น. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น./โฆษก บช.น., พ.ต.อ.ภัทรภณ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา หน.สนง.น.1, พ.ต.อ.พารินท จันทร์เลิศ ผกก.(ศูนย์ควบคุมจราจรทางด่วน/ทางพิเศษ) กก.2 บก.จร. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าเยี่ยม มอบเงินและสิ่งของช่วยเหลือแก่ ส.ต.ท.ภูวดล สิริภิญโญสกุล ผบ.หมู่ งานศูนย์ควบคุมจราจรด่วน 1 กก.2 บก.จร. ที่ได้รับอุบัติเหตุจากการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อเป็นของขวัญและกำลังใจ ณ อาคาร มภร. รพ.ตร./ทีมงานประชาสัมพันธ์ บช.น.

พล.ต.ท.สุคุณ ผบช.ทท. พร้อม พล.ต.ต.พงษ์สยาม รอง ผบช.(สส.1) ระดมกวาดล้างอาชญากรรมการกระทำความผิดต่างๆ

ตามนโยบายด้านการท่องเที่ยวที่ส่งเสริมให้ชาวต่างชาติกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยหลังจากสถานการณ์ โควิด 19 มีทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบันมีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้ปัญหาและอาชญากรรมในวงจรการท่องเที่ยวมีมากขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ ยังอาจมีกรณีที่อาชญากรต่างชาติฉวยโอกาสแฝงตัวเข้ามาในรูปแบบนักท่องเที่ยวเพื่อหลบหนีคดีหรือก่ออาชญากรรมในประเทศ ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและรักษาไว้ซึ่งความปลอดภัยในวงจรการท่องเที่ยว สร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว โดย พล.ต.ท.สุคุณ พรหมมายน ผบช.ทท., พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.(สส.1) ควบคุมการปฏิบัติและสั่งการให้ กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 1-3, กองกำกับการควบคุมธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ สถานีตำรวจท่องเที่ยวและงานสืบสวนในสังกัด บก.ทท.1-3 บูรณาการการทำงาน กับหน่วยงานในพื้นที่ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมการกระทำความผิดต่างๆ โดยเฉพาะในฐานความผิด 10 กลุ่มต้องห้าม, กรณีชาวต่างชาติที่เข้ามาพักอาศัย เกินกำหนด (Overstay) และความผิดอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบ ต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในภาพรวม ระหว่างวันที่ 26-27 เม.ย.66 โดยมีผลการปฏิบัติ ดังนี้ จับกุม
-ทัวร์ด้อยคุณภาพ/พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ 54 ราย
-ยานพาหนะ เอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว 21 ราย
-สถานบริการผิดกฎหมาย 4 ราย
-จัดระเบียบการจราจร (ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ) 25 ราย
-ยาเสพติดในแหล่งท่องเที่ยว 26 ราย 25 คน
-อาชญากรรมข้ามชาติและลักลอบหลบหนีเข้าเมือง 76 ราย 82 คน
-คดีอาชญากรรมที่สำคัญและส่งผลกระทบกับนักท่องเที่ยว 32 ราย
-ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล มาเฟีย พกพาอาวุธบริเวณสถานที่ท่องเที่ยว 8 ราย
-กรณีชาวต่างชาติ ที่เข้ามาพักอาศัยเกินกำหนด (Overstay) 7 ราย
สรุปผลการปฏิบัติ
จับกุม 253 ราย ผู้ต้องหา 258 คน
จับเอง 157 ราย ร่วมจับ 96 ราย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ สั่งดำเนินคดีหนุ่มกล่าวอ้างเป็นทีมงานบิ๊กโจ๊ก ใช้อาวุธปืนบังคับขืนใจสาวเอ็นเตอร์เทน หลังก่อเหตุยังส่งข้อความข่มขู่จนเหยื่อหวาดกลัว

จากกรณีเมื่อวันที่ 25 เม.ย.66 ที่ผ่านมา ได้มี น.ส.ออม (นามสมมติ) พร้อมสื่อมวลชน ได้เข้าร้องเรียนต่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ณ สโมสรตำรวจ โดยแจ้งว่า เมื่อวันที่ 28 มี.ค.66 น.ส.ออม ผู้เสียหาย ทำงานเป็นเด็กเอนเตอร์เทน ถูกว่าจ้างให้ไปให้บริการชงเหล้าและเอ็นเตอร์เทนให้กับกลุ่มลูกค้าในช่วงเวลาระหว่าง 22.00 – 04.00 น. ของอีกวัน ที่ห้อง VIP ของโรงแรมแห่งหนึ่งย่านถนนจรัญสนิทวงศ์ ซึ่งลูกค้ากลุ่มดังกล่าวอ้างว่าเป็นทีมงานของบิ๊กโจ๊ก โดยมีการแสดงภาพถ่าย ซึ่งปรากฏภาพผู้ต้องหานั่งร่วมโต๊ะกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ เมื่อผู้เสียหายไปถึงมีบุคคลชื่อ นายเจต เป็นบุคคลในภาพซึ่งอ้างว่าเป็นทีมงานของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ระหว่างการนั่งดื่มอยู่นั้น นายเจต มีการกล่าวอ้างถึงความสนิทสนมกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ พร้อมทั้งมีการแสดงอาวุธปืนให้ผู้เสียหายดู อีกทั้งยึดโทรศัพท์ของเด็กเอ็นเตอร์เทนทุกคนไว้ จากนั้นได้พาผู้เสียหายขึ้นไปบนห้องของโรงแรมพร้อมทั้งใช้อาวุธปืนข่มขู่ผู้เสียหายให้ถอดเสื้อผ้าและมีเพศสัมพันธ์ด้วย โดยมีการถ่ายคลิปวีดีโอไว้เพื่อแบล็คเมล์ผู้เสียหาย ซึ่งหลังจากเกิดเหตุแล้ว นายเจต มีการสั่งให้ผู้เสียหายและกลุ่มเด็กเอนเตอร์กลุ่มเดิม เข้ามาให้บริการอีก ซึ่งผู้เสียหายและกลุ่มเด็กเอนเตอร์ต้องจำใจไปตามที่นายเจตสั่ง เนื่องจากเกรงกลัวนายเจตที่กล่าวอ้างนายตำรวจระดับสูงและมีการพกพาอาวุธปืนตลอดเวลา อีกทั้งเมื่อเสร็จงานแล้ว นายเจตกลับจ่ายเงินค่าให้บริการแก่ผู้เสียหายเพียงบางส่วน และมีการส่งข้อความและภาพการทำร้ายร่างกายบุคคลอื่นมาข่มขู่ผู้เสียหายอีก ทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวว่าจะมีอันตรายต่อตนเองและบุคคลใกล้ชิด จึงได้เข้ามาพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ เพื่อร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีตามกฎหมายกับบุคคลดังกล่าว

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้ สน.บวรมงคล ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เกิดเหตุ ดำเนินการสืบสวนนำตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเด็ดขาด เนื่องจากเป็นการกล่าวอ้างโดยใช้การถ่ายภาพกับบุคคลที่มีชื่อเสียงเพื่อใช้ในการข่มขู่ให้ผู้อื่นเกรงกลัว อีกทั้งผู้ต้องหายังใช้อาวุธปืนโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง

ฝ่ายสืบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ จนทราบว่า ผู้ก่อเหตุดังกล่าว คือ นายวทัญญู วิริยะชโยทัย จึงได้ขออนุมัติหมายจับต่อศาลอาญาตลิ่งชัน เมื่อวันที่ 25 เม.ย.66 ในข้อหา “ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจว่าตนเป็นบุคคลอื่น ซึ่งได้กระทำโดยมีอาวุธปืน”

ต่อมาวันที่ 26 เม.ย. 66 เจ้าหน้าที่สามารถจับกุม นายวทัญญู หรือ นายเจต ได้ที่บริเวณบ้านพักในพื้นที่ ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย พร้อมตรวจค้นพบอาวุธปืน จำนวน 4 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืนอีกจำนวนหนึ่ง จึงได้จับกุม นายวทัญญูฯ ในความผิดฐาน “มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, พกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุอันควร” จากนั้นจึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.วังสะพุง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยพนักงานสอบสวน สน.บวรมงคล ได้อายัดตัว นายวทัญญูฯ ตามหมายจับเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

จากการตรวจสอบประวัติของ นายวทัญญูฯ หรือ นายเจต พบว่า เคยต้องหาคดีอาญามาแล้ว จำนวน 2 ครั้ง โดย ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2555 ถูกดำเนินคดีในข้อหา ไม่มีสิทธิสวมเครื่องแบบหรือประดับเครื่องหมายของเจ้าพนักงาน กระทำการเช่นนั้นเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิ์ ที่ สภ.เมืองนนทบุรี และ ครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ.2564 ถูกดำเนินคดีในข้อหายักยอก ที่ สน.ตลิ่งชัน

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเป็นบุคคลที่เคยมาขอความช่วยเหลือตน และได้มีภาพที่ถ่ายด้วยกัน แต่กลับนำภาพดังกล่าวไปใช้ในการกล่าวอ้างเพื่อข่มขู่ผู้อื่น อีกทั้งยังใช้อาวุธปืนอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย จึงได้สั่งการให้ตามจับมาดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ทั้งนี้ขอแจ้งเตือนไปยังกลุ่มบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์กล่าวอ้างชื่อหรือภาพของบุคคลอื่น รวมทั้ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ เพื่อไปกระทำการที่ผิดกฎหมาย หากได้รับแจ้งหรือได้รับการร้องเรียนก็จะต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุดทุกราย และหากประชาชนพบเห็นพฤติการณ์ดังกล่าวสามารถแจ้งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อดำเนินการตามกฎหมายได้ทางช่องทาง 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

พล.ต.อ.สมพงษ์ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร./หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เชิญหน่วยงานของรัฐร่วมประชุมพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหา

ภาครัฐผนึกกำลังเตือนภัยออนไลน์

ช่วงที่ผ่านมามีมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ โทรศัพท์หรือส่งข้อความสั้น หลอกลวงประชาชน โดยอ้างเป็น สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) กรมที่ดิน กรมสรรพากร กรมการค้าภายใน กรมศุลกากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย/ส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง/ส่วนภูมิภาค เพื่อชักจูงให้ประชาชนหลงเชื่อกดลิงก์ติดตั้งแอปพลิเคชั่นควบคุมเครื่องโทรศัพท์แล้วโอนเงินออกจากบัญชีธนาคารไป หรือส่งเอกสารปลอมข่มขู่ให้ประชาชนกลัว เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก ซึ่งสถิติการรับแจ้งความออนไลน์มีรายชื่อหน่วยงานของรัฐที่ถูก call center แอบอ้างนำไปหลอกลวงประชาชน รวมทั้งสิ้นจำนวน 20,937 เคส ดังนี้ หน่วยงานราชการ 13,402 เคส, กรมสรรพากร 3,024 เคส, บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด 1,384 เคส, สถานีตำรวจ 1,303 เคส, สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) 590 เคส, กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) 533 เคส, กรมศุลกากร 218 เคส, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 149 เคส, กรมที่ดิน 147 เคส, การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย/ส่วนภูมิภาค 113 เคส, การประปานครหลวง/ส่วนภูมิภาค 51 เคส, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า 16 เคส, กรมการค้าภายใน 4 เคส, กรมการจัดหางาน 3 เคส

สถิติการหลอกลวงในระบบรับแจ้งความออนไลน์มีทั้งหมด จำนวน 244,567 เคส ส่วนรูปแบบการหลอกลวงคอลเซ็นเตอร์แอบอ้างหน่วยงานของรัฐ มีจำนวน 20,937 เคส มูลค่าความเสียหาย จำนวน 3,328,454,052.35 บาท คิดเป็น 8.56 เปอร์เซ็นต์ ของรูปแบบการหลอกลวงทั้งหมด ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2565 – 22 เม.ย.2566)

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ประสานหน่วยงานของรัฐที่ถูกแอบอ้างแล้ว ได้รับการยืนยันว่าไม่มีการใช้วิธีติดต่อประชาชนในรูปแบบที่มิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์แอบอ้าง จึงได้แจ้งเตือนประชาชนให้ทราบถึงวิธีการของคนร้าย จุดสังเกตุ และแนวทางการระวังป้องกันตนเองไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพตลอดมา แต่ปรากฏว่าปัจจุบันยังมีประชาชนหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพอยู่เป็นจำนวนมาก พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ ตร./หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จึงได้เชิญหน่วยงานของรัฐที่ถูกแอบอ้างมาร่วมประชุมพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหา ซึ่งทุกหน่วยให้ความสำคัญและนำเสนอวิธีการแจ้งเตือนประชาชนที่แต่ละหน่วยได้ดำเนินการไปแล้ว และสิ่งที่จะร่วมมือกันดำเนินการต่อไป จึงขอแจ้งเตือนให้ประชาชนได้ตระหนักถึงภัยออนไลน์ในรูปแบบของคอลเซ็นเตอร์แอบอ้างหน่วยงานรัฐ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร่วมเป็นวิทยากรในงานอภิปรายหัวข้อ “การเสริมพลังทางเศรษฐกิจแก่คนตาบอดสู่การเป็นหุ้นส่วนการพัฒนากระแสหลักอย่างสร้างสรรค์เท่าเทียมเป็นธรรมถ้วนหน้า”

วันนี้ (25 เม.ย.66) เวลา 19.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้เดินทางไปเป็นวิทยากรภายในงานอภิปราย ภายใต้หัวข้อ การเสริมพลังทางเศรษฐกิจแก่คนตาบอด สู่การเป็นหุ้นส่วนการพัฒนากระแสหลักอย่างสร้างสรรค์เท่าเทียมเป็นธรรมถ้วนหน้า และสมัชชาคนตาบอดแห่งชาติครั้งที่ 26 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 – 26 เม.ย.66 ณ โรงแรมหรรษาเจบี อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้เข้าร่วมสัมมนา เกี่ยวกับการร่วมเป็นหุ้นส่วนในการพัฒนาร่วมกันอย่างสร้างสรรค์และเท่าเทียม รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการให้โอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนตาบอด ซึ่งมีผู้แทนคนตาบอดจากทั่วประเทศเข้าร่วมสัมมนามากกว่า 800 คนรวมทั้งเข้าร่วมผ่านช่องทางออนไลน์กว่าอีก 500 คน

โดยในการสัมมนาในครั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้มีโอกาสในการอภิปรายเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับคนตาบอด ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมาพบว่า กลุ่มผู้พิการทางสายตาได้ตกเป็นเหยื่อในการหลอกลวง รวมทั้งการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ ซึ่งทำให้การเข้าถึงความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายเป็นไปอย่างยากลำบาก จึงควรเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะและพฤติการณ์ของการกระทำผิดของกลุ่มคนร้ายเหล่านี้ เพื่อเพิ่มความระมัดระวังในการติดต่อกับผู้อื่น นอกจากนี้ในส่วนของความช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย เห็นควรมีการวางแนวทางในการร่วมบูรณาการระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อให้ความช่วยเหลือในกรณีตกเป็นเหยื่อ ซึ่งแท้จริงแล้วในปัจจุบันก็ได้มีการสร้างระบบดังกล่าวเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว เพื่อให้บริการ และอำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการทางสายตาทั่วประเทศ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ในปัจจุบันประเทศไทยให้ความสำคัญกับการให้โอกาสและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้พิการทางสายตามากขึ้น ซึ่งมีการสร้างระบบต่างๆขึ้นมาช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้พิการทางสายตาใช้ชีวิตได้สะดวกยิ่งขึ้น ในบทบาทของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย ก็ยินดีพร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงผ่านทางช่องทางต่างๆ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้มีโอกาสในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับพี่น้องคนตาบอดอีกในภายภาคหน้า

สมาคมแม่บ้านตำรวจมอบทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจอย่างต่อเนื่อง ปีนี้มอบกว่า 2,200 ทุน รวมเป็นเงิน 6,950,000 บาท…

วันนี้ (25 เม.ย.66) สมาคมแม่บ้านตำรวจ โดย คุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ จัดพิธีมอบทุนการศึกษาให้บุตรข้าราชการตำรวจ ประจำปี 2566 ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในพิธี ซึ่งในครั้งนี้เป็นการมอบทุนการศึกษา 2 ประเภท คือ 1)ทุนการศึกษาสำหรับบุตรข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพจากการปฏิบัติหน้าที่ จำนวน 7 ทุน ๆ ละ 50,000 บาท 2) ทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตํารวจที่ประพฤติดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ จำนวน 2,200 ทุน ๆ ละ 3,000 บาท รวมทั้งสิ้น 2,207 ทุน รวมเป็นเงิน 6,950,000 บาท

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้โอวาทแก่ผู้รับทุนการศึกษา โดยกล่าวว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสมาคมแม่บ้านตำรวจเห็นความสำคัญในการช่วยเหลือ ส่งเสริมการศึกษาแก่บุตรข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพจากการปฏิบัติหน้าที่ และขอแสดงความขอบคุณไปยังข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความทุ่มเท เสียสละ การมอบทุนในครั้งนี้ เป็นการเชิดชูเกียรติยศของตำรวจ ผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ และเป็นการส่งมอบกำลังใจให้กับครอบครัว ในฐานะข้าราชการตำรวจซึ่งปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี สำหรับการมอบทุนการศึกษาบุตรข้าราชการตำรวจที่ประพฤติดีขาดแคลนทุนทรัพย์นั้น ถือว่าเป็นการจัดสวัสดิการ เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน และแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับครอบครัวตำรวจ เพื่อให้มีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อประเทศชาติและประชาชน ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ตนดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ให้ความสำคัญด้านสวัสดิการของข้าราชการตำรวจและครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นด้านที่พักอาศัย การแก้ไขปัญหาหนี้สิน ตลอดจนให้นโยบายผู้บังคับบัญชาให้เข้าไปช่วยเหลือและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้ข้าราชการตำรวจทุกนาย

ด้าน คุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ กล่าวว่า สมาคมฯได้สนองนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ด้านการส่งเสริมสวัสดิการของข้าราชการตำรวจและครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความช่วยเหลือตำรวจชั้นผู้น้อยที่เป็นกำลังพลส่วนใหญ่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังมีทุนการศึกษาอีก 2 ประเภท คือ ทุนต่อเนื่องระดับอนุปริญญา หรือสายวิชาชีพ และทุนต่อเนื่องในระดับอุดมศึกษา ที่ได้สานต่อนโยบายของ คุณรัตนาภรณ์ สีวลีพันธุ์ อดีตนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ซึ่งทางสมาคมจะดำเนินการพิจารณาคัดเลือกผู้ผ่านเกณฑ์การรับทุนในลำดับต่อไป

นอกจากนี้ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ได้กล่าวขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ให้การสนับสนุนเงินทุนจากมูลนิธิสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจและครอบครัว รวมถึงบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) ที่เห็นคุณค่าของการศึกษา และมอบเงินสนับสนุนทุนการศึกษาแก่บุตรข้าราชการตำรวจด้วย ซึ่งเป็นขวัญและกำลังใจอย่างมากสำหรับข้าราชการตำรวจ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งการชุด TICAC เข้าจับกุมผับพื้นที่เชียงใหม่พบแสวงหาผลโยชน์ทางเพศเด็กและใช้แรงงานต่างด้าว

จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ OUR ได้ให้เบาะแสสถานบริการในพื้นที่ สภ.ช้างเผือก ภ.จว.เชียงใหม่ พบมีการนำเอาเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้ามาทำงานเป็นพนักงานบริการภายในร้าน ซึ่งมีลักษณะเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศต่อเด็ก จึงได้แจ้งเบาะแสให้กับชุดปฏิบัติการ TICAC ทราบ จึงได้นำเรียนผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น
จากเบาะแสดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) จึงได้สั่งการให้ เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ TICAC ร่วมกับ ภ.จว.เชียงใหม่, บก.ตม.5 และ สภ.ช้างเผือก พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่องค์กร OUR ให้เข้าตรวจสอบและวางแผนจับกุมสถานบริการดังกล่าว จากการตรวจสอบช้อมูลเบื้องต้นพบว่า ร้านดังกล่าวคือ ร้านมังกี้ ทอยซ์ คลับ หรือ มังกี้ ทีซี เชียงใหม่ เลขที่ 80 บริเวณทางคู่ขนานถนนสายเชียงใหม่-ลำปาง ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ลักษณะเป็นร้านแบบบาร์โฮส มีพนักงานทำงานภายในร้านมากกว่า 100 คน โดยจะสลับกันมาทำงานวันละ 30-50 คน โดยให้พนักงานบริการเครื่องดื่มโดยลูกค้าสามารถเรียกมานั่งบริการได้ คิดราคา 259 บาทต่อ 1 ดริ๊งค์ ต่อเวลานั่ง 1 ชั่วโมง ภายในร้านยังมีเวทีโดยให้พนักงานขึ้นไปเต้นโชว์ชั่วโมงละ 1 รอบ และมีชั้นใต้ดินเป็นห้องคาราโอเกะไว้ให้บริการ
ต่อมาเมื่อวันที่ 24 เม.ย.66 เวลา 01.00 น. หลังจากตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นแล้ว เจ้าหน้าที่ชุด TICAC พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จึงได้บูรณาการร่วมกันเข้าตรวจสอบที่ร้านมังกี้ ทอยซ์ คลับ พบพนักงานร้านเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 3 ราย และยังพบว่ามีการนำเอาบุคคลต่างด้าวเข้ามาทำงานที่ร้านโดยผิดกฎหมายอีกจำนวน 15 ราย จึงได้จับกุมเจ้าของร้านและผู้ดูแลร้านจำนวน 3 ราย ประกอบด้วย

  1. น.ส.วรษา มณีจักร อายุ 53 ปี (เจ้าของร้าน)
  2. นายเกริก อภินันทฤกษ์ อายุ 40 ปี (ผู้ดูแลพนักงาน)
  3. นายธวัชชัย คนสนิท อายุ 23 ปี (ผู้ดูแลพนักงาน)
    โดยดำเนินคดีในความผิดฐาน “ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำงาน ในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ และ เป็นนายจ้าง จ้างแรงงานต่างด้าวโดยไม่ได้รับอนุญาต” ในส่วนของพนักงานร้านที่เป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีทั้ง 3 ราย จะนำเข้าสู่กระบวนการคัดแยกเหยื่อ หากพบรายละเอียดเป็นกรณีการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศต่อเด็ก ก็จะขยายผลดำเนินคดีค้ามนุษย์ต่อไป
    พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเป็นกรณีที่ศูนย์ ศพดส.ตร. ได้รับแจ้งเบาะแสจาก OUR ว่า มีการพบสถานบริการที่มีการนำเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ไปทำงานในลักษณะแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศจากเด็ก จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุด TICAC ร่วมกับ ภ.จว.เชียงใหม่ เข้าตรวจสอบและจับกุมดังกล่าว ตรวจพบเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีจำนวน 3 คน และพบบุคคลต่างด้าวทำงานผิดกฎหมายอีก 15 คน จึงจับกุมดำเนินคดีเจ้าของร้านและผู้ดูแลร้านรวม 3 คน โดยหลังจากที่นำเอาเยาวชนทั้ง 3 คน เข้ากระบวนการคัดแยกเหยื่อแล้ว หากพบความผิดจะขยายผลดำเนินคดีความผิดฐานค้ามนุษย์ รวมทั้งดำเนินการยึดอายัดทรัพย์สินตามกฎหมายต่อไป รวมทั้งหากขยายผลพบผู้ใดมีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มเติม ก็จะนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด

Design a site like this with WordPress.com
Get started