จับเจ้าของโรงแรมบนเกาะหลีเป๊ะ พร้อมส่งเรื่อง ปปง.สอบเส้นทางการเงิน หลัง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ประชุมติดตามความคืบหน้าการบังคับใช้กฎหมายกับสถานประกอบการบุกรุกที่ดิน

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2566 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะประธานกรรมการตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงกรณีปัญหาข้อพิพาทในที่ดินที่เกี่ยวข้องกับชุมชนชาวเล เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล พร้อมด้วย กรมการปกครอง กรมที่ดิน กรมธนารักษ์ กรมประมง กรมสอบสวนคดีพิเศษ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาที่ดินพิพาทบนเกาะหลีเป๊ะ ณ ห้องประชุม ภ.จว.สตูล โดยมีการติดตามการดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายดำเนินคดีกับโรงแรม ที่พัก รีสอร์ท ที่มีพฤติกรรมบุกรุกที่ดิน และมีการก่อสร้างอาคารสถานที่โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นปัญหาเรื้อรังมานานมากกว่า 20 ปี รวมถึงการแก้ไขปัญหาพื้นที่การทำประมงพื้นบ้านของชาวประมงในพื้นที่ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติฯ การดำเนินคดีกับโรงแรม และสถานประกอบการต่างๆ ที่มีการก่อสร้างอาคารสถานที่รุกล้ำที่ดินของกรมธนารักษ์ ซึ่งเป็นการก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต ล่าสุดในส่วนของโรงแรมนั้นมีการแจ้งข้อกล่าวหาไปทั้งสิ้น 108 แห่ง ส่วนกรณีของการเพิกถอนโฉนดที่ดินแปลงที่ 11 ได้ดำเนินการไปแล้วโดยคาดว่าจะแล้วเสร็จก่อนต้นเดือนพฤษภาคม นอกจากนี้ ยังสามารถติดตามจับกุม น.ส.พัชรินทร์ แสงสว่าง เจ้าของโรงแรมขนาดใหญ่มูลค่า 128 ล้านบาท เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสตูล ซึ่งถูกดำเนินคดีจากกรณี ก่อสร้างอาคารที่พัก บุกรุกพื้นที่ป่าและพื้นที่อุทยานแห่งชาติ โดยนางสาวพัชรินทร์ได้หลบหนีหมายจับดังกล่าวจนเหลืออายุความเพียง 1 ปีเท่านั้น ก่อนถูกตำรวจจับกุมดำเนินคดีเมื่อวันที่ 28 มี.ค.66 ที่ผ่านมา และพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวนดำเนินการขยายผลติดตามเส้นทางการเงินของ น.ส.พัชรินทร์เพิ่มเติม ซึ่งได้มีการอายัดทรัพย์ไว้บางส่วนแล้ว และส่งเรื่องให้ ปปง. ดำเนินการยึดอายัดทรัพย์ตามกฎหมายต่อไป พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาที่ดินพิพาทบนเกาะหลีเป๊ะนั้น ปัจจุบันมีความคืบหน้าไปมาก โดยในด้านการบังคับใช้กฎหมายนั้น มีการแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับโรงแรมถึง 108 แห่ง และกำหนดทิศทางให้ผู้ที่ประกอบธุรกิจโดยถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนความเดือดร้อนของกลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมที่มีการชุมนุมเรียกร้องไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รอง ผบ.ตร. บอกว่าเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการเพราะเจ้าหน้าที่รัฐทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ดังนั้นก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการแต่หากการต่อสู้สิ้นสุดแล้ว และมีประชาชนหรือใคร ได้รับความเดือดร้อนก็จะต้องมีการพิจารณาเพื่อเยียวยาและช่วยเหลือต่อไป โดยเฉพาะกลุ่มแรงงาน ที่ต้องตกงานแบบฉุกเฉินเนื่องจากโรงแรมถูกบังคับคดี

พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา


ตามโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริจัดตั้งขึ้น เพื่อเป็นการ
รวมความสมัครสมานสามัคคีของคนไทยทุกคนในการทำกิจกรรมสาธารณะประโยชน์
เพื่อพัฒนาพื้นที่ในชุมชนต่างๆ ให้มีความเจริญเพื่อเกิดประโยชน์ต่อชุมชนอย่างถาวร
โดยมีศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทานเป็นผู้ควบคุม กำกับ ดูแล อำนวยการ
และประสานการปฏิบัติ เพื่อให้การจัดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริเป็นไปอย่างถูกต้องตามพระราโชบาย
ภายใต้การอำนวยการสั่งการ ของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ
ผู้ช่วย ผบ.ตร. รับผิดชอบงานจิตอาสา ได้จัดให้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ภายใต้กิจกรรม
การให้บริการประชาชนที่สัญจรไปมาของนักเรียน นักศึกษา ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๖๖
และเทศกาลปีใหม่ ๒๕๖๗ ตามโครงการ อาชีวะอาสาทำความดีในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ.๒๕๖๖ และเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๗ เพื่อเป็นการแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้เข้ามามีส่วนร่วมและขับเคลื่อนกิจกรรมจิตอาสาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยและลดอุบัติเหตุทางถนนให้แก่ประชาชนในช่วงเทศกาลดังกล่าว โดยการนำ นักเรียน นักศึกษา กลุ่มอาชีวะศึกษาที่สมัครใจ มีจิตอาสา และมีความรู้ความสามารถด้านการช่างมาปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสภาพรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ให้มีความพร้อมในการเดินทางอย่างปลอดภัยบนท้องถนนให้กับประชาชน
ที่เดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ.๒๕๖๖ ระหว่างวันที่ ๑๑ – ๑๗ เมษายน ๒๕๖๖ ในทุกจังหวัด จำนวน ๗๘ จุด รวมทั้งเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๗ ซึ่งนอกจากประชาชนจะได้รับประโยชน์แล้ว นักเรียน นักศึกษากลุ่มอาชีวะศึกษา ก็ได้แสดงออกถึงศักยภาพและทักษะของตนเองในการ
ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมและประเทศชาติ อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับรุ่นน้องต่อไปด้วย
จึงขอประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ สามารถเข้าไปใช้บริการตรวจสภาพรถยนต์ รถจักรยานยนต์ตามจุดที่ตั้ง ศูนย์อาชีวะอาสา
ซึ่งตั้งอยู่ริมทางหลวงสายหลัก และ สถานีบริการน้ำมัน ทั่วประเทศ จำนวน ๗๘ จุด

ผบ.ตร. และภาคีเครือข่าย มอบรางวัลคลิปกล้องหน้ารถ “โครงการอาสาตาจราจร”พร้อมเตรียมเปิดรับคลิปอุบัติเหตุช่วง 7 วันอันตรายสงกรานต์ มอบรางวัลวันละ 1 คลิปเงินรางวัลร่วม 200,000 บาท

วันนี้ (7 เม.ย.66) เวลา 10.00 น.ณ ห้องสารสิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. และ พล.ต.ต.เอกราช ลิ้มสังกาศ ผบก.ทล. พร้อมด้วย นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ, คุณ พิศเพลิน วิริยะพันธุ์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กรบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) คุณนิตยา ลีธีระกุล รองผู้จัดการฝ่ายรายการ สถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.91 และ คุณอัจฉรา บัวสมบูรณ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สถานีวิทยุ จส.100 ร่วมแถลงผลการมอบรางวัล และเกียรติบัตร โครงการอาสาตาจราจร โดยมอบรางวัลให้กับประชาชนเจ้าของคลิปกล้องหน้ารถที่บันทึกอุบัติเหตุทางถนนหรือการกระทำผิดกฎจราจรที่สำคัญ ประจำเดือน ม.ค. และ ก.พ. 2566 จำนวน 20 รางวัล เงินรางวัลคลิปสูงสุดคลิปละ 20,000 บาท รวมเงินรางวัลที่มอบทั้งสิ้น จำนวน 100,000 บาท โดยบริษัท วิริยะประกันภัย เป็นผู้สนับสนุนเงินรางวัลผบ.ตร.กล่าวว่า ความร่วมมือจากภาคประชาชนเป็นพลังสำคัญในการแก้ไขปัญหาสังคมหลายเรื่อง รวมทั้งปัญหาการจราจร ประชาชนสามารถช่วยกันสร้างความปลอดภัยบนท้องถนน โดยร่วมกันเป็นตาจราจร สอดส่องพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนที่ฝ่าฝืนกฎจราจร ที่เป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ เมื่อสังคมเกิดการรับรู้ว่า การขับขี่บนถนนมีกล้องหน้ารถ หรือมีผู้ร่วมทางอาจใช้กล้องโทรศัพท์มือถือบันทึกการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎจราจร และจะเป็นพยานหลักฐานจนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามมาดำเนินคดีในภายหลังได้ ก็จะช่วยยับยั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ที่ผิดกฎหมายบนท้องถนน สำหรับคลิปที่ส่งมาร่วมโครงการทุกคลิป จะเป็นพยานหลักฐานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี หรือใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลเพื่อพิจารณาลงโทษผู้ทำผิด คลิปที่มีเนื้อหาน่าสนใจที่ได้รับการคัดเลือก นอกจากประชาชนจะได้รับเงินรางวัลแล้ว ยังได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะพลเมืองดี ด้วย

** นอกจากนั้น ผบ.ตร.กล่าวเน้นย้ำ 3 ประเด็น เพิ่มเติมว่า
1) การส่งคลิปมาร่วมโครงการ ประชาชนสามรถใช้โทรศัพท์มือถือในการบันทึกอุบัติเหตุ หรือการกทำผิดกฎจราจรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นกล้องหน้ารถเท่านั้น
2) ในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ จะมีแคมเปญพิเศษเพิ่มเติม ในชื่อว่า “7 วัน 7 คลิป 7 หมื่น” สำหรับให้ประชาชน ส่งคลิปอุบัติเหตุช่วง 7 วันควบคุมเข้มข้นของเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 11 ถึง 17 เมษายน 2566 มาร่วมในโครงการ และจะทำการคัดเลือกคลิปสำคัญที่เป็นพยานหลักฐานทางคดี จำนวน 7 คลิป รางวัลคลิปละ 10,000 บาท รวม 70,000 บาท
3) เน้นย้ำให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.66 เป็นต้น มา ตร. และกรมการขนส่งทางบก ได้เชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกัน เพื่อบังคับใช้มาตรการชะลอการ ออกป้ายภาษี ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 141/1 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ซึ่งจะเป็นมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพของกฎหมายจราจร ให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร เพื่อลดอุบัติเหตุที่ฝ่าฝืนกฎหมาย
ทั้ง 3 ประเด็นนี้ อันจะเป็นมาตรการส่งเสริมการรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุ เพื่อให้ลดสถิติได้ตามค่าเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดทั้งในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2566 แลภาพรวมตลอดทั้งปีต่อไป **

ทางด้าน นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวเสริมว่า โครงการนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการสร้างการตระหนักรู้ในการขับขี่ปลอดภัย ให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย ช่วยลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะถึงนี้ และทางมูลนิธิได้หาทุนสนับสนุนเงินรางวัลเพิ่มเติม ตั้งแต่เดือน มี.ค.66 เป็นต้นไปจะมีการมอบรางวัลเพิ่มจากเดือนละ 10 คลิป เป็นเดือนละ 20 คลิป เนื่องจากขณะนี้มีประชาชนส่งคลิปมาเพิ่มขึ้นจำนวนมาก โดยนอกจากคลิปกล้องหน้ารถแล้ว ก็ยังสามารถใช้โทรศัพท์มือถือบันทึกการกระทำผิดกฎจราจรส่งมาร่วมโครงการได้เช่นกัน ขอให้พี่น้องประชาชนช่วยกันเป็นอาสาตาจราจร พบเห็นการทำผิดกฎจราจร ให้รีบบันทึกภาพและส่งคลิปมาร่วมโครงการ
สำหรับประชาชนผู้ที่พบเห็นการทำผิดกฎจราจร หรืออุบัติเหตุ สามารถส่งคลิปมาในช่องทางที่กำหนด ได้แก่ เพจตำรวจทางหลวง เพจกองบังคับการตำรวจจราจร เพจศูนย์โซเชียลมีเดีย ศปก.ตร. รวมถึงเพจเครือข่ายที่ร่วมโครงการ ทั้งเพจมูลนิธิเมาไม่ขับ สวพ.91 และ จส.100

นอกจากนี้ ในการแถลงข่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ขอความร่วมมือจากประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2566 ให้ขับขี่ตามกฎหมาจราจร โดยเฉพาะการสวมหมวกนิรภัย และงดเว้นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในขณะขับรถ โดยเฉพาะเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์นั้น จากสถิติอุบัติเหตุทางถนน ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่า ในช่วงเทศกาลทั้งปีใหม่ 66 และสงกรานต์ปีที่ผ่านมา สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุทางถนนเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่ สูงเป็นอันดับ 2 ในช่วงเทศกาล ส่งผลให้เกิดความสูญเสียทั้งทรัพย์สิน ชีวิต และร่างกาย จึงขอให้ประชาชนร่วมใจกันลดพฤติกรรมเสี่ยง ขับขี่ตามกฎหมาย “สวมหมวกนิรภัย” และ “เมาไม่ขับ” ทั้งตัวผู้ขับขี่ และผู้โดยสารในรถ เพื่อให้สงกรานต์เป็นช่วงเวลาของความสุข ของพี่น้องประชาชน


พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. แถลงจับกุมแก๊งลักรถจักรยานยนต์ในพื้นที่ สน.คลองตัน และสน.ตลิ่งชัน

วันนี้(พุธที่ 5 เม.ย.66) เวลา 11.00 น. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.นิตินันท์ เพชรบรม รอง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., พ.ต.อ.กุลเชษฐ์ บางพราน รอง ผบก.น.7, พ.ต.อ.ปนาถพล ปุณศรี รอง ผบก.น.5, พ.ต.อ.วชิรากรณ์ วงศ์บุญ ผกก.สน.คลองตัน และเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.คลองตัน ร่วมแถลงข่าวจับกุมแก๊งลักรถจักรยานยนต์ในพื้นที่ สน.คลองตัน และสน.ตลิ่งชัน เพื่อส่งขายประเทศเพื่อนบ้าน ณ ลานอเนกประสงค์ บช.น./ทีมงานประชาสัมพันธ์ บช.น.

รอง ผบช.น. พร้อมด้วย ผบก.จร. รับมอบกรมธรรม์ประกันภัย

วันนี้(พุธที่ 5 เม.ย.66) เวลา 10.30 น. พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น./โฆษก บช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุวิชชา จินดาคำ ผบก.จร. รับมอบกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุ จากบริษัทวิริยะประกันภัย ให้กับข้าราชการตำรวจ กก.6 บก.จร. ณ ลานอเนกประสงค์ บช.น./ทีมงานประชาสัมพันธ์

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ประสานข้อมูลทางการจีนยืนยันเจ้าของบัญชีเกี่ยวพันยาเสพติด หลัง 4 ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีใช้เอกสารปลอมเบิกเงินธนาคารเข้ามอบตัวที่ สน.ทองหล่อ

จากกรณีเมื่อวันที่ 24 มี.ค.66 ที่ผ่านมา สน.ทองหล่อ ได้รับแจ้งกรณีพบกลุ่มบุคคลใช้เอกสารปลอมเข้าติดต่อธนาคาร แอบอ้างเป็นเจ้าของบัญชี พยายามขอทำสมุดบัญชีเล่มใหม่เพื่อถอนเงินยอดกว่า 176 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบพบว่ามีการใช้หนังสือเดินทางปลอมและตราประทับตรวจคนเข้าเมืองปลอม ก่อนจับกุมดำเนินคดีชายชาวกัมพูชาที่อ้างตัวเป็นเจ้าของบัญชี ในข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต รายละเอียดตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอแล้วนั้น

ความคืบหน้าล่าสุด พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ได้รวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติหมายจับต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาจำนวน 5 ราย ในความผิดฐาน ร่วมกันพยายามลักทรัพย์ และร่วมกันปลอมและใช้รอยตราอันใช้ในการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ โดย 1 ใน 5 รายนั้นคือ ชายชาวกัมพูชาที่อ้างตัวเป็นเจ้าของบัญชีซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ที่ห้องกักแล้ว นอกจากนี้ยังมีหม่อมราชวงศ์และบุตรชายอดีตอธิบดีกรมการปกครองรวมอยู่ด้วย ต่อมาเมื่อวันที่ 4 เม.ย.66 เวลา 15.00 น. ผู้ต้องหาตามหมายจับที่เหลืออีกจำนวน 4 ราย พร้อมด้วยทนายความ ได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ โดยยังให้การปฏิเสธและไม่ขอให้การใดๆ ก่อนจะยื่นขอประกันในชั้นสอบสวนตามสิทธิ

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ขออนุมัติหมายค้นต่อศาล เพื่อเข้าค้นสถานที่ 2 จุด ซึ่งเป็นที่พักของบุตรชายอธิบดีกรมการปกครองและ คลินิกย่านพระราม 9 ของหม่อมราชวงศ์ ซึ่งอาจมีพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องในคดี รวมทั้งตรวจสอบข้อมูลกรณีการให้คำปรึกษากับลูกค้าซึ่งอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับอุ้มบุญ อยู่ในระหว่างตรวจสอบขยายผลของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีดังกล่าว หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเอกสารปลอมไปแสดงตัวต่อธนาคารอ้างตัวเป็นเจ้าของบัญชีเพื่อถอนเงินจำนวน 5 ราย เป็นชายชาวกัมพูชาที่ควบคุมตัวแล้ว 1 ราย อีก 4 ราย มีบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ต่อมาทั้ง 4 คนได้มามอบตัวกับพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ เรียบร้อยแล้ว จากนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานโดยละเอียดเพื่อขยายผลหาตัวผู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม รวมทั้งขยายผลหาที่มาของเงินในบัญชีดังกล่าว ซึ่งได้มีการประสานงานกับทางการจีนเพื่อสอบถามเบื้องต้นแล้วพบว่า เจ้าของบัญชีตัวจริงนั้นเป็นบุคคลที่ทางการจีนต้องการตัว โดยมีพฤติการณ์เป็นนักค้ายาเสพติดรายใหญ่ ดังนั้นจะให้เจ้าหน้าที่ขยายผลหาที่มาของเงินดังกล่าวรวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แถลงปิดคดีลักปืนหลวง สภ.ปากเกร็ดดำเนินคดีผู้ต้องหา 24 ราย-เจ้าหน้าที่รัฐ 8 ราย

จากกรณีเมื่อวันที่ 20 ต.ค.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการจับกุมดำเนินคดีกับ ด.ต.เชาวลิต พุ่มขจร ผบ.หมู่ (ป) สภ.ปากเกร็ด ซึ่งทำหน้าที่ตรวจเก็บและดูแลรักษาอาวุธปืนหลวงในคลังของ สภ.ปากเกร็ด ภ.จว.นนทบุรี โดยดำเนินคดีในกรณีที่ตรวจพบว่า ด.ต.เชาวลิต ได้มีการลักเอาอาวุธปืนในคลังดังกล่าวจำนวนมากถึง 160 กระบอก นำไปจำหน่ายให้กับบุคคลอื่น โดยดำเนินคดีฐาน ลักทรัพย์ในสถานที่ราชการ, เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตฯ ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอแล้วนั้น คดีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สืบสวนขยายผลจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องกับการรับซื้ออาวุธปืนหลวงดังกล่าวนำมาดำเนินคดีทั้งหมด รวมทั้งติดตามนำอาวุธปืนกลับคืนมาให้ได้ และได้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่ง ตร.ที่ 505 และ 567/2565 โดยมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นผู้ควบคุม กำกับ ดูแลการสืบสวนสอบสวน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ท.จิรภัทร ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 และพล.ต.ท.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบช.ภ.1 ดำเนินการขยายผลติดตามอาวุธปืนที่ถูกลักไปกลับคืนมาโดยเร็ว จากการสืบสวนขยายผลของเจ้าหน้าที่ สามารถรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์ในการรับจำนำจาก ด.ต.เชาวลิต ได้จำนวนทั้งสิ้น 23 ราย โดยแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว 1 ราย ออกหมายจับแล้ว 22 ราย จับกุมได้ 18 ราย อายัดตัว 4 ราย โดยทั้งหมดจะถูกดำเนินคดีในข้อหา รับของโจร ประกอบด้วย 1. นายสมชาย บัวกลิ้ง (จับกุมตามหมาย)

  1. นายสมเจต แก้วดวง (จับกุมตามหมาย)
  2. นายสุรัช พุกหนู (จับกุมตามหมาย)
  3. นายประเสริฐ พวงศิลป์ (จับกุมตามหมาย)
  4. นายกิตกร ศรีคำภา (จับกุมตามหมาย)
  5. นายธีระวัฒน์ ชูเชิด (จับกุมตามหมาย)
  6. นายชายแดน ธัญญรักษ์ (จับกุมตามหมาย)
  7. นายปรีดา จันทร์แก้ว (จับกุมตามหมาย)
  8. นายมนตรี น้อยคำมี (จับกุมตามหมาย)
  9. น.ส.วรารัตน์ รัตนวรรณ์ (จับกุมตามหมาย)
  10. นายอโนทัย ฝอยทอง (จับกุมตามหมาย)
  11. น.ส.รุ่งรัตน์ ชิณศรีวงษ์ (จับกุมตามหมาย)
  12. น.ส.วรรณพร จันทสีร์ (จับกุมตามหมาย)
  13. นายธันวา แท่งทองไทย (จับกุมตามหมาย)
  14. นายเศษฐพงค์ ก้อนทอง (จับกุมตามหมาย)
  15. นายชัยคุปต์ แย้มดี (จับกุมตามหมาย)
  16. นายบริสุทธิ์ ทองปรีชา (จับกุมตามหมาย)
  17. นายธวัชชัย เป๋ากระโทก (จับกุมตามหมาย)
  18. นายทศพล พรมสอน (อายัดตัว)
  19. นายนเรนทร์ สมพงษ์ (อายัดตัว)
  20. นายสำเริง สอนกลาง (อายัดตัว)
  21. นายบุรินทร์ วันแอเลาะ (อายัดตัว)
  22. นางจินดา พุกกิริยา (แจ้งข้อกล่าวหา)
    ในส่วนของอาวุธปืนหลวงที่ถูกลักไปนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการขออนุมัติหมายค้นจากศาลเพื่อเข้าค้นตรวจยึดหาพยานหลักฐานและติดตามอาวุธปืนหลวงซึ่งหายไปจำนวนทั้งสิ้น 160 กระบอก สามารถติดตามคืนมาได้แล้วจำนวน 64 กระบอก ทีเหลืออีก 96 กระบอก อยู่ระหว่างติดตามค้นหาต่อไป สำนวนคดีนี้ประกอบด้วยเอกสารมากกว่า 2,200 แผ่น สอบปากคำพยาน 30 ปาก ขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอผู้บังคับบัญชาลงนามพิจารณาสั่งฟ้อง เพื่อส่งสำนวนเสนอพนักงานอัยการต่อไป
    นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนยังได้มีการขยายผลดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการควบคุมดูแลและตรวจสอบอาวุธปืนหลวงดังกล่าว ซึ่งมีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จนทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการดังกล่าวอีกจำนวน 8 นาย ประกอบด้วย
  23. อดีต ผกก.สภ.ปากเกร็ด ปี 60-62
  24. อดีต ผกก.สภ.ปากเกร็ด ปี 62-65
  25. อดีต รอง ผกก.ป.สภ.ปากเกร็ด ปี 60-62
  26. อดีต รอง ผกก.ป.สภ.ปากเกร็ด ปี 62-64
  27. อดีต รอง ผกก.ป.สภ.ปากเกร็ด ปี 64-65
  28. อดีต สว.อก.สภ.ปากเกร็ด ปี 57-63
  29. อดีต สว.อก.สภ.ปากเกร็ด ปี 63-64
  30. อดีต สว.อก.สภ.ปากเกร็ด ปี 64-65
    โดยจะดำเนินคดีในข้อหา เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด โดยจะสรุปสำนวนเสนอ ป.ป.ช.พิจารณาดำเนินการต่อไป
    พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า หลังจากที่ได้มีการจับกุมดำเนินคดีกับ ด.ต.เชาวลิต ซึ่งได้ลักเอาอาวุธปืนหลวงของ สภ.ปากเกร็ด นำออกไปจำนำให้กับผู้อื่นแล้วนั้น ซึ่งคดีดังกล่าวท่าน ผบ.ตร. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน โดยมอบหมายให้กระผมเป็นผู้ควบคุมดูแลการสืบสวนสอบสวน จึงได้สั่งการให้สืบสวนขยายผลดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการรับปืนของหลวงดังกล่าวไปทั้งหมด รวมทั้งดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีการปล่อยปละละเลยทำให้เกิดความเสียหายกับทางราชการ โดยตัวของ ด.ต.เชาวลิตนั้น ศาลได้มีคำสั่งพิพากษาจำคุก 256 ปี 168 เดือน แต่ให้จำคุก 50 ปี ตามกฎหมาย ในส่วนของสำนวนของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการรับจำนำปืนนั้น ได้มีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาจำนวน 23 คน ซึ่งจับกุมได้แล้วทั้งหมด โดยอยู่ในระหว่างสรุปสำนวนเสนอพนักงานอัยการ และในส่วนของการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐ ได้มีการสรุปสำนวนเสนอ ป.ป.ช.ชี้มูลคดีดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 30 มี.ค.66 ที่ผ่านมา หลังจากนี้ จะยังมีการขยายผลติดตามอาวุธปืนหลวงที่ยังสูญหายอยู่ รวมทั้งหากมีการพบผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มเติมก็จะขยายผลดำเนินคดีโดยเด็ดขาดต่อไป

“สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงผลงานรอบ 6 เดือน”
“ระดม กวาดล้าง ปราบปรามยาเสพติด คดีออนไลน์
บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง บูรณาการทุกด้านในทุกภาคส่วน”

วันนี้ (4 เม.ย.66) เวลา 11.00 น. ตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล โดยเฉพาะด้านอาชญากรรม ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนด้านคดียาเสพติด คดีออนไลน์ บังคับใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาด จริงจัง บังคับใช้ทุกมาตรการทางกฎหมาย ยังคงนโยบาย ผบ.ตร. (10 ข้อ) โดยเฉพาะการ พิทักษ์ เทิดทูน และเทิดพระเกียรติต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ การยกระดับการบริการประชาชน แก้ไขปัญหาอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชน แก้ไขปัญหายาเสพติดทุกมิติ และอาชญากรรมออนไลน์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอแถลงผลการดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.65 – 31 มี.ค.66 ดังนี้

  1. การกวาดล้างอาชญากรรม
    1.1 ผลคดีอาญา 4 กลุ่ม จำนวนคดี 422,831 คดี จับกุมได้ 392,693 คดี (คิดเป็น 93%)
    1.2 ผลระดมปราบปรามอาชญากรรม
  • ระดมกวาดล้างอาวุธปืนช่วงก่อนการเลือกตั้ง (18-25 มี.ค.66) จับกุมรวม 3,116 ราย ยึดของกลาง 67,980 รายการ
  • ระดมกวาดล้างอาชญากรรมก่อนช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์ 2566 ช่วง 29 มี.ค.-10 เม.ย.66 จับกุม อาชญากรรมทั่วไป 15,707 คดี ผู้ต้องหา 16,670 คน และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1,284 คดี ผู้ต้องหา 1,272 คน
  1. การป้องกันปราบปรามยาเสพติด
    2.1 ผลการจับกุมคดียาเสพติด 152,231 คดี ผู้ต้องหา 153,315 คน ยึดทรัพย์ของกลาง 620 ล้านบาท และทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องฯ 12,662 ล้านบาท ปริมาณยาเสพติดเป็นยาบ้า 240 ล้านเม็ด เฮโรอีน 314 กก., ไอซ์ 8,080 กก, เคตามีน 2,403 กก., ยาอี 85,960 เม็ด และโคเคน 9 กก.
    2.2 โครงการค้นหาผู้ใช้ ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด และผู้ป่วยจิตเวช เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการบำบัด รวม 271,408 คน แบ่งเป็น ผู้ใช้ผู้เสพที่สมัครใจบำบัด 213,106 ราย, ผู้ป่วยจิตเวชที่มีสาเหตุจากยาเสพติด 35,601 ราย ผู้ป่วยจิตเวชที่มิได้มีสาเหตุจากยาเสพติด 22,701 ราย
    2.3 โครงการชุมชนยั่งยืน จัดอบรม ครู ก. จำนวน 12 รุ่น ผ่านการอบรม 3,391 คน และอบรม ครู ข. จำนวน 85 รุ่น ผ่านการอบรม 10,381 คน เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด สร้างวิทยากรภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ชุมชนให้ความรู้การดำเนินโครงการชุมชนยั่งยืนและเป็นชุดปฎิบัติการชุมชนยั่งยืนในชุมชน หมู่บ้าน
    2.4 โครงการหนองบัวลำภูต้นแบบสีขาวปลอดยาเสพติดครบวงจร ดำเนินการการแก้ไขปัญหายาเสพติดด้วยแนวคิด Change for Good , รับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ และแจ้งเบาะแสการกระทำผิด, จัดชุดคัดกรองและดูแลผู้ป่วยจิตเวช ตั้งทีมผู้พิทักษ์ และชุดนาคาพิทักษ์ หากมีผู้ป่วยคลุ้มคลั่ง, จัดทำข้อมูลท้องถิ่น
    จากการ Re X-ray พบผู้เสพ 2,044 คน ผู้ค้า 389 คน ผู้ป่วยจิตเวช 320 คน และอีกส่วนได้คัดกรองในชุมชนแบบทั่วไป พบผู้เสพอีก 701 คน และในด้านปราบปราม ได้สนธิกำลังตั้งจุดตรวจ/จุดสกัด ถนนสายหลัก 7 จุด ถนนสายรอง 721 จุด ทำการสุ่มตรวจ 644 ครั้ง ตรวจพัสดุไปรษณีย์ 6 ครั้ง ขยายผลเครือข่ายยาเสพติดทำการยึดทรัพย์แล้ว 2 คดี และได้สุ่มตรวจเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อหาสารเสพติด 76 หน่วย 3,783 ราย พบมีสารเสพติด 43 ราย
  2. การปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
    3.1 จับกุมผู้ต้องหารวม 332 ราย มูลค่าความเสียหายรวม 3,638 ล้านบาท อายัดเงินได้ 449,190,107 บาท พบสถิติประเภทคดีสูงสุด 5 อันดับได้แก่ หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ(ไม่เป็นขบวนการ), หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงานฯ, หลอกให้กู้เงิน, หลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์, ข่มขู่ทางโทรศัพท์(Call Center) บังคับใช้ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ตั้งแต่วันที่ 17 มี.ค.66 เป็นต้นไป
    3.2 การระงับธุระกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ บัญชีที่มีความเสี่ยงสูง “บัญชีม้า” ตามประกาศ ปปง. ดำเนินการแล้ว 693 ราย 1,381 บัญชี
    3.3 โครงการสร้างภาคีเครือข่ายป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (Cyber Vaccine) จัดโครงการอบรมครู แม่ไก่ 11 บช. รวม 116 นาย, ครู ข.ไข่ 29 บก. จำนวน 4,468 คน จัดตั้งกลุ่มไลน์เผยแพร่สื่อ จำนวน 37 กลุ่มไลน์ และจะดำเนินการอบรมครู ข.ไข่ ใน 56 จังหวัด อีก 3,548 คน ให้เสร็จสิ้นภายในเดือน เม.ย.6
    3.4 MOU กับเครือซีพี ประชาสัมพันธ์สื่อสร้างภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สร้างเครือข่ายในการยับยั้ง ป้องกัน และสร้างภูมิคุ้มกัน (Cyber Vaccine) ในทุกช่องทางการสื่อสารในเครือซีพี เครือข่ายมือถือทรูทูฟ เอช ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น 13,000 กว่าสาขา ห้างแม็คโคร 152 สาขา และโลตัส กว่า2,000 สาขา สถานีข่าว TNN16 และช่อง True4U และตั้งคณะทำงานร่วมกับภาคเอกชน ผลิตสื่อเตือนภัย เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ เช่น บนรถไฟฟ้า BTS, ป้อมตำรวจจราจร, เผยแพร่ทางสถานีวิทยุ ตร., สถานีบริการน้ำมัน ปตท. 2,200 แห่งทั่วประเทศ
    3.5 ปรับปรุงศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ 1441 ขยายคู่สายการให้บริการจากเดิม 4 คู่สาย เป็น 15 คู่สาย
    3.6 ร่วมมือกับหน่วยงานต่างประเทศ เปิดปฏิบัติการ “Shell Game” ซึ่งผู้เสียหายชาว USA ได้ถูกแก๊ง Call Center ข่มขู่ว่าเหยื่อเกี่ยวข้องกับคดีและให้โอนเงินไปตรวจสอบ และถูก Hack และส่งไวรัสให้เหยือเห็นว่ามีเงินโอนผิดและหลอกให้โอนเงินคืน ซึ่งคดีเกิดใน USA ระหว่าง ค.ศ.2020-2021 จำนวน 72,000 คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 3,000 ล้านเหรียญ โดยในประเทศไทยจะเป็นฐานในการเปิดปัญชีม้า แล้วมีกระบวนการฟอกเงินแล้วโอนกลับไปยังคนร้ายที่อยู่ต่างประเทศ
  3. การจราจร
    4.1 MOU กับกรมการขนส่งทางบก เชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายจราจรทางบก ลดการกระทำผิดกฎหมาย ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน โดยกำหนด 2 มาตรการ คือ 1.การตัดคะนนความประพฤติ ซึ่งได้เริ่มไปเมื่อ 9 ม.ค.66 ที่ผ่านมา และ 2. การชะลอการออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษี สำหรับรถที่มีใบสั่งค้างชำระ จะเริ่มบังคับใช้ 1 เม.ย.66
    4.2 สถิติการตัดคะแนนความประพฤติ (9 ม.ค.66 – 31 มี.ค.66) มีผู้ถูกตัดคะแนนแล้วทั้งสิ้น 47,495 ราย ยังไม่มีผู้ถูกสั่งพักใบอนุญาต / สามข้อหาที่มีการตัดคะแนนมากที่สุด 1) ใช้รถไม่แสดงเครื่องหมายเสียภาษีประจำปี 13,442 ราย 2 )ไม่สวมหมวกนิรภัย 8,943 ราย 3)ใช้รถไม่มีแผ่นป้ายทะเบียน 7,845 ราย / สามจังหวัดที่มีการบันทึกและตัดคะนนมากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพฯ 6,668 ราย ,ชัยนาถ 4,440 ราย และเพชรบุรี 2,232 ราย/ ใบสั่งทั้งหมด 21,604,518 รายการ ชำระค่าปรับแล้ว 4,374,639 รายการ(คิดเป็น 20.25%)
    4.3 มาตรการบังคับใช้กฎหมายและอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2566 แบ่งเป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงก่อนควบคุมเข้ม(4-10 เม.ย.66) ช่วง 7 วันควบคุมเข้มข้น (11-17 เม.ย.66) และช่วงหลังควบคุมเข้มข้น (18-24 เม.ย.66) โดยสั่งการให้ บก.ทล.เป็นศูนย์ควบคุมสั่งการหลัก รับผิดชอบทางหลวงแผ่นดินและเส้นทางหลัก ให้ บก.จร.รับผิดชอบในเขตกรุงเทพและปริมณฑล เตรียมประกาศช่องทางเดินรถพิเศษ(Reverdible Lane) และเส้นทางที่ห้ามรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไปผ่าน เน้นบังคับใช้กฎหมาย 10 ข้อหาหลัก
  4. การยกระดับการบริการประชาชนของสถานีตำรวจ
    โครงการสำรวจความพึงพอใจของประชาชนต่อการปฏิบัติงานตำรวจระดับสถานี มีกลุ่มประชากร มี 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. ประชาชนทั่วไป / 2. ผู้เสียหาย / 3. ผู้แจ้ง 191 จำนวน 2 ครั้งในห้วงเดือน มี.ค. – เม.ย.66 และ มิ.ย. – ก.ค.66 ในพื้นที่สถานีตำรวจ 1,484 แห่ง ครอบคลุม 80,000 หมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อพัฒนาการปฏิบัติราชการของ สถานีตำรวจทั่วประเทศ โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มประชากร 1 ล้านคน จำนวน 2 ครั้ง รวม 2 ล้านตัวอย่าง
  5. การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างขวัญกำลังใจ
    6.1 โครงการ “Depress We Care ซึมเศร้าเราใส่ใจ” เป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสารกับนักจิตวิทยา เพื่อช่วยเหลือและให้คำปรึกษาปัญหาความเครียดโรคซึมเศร้า มีสถิติผู้รับบริการผ่านช่องทาง Inbox เพจเฟซบุ๊ก 2,075 ครั้ง เป็นตำรวจ 133 ครั้ง และผ่านสายด่วน 081-9320000 จำนวน 5,447 ครั้ง เป็นตำรวจ 344 ครั้ง
    6.2 โครงการประเมินและสร้างเสริมสุขภาวะทางจิตข้าราชการตำรวจ มีการประเมินฯ 195,963 นาย พบมีความเครียดหรือปัญหาสุขภาพจิตในระดับที่เสี่ยงต่อการใช้ความรุนแรง 250 นาย(0.13%) จึงได้ตรวจวินิจฉัยและรักษา จำนวน 193 ราย
    6.3 โครงการธรรมนำใจ จัดให้ข้าราชการตำรวจและครอบครัวรวมถึงผู้มีจิตศรัทธา ร่วมฟังพระธรรมและเจริญจิตภาวนา โดยจัดให้มีโครงการธรรมนำใจเป็นประจำทุกเดือน
    6.4 โครงการทำดีมีรางวัล มอบเกียรติบัตร จำนวน 36 เรื่อง จำนวน 137 นาย เป็นข้าราชการตำรวจ 98 นาย, เจ้าหน้าที่ รพ.ตร. 4 นาย, พลเมืองดี 35 นาย
  6. การแสวงหาความร่วมมือกับภาครัฐภาคเอกชน รวม 7 แห่ง
  7. MOU กับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยกระดับความร่วมมือกระชับความสัมพันธ์ด้านวิชาการ สนับสนุนทุนการศึกษา 200,000 บาทต่อคน จำนวน 500-1,000 ทุนต่อปี จัดห้องเรียนพิเศษเฉพาะตำรวจ
  8. MOU กับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมมือการเผยแพร่ความรู้ด้านการป้องกันอาชญากรรมในเครือข่ายมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เสริมทักษะการเอาตัวรอดแก่บุคลากร นักศึกษาหรือประชาชน
  9. MOU กับพม. พัฒนาระบบการแจ้งเหตุ ช่วยเหลือ และส่งต่อเด็กเยาวชนด้อยโอกาส เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาและสังคม(ระบบแจ้งเหตุฉุกเฉินทางสังคม Emergency Social Services: ESS Thailand) และพัฒนาระบบการดูแล ช่วยเหลือเด็กเยาวชนด้อยโอกาส เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาและสังคม(ระบบการขอรับการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคม ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์: อพม.Smart)
  10. MOU กับกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ความร่วมมือว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการประทำความผิดเดี่ยวกับการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม
  11. MOU กับกระทรวงกิจการภายในเครือรัฐออสเตรเลีย ร่วมมือในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและการลักลอบหลบหนีเข้าเมือง แบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจคนเข้าเมืองและความมั่นคงชายแดน
  12. การประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เกี่ยวกับหลักการและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศว่าด้วยการใช้กำลังโดยเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติระหว่างประเทศว่าด้วยการใช้กำลัง
  13. MOU กับปตท. สนับสนุนในการติดตั้งโปสเตอร์เตือนภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อรณรงค์ เสริมสร้างความตระหนักรู้ ความเข้าใจ ตลอดจนป้องกันตัวเองจากภัยจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ณ สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ทุกสาขาทั่วประเทศ หากประชาชนพบเบาะแส สามารถแจ้งข้อมูลหรือเบาะแสได้ทางสายด่วน 1599 และ ศูนย์รับแจ้งเหตุ 191 ทั่วประเทศ

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เป็นตัวแทนบุตรหลาน ประกอบพิธีเซ่นไหว้ดวงวิญญาณไร้ญาติ เนื่องในเทศกาลเช็งเม้ง ประจำปี 2566 ณ สุสานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จ.สมุทรสาคร และ สุสานวัดดอนกุศล (สุสานเก่าของมูลนิธิ) เขตสาทร กรุงเทพฯ


.
วันที่ 29 มีนาคม และวันที่ 2 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก นายวิศิษฎ์ ลิ้มประนะ กรรมการ และนางชุติมา ตันติศิริวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการ นำทีมเจ้าหน้าที่บริหาร และพนักงาน ประกอบพิธีเซ่นไหว้ดวงวิญญาณไร้ญาติ เนื่องในเทศกาลเช็งเม้ง ประจำปี 2566 โดยเครื่องเซ่นไหว้ประกอบไปด้วย เครื่องคาวหวาน กระดาษเงิน-กระดาษทอง และดอกไม้หอม ณ สุสานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร และ สุสานวัดดอนกุศล (สุสานเก่าของมูลนิธิ) เขตสาทร กรุงเทพฯ
.
เทศกาลเช็งเม้ง กำหนดจัดขึ้นในระหว่างเดือน 2-3 ของจีน ซึ่งจะอยู่ในช่วงประมาณต้นเดือนเมษายนของทุกปี เป็นเทศกาลที่แสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยมีอิทธิพลมาจากลัทธิขงจื้อ ที่สืบทอดมายาวนานกว่าพันปี ก่อนวันพิธี จะมีการทำความสะอาดหลุมฝังศพของบรรพบุรุษ หลังจากนั้นในวันพิธีจะมีการเซ่นไหว้อาหารคาวหวาน เพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณงามความดีของบรรพบุรุษ เมื่อไปอยู่อีกภพหนึ่ง
.
กว่า 113 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น ยังมีสุสานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งสำหรับฝากฝังศพไร้ญาติ โดยในแต่ละปีจะมีการเซ่นไหว้อาหารคาวหวานตามประเพณี รวมทั้ง “เทศกาลเช็งเม้ง” ซึ่งมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งถือเป็นเทศกาลสำคัญประจำปีเทศกาลหนึ่งในการปฏิบัติตนแทนลูกหลานเซ่นไหว้ดวงวิญญาณไร้ญาติ เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรชีวิตในทุก ๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
.
ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ http://www.facebook.com/atpohtecktung
.

ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ##

#แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

แจ้งเตือนภัยบุคคลอันตราย แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ หลอกลวงผู้หญิงให้ออกรถ


ประกาศตามหาตัว นาย สาธิต จูบุญส่ง หรือ(นัทป่าไม้)หมายเลขบัตรประชาชน 17704 00003 874 ที่แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้และมีเรือตกหมึก2ลำอีกทั้งมีช็อปก่อสร้างมีรถแม็คโคร5ตันกับ2ตันเป็นของตัวเองและอ้างว่ามีแม่เป็นข้าราชการใหญ่ในกรมป่าไม้ ได้ยืมรถCBR500RและCBR150Rของผู้เสียหายไปบอกว่าจะใช้วิ่งตรวจงานและจะมีงานให้ทำด้วยกันแต่พอทวงรถคืนนายสาธิตกลับบ่ายเบี่ยงอ้างรถอยู่กับแฟนสาวพอนัดวันคืนรถจริงๆกลับหนีหายและชายคนนี้ยังมีการหลอกลวงผู้หญิงให้ออกรถ
มอเตอร์ไซค์ให้ ให้ช่วยกู้เงินให้แล้วหนีหายมีเจ้าทุกข์หลายราย

พฤติการณ์ในการเลือกเหยื่อของมิจฉาชีพ


1.ผู้หญิงที่หาได้จากแอปหาคู่ จะอ้างกับผู้หญิงว่าให้ช่วยเซ็นออกรถให้ไม่มีรถไปทำงานเพราะชื่อของ ตนเองติดนั่นติดนี่ หลังจากนั้นแล้วเอารถส่งขายแล้วติดต่อไม่ได้

  1. วงการตกปลา มิจฉาชีพจะแสดงตัวว่าเป็นช่างทำคันเบ็ด มีวิชามีความสามารถในการ
    บิ้วคัน ซ่อมคัน ได้จากส่วนนี้คือ เก็บเงินมัดจำก่อนทำบ้าง ตกลงสเป็คใส่ของอย่างดี แต่ใส่ของห่วยๆมาให้ลูกค้า เชิดคันที่ลูกค้าส่งซ่อมบ้าง ยืมของไปใช้แล้วเอาไปขายบ้าง
    3.อ้างตัวว่าทำงานกรมป่าไม้แนะนำคนรู้จักบอกว่าจะฝากเข้าทำงานป่าไม้ด้วยกันเรียกรับเงินค่าดำเนินการแล้วก็เงียบอ้าง นายติดภาระกิจยังเข้าพบไม่ได้ สุดท้ายเงียบงานก็ไม่ได้ทำ
    4.สมัครทำงานก่อสร้างบอกว่ากลางคืนเข้าเวร งานป่าไม้กลางวันหารายได้พิเศษรับทำงานก่อสร้างเชื่อมเหล็ก ทำงานช่วงแรกจะทำตัว
    ให้เจ้าของทีมิจฉาชีพสมัครทำงานไว้ใจแล้วหลังจากนั้นก็ขอเบิกเงินล่วงหน้าโดยให้โอน เงินเข้าบัญชี ธนาคารกสิกรไทย เลขบัญชี 022-1-17997-8 ว่าที่ ร.ต. หญิง เหมือนจันทร์ พันธุนาค บอกว่าเป็นแฟนกับมิจฉาชีพ คาดว่าร่วมกันกระทำความผิดเพราะ ผู้เสียหายติดต่อไปทาง ข้อความเฟสบุ๊ค อ้างว่าไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วและบล๊อคคนที่ทักไปถามเลย จริงๆแล้วยังอยู่ด้วยกันและ ผู้เสียหายรายอื่นๆก็โอนเงินเข้าบัญชีนี้เช่นกัน
    หลังจากนั้นสักระยะหนึ่งก็หายไปเลยติดต่อไม่ได้ แล้วของที่เจ้าของงานให้เอาไปทำงานก็เอาไปด้วยไม่เอามาคืนหายไปเลยทั้งคนทั้งของ
    เจ้าทุกข์หลายราย ได้แจ้งความไว้แล้วบางส่วนใครพอมีเบาะแส แจ้งได้เลยทางศูนย์ข่าวภัยสยามนิวส์ หรือติดต่อ 089-600-5500หรือ
    098-882-6159,080-549-3954
    ผู้เสียหายมีรางวัลนำจับให้
    10,000฿
Design a site like this with WordPress.com
Get started