สืบวังทองหลาง รวบหนุ่มอ้างเป็นตำรวจ หลอกรปภ.ช่วยยกของ ก่อนกรรโชกทรัพย์ ก่อเหตุมาแล้วหลายท้องที่

วันนี้ (24 มี.ค.66) เวลา 15.00 น. พ.ต.อ.เจษฎา ยางนอก ผกก.สน.วังทองหลาง เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สน.วังทองหลาง ได้จับกุมตัว นายธนิต หรือโอม สงวนนามสกุล อายุ 29 ปี พร้อมของกลางรถจักรยานยนต์ฮอนด้าคลิ๊กสีดำที่ใช้ก่อเหตุ โดยเคยอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหรืออ้างให้เหยื่อไปช่วยงานตำรวจ แล้วตบทรัพย์ผู้เสียหาย ขยายผลทราบว่าก่อเหตุมาแล้วหลายคดีหลายท้องที่

ผกก.สน.วังทองหลาง เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 มี.ค.66 เวลาประมาณ 23.00 น. นายอับดุลฮาริ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 19 ปี ผู้เสียหายประกอบอาชีพ พนักงานงานรักษาความปลอดภัย(รปภ.) ได้เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.วังทองหลาง ว่าถูกชายไทยอายุประมาณ 30-40 ปี สูงประมาณ 160-170 ซม.รูปร่างท้วม ขับขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นคลิ๊ก 150 สีดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน อ้างว่าเป็นพนักงานทำงานอยู่บริษัทที่ผู้เสียหายดูแลรักษาความปลอดภัยอยู่ ได้ชักชวนให้ตนไปช่วยยกของโดยใช้กลอุบายหลอกให้ตนขึ้นรถจักรยานยนต์ไปด้วยกัน จากนั้นพอสบโอกาสคนร้ายได้พูดข่มขู่ผู้เสียหายให้เอาโทรศัพท์มาให้ ถ้าไม่ให้จะยิง พร้อมถลกชายเสื้อและทำท่าทีเหมือนจับอาวุธปืน ผู้เสียหายจึงได้ส่งโทรศัพท์มือถือไปให้ หลังจากนั้นผู้ก่อเหตุได้ขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไป
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน สน.วังทองหลาง นำโดย พ.ต.ท.อภิโชค ขนบดี รอง ผกก.สส.สน.วังทองหลาง และ พ.ต.ท.ปิตินันท์ แก้วดวงเทียน สว.สส.สน.วังทองหลาง ได้สืบสวนติดตามตัวคนร้ายต่อเนื่อง จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาดังกล่าวได้ พร้อมของกลางรถจักรยานยนต์ ที่ใช้ในการก่อเหตุ ผลการตรวจค้นยังพบหมวกตำรวจจราจร ซึ่งคนร้ายได้ใช้กลอุบายหลอกเหยื่อว่าเป็นตำรวจหรือบอกเหยื่อให้ไปช่วยงานตำรวจ โดยใช้กลอุบายในลักษณะนี้มาแล้วหลายครั้ง ในพื้นที่ สน.หัวหมาก , สน.โชคชัย และสน.ลาดพร้าว อีกด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการขยายผลเพื่อติตตามของกลางในคดีนี้ โดยสามารถตรวจยึดทรัพย์สินซึ่งเป็นโทรศัพท์มือถือได้จำนวนหนึ่ง จากพ่อค้ารับซื้อของเก่าโทรศัพท์มือถือมือสองย่านแยกเสือป่า ที่พักอยู่ย่านปิ่นเกล้า ซึ่งผู้ต้องหานำไปขายต่อในทันที จากนั้นได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป จากการตรวจสอบ สน.ในพื้นที่ใกล้เคียง พบว่ามีคดีในลักษณะแบบเดียวกันกว่า 10 คดี ซึ่งคาดว่าผู้ก่อเหตุอาจจะเป็นบุคคลคนเดียวกัน

สน.วังทองหลาง จึงขอประชาสัมพันธ์ให้กับผู้เสียหายที่เคยถูกคนร้ายก่อเหตุด้วยกลอุบายในลักษณะดังกล่าวนี้ ให้เดินทางมาชี้ตัวผู้ต้องหา ณ สน.วังทองหลาง โทร. 02-1844339
หรือติดต่อ พ.ต.ท.อภิโชค ขนบดี รอง ผกก.สส.สน.วังทองหลาง
โทร.0616595649

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งชุดสืบเร่งติดตามแก๊งค์ผู้ต้องหาชาวจีนอุ้มเรียกค่าไถ่หนองปรือ กำชับเร่งออกหมายแดงอินเตอร์โพลตามจับคนร้ายหนีต่างประเทศ

จากกรณีเมื่อวันที่ 20 มี.ค.66 เวลา 9.00 น. เกิดเหตุผู้เสียหายชาวจีน 2 ราย ถูกแก๊งค์คนร้ายชาวจีนอุ้มขึ้นรถหลังจากส่งลูกไปโรงเรียน จากนั้นได้เรียกค่าไถ่จากสามีเป็นเงิน 5 แสนบาทโดยให้จ่ายเป็นเงินสกุล USDT ก่อนบินหลบหนีต่างประเทศ เหตุเกิดในพื้นที่ สภ.หนองปรือ ภ.จว.ชลบุรี ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอไปแล้วนั้น กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เร่งสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุในคดีดังกล่าวโดยเร็ว เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญที่ประชาชนทั้งชายไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.ภ.2, พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ กิจจาหาญ ผบก.ภ.จว.ชลบุรี และ พ.ต.อ.ทวี กุดแถลง ผกก.สภ.หนองปรือ เร่งสืบสวนจับกุมคนร้ายในคดีดังกล่าวมาดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด จากการสืบสวนทราบว่า การก่อเหตุครั้งนี้มีการเตรียมการวางแผนเป็นอย่างดี เชื่อว่าแก๊งค์คนจีนดังกล่าวได้วางแผนกันมาจากประเทศจีน โดยมีการตรวจสอบข้อมูลของผู้เสียหายมาก่อน จนทราบว่าผู้เสียหายมีการใช้ชีวิตประจำวันอย่างไร และมีทรัพย์สิน จากนั้นจึงได้บินมายังประเทศไทยจำนวน 4 ราย และเข้าพักที่โรงแรมในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อเตรียมการวางแผนเข้าก่อเหตุ โดยมีเครือข่ายคนจีนในประเทศไทยสนับสนุนรถยนต์เพื่อใช้ในการก่อเหตุ จากนั้นได้ย้ายไปพักในโรงแรมในพื้นที่เมืองพัทยาเพื่อเตรียมเข้าก่อเหตุจริง โดยมีการศึกษาเส้นทางและสะกดรอยผู้เสียหาย จากนั้นตามวันเวลาเกิดเหตุจึงได้เข้าก่อเหตุดังกล่าว โดยได้อุ้มผู้เสียหายขึ้นรถของตนที่เตรียมมา และได้ขับรถของผู้เสียหายไปทิ้ง จากนั้นได้พาผู้เสียหายไปที่บริเวณเขายายร้า อ.บ้านฉาง จ.ระยอง โดยมีการเตรียมอุปกรณ์ยังชีพในป่าไปด้วย จากนั้นจึงได้ส่งคลิปวิดีโอไปให้กับสามีของผู้เสียหายเพื่อเรียกเงินค่าไถ่ และหลังจากได้เงินตามที่ต้องการแล้ว เวลาประมาณ 13.00 น. จึงได้ปล่อยตัวผู้เสียหายโดยให้เดินกลับเอง ก่อนจะรีบจองตั๋วเครื่องบินกลับประเทศจีนโดยทันที หลังเกิดเหตุ ผู้เสียหายที่ถูกจับกุมตัวไปได้รับการช่วยเหลือโดยปลอดภัย และตำรวจสามารถสกัดการหลบหนีจนจับกุมตัวผู้ต้องหาได้จำนวน 1 ราย ที่สนามบินสุวรรณภูมิ จึงได้นำมาสอบถามและรวบรวมขยายผลจนสามารถขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหารวมทั้งสิ้น 4 ราย ประกอบด้วย

  1. นายหู ไฮ่หยาง (Mr.Hu Hai Yang) (จับกุมได้)
  2. นายเฉิน วาน (Mr.Chen Wan) (อ
  3. นายเฉิน ฮัว (Mr.Chen Hua)
  4. นายอิน ตง (Mr.Yin Dong)
    นอกจากนี้ จากการสืบสวนยังพบว่า ฝ่ายผู้เสียหายจำนวน 3 คน มีพฤติการณ์ในการเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย และให้มีการสืบสวนขยายผลเกี่ยวกับพฤติการณ์ต่อเนื่องว่า มีการเข้ามาในประเทศไทยเพื่อจุดประสงค์ใด หากพบการกระทำผิดเพิ่มเติมจะให้ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา มีการก่อเหตุในลักษณะที่เป็นแก๊งค์คนจีนเข้ามาอุ้มคนจีนเพื่อเรียกค่าไถ่มากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยเป็นอย่างมาก ท่าน ผบ.ตร.จึงได้สั่งการให้มาเร่งรัดการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุในคดีนี้โดยเร็ว ขณะนี้สามารถออกหมายจับผู้ก่อเหตุได้แล้วทั้งหมด 4 ราย จับกุมแล้ว 1 ราย ส่วนอีก 3 รายจะเร่งสั่งการ ตท. ประสานขอหมายแดงตำรวจสากล เพื่อประสานกับทางการจีนในการติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย เพื่อนำกลับมาดำเนินคดีที่ประเทศไทยต่อไป นอกจากนี้เจ้าหน้าที่สืบสวนยังพบข้อพิรุธบางอย่างของฝ่ายผู้เสียหาย เนื่องจากมีพฤติกรมหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย มีการรับรองบุตรจากหญิงชาวไทย เชื่อว่าอาจมีการว่าจ้างในการอุ้มบุญ นอกจากนี้ผู้เสียหายยังมีบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรชมพู) ดังนั้นจึงได้สั่งการให้ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง และให้เจ้าหน้าที่สืบสวนตรวจสอบข้อมูลโดยละเอียดว่า กลุ่มผู้เสียหายหลบหนีเข้ามาทำอะไร หากพบว่ามีการกระทำผิดกฎหมายเพิ่มเติมก็จะสั่งให้มีการดำเนินคดีโดยเด็ดขาดต่อไป ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติว่า ประเทศไทยสามารถมอบความปลอดภัยให้กับประชาชนได้ และให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาโดยถูกต้องเป็นอย่างดี

กรมศุลกากร ตรวจยึดยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ECSTASY) ซ่อนในถุงขนมช็อกโกแลตน้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 5.04 กิโลกรัม มูลค่า 5.5 ล้านบาท

กรมศุลกากรยึดยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ECSTASY) ซ่อนในถุงขนมช็อกโกแลต
นำเข้าจากต่างประเทศ น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 5.04 กิโลกรัม มูลค่า 5.5 ล้านบาท
ณ ศูนย์ไปรษณีย์กรุงเทพฯ หัวลำโพง ถนนจรัสเมือง แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากรมีภารกิจในการปกป้องสังคมให้ปลอดภัยจากยาเสพติด จึงเข้มงวดในการลักลอบเคลื่อนย้ายยาเสพติดข้ามชาติ ซึ่งที่ผ่านมาพบการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักรผ่านทางพัสดุไปรษณีย์อย่างต่อเนื่อง

โฆษกกรมศุลกากร กล่าวต่ออีกว่า สำหรับในวันนี้ (22 มีนาคม 2566) เวลา 09.00 น.
กรมศุลกากรตรวจพบพัสดุต้องสงสัยส่งทางไปรษณีย์ระหว่างประเทศ ต้นทางจากราชอาณาจักรสเปน จำนวน 1 หีบห่อ เจ้าหน้าที่ศุลกากร เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ ศรภ. กองบัญชาการกองทัพไทย ได้ร่วมกันเปิดตรวจพัสดุดังกล่าวร่วมกับพนักงาน บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด พบถุงขนมช็อกโกแลตยี่ห้อ BLANCO จำนวน 2 ถุง ถูกซีลปิดปากถุงมาสนิท 1 ถุง อีก 1 ถุงมีลักษณะปริแตก พบเม็ดยากระจายออกมามีลักษณะเป็นเม็ดสีน้ำตาล เจ้าหน้าที่จึงนำตัวอย่างเม็ดยาดังกล่าวไปทดสอบ
ด้วยน้ำยามาร์ควิส พบว่าทำปฏิกิริยากับน้ำยาทดสอบเปลี่ยนจากสีใสเป็นสีเทาและสีดำ จึงสันนิษฐานได้ว่าเม็ดยาดังกล่าว เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ยาอี (ECSTASY) จำนวน 9,220 เม็ด น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 5.04 กิโลกรัม มูลค่า 5,500,000.00 บาท

กรณีนี้ เป็นการนำของต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร อันเป็นความผิดตามมาตรา 244 และมาตรา 252 ประกอบมาตรา 60 และมาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ในข้อหา “นำยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ECSTASY) เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” เจ้าหน้าที่ฯ จึงได้ร่วมกันตรวจยึดพัสดุดังกล่าวเพื่อส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แถลงสรุปผลการดำเนินคดีเด็กสูญหาย พื้นที่ สภ.บางหลวง – ดำเนินคดีผู้ต้องหา 4 ราย

จากกรณีเมื่อวันที่ 5 ก.พ.66 เวลา 08.30 น. ได้มี น.ส.พิไลภรณ์ หรือนิ่ม อายุ 17 ปี และ นายสิทธิโชค หรือพุด อายุ 19 ปี แจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.บางหลวง ภ.จว.นครปฐม ว่า น้องต่อ อายุ 8 เดือน บุตรชายของตน ได้หายตัวออกจากบ้านไป โดยประสงค์ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนติดตามตัวกลับมาโดยปลอดภัย ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอไปแล้วนั้น หลังจากได้รับแจ้งเหตุดังกล่าว พ.ต.อ.สุธี วรรณสูตร ผกก.สภ.บางหลวง ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ และออกค้นหาตัวน้องต่อ ร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งจากการตรวจสอบได้พบข้อสงสัยมากมาย จึงได้รายงานผลต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ต่อมา พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ทำการสืบสวนติดตามกรณีดังกล่าวเพื่อทำความจริงให้ปรากฏและตามหาตัวน้องต่อกลับมาอย่างปลอดภัย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรง ผบช.ภ.7, พล.ต.ต.จักรกฤษ เครือสุนทรวานิช ผบก.ภ.จว.นครปฐม ร่วมกับ ผกก.สภ.บางหลวง เข้าตรวจพื้นที่โดยละเอียดอีกครั้งโดยให้ความสนใจในทุกประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์ของตัวบิดามารดา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เริ่มทำการตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุโดยละเอียดอีกครั้ง เช่น การตรวจสอบโถส้วมซึ่งพบรอยปูนใหม่ แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ ตรวจสอบบริเวณภายในบ้านที่เกิดเหตุ พบหมอนที่มีคราบเลือด นอกจากนี้ยังได้กำหนดพื้นที่ค้นหาเป็นระยะไข่แดง-ไข่ขาว รวมเส้นผ่านสูญกลางระยะประมาณ 10 กม. แต่ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ รวมทั้งยังได้นำเอาตัวพยานและผู้ต้องสงสัยมาสอบประกอบมากถึง 100 ปาก เพื่อสอบถามเกี่ยวกับสถานที่ที่อาจพบตัวน้องต่อได้ แต่ยังไม่พบเบาะแสเพิ่มเติม ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ก.พ.66 น.ส.พิไลภรณ์ ได้รับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ตนได้อุ้มน้องต่อแล้วมิได้ระมัดระวัง เป็นเหตุให้น้องต่อร่วงกระแทกพื้นจนถึงแก่ความตาย ตนจึงได้นำร่างของน้องต่อไปไปทิ้งที่บริเวณแม่น้ำท่าจีน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ลงตรวจสอบภายในแม่น้ำท่าจีนและขุดลอกแม่น้ำเป็นระยะทางมากกว่า 10 กม. แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้นำตัว น.ส.พิไลภรณ์ และนายสิทธิโชค รวมทั้งผู้ต้องสงสัยไปตรวจเปรียบเทียบพบว่า ดีเอ็นเอของนายสิทธิโชคไม่ตรงกับน้องต่อ จึงได้สืบสวนเพิ่มเติมจนพบข้อเท็จจริงว่า นายสิทธิโชค ได้มีการพาเอา น.ส.พิไลภรณ์ ไปแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศ โดยมีผู้ซื้อบริการจำนวน 1 ราย ได้แก่ นายณัฐวุฒิ (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี จากผลการสืบสวนทั้งหมดนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดรวม 4 ราย ประกอบด้วย 1. น.ส.นิ่ม (นามสมมติ) อายุ 17 ปี ดำเนินคดีฐาน กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, กระทำใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อม ในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรเสร็จสิ้น และรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นแจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน 2. นายสิทธิโชค (สงวนนามสกุล) อายุ 19 ปี ดำเนินคดีฐาน เพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงอายุ 15 ปีแต่ยังไม่เกิน 18 ปี และเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นเป็นธุระจัดหา ล่อไป ชักพาฯ 3. นายสุรชัย (สงวนนามสกุล) อายุ 55 ปี ดำเนินคดีฐาน กระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตนโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม กระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม 4. นายณัฐวุฒิ (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี ดำเนินคดีฐาน พรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปีแต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วยเพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนและประชาชนเป็นอย่างมาก เนื่องจากการค้นหาตัวน้องต่อนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก ทั้งจากการให้การที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง รวมทั้งการพิสูจน์ข้อสงสัยทั้งหมดให้ข้อเท็จจริงปรากฏ และการตรวจสอบพื้นที่ในวงกว้างทั้งหมดเพื่อค้นหาร่องรอยที่อาจทำให้พบตัวน้องต่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามค้นหาและสืบสวนติดตามอย่างเต็มความสามารถ รวมทั้งยังได้สืบสวนขยายผลจับกุมในข้อเท็จจริงที่พบเกี่ยวกับการนำเอาแม่น้องต่อไปแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศ จึงได้สั่งดำเนินคดีตามกฎหมายตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ เพื่อสามารถตอบคำถามให้กับสังคมได้ และให้มีความมั่นใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

มิจฉาชีพเปลี่ยนรูปแบบหลอกหลอนชาวบ้านไม่พักเลย


สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วย ผบ.ตร./หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พร้อมด้วยคณะทำงาน ได้ร่วมกันนำเสนอสถิติการรับแจ้งความออนไลน์รอบสัปดาห์และภัยที่เกิดขึ้นใหม่ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้มีภูมิป้องกันภัยออนไลน์ ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (12-18 มี.ค.2566) รวมทั้งสัปดาห์มีผู้แจ้งความ 4,291 เคส/351,191,412.31 บาท สถิติการรับแจ้งลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 1,496 เคส/26,093,473.69 บาท โดยสถิติการรับแจ้งความคดีออนไลน์มากที่สุดยังเป็นคดีเดิมๆ 5 อันดับ ได้แก่ อันดับ 1) คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า 1,500 เคส/14,003,677.05 บาท 2) คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อหารายได้จากการทำกิจกรรม 578 เคส/71,469,279.03 บาท 3) คดีหลอกลวงทางโทรศัพท์ที่เป็นขบวนการ(call center) 529 เคส/65,547,808.73 บาท 4) คดีหลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน 429 เคส/17,113,573.64 บาท และ 5) คดีหลอกเป็นบุคคลอื่นเพื่อยืมเงิน 236 เคส/10,637,571.37 บาท
ภัยออนไลน์ที่น่าสนใจและเกิดขึ้นมากในรอบสัปดาห์ เรื่องที่ 1 คือ คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า นม Thai-Denmark โดยมิจฉาชีพสร้างเพจ Facebook “Thai-Denmark นมไทยแท้ ส่งทั่วไทย” คล้ายของจริง เมื่อมีผู้หลงเชื่อมาสอบถามเพื่อขอซื้อนม เพจจะให้ผู้หลงเชื่อโอนเงินให้ก่อน แล้วปิดเพจหนีไป จุดสังเกตุ ของปลอม พบการกดปุ่มโกรธ(angry)จำนวนมาก สถานะของเพจเป็นอสังหาริมทรัพย์ เพิ่งเปิดเพจ และผู้จัดการเพจอยู่ต่างประเทศ ส่วน ของแท้ เป็นธุรกิจท้องถิ่น และ เปิดมานานและผู้จัดการเพจอยู่ประเทศไทย จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนควรสงสัยไว้ก่อนว่าของดีและถูกเกินกว่าราคาตลาดมากๆ และบัญชีรับโอนเงินบุคคลธรรมดา น่าจะหลอกลวง
เรื่องที่ 2 คดีแก๊งคอลเซนเตอร์ติดต่อร้านอาหารผ่านแอปพลิเคชันไลน์หลอกสั่งข้าวกล่อง และโอนมัดจำให้ร้านค้าก่อน วันต่อมา คนร้ายได้โทรศัพท์บอกให้ร้านอาหารสั่งชุดอาหารพิเศษเพิ่ม 7 ชุด และส่ง QR Code มาให้ร้านแอด และบอกว่าจ่ายเงินเพิ่มให้ภายหลัง และอ้างด้วยว่าเป็น QR Code แอดไลน์เท่านั้น แต่เมื่อแสกน QR Code พบว่า หน้าจอค้าง เจ้าของโทรศัพท์จึงรีบเข้าแอปฯ ธนาคาร เพื่อโอนเงินออกไปบัญชีอื่นก่อน และปิดเครื่อง จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ตรวจสอบแหล่งที่มาของ QR Code ให้ดีก่อนที่จะ Scan หรือโอนเงิน
เรื่องที่ 3 คดีกลรักออนไลน์(Romance Scam) ถูกหลอกซ้ำซ้อน คือหลอกให้โอนเงิน 2 ครั้ง และหลอกให้ผู้เสียหายเปิดบัญชีม้าโดยไม่รู้ตัว เรื่องนี้คนร้ายได้ติดต่อพูดคุยกับผู้เสียหายทาง Facebook จากนั้นอ้างว่าอยากจะมาอยู่เมืองไทย มาใช้ชีวิตคู่กับผู้เสียหาย และส่งสินค้ามีค่ามาให้ โดยให้ผู้เสียหายโอนเงินชำระภาษี ถือเป็นการหลอกให้โอนเงินรอบแรก จากนั้นจะหลอกว่าต้องการทำธุรกิจร่วมกับผู้เสียหาย แล้วให้ผู้เสียหายเปิดบัญชีไว้สำหรับการลงทุน จากนั้นคนร้ายได้หลอกผู้เสียหายคนที่ 2 และให้โอนเงินเข้าบัญชีผู้เสียหายคนแรก และให้ผู้เสียหายคนแรก ซื้อเหรียญคลิปโตให้คนร้าย ทำให้ผู้เสียหายคนแรก กลายเป็นผู้ต้องหาในคดี จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบ รู้เท่าทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อของคนร้าย

ด้วยความปรารถนาดีจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (PCT)

คดีหลอกลวงซื้อขายผลิตภัณฑ์สินค้า
“Thai-Denmark นมไทยแท้ ส่งทั่วไทย”
กลโกง จุดสังเกต วิธีป้องกัน

  1. สร้างเพจ Facebook ขึ้นมาโดยใช้ชื่อ รูปโปรไฟล์ รูปปก ที่อยู่ ข้อความแนะนำ ใกล้เคียงกับเพจ “Thai-Denmark” ที่เป็นของจริง
  2. สร้างเป็นเพจ Facebook หรือซื้อโฆษณาเพจเพื่อให้คนเห็นได้จากระบบอินเตอร์เน็ต
  3. เมื่อมีผู้หลงเชื่อมาสอบถามเพื่อขอซื้อ เพจจะให้ผู้หลงเชื่อโอนเงินให้ก่อน
  4. เมื่อถึงวันรับสินค้า เหยื่อจะส่งข้อมูลไปสอบถาม คนร้ายจะถ่วงเวลา
  5. เปลี่ยนเป็นเพจใหม่ เพื่อหลอกขายเช่นเดิมไปเรื่อยๆ ของปลอม
    1.พบการกดปุ่มโกรธ(angry)จำนวนมาก
    2.สถานะของเพจเป็นอสังหาริมทรัพย์
  6. เพิ่งเปิดเพจ และผู้จัดการเพจอยู่ต่างประเทศ
    ของแท้
    1.สถานะของเพจเป็นธุรกิจท้องถิ่น
  7. เปิดมานานและผู้จัดการเพจอยู่ประเทศไทย
  8. ตรวจสอบเพจ Facebook ให้แน่ใจก่อนซื้อ โดยกด “เกี่ยวกับ” “ความโปร่งใส” ก็จะเห็นว่าเปิดมานานเท่าใด ผู้จัดการเพจอยู่ประเทศไทยหรือไม่(อยู่ต่างประเทศ ควรหลีกเลี่ยง)
  9. ดูช่องกดไลค์(มีเครื่องหมาย “โกรธ” ดูโพสต์เป็นหลัก อย่าดูด้านใต้ชื่อเพียงอย่างเดียว เพราะสามารถซื้อ “ไลค์” ได้
  10. ลองนำชื่อเพจนั้น ไปใส่ช่องค้นหาใน Facebook ว่ามีเพจอื่นอีกหรือไม่ แล้วนำมาเปรียบเทียบกันดูว่า เพจไหนจริง/ปลอม
  11. “ของดีและถูกเกินกว่าราคาตลาดมากๆ” ให้สงสัยไว้ก่อนว่าหลอกลวง
  12. บัญชีรับโอนเงินควรเป็นบัญชีชื่อร้าน หากเป็นบัญชีบุคคลธรรมดา ให้สงสัยไว้ก่อนว่าหลอกลวง

คอลเซ็นเตอร์หลอกสั่งข้าวกล่อง
(ให้ Scan QR Code เพื่อควบคุมเครื่อง)
กลโกง จุดสังเกต วิธีป้องกัน

  1. คนร้ายติดต่อร้านอาหารผ่านแอปพลิเคชันไลน์ หลอกสั่งข้าวกล่องจำนวน 100 กล่อง เพื่อนำไปจัดเลี้ยงประชุม และโอนมัดจำมาก่อน 2,000 บาท
  2. คนร้ายโทรศัพท์บอกให้ร้านอาหารสั่งชุดอาหารพิเศษเพิ่ม 7 ชุดและบอกว่าจะจ่ายเงินเพิ่มให้ภายหลัง จากนั้นส่ง QR Code มาให้ร้านแอด โดยอ้างว่าเป็น QR Code แอดไลน์เท่านั้น
  3. เมื่อสแกน QR Code แล้ว คนร้ายจะควบคุมเครื่องโทรศัพท์ เพื่อถอนเงินหรือติดตามการทำงาน
  4. บัญชีไลน์ที่ใช้ในการหลอก อาจมีผู้ใช้มากกว่า 1 คน เนื่องจากในแชทมีคำลงท้ายทั้งครับและค่ะ
  5. QR Code ปลอมใช้โลโก้ไลน์แปะไว้ตรงกลาง ซึ่งทำให้มีผู้หลงเชื่อว่าเป็น QR Code ไลน์จริง จนสามารถหลอกผู้เสียหายได้
  6. QR Code ปลอมไม่ได้เชื่อมต่อเพื่อเพิ่มเพื่อนผ่านไลน์ แต่เป็นการแฝงลิงก์ดาวน์โหลดมัลแวร์แบบอัตโนมัติ 1. ใช้โปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นที่สามารถระบุได้ว่าเป็นลิงก์ปลอม
  7. เมื่อสแกนแล้ว มีการปรากฏลิงก์แปลกปลอม หรือไม่น่าเชื่อถือ อย่ากดเข้าไป
  8. หากเข้าเว็บแปลกปลอมหลังจากสแกนไปแล้ว ให้รีบออกทันที
  9. มีสติ ปิดเครื่อง ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตและมือถือทันที หากมีการติดตั้งแอปพลิเคชั่นที่เป็นอันตรายลงไป
  10. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคู่บัญชีที่ทำธุรกรรมนั้น ได้ทำการซื้อขายสินค้าจริงหรือไม่

คดี Romance Scam หลอกซ้ำซ้อน
กลโกง จุดสังเกต วิธีป้องกัน

  1. แก๊งกลรักออนไลน์ (Romance Scam) ได้ติดต่อพูดคุยกับผู้เสียหายทาง Facebook และเว็บไซต์หาคู่ จากนั้นอ้างว่าอยากจะมาอยู่เมืองไทย มาใช้ชีวิตคู่กับผู้เสียหาย จะส่งสินค้ามีค่ามาให้
  2. คนร้ายให้ผู้เสียหายโอนเงินเพื่อชำระภาษี และได้เงินจากผู้เสียหายรอบแรก
  3. คนร้ายจะหลอกว่าต้องการทำธุรกิจร่วมกับผู้เสียหาย แล้วให้ผู้เสียหายเปิดบัญชีไว้สำหรับการลงทุน
  4. คนร้ายไปหลอกผู้เสียหายคนที่ 2 และให้โอนเงินเข้าบัญชีผู้เสียหายคนแรก
  5. คนร้ายให้ผู้เสียหายคนแรก ซื้อเหรียญคริปโตให้คนร้าย บัญชีผู้เสียหายคนแรก กลายเป็นบัญชีม้า (ใช้บัญชีผู้อื่นไปรับโอนเงินจากผู้กระทำผิด) 1. มิจฉาชีพมักจะใช้รูปโปรไฟล์ชาวต่างชาติที่มีหน้าตาดีหรือมีประวัติการทำงานที่ดีและมั่นคง ซึ่งข้อมูลและรูปเหล่านี้ได้มาจากหลายๆ แหล่งในอินเทอร์เน็ต
  6. เมื่อมิจฉาชีพสามารถสร้างความเชื่อถือให้กับผู้เสียหายได้แล้ว ก็จะหลอกให้ผู้เสียหายเปิดบัญชีเพื่อลงทุนหรือเทรดเงินคริปโต
  7. มิจฉาชีพที่ใช้กลโกงลักษณะนี้มักมีการหลอกให้โอนเงินโดยอ้างว่าชำระค่าภาษี
  8. ต้องตรวจสอบตัวตนของคนในโลกโซเชียล เนื่องจากคนร้ายสามารถปลอมแปลงตัวตน รูปภาพ ฯลฯ เพื่อให้เหยื่อหลงเชื่อว่าเป็นของจริง อาจตรวจสอบโดยการโทรพูดคุยผ่าน messenger หรือโทรศัพท์ปกติ เพื่อสังเกตุสำเนียงการใช้ภาษาพูดว่าเป็นบุคคลที่กล่าวอ้างหรือไม่
    2.ถ้ามีการให้เปิดบัญชีเพื่อลงทุนหรือเทรดเงินคริปโตหลังจากสร้างความเชื่อมั่นในระยะเวลาไม่นาน ให้ปฏิเสธ และปิดกั้นการสนทนา
  9. การหาคู่รักผ่านทางออนไลน์ โอกาสประสบความสำเร็จในด้านความรักจริงน้อยกว่าแบบทั่วไป
  10. ควรเรียนรู้และกระทำการลงทุนหรือเทรดเงินคริปโตด้วยตนเอง ไม่ต้องมีผู้ใดมาสอนให้
  11. ควรมีสติทุกครั้ง เวลากระทำการธุรกรรมใดๆ กับบุคคลที่สามที่ไม่รู้จัก

ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566

  1. พ.ร.ก.นี้กำหนดให้ผู้เสียหายสามารถติดต่อธนาคารเพื่อระงับธุรกรรมของบัญชีต้องสงสัยชั่วคราวได้
    โดยตรงทันที จากนั้นจึงไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน
    2.กรณีธนาคารพบธุรกรรมต้องสงสัย สามารถระงับธุรกรรมชั่วคราว แล้วส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ
    ตรวจสอบ
    3.ผู้เสียหายจะร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจใด หรือที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรม
    ทางเทคโนโลยีก็ได้ และพนักงานสอบสวนผู้รับคำร้องทุกข์เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ โดยผู้เสียหายต้องแจ้งความร้องทุกข์ภายใน 72 ชม. และพนักงานสอบสวนจะรวบรวมพยานหลักฐานแจ้งกลับไปยังธนาคารของบัญชีนั้น ภายใน 7 วัน เพื่อยืนยันการระงับธุรกรรมของบัญชีนั้น
    4.ให้อำนาจ เจ้าหน้าที่ตำรวจ DSI ปปง. มีอำนาจนำข้อมูลต้องสงสัยไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่เป็น
    ความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562
    บทกำหนดโทษ
    ฐานความผิด อัตราโทษ
    เปดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก(บัญชีมาหรือซิมม้า) โดยรูหรือควรรูวาจะนําไปใช ในการกระทําความผิด มีโทษจําคุกไมเกิน 3 ป ปรับไมเกิน 300,000 บาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ

เป็นธุระ จัดหา โฆษณา หรือไขข่าว เพื่อให้มีการ ซื้อขายบัญชี(บัญชีม้าหรือซิมม้า) เพื่อใช้ในการกระทําความผิด จําคุกตั้งแต่ 2 ถึง 5 ปี ปรับตั้งแต่ 200,000 ถึง 500,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
เป็นธุระ จัดหา โฆษณา หรือไขข่าว เพื่อให้มีการ ซื้อขายหมายเลขโทรศัพท์ซึ่งลงทะเบียนในนามบุคคลอื่นแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้จริงได้ จําคุกตั้งแต่ 2 ถึง 5 ปี ปรับตั้งแต่ 200,000 ถึง 500,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

ยังไม่จบ! บิ๊กอู๊ด ลุยต่อเนื่องจับแก๊งยาเสพติดภาคใต้ สั่งภูธรภาค 8 เปิดยุทธการ “สยบอันดามัน 1/66” จับแก๊งยาครั้งใหญ่กว่า 300 คน

วันที่ 21 มีนาคม ที่ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 (บช.ภ.8) จ.ภูเก็ต พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8 พล.ต.ต.พีรยุทธ การะเจดีย์ รอง ผบช.ภ.8 พล.ต.ต.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ รอง ผบช.ภ.8 พล.ต.ต.เสริมพันธุ์ ศิริคง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พล.ต.ต.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน บก.สส.ภ.8 พ.ต.อ.เธียรวิโรฒ เชี่ยวชาญ รอง ผบก.อก.ภ.7 พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก.วจ.สยศ.ตร. และ พ.ต.อ.จารุพันธ์ เสริมพงศ์ รอง ผบก.อฎ. ร่วมกันแถลงข่าว ตำรวจภูธรจังหวัดในสังกัดภูธรภาค 8 รวม 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน เปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติด ตามยุทธการ “สยบอันดามัน 1/66” เพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติด และยึดทรัพย์เครือข่ายกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ให้เป็นรูปธรรม และมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวนมาก

พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวว่า ยุทธการ “สยบอันดามัน 1/66” สืบเนื่องจาก พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร. สั่งการให้กวาดล้างคดียาเสพติดในพื้นที่ภาคใต้ ตนจึงสั่งการให้ตำรวจภูธรภาค 8 ซึ่งประกอบด้วย ตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร สุราษฎธานี นครศรีธรรมราช ระนอง กระบี่ พังงา และภูเก็ต เปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเครือข่ายยาเสพติดที่จะทำลาย จำนวน 247 เครือข่าย เป้าหมายการปิดล้อมตรวจค้น
จำนวน 516 เป้าหมาย แบ่งเป็นเป้าหมายการตรวจคัน 468 เป้าหมาย และเป้าหมายเพื่อจับ จำนวน 48 เป้าหมาย

พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวต่อว่า ผลการปฏิบัติสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ จำนวน 320 ราย แบ่งเป็นหมายจับ จำนวน 18 ราย ยึดของกลาง ยาบ้า 87,576 เม็ด และไอซ์ 196.51 กรัม ตรวจยึดทรัพย์สิน จำนวน 174 รายการ ประกอบด้วย รถยนต์ จำนวน 9 คัน รถจักรยานยนต์ จำนวน 9 คัน บ้านพร้อมที่ดิน จำนวน 2 หลัง อาวุธปืนจำนวน 96 กระบอก และอื่นๆ อีกจำนวน 154 รายการ รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึด ประมาณ 41,300,572 บาท โดยตนได้สั่งการให้มีการขยายผลและตรวจสอบเส้นทางทางการเงิน เพื่อสืบสาวให้ถึงตัวการรายใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อตัดวงจรยาเสพติดต่อไป

ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวต่อว่า ขณะนี้กำลังเชื่อมโยงข้อมูลของเครือข่ายกลุ่มค้ายาเสพติดต่างๆในพื้นที่ภาคใต้เพื่อทำให้เห็นโครงสร้างของทั้งขบวนการซึ่งจะทำให้การปราบปรามยาเสพติดมีประสิทธิภาพมากขึ้น สาเหตุที่เน้นในพื้นที่ภาคใต้เนื่องจากว่าภาคใต้เป็นเส้นทางสำคัญในการลำเลียงยาเสพติดไปยังประเทศที่สามและส่วนหนึ่งมีการแบ่งจำหน่ายในพื้นที่ ขณะเดียวกันยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของชาวต่างชาติ ส่วนจะมีชาวต่างชาติเกี่ยวพันกับขบวนการค้ายาเสพติดด้วยหรือไม่นั้น ทราบว่าขณะนี้ พล.ต.ต.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน บก.สส.ภ.8 กำลังสืบสวนหาข่าว โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.ภูเก็ต ก็กำลังสืบสวนหาข่าวหากพบความเกี่ยวข้องก็จะดำเนินการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องทันที.

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งดำเนินคดีเด็ดขาด เจ้าหน้าที่ ตม. อุ้มชาวจีนรีดเงินกว่า 10 ล้านบาท

​จากกรณีเมื่อวันที่ 20 มี.ค.66 ได้มี น.ส.นามี แซ่ลี อายุ 38 ปี ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สน.ดินแดง กรณีถูกกลุ่มชายฉกรรจ์อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง อุ้มขึ้นรถพร้อมเพื่อนชาวจีนเรียกเงินกว่า 10 ล้านบาทเพื่อแลกกับการปล่อยตัว ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอไปแล้วนั้น
​กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สืบสวนติดตามจับกุมกลุ่มผู้ก่อเหตุในคดีดังกล่าวโดยเร่งด่วน เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่อาจมีเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำผิด และเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนและประชาชน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการชุดสืบสวนให้เร่งสืบสวนติดตามจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาดังกล่าว นำมาดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด
​จากการสืบสวนพบว่า เมื่อวันที่ 10 มี.ค.66 ขณะที่ผู้เสียหายและเพื่อนชาวจีนกำลังกลับบ้านภายในซอยตระกูลสุข แขวง/เขตดินแดง กทม. ได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์ประมาณ 5 คน ขับรถจำนวน 3 คัน มาจอดที่หน้าบ้าน แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจขอตรวจสอบเอกสารประจำตัว และได้เชิญตัวทั้งสองคนขึ้นรถมุ่งหน้าไปยังศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ระหว่างอยู่ในรถกลุ่มชายดังกล่าวได้พยายามเจรจาเพื่อให้เพื่อนของผู้เสียหายจ่ายเงินเพื่อแลกกับการปล่อยตัว โดยเรียกเงินแปลงเป็นเงินไทยถึง 10 ล้านบาท และให้ผู้เสียหายซื้อเป็นเงินสกุล USDT แล้วโอนให้กับผู้ต้องหา ระหว่างพูดคุยได้มีการขับรถวนภายในพื้นที่แจ้งวัฒนะ ก่อนที่เพื่อนของผู้เสียหายจะยินยอมจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว และถูกปล่อยตัวที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ
​เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสอบปากคำผู้เสียหาย และรวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและออกหมายจับได้จำนวน 4 ราย ประกอบด้วย
​1. พ.ต.ต.สรวิศ อินทร์ลับ สว.กก.สืบสวน บก.ตม.1
​2. พ.ต.ต.จิรภัทร บุญนำ สว.กก.สืบสวน บก.ตม.1
​3. ร.ต.ท.สุริยะ รุกขชาติ รอง สว.สืบสวน บก.ตม.1
​4. ด.ต.พีระศักดิ์ ยิ้มไพบูลย์ ผบ.หมู่ สืบสวน บก.ตม.1
​โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น และเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
​พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำผิด โดยมีพฤติการณ์ในการอุ้มผู้เสียหายไปข่มขู่เรียกรับผลประโยชน์เพื่อแลกกับการปล่อยตัวให้พ้นจากการจับกุม ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่พึงกระทำ จึงได้สั่งการให้ชุดสืบสวนติดตามจับกุมเพื่อนำตัวมาดำเนินคดีโดยเด็ดขาด นอกจากนี้ยังได้สั่งการให้สืบสวนขยายผลเพิ่มเติม หากพบมีผู้ที่เกี่ยวข้องในการกระทำผิดอีกก็จะนำตัวมาดำเนินคดีโดยไม่มีละเว้น

“รองต่อ” สนธิกำลัง ปูพรม 36 จุด 4 จังหวัด ทลายรังคอลเซ็นเตอร์ อ้างเอฟบีไอตุ๋นเหยื่อมะกันสูญ 3 พันล้าน

“รองต่อ” สนธิกำลังคอมมานโด-ตำรวจไซเบอร์-สตม. จับมือเอฟบีไอ-ยูเอสซีเคร็ท เซอร์วิส ปูพรม 36 จุดใน 4 จังหวัด ทลายรังคอลเซ็นเตอร์อ้างเอฟบีไอตุ๋นเหยื่อมะกันสูญ 3 พันล้าน

เมื่อวันที่ 21 มี.ค.พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. สั่งการให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ และคณะเกี่ยวข้อง พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ และยูเอสซีเคร็ท เซอร์วิส ,สนธิกำลังตำรวจบช.สอท. บก.ตม.3 ชุดปฎิบัติการพิเศษคอมมานโด ตำรวจชลบุรี และปปง. เปิดปฎิบัติการทลายรังคอลเซ็นเตอร์ ปิดล้อมตรวจค้น 36 เป้าหมาย ในพื้นที่ จ.ชลบุรี จ.ระยอง จ.สมุทรปราการ และ จ.ร้อยเอ็ด
.
โดยจุดที่น่าสนใจเป็นการตรวจค้นบ้านเลขที่ 388/53 หมู่ 10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งบ้านดังกล่าวมีลักษณะเป็นบ้านเดี่ยวหนึ่งชั้น จากการตรวจสอบพบ เอกสารหลักฐาน อาทิ สมุดบัญชีธนาคาร จำนวนมาก โทรศัพท์มือถือกว่า 10 เครื่อง รถยนต์ 4 อาวุธปืน1 กระบอกพร้อมเครื่องกระสุน พร้อมกันนี้ได้เชิญตัวเจ้าของบ้าน ซึ่งเป็นชายชาวอินเดีย พร้อมกับหญิงคนไทย 3 คน มาทำการสอบปากคำ

กัน จอมพลัง พาผู้เสียหาย ร้องบิ๊กโจ๊ก กรณีโดนกระทำอนาจาร

คุณกัน จอมพลังพาพ่อแม่ นักเรียน มาร้องเรียนเรื่องนักเรียนถูกครูกระทำอนาจาร โดยการจับหน้าอก เหตุเกิดในเขตพื้นที่ สน.บางเขน

เที่ยงวัน ครูแสบโรงเรียนดังย่านบางเขนบุกบ้านเด็กนักเรียน อายุ 14 ปี หวังให้ลบคลิปอนาจาร

–โปรย–

วันนี้เวลา 10.00 น. นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง พร้อมพ่อแม่เยาวชนอายุ 14 ปี กระทรวงพัฒนาสังคม นักสังคมสงเคราะห์ เดินทางมาพบ พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊ก ที่โรงแรม พูแมน แบ็งค๊อก คิงพาวเวอร์ เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ซึ่งเด็กนักเรียนหญิง ม.ต้น อายุ 14 ปี ถูกครูทำอนาจารในโรงเรียนชื่อดังย่านบางเขน ซ้ำครูบุกมาถึงบ้าน พยายามให้น้องลบคลิปวีดีโอ น้องรีบส่งเรื่องหา กัน จอมพลัง เวลา 18.00 นาที กันจอม พลังและทีมงานเข้าช่วยเหลือพร้อมประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผกก.สน บางเขน เข้าช่วยเหลือครอบครัวให้ออกนอกพื้นที่เพื่อความปลอดภัยของเด็กนักเรียน แต่พอไปถึง มีชาวบ้านมาดักรอเป็นจำนวนมาก เกรงว่าครูจะถูกรุมประชาทันฑ์ รอเจ้าหน้าที่ตำรวจเกือบชั่วโมง แต่ก็ไม่มา

จึงได้มีการพาตัวเด็กอายุ 14 ออกนอกพื้นที่ จากนั้นได้นำตัวครูผู้ก่อเหตุ ออกนอกพื้นที่ด้วยเช่นกัน แต่ระหว่างนั้นมีชาวบ้านเข้ามารุมประชาทัณฑ์ ทีมงาน กัน จอมพลังจึงเอาตัวช่วยบังแล้วถูกลูกหลงได้รับบาดเจ็บซึ่ง พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊ก ซึ่งท่านลงมานับเรื่องได้ตนเอง

//ปล่อยภาพนิ่ง ins. กัน จอมพลัง หน่วยงาน ผู้สื่อข่าวเที่ยงวัน \

ทางด้านของนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง กล่าวว่า อยากให้ท่านบิ๊กโจ๊กช่วยเหลือครอบครัวของน้องที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งหลังจากทราบเรื่องตนพยายามประสานไปที่ สน.บางเขน ว่าครูกระทำอนาจารน้องที่โรงเรียนและบุกมาถึงบ้านน้อง ซึ่งทำให้พ่อแม่และน้องตกใจไม่รู้ว่าครูเอาข้อมูลที่อยู่มาจากไหน พ่อแม่ให้กลับบ้าน ครูไม่ยอมกลับ ซึ่งตนได้ประสาน สถานีตำรวจ นักข่าว และ ส.ก. สภากรุงเทพมหานครในพื้นที่ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มา จนทำให้ครูถูกรุมประชาทัณฑ์ ทีมงานถูกรุมทำร้าย คุณพ่อคุณแม่อยู่ไม่ได้กลัวว่าครูจะกลับมาตนจึงพาครอบครัวไปเช่าโรงแรมอยู่ข้างนอก ซึ่งทำให้ตนรู้สึกว่าพึ่งพา สน.บางเขน ลำบากจึงมาให้ท่านบิ๊กโจ๊กช่วยเหลือและเมตตาน้อง

CG : นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง

ทางด้านของพ่อเอและแม่บี พ่อแม่ของน้องได้เล่าเหตุการณ์ว่า เมื่อวานช่วงเที่ยง ลูกโทรมาบอกโดนคุณครูจับหน้าอก ของลับ ซึ่งตนเองยังไม่เชื่อ เนื่องจากเป็นคุณครูที่พ่อแม่ฝากฝังให้คุณครูดูแล ซึ่งเป็นอาจารย์ปกครองไม่เชื่อว่าคุณครูที่ตนฝากฝังจะทำกับเด็กได้ พอช่วงเย็นขับรถกลับมา ครูมาถึงที่บ้าน มายกมือไหว้ขอโทษพ่อและแม่
ซึ่งครูบอกว่าแค่ถูกเนื้อต้องตัวน้อง เป็นการผิดพลาด ทำให้ตนคิดว่าคงไม่มีอะไรมาก ตนจึงเอาน้ำมาให้ครูตามปกติ

แต่พอคุณกัน จอมพลัง มาถึงเนื่องจากลูกเป็นคนติดต่อน้อง จึงได้เปิด คลิปวีดีโอให้ดู ทำให้ตนรู้สึกว่ามันเกินกว่าเหตุถึงขั้นละเมิดของลับน้อง ตอนนั้นตนเองรู้สึกโมโหเป็นอย่างมากและพยายามให้คุณครูกลับบ้านไป แต่คุณครูไม่ยอมกลับ ซึ่งตนมองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ร้ายแรงมาก และจะไม่ยอมความ

ซึ่งคุณครูมีพฤติกรรมเข้าถึงตัวเด็กนักเรียน ซึ่งเด็กบางคนไม่ชอบเข้าใกล้คุณครูท่านนี้ น้องเล่าว่ามีรุ่นพี่ถูกล้วงละเมิดเช่นกัน

CG : พ่อเอ แม่บี

โดย พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก กล่าวว่าสำหรับในเรื่องนี้ ต้องทำให้เร็วและชัดเจน ต้องเรียนตามตรงว่าเรื่องครูกับนักเรียนเกิดขึ้นเยอะต่อสังคมไทยมาก กรณีเกิดเหตุแบบนี้จะมีการหารือกับท่านปลัดกระทรวงศึกษาธิการว่า ในกรณีแบบนี้ผู้อำนวยการโรงเรียนต้องรับผิดชอบด้วยหรือไม่ ซึ่งต้องเอาผู้อำนวยการโรงเรียนมารับผิดชอบด้วย ซึ่งพอเกิดเหตุขึ้นแล้วก็ไม่มีใครออกมารับผิดชอบ

สิ่งสำคัญพ่อแม่ต้องเป็นกำลังใจ เมื่อลูกถูกกระทำพ่อแม่ต้องออกมาดำเนินคดี

ในส่วนของเรื่องความปลอดภัยจะกำชับผู้กำกับในท้องที่และเอาชุดสืบสวนของศูนย์กลาง รวบรวมพยายหลักฐานและออกหมายจับ

ส่วนครูจะคุยกับ ผอ.โรงเรียน ต้องสั่งพักงานคุณครูคนนี้ไว้ก่อน และต้องดำเนินคดีโดยเด็ดขาด ซึ่งวันนี้จะดำเนินการเลยทันที

CG : พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก

ทางด้านของกรมคุ้มครองสิทธิ์กระทรวงยุติธรรม ในเรื่องของการเยี่ยวยา และความปลอดภัยของน้อง หากต้องการมั่นใจมากขึ้น จะมีชุดคุ้มครองพยานมากขึ้นก็พร้อมให้ความช่วยเหลือ
ทางพัฒนาสังคม ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของการเยียวยาสภาพจิตใจ เบื่องต้นได้พูดคุยกับเยาวชน เนื่องจากบาดแผลทางจิตใจหายยากต้องใช้เวลา

ต่อมาทีมข่าวได้สัมภาษณ์ นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง เปิดเผยให้ทีมข่าวฟังว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากที่ได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือจากครอบครัวเด็กอายุ 14 ปี ซึ่งแจ้งมาว่าครูที่ทำอนาจารบุกมาที่บ้านของนักเรียนหวังให้ลบคลิปวีดีโอ ตนรีบเดินทางไปหาน้อง พร้อมประสานไปยัง ผกก.สน.บางเขน รับปากว่าจะลงพื้นที่มาช่วยเหลือ แต่พอไปถึงทุกคนรอเจ้าหน้าที่นานกว่า 1 ชั่วโมง แล้วนะหว่างนั้นชาวบ้านเริ่มทยอยมา ตนเกรงว่าครูที่ลวนลามเด็กจะถูกรุมประชาทัณฑ์จึงรีบน้ำตัวออกนอกพื้นที่แต่ทีมงานของตนกลับถูกลูกหลงจนได้รับบาดเจ็บ ตนขอตำหนิ ผกก.สน.บางเขน ซึ่งหากตนไม่ได้ไปไม่คาดคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากเจรจากับครูไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้น ครอบครัวของน้องจะอยู่อย่างไร จะนอนหลับหรือไม่ หากเกิดความรุนแรงขึ้นมาจะทำอย่างไร ในขณะที่ตนเอาน้องขึ้นรถแล้ว ครูจะกลับบ้านเกิดเหตุรุมประชาทัณฑ์ทีมงานของตนต้องเข้าไปบังครูจึงถูกคนอื่นรุมต่อยรุมเตะแทน อยากถามว่านี้เป็นยุคที่ประชาชนต้องดูแลกันเองแล้วหรือ หากท่านมีอำนาจมีหน้าที่ดูแลปกป้องประชาชน แต่ท่านไม่ใช้ ท่านจะดูแลประชาชนอย่างไร ตนมองว่าเรื่องของเยาวชนเป็นเรื่องใหญ่มาก
ซึ่งตนเอาครอบครัวของน้องผู้เสียหายออกนอกพื้นที่ มาเปิดโรงแรมให้นอน เนื่องจากกลัวน้องเป็นอันตราย เนื่องจากประชาชนพึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้

CG : นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รองผบ.ตร.เป็นประธานการประชุมหารือไตรภาคีว่าด้วยการค้ามนุษย์ ซึ่งจัดขึ้นโดยสํานักงานตํารวจแห่งชาติ กระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน

เมื่อวันที่ 20 มี.ค. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.
เป็นประธานการประชุมหารือไตรภาคีว่าด้วยการค้ามนุษย์ ซึ่งจัดขึ้นโดยสํานักงานตํารวจแห่งชาติ กระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และ สํานักงานตํารวจแห่งชาติสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยมีพล.ต.ท. หนิว ไฮ่ เฟิง
รองอธิบดี กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ
กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน พล.ต.ต.อ่อง อ่อง
รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา,พลจัตวา อ่อง เท มิน
หัวหน้าหน่วยปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ
ตลอดจนผู้แทนจาก 3 หน่วยงาน เข้าร่วม

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ปัญหาการค้ามนุษย์ ในปัจจุบันนี้ นับว่าเป็นปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่มีความเชื่อมโยง กับหลายประเทศ และมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนเป็นการยาก 
ที่จะทำการ ป้องกันและปราบปราม โดยเพียงเจ้าหน้าที่ของประเทศใดประเทศหนึ่ง ดังนั้น ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงจำเป็นที่จะต้อง ได้รับความร่วมมือ 
ทั้งจากประเทศต้นทาง ประเทศทางผ่าน และประเทศปลายทาง จึงเป็นที่มาของการประชุมหารือไตรภาคีว่าด้วยการค้ามนุษย์

โดยการประชุมไตรภาคีในครั้งนี้ นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของทั้งสามประเทศที่จะได้ร่วมกัน วางแผนยุทธศาสตร์ ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างตรงจุด และจะนำไปสู่ ความสำเร็จในการป้องกันและปราบปรามที่ยั่งยืนและเป็นรูปธรรม ตลอดจน จะเป็นการเสริมสร้าง กลไกในการทำงานของแต่ละภาคส่วน ที่เกี่ยวข้องของแต่ละประเทศ ต่อไป รองผบ.ตร.กล่าว

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การประชุมหารือไตรภาคีในครั้งนี้ประสบความสำเร็จ และส่วนตัวเชื่อมั่นว่า การประชุมหารือครั้งนี่จะช่วยส่งเสริมความมุ่งมั่น ในการป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านการค้ามนุษย์ในภูมิภาคให้ลดลงได้ โดยการประชุมครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทั้งสามประเทศได้แบ่งปันประสบการณ์ แต่ยังเปิดโอกาสให้ ทั้งสามประเทศได้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างกัน และในอนาคตจะได้รับความร่วมมืออย่างดีในการทำงาน
 
โดยหลังจากการประชุมทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย จะนำเอาข้อมูลที่ได้จากการประชุมหารือ ไปพิจารณาเพื่อให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อสนองตอบวัตถุประสงค์แห่งการประชุมนี้ ซึ่งจะเป็นการแสดงถึงความจริงใจจากเราไปยังท่าน ว่าจะร่วมมือกันต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการค้ามนุษย์และอาชญากรรมอื่น ที่เกี่ยวเนื่องกับการค้ามนุษย์เพื่อนำไปสู่การได้รับชัยชนะ ต่อปัญหาดังกล่าวในที่สุด

Design a site like this with WordPress.com
Get started