จเร ตรวจเยี่ยม ตร.ท่องเที่ยว

วันที่ 20 มี.ค.66 พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตํารวจแห่งชาติ ตรวจเยี่ยมกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว
Pol.Gen. Visanu Prasarttong-Osoth, Senior Inspector General of the Royal Thai Police, visited Tourist Police Bureau to deliver updated policies and to inspect the Bureau’s work progress.

#TouristPolice

#YourFirstFriend

1155, Tourist Police Hotline

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งตำรวจภาค 8 ช่วยเหลือเด็กถูกนำมาขายบริการทางเพศ และขยายผลหาผู้ใช้บริการ หลังพบมีเครือข่ายหลายจังหวัดพื้นที่ท่องเที่ยว มีต่างชาติเป็นเจ้าของทำธุรกิจกลางคืนแบบนอมินี

จากกรณี เมื่อวันที่ 15 มี.ค.66 เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองได้ดำเนินการล่อซื้อบริการทางเพศเด็ก ที่สถานบริการแห่งหนึ่งในพื้นที่ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต สามารถช่วยเด็กหญิงออกมาได้ 6 คน ซึ่งต่อมาได้มีคำสั่งย้าย 5 เสือ สภ.ป่าตอง ไป ศปก.ภ.8 ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอไปแล้ว นั้น

ต่อมาวันนี้ (18 มี.ค.66) เวลาประมาณ 10.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร ได้เรียกประชุมทีมสืบสวนสอบสวนภาค 8 ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จ.ภูเก็ต และ พมจ.จว.ภูเก็ต เพื่อเร่งรัดติดตามความคืบหน้าในคดีดังกล่าว พบว่าล่าสุดตำรวจได้ขยายผลเข้าช่วยเหลือเด็กหญิงเพิ่มอีก 2 ราย โดยได้ส่งตัวเข้ารับการดูแลที่บ้านพักเด็กและเยาวชนจังหวัดภูเก็ต เพื่อรอเข้ากระบวนการคัดแยกเหยื่อว่าเข้าข่ายเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์หรือไม่ นอกจากนี้ยังพบว่า ยังมีเด็กที่อยู่ในเครือข่ายถูกนำมาค้าประเวณีลักษณะเดียวกันอีก 7 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายผล และเข้าสู่กระบวนการกลไกการส่งต่อระดับชาติ หรือ NRM เพื่อคัดกรอง และคัดแยก โดยสหวิชาชีพ

ส่วนการติดตามตัวเจ้าของสถานบริการซึ่งเป็นชาวต่างชาติ (สวิส) ขณะนี้หลบหนีออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยังมีเพื่อนร่วมธุรกิจอีก 2 คน ซึ่งขณะนี้ ตม. ได้ขึ้นทะเบียนเฝ้าระวังไว้แล้ว โดยพบว่าการทำธุรกิจบริการของคนกลุ่มนี้ เป็นการทำธุรกิจแบบนอมินี มีคนไทยรับออกหน้าเป็นตัวแทน และยังมีสาขาอีกหลายแห่งในพื้นที่จังหวัดท่องเที่ยว

ในวันนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้ ภ.8 เร่งขยายผล ความเชื่อมโยงสถานบริการลักษณะนี้ ในพื้นที่ท่องเที่ยว ที่เกี่ยวพันกับเครือข่ายนี้ และให้ขยายผลดำเนินคดีกับผู้ใช้บริการทางเพศเด็กทั้งหมดด้วย ในส่วนของการสอบสวนแม่เล้า 2 คน ที่ถูกจับ เบื้องต้นยอมรับว่า ได้ชักชวนเด็กๆ ทั้งหมด ที่มาขายบริการผ่านเฟซบุ๊ก โดยเด็กดังกล่าวเดินทางมาจากหลายจังหวัดทางภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง ส่วนใหญ่เป็นเด็กที่อ้างว่ามีปัญหาครอบครัว และออกมาอาศัยอยู่กับญาติ
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็กดังกล่าวเป็นคดีที่เข้าข่ายคดีค้ามนุษย์ ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้น และไม่ควรมีอยู่ในพื้นที่ เนื่องจากการกระทำผิดดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้จากการปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายปกครองและตำรวจ ดังนั้นในคดีดังกล่าวจะต้องมีการดำเนินคดีถึงที่สุด ได้สั่งการให้ขยายผลไปถึงเจ้าของร้านซึ่งเป็นชาวต่างชาติที่ขณะนี้หลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และจะให้ขยายผลดำเนินคดีกับผู้ซื้อบริการทางเพศเด็กทั้งหมดด้วย ในส่วนของเด็กขณะนี้ได้รับการดูแลที่บ้านพักเด็กและเยาวชนจังหวัดภูเก็ตแล้ว จากนี้จะดำเนินการร่วมกับสหวิชาชีพ และภาคประชาสังคม ตามกลไกส่งต่อระดับชาติ (NRM) เพื่อดำเนินการคัดแยกเหยื่อ และช่วยเหลือเยียวยา เพื่อให้เด็กมีความพร้อมในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและได้รับการช่วยเหลืออย่างเหมาะสม

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นำทีมเปิดปฏิบัติการเข้าค้น 24 จุดใน 7 จังหวัดดำเนินผู้ต้องหา รวม 19 รายขยายผลยึดทรัพย์เพิ่มคดีฟอกเงินสหกรณ์พัทลุงอีกกว่า 62 ล้านบาท

จากกรณีเมื่อวันที่ 24 ม.ค.65 ที่ผ่านมา กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นสมาชิกสหกรณ์จังหวัดพัทลุง ได้รวมตัวกันยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมจาก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. (ตำแหน่งขณะนั้น) ให้ช่วยติดตามคดีการทุจริตภายในสหกรณ์ออมทรัพย์จังหวัดพัทลุง ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและครอบครัวที่เป็นสมาชิกได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก และคดีนี้ยังมีความสลับซับซ้อน แม้มีเจ้าหน้าที่หลายคนถูกพบว่ากระทำผิด แต่ยังสามารถทำงานในสหกรณ์ได้ ซึ่งอาจทำให้พยานหลักฐานต่างๆ สูญหายหรือถูกแก้ไขไปอีก ความเสียหายโดยรวมมีมูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท จึงได้มีการตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินการทางคดีดังกล่าว ต่อมาเมื่อวันที่ 13 ก.ย.65 คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนได้สรุปสำนวนเสนอพนักงานอัยการสั่งฟ้องผู้ต้องหาจำนวน 27 ราย และมีการเข้าตรวจค้นยึดอายัดทรัพย์สินรวมกว่า 900 ล้านบาท ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียนำเสนอไปแล้วนั้น
จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ดำเนินการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติมในความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน เนื่องจากความเสียหายในคดีดังกล่าวค่อนข้างสูง และเชื่อว่ายังมีทรัพย์สินของผู้เสียหายที่ถูกกลุ่มผู้ต้องหาดำเนินการยักย้ายถ่ายเทเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจพบโดยเจ้าหน้าที่ ซึ่งจากการสืบสวนเพิ่มเติม สามารถรวบรวมพยานหลักฐาบในการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาในความผิดฐานฟอกเงินอีก 19 ราย แบ่งเป๊นผู้ต้องหากลุ่มเดิม 15 คน และได้ขออนุม้ติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่กลุ่มผู้ต้องหาในคดีมีการโอนทรัพย์สินไปยังคนใกล้ชิดและเครือญาติเพิ่มเติมอีก 4 ราย ได้แก่

  1. นางปณัณรัตน์ กาจนเพ็ญ อายุ 47 ปี
  2. นางภาวนา สุวรรณเดชา อายุ 61 ปี
  3. น.ส.ภารดี สุวรรณเดชา อายุ 50 ปี
  4. นางภัทรนลิน พลายดำ อายุ 58 ปี
    ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 17 มี.ค.66 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ได้ร่วมกับ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตำรวจภูธรภาค 9 ตำรวจถูธรจังหวดัพัทลุง เปิดปฏิบัติการเข้าค้นเพื่อตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ และยึดอายัดทรัพย์สินเพิ่มเติม โดยได้ขออนุมัติหมายจับเพื่อเข้าค้นเป้าหมายทั้งหมด 24 จุดในพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ พัทลุง สงขลา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ ระยอง และ กรุงเทพมหานคร โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ทั้ง 4 ราย และตรวจยึดทรัพย์สินเพิ่มเติมได้อีก มูลค่าประมาณ 62,580,000 บาท
    พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวได้ดำเนินการส่งสำนวนเสนออัยการสั่งฟ้องผู้ต้องหาไปเรียบร้อยแล้ว แต่เนื่องจากเป็นคดีที่มีความเสียหายมีมูลค่าสูงมาก แม้ทรัพย์สินที่สามารถตรวจยึดคืนได้จากกลุ่มผู้ต้องหาจะมีมากถึง 900 ล้านบาทแล้วก็ตาม แต่ยังเชื่อว่าจะสามารถติดตามทรัพย์สินเพื่อนำมาคืนให้ผู้เสียหายได้เพิ่มเติม ยังมีผู้กระทำผิดที่มีส่วนช่วยเหลือผู้ต้องหาในการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินเพื่อเป็นการฟอกเงินดังกล่าว จึงได้สั่งการให้คณะพนักงานสืบสวนดำเนินการขยายผลเพิ่มเติม จนได้เปิดปฏิบัติการเข้าค้นในวันนี้ และสามารถจับกุมผู้ต้องหาในความผิดฐานฟอกเงินได้เพิ่มเติมอีก 4 ราย และยึดอายัดทรัพย์ได้อีกกว่า 62 ล้านบาท จากนี้หากยังพบเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับผู้กระทำผิดเพิ่มเติม ก็จะขยายผลจับกุมและอายัดทรัพย์สินเพิ่มอีกอย่างแน่นอน

พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. พร้อม รอง ผบช.สตม. แถลงข่าวคดีสำคัญ 5 คดีดัง

  1. รวบหนุ่มแดนมังกรเปิดบริษัทซื้อขายเช่ารถยนต์ลวงเสียหายกว่า 100 ล้านบาท
    สืบเนื่องจากได้รับการประสานงานจาก สำนักงานกงสุล (ฝ่ายตำรวจ) ณ นครคุนหมิง และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย กรณีผู้ต้องหาตามหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีนรายสำคัญ ราย MR.MA หรือ นายหม่า อายุ 31 ปี สัญชาติจีน ซึ่งก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีในลักษณะฉ้อโกงประชาชนฯ มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท แล้วหลบหนีการจับกุมเข้ามายังประเทศไทย พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม. จึงสั่งการให้ กก.4 บก.สส.สตม. ทำการสืบสวนติดตามจับกุม MR.MA หรือ นายหม่า จนทราบว่าได้หลบหนีไปอาศัยอยู่ในพื้นที่มักกะสัน กรุงเทพฯ จึงได้ทำการออกติดตาม ต่อมาเมื่อวันที่ 15 มี.ค.2566 เวลาประมาณ 09.00 น. เจ้าหน้าที่ได้ออกติดตามจนถึงบริเวณริมถนนซอยราชปรารภ ได้พบ MR.MA หรือ นายหม่า ซึ่งเป็นบุคคลเดียวกันกับบุคคลตามหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีน เจ้าหน้าที่จึงขอทำการตรวจสอบหนังสือเดินทาง ผลการตรวจสอบพบว่า MR.MA หรือ นายหม่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด จึงได้ทำการจับกุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้จากการตรวจค้นพบเอกสารหลายรายการที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จากการสอบถามผู้ต้องหาให้การรับว่าได้กระทำความผิดในลักษณะฉ้อโกงประชาชน มีการตั้งกลุ่มขึ้นมา จากนั้นได้มีการเปิดบริษัทซื้อขายเช่ารถยนต์ลวงและได้ ทำการโฆษณาชักชวนให้ประชาชนมาซื้อรถยนต์หรือเช่ารถยนต์จากบริษัทผ่านระบบแพลตฟอร์มอินเตอร์เน็ต จากนั้นเมื่อมีประชาชนหลงเชื่อเข้าร่วมซื้อหรือเช่าแล้วก็ได้ทำการปิดบริษัทแล้วหลบหนีมายังประเทศไทย โดยมีประชาชนหลายรายถูกหลอก มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 100 ล้านบาท
  1. สตม. รวบ 2 ผู้ต้องหาแดนน้ำหอม หนีหมายจับซุกไทย
    ตามที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พิจารณาดำเนินการกรณี สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศส ประจำประเทศไทย มีหนังสือมายังกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งข้อมูลบุคคลที่มีหมายจับของสาธารณรัฐฝรั่งเศส หมายจับสหภาพยุโรป และองค์การตำรวจสากล ออกประกาศสีแดง (INTERPOL Red Notice) เป็นบุคคลที่ทางการฝรั่งเศสต้องการตัวไปดำเนินคดี จำนวน 2 ราย ดังนี้
  2. นายฮูแบร์ (นามสมมติ) อายุ 35 ปี สัญชาติฝรั่งเศส ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด 32 ข้อหา อาทิ มียาเสพติด ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ลักลอบขนส่งและจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในลักษณะเครือข่ายและองค์กรอาชญากรรม และจัดตั้งกลุ่มองค์กรอาชญากรรม
  3. นายกาแอล (นามสมมติ) อายุ 61 ปี สัญชาติฝรั่งเศส ในข้อหาฉ้อโกงและยักยอกทรัพย์
    พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม. ได้สั่งการให้ กก.1 บก.สส.สตม. สืบสวนติดตามหาตัวคนต่างด้าวดังกล่าวทั้ง 2 ราย และพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ กก.1 บก.สส.สตม. จึงได้ตรวจสอบในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบข้อมูลดังนี้
  4. นายฮูแบร์ เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ทางด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ บก.ตม.2 เมื่อวันที่ 9 ม.ค.2566 ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราประเภท ผ.30 ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ถึงวันที่ 22 ก.พ.2566 การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุด พักอาศัยอยู่ที่ ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จว.ภูเก็ต
  5. นายกาแอล เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ทางด่าน ตม.ทอ.ภูเก็ต บก.ตม.2 เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2559 ประเภทการตรวจลงตรา คนอยู่ชั่วคราว (NON-90) ได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อในราชอาณาจักรจาก ตม.จว.ภูเก็ต ด้วยเหตุผลมีเหตุจำเป็นทางธุรกิจ ถึงวันที่ 14 มี.ค.2566 พักอาศัยอยู่ที่ ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ต ต่อมาเมื่อวันที่ 7 มี.ค.2566 ผบก.ตม.6 ได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของ นายกาแอล เนื่องจากมีพฤติการณ์ เป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับเข้าลักษณะต้องห้ามมิให้เข้ามาในราชอาณาจักร ตามมาตรา 12 (7) แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มีพฤติการณ์สมควรเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรตาม มาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522
    กก.1 บก.สส.สตม. จึงได้ประสานงานกับ ตม.จว.ภูเก็ต ในการสืบสวนติดตามหาตัว นายฮูแบร์ และ นายกาแอล จนกระทั่งพบตัวนายฮูแบร์ ที่บริเวณถนนทวีวงศ์ ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จว.ภูเก็ต จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด และจับกุมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ป่าตอง ดำเนินคดีตามกฎหมาย
    ต่อมาจากการสืบสวนทราบว่า นายกาแอล จะเดินทางไปทำธุระที่ย่าน ต.ตลาดใหญ่ อ.เมืองภูเก็ต จึงได้ไปตรวจสอบเมื่อพบนายกาแอล จึงได้แจ้งคำสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้ทราบ และนำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อกักตัวรอการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร ต่อไป
  1. บก.สส.สตม. รวบไต้หวันจ้างวานอุ้มคู่อริ แค้นโกงเงินพนันกว่า 50 ล้านบาท
    บก.สส.สตม. จับกุมนายเฉิ ง (นามสมมติ) อายุ 37 ปี สัญชาติไต้หวัน ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของประเทศไต้หวัน ในข้อหา จ้างวานเรียกค่าไถ่และยิงปืนในที่สาธารณะ โดยได้เพิกถอนวีซ่าของ นายเฉิง และจับกุมตัวนำส่ง กก.3 บก.สส.สตม. ดำเนินการตามกฎหมาย สถานที่จับกุม หน้าโรงแรมแห่งหนึ่งในย่านเมืองพัทยา อ.บางละมุง จว.ชลบุรี สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวัน ประสานงานผ่านสํานักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปประจำประเทศไทย โดยแจ้งข้อมูลผู้ต้องหาตามหมายจับของประเทศไต้หวัน ราย นายเฉิง (นามสมมติ) สัญชาติไต้หวัน อายุ 37 ปี ซึ่งมีหมายจับของประเทศไต้หวัน ในข้อหา จ้างวานเรียกค่าไถ่ และยิงปืนในที่สาธารณะ โดยมีพฤติการณ์คือ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2565 ตำรวจไต้หวันได้จับกุมตัว นายจ้าน สัญชาติไต้หวัน เนื่องจากได้ก่อเหตุกราดยิงในร้านตู้สล๊อตพนันเมือง Xitun เขตไทจง ประเทศไต้หวัน ซึ่งจากการสืบสวนของตำรวจไต้หวันพบหลักฐานว่า นายเฉิง เป็นผู้จ้างวาน สาเหตุจากการโกรธเคืองที่ถูกคู่อริ โกงเงินพนันกว่า 11 ล้านดอลล่าห์ไต้หวัน (ประมาณ 50 ล้านบาท) ต่อมาได้ตรวจสอบพบว่านายเฉิง เดินทางหลบหนีคดีมาอยู่ในประเทศไทย จึงได้ประสานงานมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ผบก.สส.สตม. จึงเพิกถอนวีซ่าของ นายเฉิง และสั่งการให้ ชุดปฏิบัติการ บก.สส.สตม. ทำการสืบสวนติดตามหาตัว นายเฉิง ต่อมาสืบทราบว่านายเฉิง พักอาศัยอยู่คอนโดแห่งหนึ่ง ย่านเมืองพัทยา อ.บางละมุง จว.ชลบุรี เจ้าหน้าที่ บก.สส.สตม. จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ พบชายชาวไต้หวัน ทราบชื่อต่อมาคือ นายเฉิง (นามสมมติ) สัญชาติไต้หวัน จากการตรวจสอบพบว่าเป็นบุคคลตามหมายจับประเทศไต้หวันดังกล่าวจริง จึงแจ้งคำสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของนายเฉิง จากนั้นควบคุมตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
  1. บก.สส.สตม. รวบหนุ่มแดนมังกรหนีคดีเลี่ยงภาษีศุลกากรเสียหายกว่า 100 ล้านบาท
    บก.สส.สตม. จับกุมนายลู่ (นามสมมติ) อายุ 52 ปี สัญชาติจีน ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีน ในข้อหา ลักลอบนำเข้าสินค้า (เม็ดพลาสติก) โดยหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท โดยจับกุมตัวในข้อหา เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต นำส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ในย่าน ต.บางพลี อ.บางพลี จว.สมุทรปราการ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสาธารณรัฐประชาชนจีน หน่วยปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ประสานงานผ่านสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย แจ้งข้อมูลผู้ต้องหาตามหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีน ราย นายลู่ (นามสมมติ) สัญชาติจีน อายุ 52 ปี ซึ่งมีหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีน ในข้อหา ลักลอบนำเข้าสินค้า (เม็ดพลาสติก) โดยหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร มูลค่ารวม 20 ล้านหยวน (ประมาณ 100 ล้านบาท) ผบก.สส.สตม. จึงได้สั่งการให้ ชุดปฏิบัติการ บก.สส.สตม. ทำการสืบสวนติดตามจับกุม นายลู่ สัญชาติจีน ซึ่งต่อมาสืบทราบว่า ได้หลบหนีเข้ามาในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ปัจจุบันพักอาศัยอยู่คอนโดแห่งหนึ่งย่านบางพลี จว.สมุทรปราการ เจ้าหน้าที่ บก.สส.สตม. จึงได้เดินทางไปตรวจสอบพบชายชาวจีน ทราบชื่อต่อมาคือ นายลู่ (นามสมมติ) สัญชาติจีน จากการตรวจสอบพบว่าเป็นบุคคลตามหมายจับสาธารณรัฐประชาชนจีนจริง จึงได้ขอตรวจสอบหนังสือเดินทางปรากฏว่านายลู่ ไม่สามารถนำหนังสือเดินทางมาแสดงได้ จึงได้นำตัวมาตรวจสอบลายนิ้วมือกับระบบสารสนเทศสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(Biometric) พบว่านายลู่ เดินทางออกจากประเทศไทยตั้งแต่ปี 2556 ไม่พบข้อมูลการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยอีก จากการสอบถามนายลู่ให้การรับว่าได้กระทำความผิดในการลักลอบนำเข้าสินค้าเม็ดพลาสติกไปยังประเทศจีน โดยไม่เสียภาษีศุลกากร ซึ่งภายหลังได้หลบหนีเข้ามายังประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จับกุมตัว นายลู่ นำส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
  1. รวบหนุ่มใหญ่ชาวจีนมอมเหล้าสาวเพื่อนร่วมชาติ ก่อนลากไปขืนใจคาโรงแรม กลางเมืองกรุง
    บก.สส.สตม. ได้จับกุมตัว นายหยาง (นามสมมติ) สัญชาติ จีน อายุ 47 ปี สืบเนื่องมาจาก กก.2 บก.สส.สตม. ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ประเวศ ให้ช่วยติดตามจับกุมตัว นายหยางฯ สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญาพระโขนง ที่ จ.118/2566 ลงวันที่ 2 มี.ค.2566 ความผิดฐาน “ข่มขืนกระทำชำเรา โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น” โดยพฤติการณ์ กล่าวคือ เมื่อเดือน ธ.ค.2565 นายหยางฯ ได้ชักชวนหญิงผู้เสียหายชาวจีนไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท กรุงเทพฯ โดยระหว่างนั้นได้มีการดื่มแอลกอฮอล์จนกระทั่งผู้เสียหายเมาไม่ได้สติ นายหยางฯ จึงฉวยโอกาสพาผู้เสียหายไปเปิดห้องพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ภายใน ซอยศรีนครินทร์ 59 และได้ทำการข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายในขณะที่ยังเมาไม่ได้สติจนสำเร็จความใคร่ เมื่อผู้เสียหายรู้สึกตัว จึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ประเวศ ให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาจนกกว่าคดีจะถึงที่สุด ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับนายหยางฯ ตามหมายจับข้างต้น
    ต่อมา กก.2 บก.สส.สตม. ได้สืบสวนติดตามตัวจนกระทั่งทราบว่า นายหยางฯ ได้หลบหนีไปอยู่ที่โรงงานผลิตยางรถยนต์แห่งหนึ่ง ใน อ.ปลวกแดง จว.ระยอง จึงได้วางกำลังเฝ้าดู พบนายหยางฯ กำลังเดินอยู่บริเวณหน้าโรงงานดังกล่าว จึงได้เข้าแสดงตัวและแสดงหมายจับให้ดู นายหยางฯ ตรวจดูแล้วรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับ นี้จริง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จับกุมตัว โดยแจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิตามกฎหมายให้ทราบ จากนั้นนำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สน.ประเวศ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บินด่วนเกาะหลีเป๊ะ หารือความคืบหน้าการบังคับใช้กฎหมายทั้งเรื่องที่ดินพิพาทและเรือประมงพาณิชย์

วันนี้ (17 มี.ค.66) เวลาประมาณ 14.00 น. ณ ห้องประชุม ภ.จว.สตูล พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ประธานกรรมการตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงกรณีปัญหาข้อพิพาทในที่ดินที่เกี่ยวข้องกับชุมชนชาวเล เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล ได้ลงพื้นที่ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้แทนเอกชน และชาวบ้านในพื้นที่ ร่วมหาข้อยุติในการแก้ไขปัญหากรณีเอกชนปิดทางเข้าออกโรงเรียน กระทบความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว รวมทั้งปัญหาการทำประมงพื้นบ้านที่มีปัญหาเกี่ยวกับพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติซึ่งห้ามทำประมงโดยเด็ดขาด
ความคืบหน้าล่าสุด ในส่วนของการดำเนินคดีกับโรงแรมซึ่งมีการบุกรุกที่ดิน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้ ผบก.ภ.จว.สตูล ดำเนินคดีกับรีสอร์ทและสถานที่ที่มีการบุกรุกที่ดินราชพัสดุของกรมธนารักษ์ จำนวน 8 คดี มีผู้ต้องหาจำนวน 13 ราย รวมทั้งได้มีการแจ้งข้อกล่าวหากับ นายก อบต. ในกรณีที่มีการตรวจพบความผิดดังกล่าว แต่กลับเพิกเฉยไม่มีการบังคับใช้กฎหมาย นอกจากนี้ยังได้ประสานให้นายอำเภอผู้รับผิดชอบดำเนินการทำข้อมูลโรงแรมและรีสอร์ทในพื้นที่ทั้งหมดที่ไม่มีใบอนุญาต เพื่อดำเนินการบังคับใช้กฎหมายต่อไป
นอกจากนี้ในส่วนของคดีการทำประมงในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเกาะตะรุเตา วันนี้ได้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกับชาวประมงพื้นบ้านในพื้นที่เกาะหลีเป๊ะ เพื่อแสดงความชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายในการดำเนินคดีกับเรือประมงพาณิชย์ทั้ง 27 ลำ ที่ตรวจพบการทำประมงในพื้นที่อุทยานดังกล่าว นอกจากนี้ยังได้ประชุมร่วมกับกรมประมง กรมอุทยานฯ และชาวประมงพื้นบ้าน เพื่อหาแนวทางในการกำหนดพื้นที่สำหรับทำประมงให้กับชาวประมงพื้นบ้านให้สามารถทำประมงเพื่อยังชีพได้ เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นเรือประมงขนาดเล็ก ไม่สามารถออกไปทำประมงในระยะไกลได้ ดังนั้นจึงได้หาทางออกร่วมกันเพื่อให้สามารถคงวิถีชีวิตการทำประมงพื้นบ้าน และสามารถรักษาทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลไว้ได้ต่อไป
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ในวันนี้ได้ลงมาประชุมติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่เกาะหลีเป๊ะ ในส่วนของการบังคับใช้กฎหมายนั้น วันนี้ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ภ.จว.สตูล หรือ อบต. ให้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ในทุกความผิดที่ตรวจพบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความผิดเกี่ยวกับการบุกรุกที่ดินราชพัสดุ หรือความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.อาคารฯ จากนั้นจะมีการเจรจาร่วมกับฝ่ายเอกชนและชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อหาทางออกเกี่ยวกับที่ดินพิพาทต่อไป ซึ่งในเบื้องต้นมีสัญญาณที่ดีที่จะสามารถหาทางออกร่วมกันได้ นอกจากนี้ ในส่วนของการดำเนินคดีกับเรือประมงพาณิชย์ 27 ลำนั้น ได้มีการทำความเข้าใจร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชาวประมงพื้นบ้าน ซึ่งได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากไม่สามารถทำประมงเพื่อยังชีพได้ วันนี้จึงได้ให้ร่วมกำหนดแนวทางร่วมกับกรมประมง และกรมอุทยานฯ เพื่อกำหนดพื้นที่ให้สามารถทำประมงได้ เพื่อให้พี่น้องชาวประมงพื้นบ้านสามารถออกหาปลาเลี้ยงชีพได้ตามปกติ และเป็นการรักษาทรัพยากรสัตว์น้ำไว้ให้ลูกหลานได้ด้วย

ดร.อ๊อด โพธิ์เงิน แห่งบริษัท เจเคเอเซีย จำกัด ขอเชิญร่วมเปิดร้านใบเงิน

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร่วมประชุมกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ออสเตรเลียด้านการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ

วันนี้ (15 มี.ค.66) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศพดส.ตร. ได้เดินทางมายังกรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อร่วมการประชุมกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ออสเตรเลียด้านการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ (Mekong-Australia Partnership on Transnational Crime: MAP-TNC) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-16 มี.ค.66 ณ โรงแรมคราวน์พลาซ่า กรุงเวียงจันทน์ สปป.ลาว โดยมีผู้แทนจากกลุ่มประเทศในเขตลุ่มแม่น้ำโขง อาทิเช่น ประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเมียนมา รวมทั้งประเทศคู่เจรจา ได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศแคนาดา โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการแสวงหาความร่วมมือในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติในทุกรูปแบบ ในการประชุมดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้นำเสนอเกี่ยวกับการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกา เพื่อรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทยให้กับทางการสหรัฐอเมริกาทราบ เมื่อวันที่ 2 มี.ค.66 ที่ผ่านมา ซึ่งได้มีการนำเสนอผลการปฏิบัติทั้งในคดีค้ามนุษย์และคดีการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเตอร์เน็ตที่เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าหลายปีที่ผ่านมารวมกัน โดยในปีนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้มีการเสนอให้จัดตั้งคณะกรรมการเยียวยาผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ โดยเชิญผู้ที่เคยเป็นผู้เสียหายเข้ามาร่วมในคณะกรรมการชุดดังกล่าว เพื่อให้ตัวผู้เสียหายมีส่วนร่วมในการนำประสบการณ์มาใช้พัฒนากระบวนการให้บริการผู้เสียหายให้ดียิ่งขึ้น โดยใช้แนวคิดผู้เสียหายเป็นศูนย์กลางในการดำเนินการ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังได้นำเสนอเกี่ยวกับการทำงานร่วมกับ NGOs อย่างใกล้ชิด และมีการซักซ้อมการปฏิบัติตามกระบวนการ NRM โดยมีการเริ่มใช้ในจังหวัดสตูลในการคัดแยกผู้เสียหายจากการโยกย้ายถิ่นฐานของบุคคลต่างด้าว ซึ่งประเทศไทยไม่มีการกักตัวผู้เสียหายที่เป็นเด็กในห้องกักอีกต่อไป อีกทั้งได้ขยายการใช้กระบวนการ NRM ให้ครบทุกภูมิภาคของประเทศไทย นอกจากนี้ในยุคปัจจุบัน สถานการณ์ค้ามนุษย์จำเป็นจะต้องมองในระดับภูมิภาค เพื่อให้การขับเคลื่อนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หากประเทศใดไม่ให้ความร่วมมืออย่างจริงจัง จะต้องมีการกดดันในระดับภูมิภาค นอกจากนี้ อาชญากรรมหลายประเภทสามารถนำไปสู่การค้ามนุษย์ได้ และมีความเชื่อมโยงกันทั้งหมด จึงต้องพัฒนาแนวทางในการแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการประสานงานร่วมกับหน่วยงานต่างชาติ มีการขอความร่วมมือจาก NGO ในการผลักดันการแก้ไขปัญหา รวมทั้งประสานข้อมูล เกี่ยวกับปัญหาในการช่วยเหลือคนไทยที่ตกเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ในประเทศกัมพูชา และพื้นที่คิงส์โรมัน สปป. ลาว ซึ่งเกิดปัญหาในการประสานงาน และการเข้าช่วยเหลือเป็นอย่างมาก ทำให้ยังคงต้องแสวงหาความร่วมมือมากขึ้น โดยได้มีการพูดคุยกับทั้งอเมริกาและจีนเพื่อทราบปัญหาดังกล่าวและหาแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกันแล้ว
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การเดินทางมาร่วมการประชุมในครั้งนี้ เป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสวงหาความร่วมมือจากกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน ในการประสานงานกันเพื่อปราบปรามการค้ามนุษย์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์จำเป็นต้องร่วมมือกันแก้ไขในระดับภูมิภาค เพราะอาชญากรรมปัจจุบันไร้พรมแดนและมีความเกี่ยวเนื่องทับซ้อนกัน นอกจากนี้ยังมีความต้องการจะทำ MOU กับหน่วยงาน ACCCE จากประเทศออสเตรเลีย เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลเหมือนกับ NCMEC เกี่ยวกับข้อมูลการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต เพื่อประสานความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมประเภทดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการจับกุมมากขึ้น โดยมีการกู้ไฟล์ภาพมาเพื่อพิสูจน์ทราบผู้เสียหาย และขยายผลดำเนินคดีค้ามนุษย์ แต่ประเทศไทยยังต้องการการสนับสนุนทางเทคโนโลยี เช่น อุปกรณ์การเก็บกู้ไฟล์จากโทรศัพท์มือถือ หรือเซลเลไบรท์ เป็นต้น และการพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานให้มีความรู้ความเข้าใจและความเชี่ยวชาญในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ หากประเทศไทยยังสามารถพัฒนาแนวทางการแก้ไขปัญหาในทิศทางดังกล่าว เชื่อว่าจะสามารถขยับอันดับขึ้นเทียร์ 1 ได้สำเร็จต่อไป

ดำเนินคดีเด็ดขาดผู้การนราธิวาส-ผกก.ตากใบ-ร้อยเวรเรียกรับเงินช่วยเหลือผู้ต้องหาคดียาเสพติด-อาวุธสงคราม

จากกรณีเมื่อวันที่ 10 ต.ค.65 นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้ยื่นหนังสือพร้อมเอกสารหลักฐานถึง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ขอให้ตรวจสอบกรณีข้าราชการตำรวจในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสมีส่วนเกี่ยวข้องในการเรียกรับสินบนแลกกับการให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหาคดียาเสพติดและอาวุธปืนสงครามเพื่อให้ ไม่ถูกดำเนินคดี มีการออกบัตรแหล่งข่าว (บัตรเบ่ง) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ขบวนการยาเสพติด รวมทั้งคดีลอบฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ สภ.สุไหงโก-ลก ภ.จว.นราธิวาส นอกจากนี้ยังรวมถึงข้าราชการฝ่ายปกครองที่ให้ความช่วยเหลือในการออกใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนให้กับขบวนการค้ายาเสพติด รายละเอียดตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอไปแล้วนั้น
กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากกรณีดังกล่าว เนื่องจากเป็นกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีส่วนในการกระทำผิด และเป็นที่สนใจของประชาชนและสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้ชุดสืบสวนตรวจสอบข้อมูลตามพยานหลักฐานที่นายอัจฉริยะได้มอบให้ ผลการสืบสวนเบื้องต้นพบว่า กรณีดังกล่าวมีมูลความจริงว่าจะมีเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องและช่วยเหลือผู้ต้องหาตามพยานหลักฐานที่ได้รับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้นำเรียนให้ ผบ.ตร. ทราบ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ จึงได้มีคำสั่งที่ 475/2565 ลงวันที่ 25 ต.ค.65 แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวน เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน ในการสืบสวนดังกล่าว โดยมี พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวน
จากพยานหลักฐานที่ได้รับจากนายอัจฉริยะ ได้ตั้งข้อสังเกตและประกอบพยานหลักฐานไว้จำนวน 4 ประเด็นด้วยกัน ประกอบด้วย
ประเด็นที่ 1 กรณีคดีลอบสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจ กล่าวคือ เมื่อวันที่ 16 ก.ค.65 เวลา 02.00 น. ได้มีคนร้ายลอบยิง ส.ต.ต.ธนกฤต ฤกษ์ดี ขณะปฏิบัติหน้าที่สายตรวจจนเสียชีวิต ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้คือ นายฮาฟิต ปาเนาะ อายุ 19 ปี โดยผู้ต้องหาให้การซัดทอดว่า ได้รับการจ้างวานจาก นายชญานนท์ นิเถาะ อายุ 25 ปี ให้ดำเนินการลอบสังหารเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ พล.ต.ต.แวสาแม กลับให้การช่วยเหลือจนนายชญานนท์ ไม่ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
ประเด็นที่ 2 กรณีนายอำเภอสุไหงโก-ลก ได้มีการออกใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนให้กับกลุ่มผู้ต้องหาซึ่งมีประวัติเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดโดยไม่มีการตรวจสอบประวัติ และออกให้กับบุคคลเดียวจำนวนหลายกระบอก โดยมีการออกใบอนุญาตให้กับผู้ต้องหาสูงสุดถึง 3 กระบอกภายในวันเดียว จากการสืบสวนพบว่า นายชญานนท์ฯ ผู้ต้องหา รู้จักกับนายรุ่งเรือง ธิมาบุตร นายอำเภอสุไหงโก-ลก (ตำแหน่งขณะนั้น) โดยได้ประสานขอใบอนุญาตมีและใช้อาวุธปืน (ป.4) โดยได้มีการจ่ายเงินค่าอำนวยความสะดวกให้กระบอกละ 5,000 – 10,000 บาท จำนวน 7 กระบอก รวมเป็นเงิน 40,000 บาท
ประเด็นที่ 3 เป็นกรณีที่ พล.ต.ต.แวสาแม กับพวก ให้การช่วยเหลือกลุ่มผู้ต้องหาให้พ้นจากการถูกดำเนินคดี จากการสืบสวนพบว่า เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.64 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.ภ.จว.สงขลา ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และเจ้าหน้าที่ทหาร ร่วมกันจับกุม นายอาซิ บือเฮง อายุ 33 ปี พร้อมกัญชาอัดแท่งรวม 128 กก. ส่งดำเนินคดีพื้นที่ สภ.ตากใบ ภ.จว.นราธิวาส สอบถามผู้ต้องหาให้การซัดทอดว่า ได้รับการว่าจ้างจากนายชญานนท์ นิเถาะ อายุ 25 ปี ให้ขนส่งกัญชาดังกล่าวไปที่ประเทศมาเลเซีย เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน จนต่อมาเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. ได้ขอหมายค้นเข้าค้นบ้านของนายชญานนท์ฯ ในพื้นที่ สภ.ตากใบ พบนายชญานนท์ฯ กับพวกรวม 6 คน พร้อมอาวุธปืน AK-47 อาวุธปืนลูกซอง และอาวุธปืนพกสั้นรวม 3 กระบอก จึงได้จับกุมดำเนินคดี แต่ต่อมาพนักงานสอบสวนกลับสั่งไม่ฟ้องนายชญานนท์ฯ กับพวก แต่สั่งฟ้อง 1 ในผู้ต้องหาเท่านั้น ซึ่งจากการสืบสวนกรณีดังกล่าว ตรวจพบความเชื่อมโยงระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและกลุ่มผู้ต้องหา ทั้งในด้านการติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์และเส้นทางการเงิน จึงเชื่อได้ว่ามีการช่วยเหลือผู้ต้องหาให้พ้นจากการถูกดำเนินคดี
ประเด็นที่ 4 กรณี พล.ต.ต.แวสาแม สาและ ผบก.ภ.จว.นราธิวาส ได้มีการออกบัตรแหล่งข่าว ซึ่งปรากฎชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของ พล.ต.ต.แวสาแม โดยจะใช้ในการแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ได้รับการอำนวยความสะดวกในกรณีถูกเรียกตรวจ ทำให้กลุ่มผู้ต้องหากล้าพกอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย และก่อเหตุทำร้ายร่างกาย รปภ.โรงพยาบาลสุไหงโก-ลก โดยในคดีดังกล่าวพบว่าพนักงานสอบสวนถูกแทรกแซงดุลพินิจในการดำเนินการทางคดี โดย พล.ต.ต.แวสาแม มีการโทรสั่งการให้ปรับเปลี่ยนพฤติการณ์ทางคดี เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อผู้ต้องหา พฤติการณ์ดังกล่าวของ พล.ต.ต.แวสะแม ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ภ.จว.นราธิวาส ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยากลำบากมากขึ้น
จากกรณีทั้ง 4 ประเด็นที่นายอัจฉริยะได้ตั้งข้อสังเกตและมอบพยานหลักฐานให้กับคณะพนักงานสืบสวนได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานและแสวงหาข้อเท็จจริงประกอบ บัดนี้ คณะพนักงานสืบสวนตามคำสั่งดังกล่าว ได้มีมติให้มีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งคดีอาญาและคดีวินัย ดังต่อไปนี้
ดำเนินคดีอาญา กับผู้ต้องหาจำนวน 5 ราย ประกอบด้วย

  1. พล.ต.ต.แวสาแม สาและ อดีต ผบก.ภ.จว.นราธิวาส
  2. พ.ต.อ.นราวี บินแวอารง ผกก.สภ.ตากใบ ภ.จว.นราธิวาส
  3. ร.ต.อ.นิมะอามิง วาเต๊ะ รอง สว.(สอบสวน) สภ.ตากใบ ภ.จว.นราธิวาส
  4. นายรุ่งเรือง ธิมาบุตร อดีตนายอำเภอสุไหงโก-ลก นราธิวาส
  5. นายชญานนท์ นิเถาะ ผู้ต้องหาคดีครอบครองยาเสพติดและอาวุธปืน
    โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงาน เรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือโยชน์อื่นใดฯ, ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และ เป็นเจ้าพนักงานยุติธรรมกระทำการเพื่อจะช่วยเหลือบุคคลใดให้มิต้องรับโทษฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 157 และ 200 โดยได้มีการมอบผู้แทนเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน บก.ปปป. เมื่อวันที่ 13 มี.ค.66 เรียบร้อยแล้ว
    ดำเนินคดีทางวินัย กับเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 13 นาย โดยเป็นคดีวินัยร้ายแรงจำนวน 3 นาย และคดีวินัย ไม่ร้ายแรงจำนวน 10 นาย โดยคณะพนักงานสืบสวนได้ส่งรายละเอียดพยานหลักฐานและรายชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้กองวินัยพิจารณาข้อบกพร่องและดำเนินการทางวินัยต่อไปแล้ว
    พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและประชาชนเป็นอันมาก โดยนายอัจฉริยะได้ยื่นหนังสือพร้อมพยานหลักฐานให้ท่าน ผบ.ตร. เพื่อพิจารณาดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว ซึ่งได้มีการแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนขึ้นเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานในการสืบสวนอย่างจริงจัง เพื่อตอบคำถามสังคมให้ได้ว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้ต้องหาคดียาเสพติดและอาวุธปืนจริงหรือไม่ ผลการสืบสวนเบื้องต้นเป็นไปตามมติของคณะพนักงานสืบสวนว่า เห็นควรดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างเด็ดขาดและไม่มีละเว้น แม้จะเป็นข้าราชการระดับสูงก็ตาม หากพบว่ามีการกระทำผิดก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อสร้างความมั่นใจและตอบคำถามสังคมให้ได้ ทั้งนี้ขอขอบคุณนายอัจฉริยะและสื่อมวลชนทุกท่านที่ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำผิดดังกล่าว จากนี้ หากประชาชนท่านใดมีเบาะแสการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่รัฐดังกล่าวหรือเคยถูกกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐดังกล่าวเรียกรับผลประโยชน์ โดยผิดกฎหมายสามารถแจ้งให้ทราบได้ โดยจะเก็บเป็นความลับ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รอง ผบ.ตร. ตั้งใจสมทบทุนสร้างโรงพยาบาลสิงหนคร(ส่วนหน้า) เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับคุณพ่อ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า จากการที่คุณพ่อไสว หักพาล ได้ถึงแก่กรรม ทางครอบครัวหักพาลได้จัดพิธีสวดพระอภิธรรมศพตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2566 ถึงวันที่ 11 มีนาคม 2566 และพิธีพระราชทานเพลิงศพคุณพ่อไสว หักพาล ในวันที่ 12 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา
ในฐานะเจ้าภาพ ต้องขอขอบพระคุณผู้ใหญ่ที่เคารพทุกท่านท่าน ผู้บังคับบัญชาทั้งในอดีตและในปัจจุบัน พี่ๆเพื่อนๆน้องๆข้าราชการตำรวจ พี่น้องสื่อมวลชน รวมทั้งแขกผู้มีเกียรติทุกๆท่าน ที่มาร่วมงานสวดพระอภิธรรมคุณพ่อในทุกๆคืนเป็นจำนวนมาก ในฐานะครอบครัวหักพาล ต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ทั้งนี้ครอบครัวหักพาลมีความตั้งใจในการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับคุณพ่อ

สำหรับปัจจัยที่แขกผู้มีเกียรติทุกๆท่าน ได้ร่วมทำบุญมานั้น ครอบครัวหักพาล จะนำปัจจัยทั้งหมดเข้าร่วมสมทบทุนสร้างโรงพยาบาลสิงหนคร(ส่วนหน้า) อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา โดยจะไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
ยอดเงินบริจาคร่วมทำบุญสมทบทุนสร้างโรงพยาบาลสิงหนคร(ส่วนหน้า) จนถึงขณะนี้เป็นจำนวน 16,443,499 บาท โดยยอดเงินดังกล่าวส่วนหนึ่งจะนำไปสร้างอาคารไตเทียม ขนาด 12 เตียง ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างปี 2566-2567 รอง ผบ.ตร.กล่าว
ทั้งนี้วัตถุประสงค์ในการก่อสร้างโรงพยาบาลสิงหนคร(ส่วนหน้า) เพื่อแก้ปัญหาการเข้าถึงยาก ห่างไกลจากถนนสายหลักและเพื่อยกระดับการบริการด้านสาธารณสุขและการรักษาให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่และอำเภอใกล้เคียง ซึ่งเดิมรพ.สิงหนคร เป็น รพ.ชุมชนขนาด 30 เตียง เปิดบริการ เมื่อปี พ.ศ.2538 ตลอดเวลาที่ผ่านมาชาวอำเภอสิงหนครประสบปัญหาในการเข้ารับบริการ เนื่องจาก รพ.สิงหนคร อยู่ห่างไกลจากถนนสายหลัก ประชาชนเดินทางไม่สะดวก ยากในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล โดยเฉพาะผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน ผู้ป่วยวิกฤตเฉียบพลัน ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากต้องไปรักษาที่ รพ.สงขลาแทน ดังนั้นรพ.สิงหนคร จึงได้มีการขยายบริการไปอยู่ติดถนนทางหลวงหมายเลข 408 ซึ่งเป็นเส้นทางสายหลัก โดยใช้ที่ดินสาธารณประโยชน์ บนเนื้อที่ 15ไร่36.2 ตร.วา เพื่อตั้งเป็น รพ.สิงหนคร (ส่วนหน้า) ใช้ระยะเวลาก่อสร้างปี 2564-2568
และเมื่อก่อสร้างเสร็จครบทุกอาคาร ก็จะพร้อมให้บริการประชาชนในพื้นที่ อ.สิงหนคร และใกล้เคียง อย่างเต็มศักยภาพต่อไป

ประชุมคณะทำงานการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดชุมชน

วันนี้ 9 มี.ค.66 เวลา 13.30 น.
ภายใต้การอำนวยการของ
พ.ต.อ.วัชรพล   สุวนันทวงศ์
     ผกก สน.ราษฏร์บูรณะ
พ.ต.ท.เอกพจน์  สังเมียน
     รอง ผกก ป.สน.ราษฏร์บูรณะ
พ.ต.ต.ไพโรจน์ ทาสีดา
     สวป.สน.ราษฏร์บูรณะ
มอบหมายให้
ร.ต.ต.สำรวย ทวีการไถ
พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุมชนสัมพันธ์ สน.ราษฏร์บูรณะ
ร่วมกับ
ผอ.เขตทุ่งครุ
ผอ.สาธารณสุข 59,54,48
สนง.ศยส.กทม
ประธานชุมชนนุรุ้ลฮุดา
ประธานชุมชนคลองเก้าห้อง
ประธานชุมชนแขวงบางมด
กศน.เขตทุ่งครุ
กรมแรงงานเขตทุ่งครุ
     และภาคีเครือข่าย
ร่วมประชุมคณะทำงาน
การบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน (CBTX)
และการลดอันตรายจากสารเสพติด (Harm Reduction)
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๖
ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๒ สำนักงานเขตทุ่งครุ

Design a site like this with WordPress.com
Get started