พิธีงานวันคล้ายวันสถาปนาตำรวจภูธรภาค 1 ครบรอบปีที่ 47 ประจำปี 2566

วันศุกร์ที่ 10 มี.ค.66 เวลา 06.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ประธานพิธีฯ พร้อมด้วย คณะผู้บังคับบัญชา ตร., อดีตผู้บังคับบัญชาตำรวจภูธรภาค 1 และแขกผู้มีเกียรติ ร่วมพิธีงานวันคล้ายวันสถาปนาตำรวจภูธรภาค 1 ครบรอบปีที่ 47 ประจำปี 2566
โดย ภ.1 มี พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1, คณะรอง ผบช.ภ.1, ผบก.ในสังกัด ภ.1, คณะแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 1, คณะ กต.ตร.ภ.1 และข้าราชการตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 1 ร่วมประกอบพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำตำรวจภูธรภาค 1, พิธีวางพวงมาลาและสดุดีข้าราชการตำรวจผู้เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่, พิธีมอบรางวัลเกียรติยศฯ และพิธีสงฆ์
ณ ตำรวจภูธรภาค 1

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร่วมประชุมคณะกรรมการบริหาร ศรชล. นำเสนอแนวทางบูรณาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) แบบยั่งยืน

วันนี้ (10 มี.ค.66) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) ได้เดินทางเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ครั้งที่ 1/2566 ณ โรงแรมดุสิตธานี พัทยา จ.ชลบุรี โดยมี พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผบ.ทร. เป็นประธานการประชุม และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมประกอบด้วย กรมประมง กรมเจ้าท่า กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

ในการประชุมครั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้นำเสนอเกี่ยวกับการดำเนินการปราบปรามการทำประมงผิดกฎหมายในหลายมิติ ได้แก่ การบังคับใช้กฎหมายกับเรือประมงพาณิชย์จำนวน 27 ลำ ที่ลักลอบทำประมงในเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล ซึ่งคดีอยู่ในระหว่างการดำเนินการสอบสวน และการตรวจสอบกรณีเรือประมงที่ใช้อวนล้อมจับปลากะตักจำนวน 52 ลำ ซึ่งการดำเนินการจำเป็นจะต้องบูรณาการร่วมกับ ศรชล และกองทัพเรือ ในการใช้เครื่องมือพิเศษและกำลังพลเข้าดำเนินการตามกฎหมาย รวมไปถึงการดำเนินการล่าสุด กรณีตรวจพบเรือประมงสัญชาติเกาหลีชื่อ Sun Flower 7 ขนปลาทูน่าจำนวน 4,000 ตัน มาขึ้นท่าเพื่อส่งให้โรงงานปลากระป๋อง ซึ่งมีพฤติการณ์ในการทำประมงผิดกฎหมายโดยการเก็บทุ่นลอยน้ำสำหรับเป็นแพล่อปลาในพื้นที่มหาสมุทรแปซิฟิก ในการดูแลของคณะกรรมาธิการประมงแปซิฟิกตะวันตกและแปซิฟิกกลาง (WCPFC) โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งทางการไทยได้แสดงออกอย่างชัดเจนในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย โดยการไม่อนุญาตให้นำปลาที่ได้จากการทำประมงผิดกฎหมายเข้ามาในราชอาณาจักร และได้ผลักดันเรือออกจากน่านน้ำไป ซึ่งในเรื่องนี้ จำเป็นจะต้องมีการกำหนดมาตรการในระยะยาว เพื่อแก้ไขปัญหาการรับสินค้าสัตว์น้ำที่ได้มาจากการทำประมงผิดกฎหมาย โดยคำนึงถึงภาพลักษณ์ของประเทศ และผลกระทบต่อธุรกิจการนำเข้าส่งออกสัตว์น้ำของประเทศไทยต่อไป

นอกจากนี้ยังได้มีการนำเสนอความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการจัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นจากชาวประมงพื้นบ้านในประเด็นการออกใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ดำเนินการเพื่อรับทราบปัญหาและข้อเสนอแนะโดยตรงจากพี่น้องชาวประมงพื้นบ้าน ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้ว 2 ครั้ง ที่กรมประมง และสมาคมประมงพื้นบ้านในถุ้ง จ.นครศรีธรรมราช และมีกำหนดจะจัดขึ้นอีก 3 ครั้ง ในพื้นที่ระยอง ประจวบคีรีขันธ์ และปัตตานี จากนั้นจะนำข้อเสนอแนะทั้งหมดมาสรุปและนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติต่อไป รวมทั้งความคืบหน้าของการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของสหรัฐอเมริการในการปราบปรามการค้ามนุษย์ในภาคประมง ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ประสานความร่วมมือกับ ศรชล. กรมประมง กรมเจ้าท่า กรมการจัดหางาน และกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เพื่อปรับปรุงคู่มือการตรวจเรือให้มีความทันสมัยและถูกต้องตามหลักสากล รวมทั้งมีการจัดการฝึกอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้าออก (PIPO) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการปฏิบ้ติหน้าที่และบังคับใช้กฎหมายได้อย่างถูกต้อง จากการพัฒนาดังกล่าวทำให้ปัญหาแรงงานบังคับในภาคประมง และแรงงานประมงที่มีการแจ้งสูญหายในทะเลมีจำนวนลดลงเป็นอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยในปี 63 มีแจ้งแรงงานประมงสูญหายจำนวน 121 ราย ปี 64 จำนวน 107 ราย และปี 65 ลดลงเหลือเพียง 78 ราย แสดงให้เห็นว่า หลังจากที่ได้พัฒนาศักยภาพ เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจมากขึ้นแล้ว สามารถช่วยให้จำนวนลูกเรือประมงตกน้ำสูญหายลดลงมากถึงร้อยละ 30

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การดำเนินการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายนั้น จำเป็นจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อปรับปรุงแก้ไขวิธีการปฏิบัติให้มีความทันสมัยและตอบโจทย์ของการแก้ไขปัญหาในมาตรฐานระดับชาติ รวมทั้งแสดงท่าทีของประเทศไทยโดยชัดเจนว่าไม่สนับสนุนการทำประมงผิดกฎหมายอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงได้นำเสนอที่ประชุมให้ร่วมกันกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะยาวเพื่อให้ประเทศไทยสามารถแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงวิถีชีวิตของชาวประมงและผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องต่อไป

คณะพนักงานสอบสวนส่งสำนวนตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 107 นาย ข้อหาเรียกรับ-ละเว้น ส่ง ป.ป.ช.เอกสารรวมกว่า 139,000 แผ่น

จากกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการปราบปรามนายทุนจีนสีเทา ที่เข้ามาในประเทศไทยเพื่อกระทำผิดกฎหมาย โดยใช้คนไทยเป็นนอมินีบังหน้า เริ่มตั้งแต่การเข้าจับกุมผับจินหลิง แล้วขยายผลจนสามารถจับกุมผู้ต้องหาและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งยังสืบสวนถึงที่มาของการอนุญาตขออยู่ต่อในราชอาณาจักร ซึ่งมีการตรวจสอบพบพิรุธในการดำเนินการจำนวนมาก ล่าสุด ได้มีการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจคนเข้าเมืองจำนวน 107 นาย ซึ่งมีพฤติการณ์ในการให้การช่วยเหลือในการอนุญาตขออยู่ต่อในราชอาณาจักรให้กับกลุ่มนายทุนจีนสีเทาและชาวต่างชาติ โดยใช้วิธีการสร้างหลักฐานเกี่ยวกับการเรียนภาษา หรือการเป็นสมาชิกของมูลนิธิและสมาคมต่างๆ ความคืบหน้าล่าสุด วันนี้ (9 มี.ค.66) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้มาร่วมสังเกตการณ์การนำสำนวนการสอบสวนในคดีดังกล่าวของคณะพนักงานสอบสวน สภ.เวฬุวัน ภ.จว.ขอนแก่น เสนอต่อเลขาธิการ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป โดยในสำนวนได้มีการสอบปากคำพยานไปมากถึง 446 ปาก มีเอกสารพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องในคดีมากถึง 139,000 แผ่น ซึ่งคณะพนักงานสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานพิจารณาแล้ว เห็นควรดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองทั้ง 107 คน ในความผิดฐาน ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และสั่งฟ้องอีก 9 คน (จาก 107 คน) ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า หลังจากที่เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ดำเนินการสืบสวนขยายผลในการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองทั้งหมด และได้ส่งมอบข้อมูลให้กับพนักงานสอบสวนแล้ว ในวันนี้ คณะพนักงานสอบสวน สภ.เวฬุวัน ภ.จว.ขอนแก่น ได้ดำเนินการสอบสวนปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องและรวบรวมพยานหลักฐานเสร็จสิ้นแล้ว และได้ส่งสำนวนการสอบสวน โดยได้สอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน พิจารณาแล้วเห็นควรดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจำนวน 107 คน ทั้งข้อหาเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ฯ และข้อหาเรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบ มีเอกสารมากถึง 139,000 บาท วันนี้จึงได้มาสังเกตการณ์ดูแลความเรียบร้อยในการนำเสนอต่อเลขาธิการ ป.ป.ช.เพื่อดำเนินการตรวจสอบเอกสารหลักฐานทั้งหมด และพิจารณาชี้มูลความผิดและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ถือว่าเป็นการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายโดยเด็ดขาดเพื่อดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ที่ใช้อำนาจทางกฎหมายในทางที่ผิด ช่วยเหลือกลุ่มทุนจีนสีเทาให้กระทำผิดในราชอาณาจักรได้ เพื่อเป็นการเรียกศรัทธาและสร้างความเชื่อมั่นในตัวตำรวจมากยิ่งขึ้น

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เข้ม ผลักดันเรือประมง IUU ขนปลาทูน่ากว่า 250 ล้านบาทออกนอกราชอาณาจักร หลังพบทำประมงผิดกฎหมาย

ตามนโยบายของรัฐบาล มีเป้าหมายที่จะให้ประเทศไทยสามารถคงสถานะธงเขียวจากสหภาพยุโรปไว้ให้ได้ จากการที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ในฐานะ ประธานกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ประธานคณะทำงานวิเคราะห์สถานการณ์การตรวจ ติดตาม ควบคุม เฝ้าระวังการทำการประมง และแรงงานในภาคประมง ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายในการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดที่ลักลอบทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) รวมทั้งแก้ไขปัญหาแรงงานในภาคประมงโดยการคัดกรองและร่วมบูรณาการในการดูแลสภาพการทำงานของแรงงานประมงให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศกรณีดังกล่าว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี/ประธานกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. /กรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ ให้มีการจัดการประชุมร่วมกับผู้แทนชาวประมงพื้นบ้าน เพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการมีใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวสามารถบังคับใช้ได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดทั้งกับประเทศชาติ และพี่น้องชาวประมงไทยให้มากที่สุด
เมื่อวันที่ 24 ม.ค.66 ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้รับแจ้งข้อมูลว่า มีเรือประมงชื่อ Sun Flower 7 สัญชาติเกาหลี เข้าเทียบท่าเรือกรุงเทพ ถนนราษฎร์บูรณะ เพื่อนำเข้าปลาทูน่าน้ำหนักกว่า 4,000 ตัน รวมมูลค่ากว่า 250 ล้านบาท ที่ได้จากการทำประมงขึ้นที่ท่าดังกล่าว นำเข้าสู่อุตสาหกรรมแปรรูปปลากระป๋อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบกลับไปยังต้นทางที่เรือประมงได้ไปทำการประมงมานั้น โดยตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องทุกประเภท เส้นทางการเดินเรือ ตลอดจนร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจาก มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Justice Foundation: EJF) องค์กรภาคประชาสังคมระดับนานาชาติ สืบสวนหาข้อมูลจากคนประจำเรือที่ท่าเทียบเรือ จึงได้ทราบว่า เรือประมงดังกล่าวได้ไปทำประมงในเขตพื้นที่น่านน้ำของคณะกรรมการการประมงแปซิฟิกตะวันตกและแปซิฟิกกลาง (WCPFC) และเขตน่านน้ำของสาธารณรัฐคิริบาสโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีพฤติการณ์ต้องสงสัยในการทำประมงผิดกฎหมายด้วยวิธีการเก็บทุ่นลอยน้ำที่ใช้สำหรับแพล่อสัตว์น้ำ
จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้ประสานให้กรมประมงออกหนังสือแจ้งไม่อนุญาตให้นำเข้าสัตว์น้ำที่ได้จากการทำประมงผิดกฎหมายดังกล่าว รวมทั้งออกคำสั่งให้เรือประมง Sun Flower 7 เดินทางออกจากราชอาณาจักร ซึ่งเมื่อวานนี้ (8 มี.ค.66) เวลาประมาณ 17.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ ร่วมกับ ศรชล กรมเจ้าท่า และกรมประมง เข้าตรวจสอบเรือประมงดังกล่าว พร้อมทั้งเร่งดำเนินการทางเอกสารเพื่อให้เรือดังกล่าวพร้อมเดินทางออกจากราชอาณาจักรโดยทันที รวมทั้งตรวจสอบเส้นทางการเดินเรือจากระบบติดตาม AIS เพื่อให้มั่นใจได้ว่า เรือประมงดังกล่าวจะเดินทางออกจากราชอาณาจักรจริง
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ได้ทราบข้อมูลจากการตรวจสอบการนำเข้าสัตว์น้ำของเรือประมงดังกล่าวจนทราบว่า มีการลักลอบทำประมงผิดกฎหมายในเขตน่านน้ำต่างประเทศ ก่อนจะนำสัตว์น้ำมาขึ้นฝั่งที่ประเทศไทย ดังนั้นเมื่อทราบดังกล่าวแล้ว ทางเราต้องรีบดำเนินการห้ามน้ำสัตว์น้ำที่ได้จากการทำประมงผิดกฎหมายเข้ามาในประเทศ เพื่อมิให้เป็นการสนับสนุนการกระทำผิด รวมทั้งจะต้องออกคำสั่งให้เรือดังกล่าวเดินทางออกจากราชอาณาจักรในทันที โดยได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้บูรณาการร่วมกันในการตรวจสอบเรือประมงดังกล่าว รวมทั้งดำเนินการให้แน่ใจว่า จะไม่มีการแอบลักลอบนำสัตว์น้ำดังกล่าวขึ้นที่ท่าเรืออื่นใดในประเทศไทยได้อีก จึงขอเตือนไปยังภาคอุตสาหกรรมแปรรูปสัตว์น้ำต่างๆ ขอให้ตรวจสอบที่มาของสัตว์น้ำที่จะนำมาประกอบผลผลิตให้มั่นใจว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับการทำประมงผิดกฎหมาย ถือเป็นความรับผิดชอบต่อประเทศเนื่องจากอุตสาหกรรมนำเข้าสัตว์น้ำในต่างประเทศล้วนให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว เพื่อเป็นการแสดงเจตนาโดยชัดเจนว่า ประเทศไทยไม่สนับสนุนการทำประมงผิดกฎหมายอย่างสิ้นเชิง


กรมศุลกากรตรวจยึดโคคาอีนน้ำหนัก 2.41 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 12 ล้านบาท

วันนี้ (8 มีนาคม 2566) กรมศุลกากรตรวจยึดโคเคน น้ำหนัก 2.41 กิโลกรัม ซุกซ่อนมากับสินค้าทางพัสดุไปรษณีย์ระหว่างประเทศ ต้นทางจากประเทศโปรตุเกส มูลค่ากว่า 12 ล้านบาท ณ ศูนย์ไปรษณีย์กรุงเทพฯ หัวลำโพง ถนนจรัสเมือง แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายเดินหน้าปราบปรามยาเสพติด ทั้งการผลิต
การนำเข้า การนำผ่าน และการลักลอบจำหน่าย โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวด ด้านกระทรวงการคลังโดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง จึงสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง เพิ่มความเข้มงวดและเดินหน้าปราบปรามการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามา
ในราชอาณาจักรทุกเส้นทาง กรมศุลกากรจึงเพิ่มการเฝ้าระวังการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักร โดยเฉพาะทางพัสดุไปรษณีย์ที่สามารถซุกซ่อนยาเสพติดเข้ามาในประเทศได้สะดวก

ซึ่งวันนี้ (8 มีนาคม 2566) เวลา 09.00 น. กรมศุลกากร โดยสำนักงานศุลกากรกรุงเทพ
พบพัสดุไปรษณีย์ระหว่างประเทศ ประเภทพัสดุไปรษณีย์ทางอากาศ ต้นทางจากประเทศโปรตุเกส จำนวน 1 หีบห่อ
มีลักษณะที่น่าสงสัย จึงร่วมกับ เจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย (ศรภ.) เปิดตรวจพัสดุดังกล่าวร่วมกับพนักงาน บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ภายในพบกล่องเครื่องเล่น Play Station เจ้าหน้าที่ได้ทำการแกะเคสของเครื่อง Play Station ออก พบห่อพันด้วยเทปสีดำ จำนวน 5 ห่อ ภายในพบห่อด้วยกระดาษคาร์บอนสีดำ หลังจากแกะกระดาษคาร์บอนสีดำพบถุงพลาสติกใสบรรจุผงสีขาว จึงนำผงสีขาวดังกล่าวไปทดสอบด้วยน้ำยา COBALT THIOCYANATE REAGENT พบว่าทำปฏิกิริยากับน้ำยาทดสอบเปลี่ยนจากใสเป็นสีน้ำเงิน-ฟ้า จึงสันนิษฐานได้ว่าผงสีขาวดังกล่าว เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 2 โคคาอีน น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 2.41 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 12 ล้านบาท

กรณีเป็นการนำของต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร อันเป็นความผิดตามมาตรา 244 และมาตรา 252 ประกอบมาตรา 60 และมาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และเป็นความผิด
ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ในข้อหา “นำยาเสพติดให้โทษประเภท 2 โคคาอีน เข้ามา
ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” เจ้าหน้าที่ฯ จึงได้ร่วมกันตรวจยึดพัสดุดังกล่าวเพื่อส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เดินทางเข้าตรวจเยี่ยมการอบรมสัมมนาพนักงานสอบสวนและทีมสหวิชาชีพ เสริมศักยภาพปราบปรามแรงงานบังคับ-ค้ามนุษย์

วันนี้ (8 มี.ค.66) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) ได้เดินทางเข้าตรวจเยี่ยมและสังเกตการณ์ การอบรมสัมมนาพนักงานสอบสวนและทีมสหวิชาชีพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการคุ้มครองแรงงานต่างด้าว และการป้องกันการละเมิดสิทธิตามกฎหมายแรงงาน อันจะนำไปสู่ปัญหาการค้ามนุษย์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ซึ่งจัดอบรมในช่วงระหว่างวันที่ 5-10 มี.ค.66 ณ โรงแรมแคนทารี่ ฮิลส์ เชียงใหม่ ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ การอบรมสัมมนาพนักงานสอบสวนและทีมสหวิชาชีพนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและความรู้เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง กระบวนการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และแรงงานบังคับ วิธีการปฏิบัติต่อผู้เสียหาย รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับผู้ปฏิบัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการบังคับใช้กฎหมายและการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายจากการบังคับใช้แรงงาน โดยมีผู้ร่วมรับการอบรมเป็นพนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน และเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมจำนวน 100 คน ซึ่งในปีงบประมาณ 2566 นี้มีการจับอบรมทั้งหมด 5 รุ่น กระจายใน 5 จังหวัดครอบคลุมทุกภาค เพื่อเป็นการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถในการบูรณาการปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การจัดการอบรมสัมมนาพนักงานสอบสวนและทีมสหวิชาชีพนั้น เป็นการพัฒนาศักยภาพของพนักงานสอบสวนให้มีความรู้ความเข้าใจในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการบังคับใช้แรงงาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่อาจนำไปสู่ปัญหาการค้ามนุษย์ ได้จัดอบรมร่วมกับทีมสหวิชาชีพจากกระทรวงแรงงานและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อเป็นการสร้างเครือข่ายของผู้ปฏิบัติซึ่งจะทำให้การปฏิบัติหหน้าที่ร่วมกันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมรองรับกระบวนการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และแรงงานบังคับ และกลไกการส่งต่อระดับชาติ ซึ่งประเทศไทยกำลังผลักดันเพื่อเป็นมาตรฐานในการปฏิบัติในระดับสากลต่อไป

รอง ผบ.ตร.สั่งดำเนินคดีเด็ดขาด ครูข่มขืนเด็กนักเรียนในจังหวัดเชียงใหม่

จากกรณี มีผู้เสียหายที่เป็นผู้ปกครองเข้าแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับครูโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่
ซึ่งกระทำล่วงละเมิดทางเพศ ต่อเด็กนักเรียน จำนวนหลายราย จากการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานทราบว่าครูคนดังกล่าวคือ นาย รุ่งชาย (ขอสงวนนามสกุล) ครูสอนวงโยธวาทิต
พฤติการณ์ในคดีทราบว่า นายรุ่งชายฯ ได้พานักเรียนของตนเองไปข่มขืนกระทำชำเราที่ม่านรูดแห่งหนึ่ง จำนวน 3 ครั้ง ในเขตพื้นที่ อ.สันปาตอง จว.เชียงใหม่ ซึ่งทางผู้ปกครองเด็กได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ กับ พงส.สภ.สันป่าตอง เรียบร้อยแล้ว
ต่อมาวันที่ 7 มีนาคม 2566 ได้ร่วมกับสหวิชาชีพสอบปากคำเด็กนักเรียนและได้เรียกประชุมเร่งรัดคดีโดยให้ทาง สภ.สันป่าตอง รวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถออกหมายจับนายรุ่งชายฯ ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ที่ 177/2566 ลง 7 มี.ค.66 ในข้อหา “พาพราก กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี อันเป็นการกระทำแก่ศิษย์ที่อยู่ในควบคุมดูแล”
ต่อมาวันที่ 8 มี.ค.66 ได้ดำเนินการจับกุมนายรุ่งชายฯ ที่ สำนักปฏิบัติธรรม ในเขตพื้นที่ อ.สะเมิง จว.เชียงใหม่ และได้ดำเนินการนำหมายค้นศาลจังหวัดเชียงใหม่ เข้าดำเนินการตรวจค้นที่บ้านพักและสถานที่ทำงาน โดยได้ทำการตรวจยึดพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง จากการซักถามนายรุ่งชายให้การรับสารภาพอยู่ระหว่างขยายผลเพิ่มเติม
ส่วนคดีของหางดง จะได้เร่งสอบปากคำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และดำเนินคดีต่อไปโดยเร็ว

กรมศุลกากรยึดเฮโรอีน ซ่อนในแขนเสื้อ เตรียมส่งออกนอกประเทศจำนวน 43.40 กิโลกรัม มูลค่า 107.5 ล้านบาท

วันนี้ (7 มีนาคม 2566) เวลา 10.30 น. นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร แถลงข่าวการจับกุมยาเสพติดประเภท 1 เฮโรอีน (Heroin) น้ำหนัก 43.40 กิโลกรัม มูลค่า 107.5 ล้านบาท พร้อมด้วย นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.อ.บุรี บุญวรรณ รองผู้อำนวยการสำนักปฏิบัติการข่าว ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี นายพงศ์เทพ บัวทรัพย์ รองอธิบดี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร นายจักกฤช อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ณ ศูนย์แถลงข่าว ชั้น 2 อาคาร 1 กรมศุลกากร คลองเตย

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดทั้งการผลิต การนำเข้า การนำผ่าน และการลักลอบจำหน่าย และสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวด ด้านกระทรวงการคลัง โดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง จึงสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง เพิ่มความเข้มงวดและเดินหน้าปราบปรามการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักรทุกเส้นทาง กรมศุลกากรจึงเพิ่มการเฝ้าระวังการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักร ทั้งทางบก ทางเรือและทางอากาศ ซึ่งที่ผ่านมามีการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาและออกนอกราชอาณาจักรอย่างต่อเนื่อง
โดยเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2566 กรมศุลกากร โดยสำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ภายใต้การปฏิบัติงานของชุด AITF (AIRPORT INTERDICTION TASK FORCE) ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ได้ประมวลข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลักลอบนำยาเสพติดออกนอกราชอาณาจักร พบพัสดุต้องสงสัยเตรียมส่ง HONG KONG จำนวน 29 หีบห่อ สำแดงสินค้าเป็นของใช้ตามบ้านเรือน เสื้อผ้า เครื่องสำอาง เครื่องประดับ และเครื่องขจัดขน ซึ่งจากการเปิดตรวจสินค้าที่เป็นเสื้อผ้าชาวเขาและผ้าเตี่ยว จำนวน 6 หีบห่อ พบว่าบริเวณปลายแขนเสื้อทั้งสองข้างมีความหนาผิดปกติและมีกลิ่นฉุน จึงทำการเลาะตะเข็บแขนเสื้อและผ้าเตี่ยวออก พบสารที่มีลักษณะเป็นผงบรรจุอยู่ในแถบผ้าดิบที่มีการเย็บติดกับแขนเสื้อและผ้าเตี่ยว จากนั้นจึงนำวัตถุต้องสงสัยมาทดสอบเบื้องต้นด้วยน้ำยาเคมี (ONCB 051 Marquis Reagent) และเครื่อง Handheld Raman Spectrometer แสดงผลเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เฮโรอีน (HEROIN) น้ำหนักของยาเสพติด 43.40 กิโลกรัม มูลค่า 107,500,000.00 บาท

การกระทำดังกล่าวเป็น “การนำยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เฮโรอีน (HEROIN) เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ประกอบกับพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 244 มาตรา 252 มาตรา 166 และมาตรา 167 พนักงานศุลกากรจึงได้ยึดยาเสพติดดังกล่าวไว้เป็นของกลาง เพื่อนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป” ทั้งนี้ กรมศุลกากรจะดำเนินการประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขยายผลต่อไป

จบการหารือ ปัญหาค้ามนุษย์แล้ว สหรัฐ ชมไทย มีความมุ่งมั่น ปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมเดินหน้าพัฒนาตามข้อเสนอแนะ

หลังจากคณะผู้แทนไทย โดยนายเชษฐพันธ์ มากสัมพันธ์ อธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ในฐานะ ผอ.ศพดส.ตร. ได้เข้าหารือกับ นางมาเซีย ยูจีนิโอ ผอ.สำนักงานการค้าแรงงานเด็ก แรงงานบังคับ และการค้ามนุษย์ และนายแมท เลวิน ผู้อำนวยการสำนักงานการค้าระหว่างประเทศและกิจการแรงงาน ณ กระทรวงแรงงาน สหรัฐอเมริกา

โดยพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้นำเสนอถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับกลุ่มบริษัทที่มีการใช้แรงงานข้ามชาติ แต่ไม่ได้ดูแลสวัสดิการและการให้ค่าตอบแทนที่คุ้มค่า เช่นกรณีบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่ ทำธุรกิจเกี่ยวกับเสื้อผ้าในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งได้รับคำชื่นชมว่า มีการบูรณาการแก้ปัญหาที่ดี โดยมีการบังคับใช้กฎหมายทั้งในคดีอาญา ควบคู่ไปกับคดี พรบ.คุ้มครอง แรงงาน เพื่อให้แรงงานประเทศเพื่อนบ้าน ได้เข้าถึงสิทธิที่ควรได้รับจากการทำงานในประเทศไทย

ส่วนการคัดกรองแรงงานภาคการประมง แบบมีมาตรฐานเดียวกัน สหรัฐมองว่ายังมีขั้นตอนที่ดูยุ่งยาก แนะนำให้มีการปรับลดแบบสอบถาม เพื่อลดขั้นตอนลงเนื่องจากการนำเสนอที่ผ่านมา พบว่ามีการคัดกรองในปริมาณที่มาก แต่สัดส่วนที่ผ่านการคัดกรองกลับมีน้อยมาก

ทั้งยังแนะนำให้ไทย ไปศึกษารายละเอียดการเขียนรายงาน จากประเทศปานามาและจอร์แดน ซึ่งสอบผ่านจนสามารถ ปลดล๊อคการส่งออกสินค้าได้สองรายการคือสิ่งทอ และอ้อย

นอกจากนี้ ยังได้มีการเข้าพบกับนายคริษฐ์ สมิทธ สมาชิกผู้แทนราษฎรจากรัฐ นิวเจอร์ซี่ ผู้วางรากฐานกฎหมายด้านการต่อต้านค้ามนุษย์ และการคุ้มครองเด็ก โดยไทยได้นำเสนอถึงความคืบหน้าในการแก้ปัญหาทุนสีเทา ซึ่งมีการดำเนินคดีและผลักดันออกนอกประเทศ พร้อมขึ้นบัญชีเฝ้าระวังการเข้ามาก่อเหตุซ้ำ และมีการดำเนินคดีเกี่ยวกับการฟอกเงินและดำเนินคดีตามขั้นตอนทางภาษี นี่ทำให้สหรัฐ ถึงกับแสดงความชื่นชมถึงความมุ่งมั่นในการปราบปรามของประเทศไทย

พลตำรวจเอกสุรเชษฐ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า จากนี้ไปจะกลับไปเสนอออกกฏหมายเกี่ยวกับการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง เพื่อให้ไทยเป็นผู้นำด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ในระดับอาเซียน ตามข้อเสนอแนะของสหรัฐอเมริกา

โดยจะใช้มาตรการในการป้องกันมากกว่าการปราบปราม เน้นการอบรมและการมีส่วนร่วมของชุมชน เช่นทำงานร่วมกับการบินไทย ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติ ในการสอดส่องคัดกรองผู้เดินทางจากทั่วทุกภูมิภาค รวมไปถึงการให้ผู้นำชุมชน เข้ามาร่วมสอดส่องดูแลปัญหา โดยนำกลไก บวร. คือ บ้าน วัด โรงเรียน เข้ามาขับเคลื่อน จะได้ไม่เกิดกรณีเด็กหาย ในพื้นที่บางหลวง อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ซ้ำอีก

นอกจากนี้ จะฝึกอบรมพนักงานโรงแรมเพื่อให้มีศักยภาพ ในการช่วยคัดกรองสอดส่อง เพื่อไม่ให้เกิดการนำเด็กหญิงและเด็กชาย มาค้ามนุษย์หรือถ่ายคลิปวิดีโอโป๊ หรือ อนาจาร ซึ่งเป้าหมายทั้งหมดนี้ จะทำให้คนร้าย มีโอกาสกระทำการค้ามนุษย์ และอนาจารเด็กน้อยลง

ดร.อ๊อด มอบเครื่องอุปโภคและบริโภคแก่ผู้ป่วยติดเตียง

ดร.อ๊อด โพธิ์เงิน นาวาอากาศหญิงตรีจุฑาทิพย์ บุญยฤทธิ์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กุณฑล ทองศรี ได้มอบเครื่องอุปโภคและบริโภคแก่ผู้ป่วยติดเตียง โดยผ่านนาวาอากาศเอก สุภาวิต ธรรมสิทธิรุจน์ กองอนุศาสน์ กองทัพอากาศ ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566 ณ บริษัท เจเค เอเซีย จำกัด ประตูกรุงเทพ พลาซ่า เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร และนำไปมอบในวันที่ 1 มีนาคม 2566 ณ พื้นที่ ต.บางงา อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี

Design a site like this with WordPress.com
Get started