รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันไม่มีการดำเนินคดีกับเรือประมงพื้นบ้าน ที่ทำประมงในเขตพื้นที่ทับซ้อนอุทยานฯ

เพราะเป็นการทำประมงเพื่อการยังชีพ แต่ที่ต้องจับประมงพาณิชย์ 27 ลำ โดยไม่อาจผ่อนผันได้ เพราะเป็นการทำประมงรุกล้ำและใช้เครื่องมือ ที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมรอบพื้นที่ท่องเที่ยว

จากกรณีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 ที่มีเรือประมงพื้นบ้านออกมาชุมนุมประท้วงปิดปากอ่าวจนส่งผลกระทบต่อการนำเรือเข้าออกของเรือท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดสตูล ทำให้มีนักท่องเที่ยวตกค้างจำนวนมาก

โดยเรือเหล่านี้ อ้าง เหตุผลของการชุมนุมปิดปากอ่าวว่า กังวลจะถูกดำเนินคดี หลังจากที่ตำรวจได้ร่วมกับกรมอุทยานฯ แจ้งดำเนินคดีกับเรือประมง 27 ลำที่ทำประมงในพื้นที่เขตทับซ้อนก่อนหน้านี้

พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่าการที่ประมงพื้นบ้านออกมาชุมนุมกันเป็นเรื่องของความเข้าใจผิด เพราะแม้ตำรวจ และอุทยาน จะประกาศบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด แต่ตอนนี้ยังไม่มีนโยบายที่จะดำเนินการจับกุมประมงพื้นบ้าน เพราะเข้าใจได้ว่า การทำประมง พื้นบ้าน เป็นการทำประมง เพื่อการยังชีพ และเครื่องมือที่ใช้ ที่ไม่กระทบต่อทรัพยากรชายฝั่ง โดยที่ผ่านมาได้หารือร่วมกันกับทางกรมอุทยานฯ และมีการกำหนดขอบเขตการผ่อนผันทำประมงบางจุดให้ชาวเล เข้าไปหาปลาได้ เพื่อการยังชีพ

โดย จากการสำรวจพบว่า จ.สตูล มีเรือประมงพื้นบ้านขนาดเล็กอยู่ 6,800 กว่าลำ แต่เรือที่ออกมาประท้วงอยู่ในขณะนี้มีอยู่ประมาณ 80 ลำในวันแรกและลดลงมาเหลือ 40 ลำในวันที่สอง

ส่วนสาเหตุที่ต้องจับกุม เรือประมงพาณิชย์ และไม่สามารถผ่อนผันได้ เนื่องจากพื้นที่อุทยานฯ มีความหลากหลายทางชีวภาพ หากปล่อยให้เรือประมงพาณิชย์ เข้ามาลักลอบทำประมง จะสร้างความเสียหาย ทั้งระบบนิเวศน์ และการท่องเที่ยว ไม่ต่างจากปล่อยปละให้มีการสร้างโรงแรม รุกพื้นที่อุทยานฯ

ทั้งนี้ยืนยันว่าการดำเนินคดีกับเรือประมง 27 ลำ จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย อย่างจริงจัง เนื่องจากตรวจสอบ VMS พบว่า เรือประมงเหล่านี้ ทำประมงในเขตหวงห้าม หรือเขตอุทยานและยังใช้เครื่องมือที่เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำวัยอ่อนและปะการัง ซึ่งทางกรมอุทยานฯ ได้แจ้งดำเนินคดี กับเรือกลุ่มนี้ไปแล้ว ที่ สน.บางเขน เมื่อวันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมา มีโทษจำคุก 5 ปีและปรับไม่เกิน 500,000 บาท

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติบอกด้วยว่าขณะนี้ได้สั่งการให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสตูลเข้าไปทำความเข้าใจกับตัวแทนของชาวประมงพื้นบ้านในพื้นที่ที่ออกมาชุมนุมปิดปากอ่าว และทำข้อตกลงร่วมกันโดยเร็วที่สุด จะได้ยุติการปิดปากอ่าว ที่กำลังกระทบต่อการท่องเที่ยวทะเลโดยรอบ

ทั้งนี้มีรายงานด้วยว่า อีกสองเดือนข้างหน้าจากนี้ไปทาง IUU จะเข้ามาประเมินการดำเนินการ และมาตรการการแก้ไขปัญหา การประมงผิดกฏหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม

กรมศุลกากรยึด “เมล็ดฝิ่น” ลักลอบนำเข้าจากตุรกี น้ำหนัก 26,000 กิโลกรัม มูลค่า 30 ล้านบาท

วันนี้ (1 มีนาคม 2566) เวลา 13.30 น. นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร นายพงศ์เทพ บัวทรัพย์ รองอธิบดี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร นางนันท์ฐิตา ศิริคุปต์ รองอธิบดีกรมศุลกากร พ.ต.ท.กิตติคุณ พ่วงนาคพันธุ์ ผู้อำนวยการส่วนปฏิบัติการข่าวและปราบปรามยาเสพติด 6 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) พ.อ.มารุต เปล่งขำ ผู้อำนวยการ กอง 12 ศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย นางสาววิลาสินี พุ่มสงวน เภสัชกรชำนาญการ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกันแถลงข่าวการยึด “เมล็ดฝิ่น” ลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ ทางท่าเรือแหลมฉบัง น้ำหนัก 26,000 กิโลกรัม มูลค่า 30 ล้านบาท ณ ศูนย์แถลงข่าว ชั้น 2 กรมศุลกากร คลองเตย

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดทั้งการผลิต การนำเข้า การนำผ่าน และการลักลอบจำหน่ายและสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวด ด้านกระทรวงการคลัง โดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังจึงสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง เพิ่มความเข้มงวดและเดินหน้าปราบปรามการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักรทุกเส้นทาง กรมศุลกากรจึงเพิ่มการเฝ้าระวังการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักร ทั้งทางบก ทางเรือและทางอากาศ ซึ่งที่ผ่านมามีการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาและออกนอกราชอาณาจักรอย่างต่อเนื่อง

สำหรับวันนี้ (วันที่ 1 มีนาคม 2566) กรมศุลกากร โดยสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ร่วมกับกองสืบสวนและปราบปราม ตรวจพบใบขนสินค้าขาเข้าสำแดง เป็น งาขาว (WHITE POPPY SEEDS) ประเทศกำเนิด สาธารณรัฐตุรกี น้ำหนัก 26,000 กิโลกรัม เมื่อพิจารณาจากลักษณะทางกายภาพของสินค้า พบเป็นเมล็ดพืชชนิดหนึ่ง แต่เมื่อเจ้าหน้าที่พิจารณาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้า เกิดข้อสงสัยหลายประเด็น เพื่อความชัดเจนจึงชักตัวอย่างสินค้า นำส่งตรวจวิเคราะห์ ณ สถาบันวิชาการและตรวจพิสูจน์ยาเสพติด ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) จากนั้น ป.ป.ส. ได้รายงานผลการตรวจพิสูจน์ตัวอย่างเบื้องต้น พบเป็นมอร์ฟีนและโคเดอีน ซึ่งเป็นแอลคาลอยด์ในเมล็ดฝิ่น และด่านตรวจพืชท่าเรือแหลมฉบัง แจ้งผลการตรวจสอบสินค้า พบว่า เมล็ดพืชดังกล่าว เป็นเมล็ดของพืชชนิด Papaver somniferum L. อยู่ในวงศ์ Papaverceae (เมล็ดฝิ่น) กรมศุลกากรจึงเปิดตรวจตู้สินค้าดังกล่าว ณ ท่าเรือแหลมฉบังพบเมล็ดฝิ่น จำนวน 26,000 กิโลกรัม มูลค่า 30 ล้านบาท

อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวต่ออีกว่า การกระทำดังกล่าว เป็นความผิดฐานนำเข้ายาเสพติดให้โทษประเภท 5 เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการกระทำเพื่อการค้าก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 5 โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน ตามมาตรา 148 แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ประกอบประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2565 กรณีความผิดฐานยื่น จัดให้ หรือยอมให้ผู้อื่นยื่นใบขนสินค้า เอกสาร หรือข้อมูล ซึ่งเกี่ยวกับการเสียอากรหรือการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ไม่ถูกต้องหรือไม่บริบูรณ์ นำของที่ผ่านหรือกำลังผ่านพิธีการศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงข้อจำกัดหรือข้อห้ามอันเกี่ยวกับของนั้น และมาตรา 202 มาตรา 244 ประกอบมาตรา 252 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 กรณีความผิดฐานสำแดงชนิดสินค้าไม่ถูกต้องในแบบ พ.ก.5 ตาม พ.ร.บ. กักพืช พ.ศ.2507 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

สำหรับสถิติการจับกุมยาเสพติดทั่วประเทศในปีงบประมาณ 2566 ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2565 – 28 กุมภาพันธ์ 2566 มีจำนวน 71 ราย มูลค่า 726 ล้านบาท
……………………………………………………………………..

คณะผู้แทนไทย เข้าหารือ สหรัฐ แจงความคืบหน้าแนวทางแก้ปัญหาค้ามนุษย์ หรือ TIP Report

ขณะที่สหรัฐ สนใจปัญหา หลอกลวงออนไลน์ พบยอดเหยื่อพุ่ง ย้ำการคัดแยก เยียวยาเหยื่อ ทำได้ดีขึ้น รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มั่นใจ หากรักษาแนวทางนี้ได้ ปีหน้าไทยมีโอกาสได้เทียร์ 1

เมื่อวันที่ 27 ก.พ.66 คณะผู้แทนประเทศไทย นำโดย นายเชษฐพันธ์ มากสัมพันธ์ อธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์และภาคประมง (ศพดส.ตร.) ได้เดินทางเข้าพบหารือกับ น.ส.ซินดี ดายเออร์ ผู้อำนวยการแผนกต่อต้านการค้ามนุษย์ ที่กระทรวงการต่างประเทศ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เพื่อสรุปกรอบการดำเนินการในการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานบังคับ ในการจัดทำ TP Report ปี 2566 หลังจาก ปีที่แล้ว ไทยได้รับการปรับระดับ จาก 2.5 เป็น 2

นอกจากความคืบหน้าด้านการปราบปรามแล้ว ในครั้งนี้ ศพดส .ตร . ยังได้นำเสนอความก้าวหน้าในการคัดแยกเหยื่อ และการเยียวยาผู้เสียหาย โดยให้ผู้เสียหายเข้ามามีส่วนร่วมมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา โดยระบุว่าในปี พ.ศ.2565 มีคดีค้ามนุษย์ทั้งสิ้น 250 คดี มีผู้เสียหายในคดีค้ามนุษย์ทั้งสิ้น 569 ราย ได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาแล้ว 322 คน คิดเป็น 62.04% นี่ทำให้สหรัฐอเมริกา ชื่นชมถึงความตั้งใจจริงของประเทศไทยในการแก้ปัญหา

ขณะเดียวกันยังได้มีนำเสนอหัวข้อเพิ่มเติมในการหารือการแก้ไขปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ที่มีอัตราการเกิดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งได้รับความสนใจจากสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก โดยในวันต่อไปจะมีการพบปะหารือร่วมกับผู้แทนสหรัฐอเมริกาในด้านการใช้แรงงานบังคับ ที่รัฐสภาอีกด้วย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การเดินทางมาในปีนี้ก็เพื่อเป็นการชี้แจงถึงความคืบหน้าให้รัฐบาลสหรัฐมองเห็นความจริงจังและความเอาใจใส่ในการแก้ปัญหาด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ของไทยหลังจากที่ปีที่แล้วไทยได้รับการปรับจาก 2.5 มาเป็น 2 และหากเราสามารถ ดำเนินแผนโครงการด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเชื่อว่าในปีหน้าโอกาสที่ไทยจะได้รับปรับเป็นเทียร์ 1 ก็จะมีมากขึ้นและยังส่งผลดีต่อภาคการส่งออกการค้าการลงทุนด้วยเช่นกัน

สำนักงานพาณิชย์ยะลา จัดคาราวาน พาณิชย์…ลดราคา! ช่วยประชาชน งวด 2 ลุยทุกพื้นที่ ต้อนรับเดือนรอมฎอน ขนสินค้ามาลดราคาหลายรายการ

ภาพ/ข่าว โดย สมภพ สุภนรานนท์ จังหวัดยะลา ทีมข่าว ปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 จังหวัดยะลา ที่บริเวณด้านข้างสำนักงานพาณิชย์จังหวัดยะลา อ.เมือง จ.ยะลา นายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา พร้อมด้วย นางผุสสดี จ๋ายเจริญ พาณิชย์จังหวัดยะลา และหัวหน้าส่วนราชการ ได้จัดพิธีเปิดตัวโครงการ “พาณิชย์...ลดราคา! ช่วยประชาชน ปี 2565 (งวดที่ 2) ภายใต้ชื่อ“พาณิชย์...ลดราคา! Mobile ทั่วไทย Lot 20 (ภูมิภาค)” เพื่อจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพในราคาประหยัดให้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดยะลา ซึ่งเป็นการบรรเทาและลดภาระค่าครองชีพประชาชนที่ขณะนี้สินค้ามีแนวโน้มที่จะปรับราคาสูงขึ้น เนื่องจากผลกระทบราคาพลังงานที่มีการปรับขึ้นราคาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับขณะนี้ใกล้ช่วงเดือนรอมฎอนเทศกาลถือศีลอดของพี่น้องชาวไทยนับถือศาสนาอิสลาม ที่จะต้องประกอบศาสนกิจสำคัญในช่วงเดือนรอมฎอนดังกล่าว ดังนั้นจึงได้จัดทำโครงการนี้ขึ้นซึ่งเป็นกิจกรรมที่ดำเนินการต่อเนื่องจากโครงการในงวดที่ 1 ที่ดำเนินการไปแล้วในช่วงระหว่าง เดือน กันยายน - พฤศจิกายน 2565 และในงวดนี้จะดำเนินการต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป นางผุสสดี จ๋ายเจริญ พาณิชย์จังหวัดยะลา กล่าวว่า กิจกรรมการจำหน่ายสินค้าในครั้งนี้ ได้กำหนดไว้ครอบคลุม 8 อำเภอ ผ่านจุดจำหน่าย จำนวน 8 จุด/วัน รวม 120 จุดๆ ละ 2 วัน จำหน่ายสินค้าตั้งแต่เวลา 09.00 – 15.00 น โดยคำนึงถึงความสะดวกสะอาด ปลอดภัย ภายใต้วิถีใหม่ (New Normal) และการเข้าถึงประชาชนในทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง เพื่อให้ประชาชนได้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาจับจ่ายซื้อหาสินค้าและเกิดประโยชน์ตรงกับวัตถุประสงค์ของโครงการในการบรรเทาลดภาระค่าครองชีพประชาชนอย่างแท้จริง โดยสินค้าที่เข้าร่วมโครงการมีทั้งหมด 80 กว่ารายการ ทั้งอาหารสดและสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ซึ่งลดราคาสูงสุดถึง 50% สำหรับสินค้าที่ลดราคาเป็นพิเศษ มี 3 รายการและเป็นไฮไลท์ในครั้งนี้ ได้แก่ ไข่ไก่เบอร์ 2 จำหน่ายราคาพิเศษ แผงละ 95 บาท จากราคาปกติ 115 บาท ลดต่ำกว่าราคาตลาดทั่วไป 17.4 % จำหน่ายวันละ 640 แผง น่องไก่ติดสะโพก จำหน่ายราคาพิเศษ ราคากิโลกรัมละ 65 บาท จากราคาปกติ 90 บาท ลดต่ำกว่าราคาตลาดทั่วไป 27.7 % จำหน่ายวันละ 160 กก.น้ำตาลทรายขาว ขนาด 1 กิโลกรัม จำหน่ายราคาพิเศษ ถุงละ 20 บาท จากราคาปกติ 26 บาท ลดต่ำกว่าราคาตลาดทั่วไป 23 % จำหน่ายวันละ 800 กก. ส่วนหมวดสินค้าทั่วไปที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ลดสูงสุดกว่า 5 - 50 % เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ข้าวสาร น้ำมันพืช ซอสปรุงรส ผลิตภัณฑ์ชำระร่างกาย ผลิตภัณฑ์ซักล้าง ของใช้ประจำวันอื่น ๆ เช่น แปรงสีฟัน ยาสีฟัน กระดาษทิชชู และหมวดรักษาโรค ยาแก้ไข้ หน้ากากอนามัย และสำหรับวันนี้ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดยะลาและหัวหน้าส่วนราชการได้ร่วมจำหน่ายสินค้าให้กับประชาชนในช่วงเวลานาทีทอง โดยจำหน่ายน้ำมันพืชปาล์ม ขนาด 1 ลิตต ราคาขวดละ 43 บาท จากราคาในโครงการ 47 บาท ลดเพิ่มอีก 4 บาท ซึ่งประชาชนให้ความสนใจร่วมซื้อสินค้ากันเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ คาดว่าตลอดโครงการฯ จะช่วยให้ประชาชนชาวจังหวัดยะลา สามารถลดภาระค่าครองชีพประชาชนได้เป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 3,000,000 ล้านบาท

นักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นปลื้ม สายสืบบางรักใช้เวลา 5 ชั่วโมง ติดตามไอโฟน ส่งคืนถึงมือ เป็นจากการบริการด้วยใจของตำรวจไทย

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่สน.บางรัก พ.ต.ท.เกียรติภูมิ ทินาโชติ รอง ผกก.สส.สน.บางรัก พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน นำโทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอโฟน (iphone 14 pro max สีม่วง) ที่สามารถติดตามกลับคืนมาได้จากกล้องวงจรปิดโครงการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่งคืนมอบให้ MISS SHIYI DENG สัญชาติจีน

ทั้งนี้สืบเนื่องจาก ได้มีนักท่องเที่ยวชางจีน มาร้องทุกข์ต่อ พงส.สน.บางรัก ได้นั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างทั่วไป ไม่ทราบทะเบียน และไม่รู้จักคนขับ ในระหว่างทางคนขับ ใส่เสื้อมีฮู้ด ผู้แจ้งซึ่งนั่งซ้อนท้าย ได้เอาโทรศัพท์ iPhone 14 Pro Max สีม่วง ใส่เคสใส ได้ใส่ไว้ในฮู้ดคนขับ และเมื่อมาถึงบริเวณหน้าโรงแรมมณเฑียรสุรวงศ์ แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กทม. ผู้แจ้งได้ลืมโทรศัพท์เครื่องดังกล่าวไว้ และพยายามเรียกแล้วแต่ไม่ทัน และไม่สามารถติดต่อคนขับได้ จึงมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อให้ตำรวจบางรัก ช่วยติดตามโทรศัพท์เครื่องดังกล่าว

ภายหลังรับทราบ พ.ต.อ.วัชรวีร์ ธรรมเสมา ผกก.สน.บางรัก ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.เกียรติภูมิ ทินาโชติ รอง ผกก.สส.สน.บางรัก จัดทีมนำโดย พ.ต.ต.สมถวิล ไสลจักร์ สว.สส. ร.ต.อ.วรพัฒน์ เจริญมาก รอง สว.สส.สน.บางรัก ร.ต.ต.สุระสิทธิ์ คำล้นธนิสร์กุล ร.ต.ต.จิรัฏฐ์ วงษ์วิวงษ์ รอง สว.(สส.) และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิด บริเวณที่เกิดเหตุและใกล้เคียง พบชื่อผู้ครอบครองทะเบียนรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว จึงเดินทางไปพบกับชายคนดังกล่าว

โดยเจ้าตัวยอมรับว่า โทรศัพท์เครื่องดังกล่าวอยู่ที่ตนจริง แต่ทราบเมื่อหลังจากได้กลับมาถึงบ้านพักซึ่งอยู่ในฮู้ดของเสื้อคลุม แต่ไม่รู้จะนำส่งคืนที่ใด จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจนฝ่ายสืบสวน สน.บางรัก ตามมาพบที่บ้าน ส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่ เพื่อนำส่งคืนให้กับเจ้าของต่อไป

พ.ต.ท.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ภายหลังรับทราบข้อมูลจากเจ้าทุกข์ จึงนำเรียน พ.ต.อ.วัชรวีร์ ธรรมเสมา ผกก.สน.บางรัก ท่านรีบสั่งการให้ดำเนินการ ตามแผนป้องกันเหตุ การบริการนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพมหานคร อีกทั้งยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว ที่มีต่อกองบัญชาการตำรวจนครบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เจ้าหน้าที่ไม่เคยละเลย มองข้าม รีบดำเนินการภายในระยะเวลาอันสั้น จนนำทรัพย์สินดังกล่าวส่งคนเจ้าของโดยเร็วภายในระยะเวลา 5 ชั่วโมง

ผบก.น.5 พร้อม ผกก.สน.คลองตัน ตรวจเยี่ยมชุมชนสุเหร่าบางมะเขือ

วันนี้ 22 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 15.00-16.00 น.

พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผบก.น.5
พ.ต.อ.วชิรากรณ์ วงศ์บุญ ผกก.สน.คลองตัน, พ.ต.ท.ณริศ หาญจริง รอง ผกก.จร.สน.คลองตัน, พ.ต.ท.ประเสริฐ จันทร์อักษร รอง ผกก.สส.สน.คลองตัน, พ.ต.ต.สุทัศน์ ฐานบำรุง สวป.สน.คลองตันตรวจเยี่ยมชุมชนสุเหร่าบางมะเขือ แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร เพื่อแสวงหาความร่วมมือจากประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมและยาเสพติด ตลอดจนรับทราบปัญหาต่างๆ จากชุมชน เพื่อนำมาแก้ไขต่อไป

ผบ.ตร. ร่วมพิธีรดน้ำศพ “ส.ต.อ.เศรษฐการ” พร้อมมอบเงินช่วยเหลือครอบครัว

วันที่ 25 ก.พ.66 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร ผบ.ตร พร้อมด้วย คณะผู้บังคับบัญชา ได้เดินทางเข้าร่วมพิธีรดน้ำศพ และยังได้ร่วมเป็นเจ้าภาพในพิธีสวดพระอภิธรรมศพในช่วงค่ำของคืนแรก ณ วัดตรีทศเทพ พร้อมกับมอบเงินจากกองทุนช่วยเหลือ เงินสวัสดิการต่างๆ ของหน่วยงานต้นสังกัดของ ส.ต.อ.เศรษฐการ ลอยขามป้อม ให้แก่ครอบครัวของ ส.ต.อ.เศรษฐการ ลอยขามป้อม
.
สืบเนื่องจาก ในช่วงเช้าของวันที่ 23 ก.พ.66 กรณี ส.ต.อ.เศรษฐการ ลอยขามป้อม ผบ.หมู่ ส.ทล.2 กก.8 บก.ทล. ถูกครูสอนขับรถ ขับรถเก๋งซิ่งชนเสียชีวิตขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ บนถนนกาญจนาภิเษกด้านตะวันออก (บางปะอิน–บางพลี) ทางหลวงหมายเลข 9 หลัก กม.30.4 ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ก่อนที่คนขับรถเก๋งจะหลบหนีไป และเข้ามอบตัวในเวลาต่อมา

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งขยายผลดำเนินคดีกับเครือข่ายค้ามนุษย์หลอกหญิงไทยไปค้าประเวณีที่เมืองล๊อกกิ่ง ประเทศเมียนมา

จากกรณีเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.65 คุณปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ได้พา หญิงสาว 3 ราย ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่ถูกหลอกไปค้าประเวณีที่เมืองล๊อกกิ่ง ประเทศเมียนมา ที่ได้ประสานทหารไทย ทหารเมียนมา สถานทูตไทย เเละตำรวจไทยช่วยเหลือกลับมาได้เมื่อวันที่ 27 พ.ย.65 ที่ผ่านมา เข้าพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่สโมสรตำรวจ วิภาวดีรังสิต เพื่อขอให้มีการขยายผลติดตามจับกุมขบวนการค้ามนุษย์ดังกล่าวมาดำเนินคดี นั้น
จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร./ผอ.ศพดส.ตร. ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการ ศพดส.ตร. และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ดำเนินการสืบสวนขยายผลเกี่ยวกับเครือข่ายค้ามนุษย์ข้ามชาติดังกล่าว รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายถึงที่สุด
จากการสืบสวนของชุดปฏิบัติการ ศพดส.ตร. ทราบว่า ผู้เสียหายทั้ง 3 รายได้รับการชักชวนจาก น.ส.ศิลาณีฯ หรือ แนน ให้ไปทำงานให้บริการนั่งดื่มกับลูกค้าที่เมืองล๊อกกิ่ง ประเทศเมียนมา โดยกล่าวอ้างว่า ใช้เวลาทำงานไม่นาน มีรายได้สูง และไม่มีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เมื่อตกลงรายละเอียดกันได้แล้ว น.ส.ศิลาณีฯ ได้พากลุ่มผู้เสียหายไปพักที่หอพักแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.พานทอง จ.ชลบุรี พร้อมกับ นายสมเกียรติฯ แฟนหนุ่ม เพื่อรอนำไปส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ และเดินทางต่อไปยังสนามบินเชียงใหม่ จากนั้นจะมี นายชัชวีร์ฯ รอรับกลุ่มผู้เสียหายพาไปพักคอยอยู่ที่หมู่บ้านอรุโณทัย พื้นที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ จำนวน 1 คืน เพื่อรอเดินทางข้ามไปยังประเทศเมียนมาในช่วงเช้าตรู่ ซึ่งจะมี นายจายหารฯ ขับขี่รถยนต์บรรทุกผลแตงโมมารับกลุ่มผู้เสียหายเพื่อส่งต่อให้กับกลุ่มคนชาวเขา ซึ่งประกอบด้วย นายซ่าฯ, นางโหย่ง และ น.ส.อะเหลมะ บริเวณริมชายแดนไทย-เมียนมา ในพื้นที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เพื่อเดินข้ามช่องทางธรรมชาติเข้าไปยังประเทศเมียนมา หลังจากนั้นจะมีกลุ่มชาวเมียนมา และอินเดีย รับช่วงต่อเพื่อพากลุ่มผู้เสียหายไปส่งที่ร้านคาราโอเกะภายในเมืองล๊อกกิ่ง ประเทศเมียนมา ซึ่งมี น.ส.พิชญ์สินีฯ ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลร้านและคนที่มาทำงาน แต่เมื่อผู้เสียหายไปถึงกลับถูกบังคับให้ไปค้าประเวณีแก่ลูกค้าในร้านดังกล่าว โดยระหว่างที่อยู่ภายในร้านจะมีกลุ่มชายติดอาวุธเฝ้าอยู่โดยตลอด ซึ่งผู้เสียหายทราบภายหลังว่า น.ส.ศิลาณีฯ จะได้ค่านายหน้าในการพากลุ่มผู้เสียหายมาทำงานดังกล่าว เมื่อผู้เสียหายทราบดังนั้นแล้วจึงได้ประสานขอความช่วยเหลือมายังมูลนิธิปวีณา ตำรวจและทหารไทย จนสามารถหลบหนีกลับมายังประเทศไทยได้โดยปลอดภัย
ต่อมา พนักงานสอบสวน สภ.พานทอง ภ.จว.ชลบุรี ได้รวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถขออนุมัติต่อ ศาลจังหวัดชลบุรีเพื่อขอหมายจับผู้ต้องหาในข้อหาร่วมกันค้ามนุษย์ จำนวน 8 ราย ดังนี้

  1. น.ส.ศิลาณีฯ ทำหน้าที่ ชักชวนกลุ่มผู้เสียหายให้ไปทำงานที่ประเทศเมียนมา และเป็นผู้ติดต่อประสานงานบุคคลต่างๆ เพื่อให้กลุ่มผู้เสียหายสามารถเดินทางไปทำงานที่ประเทศเมียนมาได้
  2. น.ส.พิชญ์สินีฯ ทำหน้าที่รับกลุ่มผู้เสียหายไปทำงานที่ร้านที่ประเทศเมียนมา (หลบหนี)
  3. นายสมเกียรติฯ ทำหน้าที่ พากลุ่มผู้เสียหายไปส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ
  4. นายชัชวีร์ฯ ทำหน้าที่ รับกลุ่มผู้เสียหายจากสนามบินเชียงใหม่ไปส่งที่ห้องพักในหมู่บ้านอรุโณทัย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
  5. นายจายหาร สัญชาติเมียนมา ทำหน้าที่รับกลุ่มผู้เสียหาย จากห้องพักในหมู่บ้านอรุโณทัย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ไปส่งที่จุดข้ามแดนไปยังประเทศเมียนมา ที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่
  6. นายซ่า ทำหน้าที่พากลุ่มผู้เสียหายลักลอบข้ามไปยังประเทศเมียนมา
  7. นางโหย่ง ทำหน้าที่พากลุ่มผู้เสียหายลักลอบข้ามไปยังประเทศเมียนมา
  8. น.ส.อะเหลมะ มีหน้าที่พากลุ่มผู้เสียหายลักลอบข้ามไปยังประเทศเมียนมา (หลบหนี)
    โดยผู้ต้องหาทั้ง 8 ราย จะถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันเป็นธุระจัดหา ซื้อ ขาย จำหน่าย พามาจากหรือส่งไปยังที่ใด หน่วงเหนี่ยวกักขัง จัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้ซึ่งบุคคลใด โดยข่มขู่ ใช้กำลังบังคับ ลักพาตัว ฉ้อฉล หลอกลวง ใช้อำนาจโดยมิชอบ ใช้อำนาจครอบงำบุคคลด้วยเหตุที่อยู่ในภาวะอ่อนด้อยทางร่างกาย จิตใจ การศึกษา หรือทางอื่นใดโดยมิชอบ ขู่เข็ญว่าจะใช้กระบวนการทางกฎหมายโดยมิชอบ หรือโดยให้เงินหรือประโยชน์อย่างอื่นแก่ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลบุคคลนั้น เพื่อให้ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลให้ความยินยอมแก่ผู้กระทำความผิดในการแสวงหาประโยชน์จากบุคคลที่ตนดูแล” เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สืบสวน สามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับแล้วจำนวน 6 ราย ส่วนอีก 2 รายนั้น ยังคงหลบหนีอยู่ในประเทศเมียนมา
    พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มเครือข่ายค้ามนุษย์จะใช้วิธีการหลอกลวงผู้เสียหายโดยการจูงใจว่าสามารถพาไปทำงานที่ต่างประเทศได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และจะได้รับรายได้สูง แต่เมื่อไปถึงกลับถูกบังคับให้ค้าประเวณีและไม่เคยรับรายได้ตามที่กล่าวอ้างไว้ จึงขอฝากพี่น้องสื่อมวลชนช่วยประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชน เพื่อให้รับทราบแผนประทุษกรรมของกลุ่มคนร้ายเหล่านี้ และหากพี่น้องประชาชนที่มีความต้องการไปทำงานต่างประเทศ ขอให้ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องและครบถ้วน จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มขบวนการค้ามนุษย์ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะดำเนินการปราบปรามกลุ่มขบวนการค้ามนุษย์เหล่านี้อย่างจริงจัง และดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องจนถึงที่สุดทุกราย

ผกก.สน.ราษฎร์บูรณะ พร้อม รองผกก.ป.สน.ราษฎร์บูรณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมชุมชนศาลาร่วมใจพัฒนา

วันนี้ 21 กุมภาพันธ์ 2566
เวลา 17.00 น.

พ.ต.อ.วัชรพล สุวนันทวงศ์
ผกก.สน.ราษฎร์บูรณะ
พ.ต.ท.เอกพจน์ สังเมียน
รอง ผกก.ป.สน.ราษฎร์บูรณะ
พ.ต.ท.ธนพรหม ธนอาภากร
รอง ผกก.สส.สน.ราษฏร์บูรณะ
พ.ต.ท.เด่นดนัย วัฒนวิจิตรนนท์
สว.จร.สนราษฎร์บูรณะ
พร้อมด้วย
เจ้าหน้าที่ตำรวจชุมชนสัมพันธ์
เจ้าหน้าที่จราจร สน.ราษฎร์บูรณะ
ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมชุมชนศาลาร่วมใจพัฒนา สอบถามปัญหาต่างๆภายในชุมชน และประชาสัมพันธ์การแจ้งปัญหา การจัดกิจกรรมต่างๆ ให้ประสานทางสน.ราษฏร์บูรณะ ได้โดยตรง
ณ ชุมชนศาลาร่วมใจพัฒนา แขวง/เขตราษฏร์บูรณะ กรุงเทพฯ
ทั้งนี้ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคระบาดไวรัสโควิด 19 อย่างเคร่งครัด

ผกก.สน.บางรัก ร่วมพิธีประดับยศให้กับข้าราชการตำรวจ

วันนี้ (24 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 10.00 น.

พ.ต.อ.วัชรวีร์ ธรรมเสมา ผกก.สน.บางรัก

พร้อมด้วย รอง ผกก.สน.บางรัก

ร่วมพิธีประดับยศให้กับข้าราชการตำรวจสังกัด สน.บางรัก ที่ได้รับการแต่งตั้งสูงขึ้น มียศเป็น ว่าที่ พ.ต.ต.

สน.บางรัก ขอแสดงความยินดีกับข้าราชการตำรวจที่ได้รับการแต่งตั้งยศมา ณ โอกาสนี้

Design a site like this with WordPress.com
Get started