ผกก.สน.บุคคโล พร้อมด้วย รอง ผกก.ป.สน.บุคคโล เยี่ยมเยียน ชุมชนสองร้อยห้อง

วัน พฤหัสบดี ที่ 23 ก.พ. 66
เวลา 16.00 น.

พ.ต.อ.ปิยะกรณ์ ศรีวันทา
ผกก.สน.บุคคโล พร้อมด้วย
พ.ต.ท.พฤฒ เเก่นวงศ์
รอง ผกก.ป.สน.บุคคโล
พ.ต.ท.เฉลิมพล เกรียท่าทราย
รอง ผกก.จร.สน.บุคคโล
พ.ต.ท.สรรเสริญ เตชบุญ
สว.สส.สน.บุคคโล

ทีมงาน ตชส.เข้มเเข็ง

ตัวเเทนฝ่ายสืบสวน

ตัวเเทนฝ่ายสอบสวน

ตัวเเทนฝ่ายป้องกันปราบปราม

ตัวแทนฝ่ายจราจร
เยี่ยมเยียน ชุมชนสองร้อยห้อง
สอบถามถึงปัญหาอาชญากรรม ปัญหายาเสพติด วัยรุ่นมั่วสุม
กล้องวงจรปิดภายในชุมชน พร้อมทั้งได้ประชาสัมพันธ์สร้างภูมิคุ้มกันภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยีไซเบอร์วัคซีนและรับซองผ้าป่าเบาะแสแจ้งข้อมูลผู้เสพยาเสพติด และ ติดสติ๊กเกอร์ เเจ้งเบาะแสยาเสพติด หากมีปัญหาเร่งด่วนสามารถประสานงานผ่าน ทีมงาน ตชส.สน.บุคคโลได้โดยตรง ณ ที่ทำการชุมชนสองร้อยห้อง
ซอยสมเด็จพระเจ้าตากสิน 22
แขวงบุคคโล เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร

ในการดำเนินกิจกรรมปฏิบัติตาม
มาตรการป้องกันไวรัสโควิด 19
อย่างเคร่งครัด

ผบ.ตร.ร่วมพิธีทำลายอาวุธปืนของกลาง กว่า 20,000 กระบอก หลังคดีถึงที่สุดสั่งกำชับตำรวจเข้มมาตรการอาวุธปืนต่อเนื่องตามนโยบายรัฐบาล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นประชาชน

วันที่ 23 ก.พ.66 เวลา 16.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เดินทางมาเป็นประธานในพิธีทำลายอาวุธปืนของกลาง โดยมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.ภ.2 พล.ต.ท.กฤษฎา สุรเชษฐพงษ์. ผบช.สกบ. พล.ต.ต.พงษ์พันธ์ วงศ์มณีเทศ ผบก.ภ.ระยอง เข้าร่วมพิธีเป็นสักขีพยาน ณ บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง การจัดพิธีในครั้งนี้ สืบเนื่องจากตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินมาตรการปราบปรามอาวุธปืนผิดกฎหมายทุกมิติ เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายดังกล่าว ได้สั่งการหน่วยระดมกวาดล้างจับกุม ขยายผล ทลายเครือข่ายอาวุธปืนผิดกฎหมาย รวมทั้งการลักลอบค้าปืนออนไลน์ พร้อมกำชับการจำหน่าย ทำลายอาวุธปืนของกลาง เพื่อป้องกันมิให้มีการนำเอาอาวุธปืนดังกล่าวกลับมาใช้ก่อเหตุในคดีอาญา หรือลักลอบจำหน่ายไปยังบุคคลไม่หวังดี ตกอยู่ในมือของคนร้าย รวมทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้พี่น้องประชาชนด้วย ผบ.ตร.จึงมอบหมายให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบการทำลายอาวุธปืนของกลางซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้ สำนักงานส่งกำลังบำรุง โดยกรมสรรพาวุธ สำรวจอาวุธปืนของกลางที่เก็บรักษาไว้ตามคำสั่งศาลเพื่อรอทำลาย และให้สถานีตำรวจทั่วประเทศสำรวจอาวุธปืนของกลางตามระเบียบที่หน่วยงานระดับสถานีสามารถทำลายได้เองเพิ่มเติมอีกด้วย โดยพิธีทำลายอาวุธปืนของกลางของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น เป็นการนำเอาอาวุธปืนของกลางซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาให้ริบเป็นของกลางและคดีถึงที่สุดแล้ว โดยถูกเก็บรักษาไว้ที่กองสรรพาวุธ แล้วขออนุมัติเพื่อจัดพิธีทำลายอาวุธปืนของกลาง โดยจะใช้วิธีการทำลายผ่านเครื่องจักรบดอัดให้เสียสภาพ แล้วนำไปหลอมในเตาหลอมอุณหภูมิสูง เพื่อให้อาวุธปืนของกลางทั้งหมดสิ้นสภาพที่จะนำมาใช้งานได้ โดยในครั้งนี้ได้รับความอนุเคราะห์จาก บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) สนับสนุนเครื่องจักรคุณภาพสูงในการหลอมโลหะด้วยอุณหภูมิสูง มีอาวุธปืนของกลางที่จะเข้าสู่กระบวนการหลอมทำลายจำนวน 13,559 กระบอก นอกจากนี้ยังมีอาวุธปืนอีกส่วนหนึ่งที่เข้าระเบียบที่หน่วยงานระดับสถานีสามารถทำลายได้เอง และมีการดำเนินการทำลายไปแล้วในช่วงระหว่างวันที่ 1 ต.ค.65 ถึง 31 ม.ค.66 อีกจำนวน 7,176 กระบอก รวมจำนวนอาวุธปืนที่ทำลายทั้งสิ้น 20,735 กระบอก ผบ.ตร. กล่าวว่า “พิธีทำลายอาวุธปืนของกลางครั้งนี้ จำนวน 20,735 กระบอก เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้พี่น้องประชาชน ไม่ให้มีการนำอาวุธของกลางซึ่งคดีถึงที่สุดแล้ว ออกไปใช้ในทางมิชอบ อย่างไรก็ตาม การทำลายอาวุธปืนของกลาง เป็นเพียงหนึ่งในมาตรการปราบปรามอาวุธปืนผิดกฎหมายของ ตร. ที่ได้สั่งการให้เพิ่มความเข้มดำเนินการอย่างต่อเนื่องทุกมิติ ทั้งการระดมกวาดล้าง จับกุมแหล่งผลิต จำหน่าย โดยเฉพาะการลักลอบจำหน่ายออนไลน์ เมื่อจับกุมได้ให้ขยายผลดำเนินการกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังทุกราย รวมทั้งประสานฝ่ายปกครองในการเพิกถอนใบอนุญาต เพื่อแก้ปัญหาอาวุธปืนผิดกฎหมาย ไม่ให้นำมาก่อเหตุความรุนแรงในสังคมตามนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน”


กรมศุลกากรตรวจยึดสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญามูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 150 ล้านบาท

วันนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2566) เวลา 10.30 น. นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เป็นประธานในการแถลงข่าวการตรวจยึดสินค้าลักลอบหนีศุลกากรซึ่งเป็นสินค้าที่ละเมิดละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา อาทิ เสื้อผ้า กระเป๋าและรองเท้า มูลค่าความเสียหาย
ทางเศรษฐกิจกว่า 150 ล้านบาท ณ อาคารสโมสรศุลกากร กรมศุลกากร

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากร
ให้ความสำคัญกับการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาตามความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดการยอมรับในระดับสากล รวมถึงสร้างมาตรฐาน
การปกป้องสังคม เพื่อประโยชน์ทางการค้าของผู้ประกอบการที่สุจริตและประชาชนทั่วไป

กรมศุลกากร โดยกองสืบสวนและปราบปราม ได้รับแจ้งว่ามีการเก็บสินค้าที่มี
ถิ่นกำเนิดต่างประเทศไว้ในโกดังสินค้า พื้นที่ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร จึงได้ทำการตรวจค้น พบสินค้าประเภทเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า มีเมืองกำเนิดต่างประเทศ และไม่พบเอกสารผ่านพิธีการศุลกากรมาแสดงจำนวนมาก ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 150 ล้านบาท จึงทำการยึดของกลางเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

กรณีนี้ถือเป็นความผิดตาม มาตรา 242 และมาตรา 246 ประกอบมาตรา166 และมาตรา 167 แห่ง พรบ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

“เจเค” ผู้ผลิตข้าวสารและน้ำดื่ม มอบสิ่งของ แก่ผู้ป่วยติดเตียง

วันนี้ 23 กุมภาพันธ์ 2566
บริษัท เจเค เอเชีย จำกัด ผู้ผลิตข้าวสารและน้ำดื่ม ตรา ใบเงิน และผู้จำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ ตรา ต้าถง พร้อมด้วย ดร.อ๊อด โพธิ์เงิน นาวาอากาศตรีหญิงจุฑาทิพย์ บุญยฤทธิ์ และเรืออากาศตรีหญิง บุษยมาส
บุญยฤทธิ์

เตรียมนำมอบสิ่งของเครื่องใช้อุปโภคบริโภค เช่น ผ้าอ้อมสำหรับผู้ใหญ่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ข้าวสารและน้ำดื่ม ตรา ใบเงิน ให้แก่ผู้ป่วยติดเตียงสูงอายุที่ประสบความยากลำบากและกำลังต้องการความช่วยเหลือ เพื่อช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้กับผู้ป่วยติดเตียง

ทั้งนี้ บริษัท เจเค เอเชีย จำกัด ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ป่วยติดเตียงทุกท่าน “คนไทยไม่ทิ้งกัน by JK”

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งทีมพนักงานสอบสวนเข้าร้องทุกข์ที่ขอนแก่น ดำเนินคดี ตม. 107 คน กรณีละเว้นและเรียกรับผลประโยชน์

จากกรณีที่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สืบสวนขยายผล กรณีกลุ่มทุนจีนสีเทาที่เดินทางเข้ามาอยู่อาศัยในราชอาณาจักรเพื่อกระทำผิดกฏหมาย ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนในกรณีดังกล่าวดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขยายผลจนทราบว่า กลุ่มทุนจีนสีเทาสามารถอยู่ในราชอาณาจักรไทยตามกฎหมายได้อย่างไร ต่อมา จากการสืบสวนทราบว่า การต่อวีซ่าให้กับกลุ่มทุนจีนสีเทา ได้มีการใช้มูลนิธิ สมาคม หรือโรงเรียนสอนภาษาในการอ้างอิงเพื่อแนบเป็นหลักฐานส่งเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองในการขออยู่ต่อ ซึ่งมูลนิธิ หรือโรงเรียนสอนภาษาเหล่านี้ หลายที่ไม่มีการดำเนินการจริง ไม่มีการเรียนการสอนจริง หรือในบางพื้นที่ มีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองคอยช่วยอำนวยความสะดวกให้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น การปลอมแปลงลายเซ็นฝ่ายปกครอง การใช้ชื่อมูลนิธิที่ไม่มีที่ตั้งอยู่จริง หรือแม้กระทั่งการต่ออายุวีซ่าให้โดยที่ไม่ต้องมีการยืนยันตัวตน เป็นต้น ซึ่งมีการตรวจพบการทุจริตในลักษณะดังกล่าวในพื้นที่ บก.ตม.4 และ 5 เป็นจำนวนมาก จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานจนพบความเชื่อมโยงเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจำนวนมากถึง 107 คน ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 21 ก.พ.66 ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ผบก.ศฝร.บช.น. ในฐานะพนักงานสอบสวน ให้ไปร้องทุกข์ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองทั้ง 107 ราย ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เวฬุวัน จ.ขอนแก่น ในความผิดเกี่ยวกับการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และการเรียกรับผลประโยชน์ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า หลังจากที่ชุดสืบสวนสอบสวนได้ทำงานกันมาหลายเดือน เพื่อขยายผลและรวบรวมพยานหลักฐานหาความเชื่อมโยงต่างๆ จนพบว่า มีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตในการต่อวีซ่าให้กับกลุ่มทุนจีนสีเทาในพื้นที่ บก.ตม.4 และ 5 จำนวน 107 คนนั้น ในวันนี้จึงได้ให้ พล.ต.ต.นำเกียรติ ซึ่งอยู่ในชุดสืบสวนสอบสวนที่รวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเจ้าของพื้นที่ เพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งหลังจากแจ้งความแล้ว จะรวบรวมพยานหลักฐานการดำเนินการทั้งหมด เพื่อรายงานให้ ผบ.ตร. ทราบเพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งตำรวจอำนวยความสะดวกส่ง “ทับทิม” บินกลับอเมริกา หลังยินดีมอบตัวคดีชนแล้วหนีที่มิชิแกน

จากกรณีเมื่อวันที่ 1 ม.ค.66 ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุหญิงไทย ทราบชื่อต่อมาเป็น นางทับทิม ซู ฮาวสัน อายุ 57 ปี ขับรถยนต์ชน นายเบนจามิน เคเบิล อายุ 22 ปี จนเสียชีวิตที่เมืองมิชิแกน สหรัฐอเมริกา แล้วได้หลบหนีกลับมายังประเทศไทย และมีสื่อต่างประเทศได้นำเสนอข่าวว่า ทางการสหรัฐฯ ได้ประสานแจ้งขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนมายังประเทศไทย และต่อมาเมื่อวันที่ 15 ก.พ.66 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้เชิญตัว นางทับทิมฯ มาเปิดใจต่อสื่อมวลชนในกรณีดังกล่าว โดยยินดีให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และต้องการเดินทางกลับไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมนั้น วันนี้ (22 ก.พ.66) เวลาประมาณ 17.00 น. นางทับทิม ซู ฮาวสัน ได้พร้อมออกเดินทางกลับไปยังเมืองมิชิแกน สหรัฐอเมริกา โดยจะใช้เวลาเดินทาง 1 วัน โดยปลายทางจะมีเจ้าหน้าที่ FBI รอรับการมอบตัวดังกล่าว เบื้องต้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจอำนวยความสะดวกในเบื้องต้น และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในเบื้องต้น เพื่อให้นางทับทิมลดความกังวล และมีความพร้อมเดินทางไปมอบตัวดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ในวันนี้ หลังจากที่ได้มีการพูดคุยกับ นางทับทิม ไปแล้วนั้น เจ้าตัวก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว โดยลดความหวาดกลัวและตกใจลงไปมาก ซึ่งเจ้าตัวรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องกับการบินกลับมายังประเทศไทยในครั้งนี้ ซึ่งกระผมได้อธิบายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเบื้องต้นให้ทราบแล้ว รวมทั้งยืนยันว่า การบินกลับไปเข้ากระบวนการยุติธรรมที่สหรัฐอเมริกานั้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้สำหรับนางทับทิม เพื่อเป็นการรักษาสิทธิของตนเองตามกฎหมาย รวมทั้งช่วยปกป้องชื่อเสียงของประเทศไทยอีกด้วย โดยได้ประสานงานแจ้งเจ้าหน้าที่ FBI ที่รอรับการมอบตัวอยู่ที่ปลายทางเรียบร้อยแล้ว เชื่อว่าหลังจากที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติไทยได้ช่วยดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องดังกล่าวทั้งหมดแล้ว สิ่งต่างๆ จะออกมาได้ด้วยดี สุดท้ายขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตไว้ ณ ที่นี้ด้วย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ลงพื้นที่ท่าศาลา นครศรีธรรมราช พบปะพี่น้องชาวประมงหารือการออกใบอนุญาตประมงพื้นบ้าน

หลังจากที่เมื่อวันที่ 19 ก.พ.66 ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร./กรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ ร่วมกับกรมประมง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เปิดเวทีประชุมร่วมกับผู้แทนชาวประมงพื้นบ้าน เพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการมีใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน เพื่อเป็นการทำความเข้าใจกับพี่น้องชาวประมงเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติตามกฎหมายในการอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน โดยนำเอาข้อกฎหมายต่างๆ มานำเสนอเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากพี่น้องชาวประมงที่เข้าร่วมการประชุมจาก 56 องค์กร จำนวนกว่า 200 คน เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวสามารถบังคับใช้ได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดทั้งกับประเทศชาติ และพี่น้องชาวประมงไทยให้มากที่สุด ทั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวประมงไทยให้สามารถทำประมงได้อย่างยั่งยืน และรักษาความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำไว้ให้คงอยู่ต่อไป จึงได้จัดให้มีการออกใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้านขึ้น เพื่อดูแลการทำประมงพื้นบ้านให้ดียิ่งขึ้น
กรณีดังกล่าว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี/ประธานกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. /กรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ ให้มีการจัดการประชุมร่วมกับผู้แทนชาวประมงพื้นบ้าน ให้ทั่วถึงมากที่สุด เพื่อให้พี่น้องชาวประมงทั่วประเทศได้รับทราบถึงประโยชน์ของการมีใบอนุญาติทำการประมงพื้นบ้าน และสามารถปฏิบัติตามแนวทางที่กฎหมายกำหนดได้ รวมทั้งรับฟังความเห็นเพื่อพัฒนาแนวทางบังคับใช้ให้เกิดผลกระทบน้อยแต่มีประสิทธิภาพสูงสุด
วันนี้ (20 ก.พ.66) เวลา 16.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ร่วมกับ ดร.อดิศร พร้อมเทพ อดีตอธิบดีกรมประมง และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินทางลงพื้นที่เพื่อพบปะพี่น้องชาวประมง ณ สมาคมประมงพื้นบ้านในถุ้ง อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประชุมมากกว่า 100 คน เพื่อร่วมกันเสนอความคิดเห็นในการพัฒนาแนวทางการขอออกใบอนุญาตทำประมงพื้นบ้าน เพื่อให้เข้ากับวิถีชีวิตของชาวประมงมากที่สุด และสามารถช่วยกันรักษาทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลในท้องถิ่นให้มีความอุดมสมบูรณ์
ทั้งนี้ การออกใบอนุญาตทำประมงพื้นบ้านนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางร่วมกันระหว่างรัฐและชาวประมงพื้นบ้าน ในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำของแต่ละพื้นที่ แต่ละฤดูกาล รวมทั้งอุปกรณ์การจับสัตว์น้ำที่ไม่ทำลายธรรมชาติและสัตว์น้ำขนาดเล็ก เพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติให้มีความยั่งยืน อีกทั้งยังเสมือนเป็นการลงทะเบียนให้กับพี่น้องชาวประมงพื้นบ้าน เพื่อเปิดโอกาสให้ภาครัฐสามารถเข้าช่วยเหลือ สนับสนุนการทำประมงพื้นบ้าน ให้เป็นไปได้อย่างยั่งยืนและสืบทอดสู่รุ่นลูกหลานได้ต่อไป ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวจะอยู่บนพื้นฐานการดำเนินการตามที่ พ.ร.ก.ประมง กำหนด โดยหลังจากประชุมรับฟังความคิดเห็นแล้ว จะได้มีการนำผลการหารือเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติพิจารณาดำเนินการต่อไป
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตามความตั้งใจของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ซึ่งได้มอบหมายให้มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นร่วมกับพี่น้องชาวประมงพื้นบ้าน เพื่อสร้างความเข้าใจ รับฟ้งความคิดเห็น และร่วมกันกำหนดแนวทางการดำเนินการเพื่อให้เป้าหมายของการออกใบอนุญาตด้งกล่าวมีประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถบังคับใช้ได้จริง วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสเดินทางลงพื้นที่ใน อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช เพื่อให้การทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการออกใบอนุญาตดังกล่าว เข้าถึงพี่น้องชาวประมงในแต่ละพื้นที่ให้มากที่สุดที่จะทำได้ ซึ่งทุกความคิดเห็น ทุกข้อเสนอแนะ ที่พี่น้องประชาชนได้พูดคุยและนำเสนอในวันนี้ กระผมและเจ้าหน้าที่ที่เดินทางมาในวันนี้ จะบันทึก รวบรวม และสรุปผลเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ เพื่อนำไปพัฒนาแนวทางให้เกิดผลกระทบกับวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้านให้น้อยที่สุด และสามารถรักษาทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลให้พี่น้องได้มีไว้ทำประมงจนชั่วลูกชั่วหลานต่อไป จากนี้จะยังมีการเดินทางไปยังจังหวัดอื่นๆ ตามแนวชายฝั่งทะเลที่มีการทำประมงพื้นบ้าน เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากพี่น้องชาวประมงให้ได้มากที่สุดต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รับข้อมูลชูวิทย์ หลังพบต่อวีซ่าเกษียณที่ชลบุรี แต่เป็นบ้านร้างมีสุนัข 2 ตัว พร้อมขยายจับสมาคมจีนเถื่อน

วันนี้ (20 ก.พ.66) เวลา 9.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้เดินทางมายัง สน.นางเลิ้ง เพื่อร่วมรับข้อมูลร้องทุกข์จากนายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ให้ดำเนินคดีกับ นายหยูซินฉี ประธานสมาคมจีนจื้อกงแห่งอาเชียน และสมาคมชาวจีนอื่นๆ ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หลังพบว่านายหยู ได้ตั้งสมาคมเถื่อนและมีการแอบอ้างเบื้องสูงเพื่อหาผลประโยชน์

จากข้อมูลของนายชูวิทย์พบว่า นายหยูได้มีการตั้งสมาคมจีนจื้อกงแห่งอาเซียน โดยมิได้มีการจดแจ้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และยังมีพฤติการณ์ในการแอบอ้างตนว่ามีความสนิทสนมกับข้าราชการทหาร ตำรวจ นักการเมือง รวมไปถึงสถาบันของประเทศ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตนเอง ในสายตาของคนจีน และใช้โอกาสดังกล่าวในการแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง นอกจากนี้จากการตรวจสอบการอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรพบว่า นายหยูได้รับการอนุญาตให้ต่อวีซ่าในลักษณะเกษียณให้อยู่ที่ อ.หนองปรือ จ.ชลบุรี ซึ่งเมื่อตรวจสอบแล้วจะพบว่า สถานที่ที่แจ้งที่อยู่ไว้เป็นบ้านร้าง ภายในบ้านมีสุนัขอยู่ 2 ตัว แต่ตัวนายหยูอาศัยอยู่จริงที่กรุงเทพฯ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ นายชูวิทย์ได้เคยมอบให้นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล นำไปอภิปรายในสภามาแล้ว

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ในส่วนของนายหยูนั้น พนักงานสอบสวนได้มีการแจ้งช้อกล่าวหาความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, พ.ร.บ.เรี่ยไร และความผิดเกี่ยวกับการตั้งสมาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว และมีการขึ้นบัญชีแบล็กลิสต์ถาวร ก่อนที่จะมีการดำเนินการผลักดันออกนอกประเทศ ซึ่งข้อหาเหล่านี้ อยู่ในระหว่างการสืบสวนเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ในส่วนของความผิดตาม ม.112 นั้น จำเป็นจะต้องมีผู้กล่าวหาเพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้ ดังนั้นขอให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ในส่วนของสมาคมอื่นๆ นั้น หลังได้รับข้อมูลจากนายชูวิทย์แล้ว จะร่วมกับกรมการปกครองในการตรวจสอบเพิ่มเติมว่ามีการเปิดโดยได้รับอนุญาตหรือไม่ หรือดำเนินการตามวัตถุประสงค์ที่ขออนุญาตหรือไม่ หากพบความผิดก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายแน่นอน

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เปิดเวทีรับฟังพี่น้องประมงหารือการออกใบอนุญาตประมงพื้นบ้าน

ในช่วงปีที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบปัญหาเกี่ยวกับการทำประมงผิดกฎหมาย และการลดลงของทรัพยากรสัตว์น้ำ ทำให้ผลิตผลจากการทำประมงมีปริมาณลดลง และส่งผลต่อการส่งออกอาหารทะเลเป็นอันมาก ต่อมาได้มีการพัฒนาการทำประมงให้ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติมายิ่งขึ้น โดยมีการบังคับใช้กฎหมายเพื่อแก้ปัญหาการบังคับใช้แรงงานในการทำประมง รวมทั้งการดูแลสภาพการทำงานของลูกเรือ ความปลอดภัยและการจ่ายค่าแรงที่เป็นไปตามกฎหมาย การใช้อุปกรณ์ทำประมงที่ถูกต้อง และการปราบปรามการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) ทำให้ประเทศไทยสามารถคงสถานะใบเขียวจากสหภาพยุโรปในด้านการประมงไว้ได้ นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวประมงไทยให้สามารถทำประมงได้อย่างยั่งยืน และรักษาความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำไว้ให้คงอยู่ต่อไป จึงได้จัดให้มีการออกใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้านขึ้น เพื่อดูแลการทำประมงพื้นบ้านให้ดียิ่งขึ้น
กรณีดังกล่าว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี/ประธานกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. /กรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ ให้มีการจัดการประชุมร่วมกับผู้แทนชาวประมงพื้นบ้าน เพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการมีใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวสามารถบังคับใช้ได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดทั้งกับประเทศชาติ และพี่น้องชาวประมงไทยให้มากที่สุด
วันนี้ (19 ก.พ.66) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ร่วมกับกรมประมง ได้จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็น ร่วมกับผู้แทนชาวประมงพื้นบ้าน ณ ห้องประชุมอานนท์ กรมประมง โดยมีผู้แทนชาวประมงพื้นบ้านจาก 56 องค์กร จำนวนมากกว่า 200 คน มาร่วมกันหารือเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน ซึ่งปัจจุบัน ประเทศไทยมีเรือประมงพื้นบ้านมากถึง 49,000 ลำ กระจายตัวอยู่ตลอดแนวชายฝั่งทะเลของ 22 จังหวัดทั่วประเทศ ดังนั้นการพบปะหารือร่วมกันในวันนี้ จึงมีความสำคัญต่อการกำหนดแนวทางการปฏิบัติของการทำประมงพื้นบ้านที่จะบังคับใช้ต่อไป
การออกใบอนุญาตทำประมงพื้นบ้านนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางร่วมกันระหว่างรัฐและชาวประมงพื้นบ้าน ในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำของแต่ละพื้นที่ แต่ละฤดูกาล รวมทั้งอุปกรณ์การจับสัตว์น้ำที่ไม่ทำลายธรรมชาติและสัตว์น้ำขนาดเล็ก เพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติให้มีความยั่งยืน อีกทั้งยังเสมือนเป็นการลงทะเบียนให้กับพี่น้องชาวประมงพื้นบ้าน เพื่อเปิดโอกาสให้ภาครัฐสามารถเข้าช่วยเหลือ สนับสนุนการทำประมงพื้นบ้าน ให้เป็นไปได้อย่างยั่งยืนและสืบทอดสู่รุ่นลูกหลานได้ต่อไป ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวจะอยู่บนพื้นฐานการดำเนินการตามที่ พ.ร.ก.ประมง กำหนด โดยหลังจากประชุมรับฟังความคิดเห็นแล้ว จะได้มีการนำผลการหารือเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติพิจารณาดำเนินการต่อไป
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ได้มอบหมายให้มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นร่วมกับพี่น้องชาวประมงพื้นบ้าน เนื่องจากการออกใบอนุญาตทำประมงพื้นบ้านนั้นเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของพี่น้องชาวประมง รวมทั้งการดูแลทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลของไทย และการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายไปพร้อมกัน จึงต้องมีการสร้างความเข้าใจ รับฟ้งความคิดเห็น และร่วมกันกำหนดแนวทางการดำเนินการเพื่อให้เป้าหมายของการออกใบอนุญาตด้งกล่าวมีประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถบังคับใช้ได้จริง อีกทั้งกฎหมายจะมีการกำหนดโทษกรณีไม่มีใบอนุญาตเป็นโทษปรับอัตราโทษสูงถึง 1 แสนบาท ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการทำประมงพื้นบ้านของพี่น้องชาวประมง ดังนั้นจึงตั้งใจว่า จะมีการลงพื้นที่เพื่อรับฟังความเห็นและข้อเสนอแนะจากพี่น้องชาวประมงให้ได้มากที่สุด เพื่อนำไปพัฒนาวิธีการดำเนินการออกใบอนุญาตทำประมงพื้นบ้าน ให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับวิถีชีวิตของพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุด


ผกก.สน.ราษฎร์บูรณะ ทำพิธีเปิด “กิจกรรมเสริมสร้างทักษะชีวิตของนักเรียนและความปลอดภัยในสถานศึกษา”ณ โรงเรียนวัดพุทธบูชา

วันนี้ 18 กุมภาพันธ์ 2566
เวลา 09.00 น.
พ.ต.อ.วัชรพล สุวนันทวงศ์
ผกก.สน.ราษฎร์บูรณะ
พ.ต.ท.เอกพจน์ สังเมียน
รอง ผกก.ป.สน.ราษฎร์บูรณะ
พ.ต.ต.จิรทีปต์ เผดิม
สวป.สน.ราษฎร์บูรณะ
พร้อมด้วย
เจ้าหน้าที่ตำรวจชุมชนสัมพันธ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรและ เจ้าหน้าที่สายตรวจ สน.ราษฎร์บูรณะ และ อาสาสมัครตำรวจบ้าน
ร่วมพิธีเปิด
“กิจกรรมเสริมสร้างทักษะชีวิตของนักเรียน
และความปลอดภัยในสถานศึกษา”ณ โรงเรียนวัดพุทธบูชา
โดยทางโรงเรียนได้เรียนเชิญวิทยากรจากทาง สน.ราษฎร์บูรณะ
ให้ความรู้แก่เด็กนักเรียน ในเรื่องทักษะต่างๆ ดังนี้
1.โทษของยาเสพติดประเภทต่างๆ ทั้งที่ถูกกฏหมายและผิดกฏหมาย
2.ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฏจราจร
3.การปฐมพยาบาลเบื้องต้น/CPR
4.การฝึกป้องกันตัวและการต่อสู้ด้วยมือเปล่า
5.การป้องกันสถานศึกษาให้ปลอดภัยตามโครงการ หนี ซ่อน สู้
เพื่อให้นักเรียนได้ความรู้ที่ได้เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป
ณ หอประชุมโรงเรียนวัดพุทธบูชา แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ
ทั้งนี้ได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคระบาดไวรัสโควิด 19 อย่างเคร่งครัด

Design a site like this with WordPress.com
Get started