พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ประชุมติดตามความคืบหน้าคดีน่าสนใจ พื้นที่ ภ.จว.เชียงใหม่กระทำชำเราเด็ก-สวมบัตรประชาชน

ในช่วงปลายปี 65 นั้น ในพื้นที่ ภ.จว.เชียงใหม่ ได้พบอาชญากรรมที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจจำนวน 2 คดี ได้แก่ คดีการหลอกลวงเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปีไปกระทำชำเรา ในพื้นที่ สภ.กัลยาณิวัฒนา และคดีบุคคลต่างด้าวสวมบัตรประชาชน ในพื้นที่ สภ.เชียงดาว ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลได้นำเสนอไปแล้ว นั้น
ทั้งสองกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เร่งสืบสวนขยายผลจับกุมผู้กระทำความผิดให้ได้ทั้งหมด เนื่องจากเป็นคดีที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจ ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการ TICAC เจ้าหน้าที่สืบสวน ร่วมกับ ภ.5 และ ภ.จว.เชียงใหม่ สืบสวนขยายผลทั้งสองเคส ซึ่งมีความคืบหน้าล่าสุด ดังนี้
กรณีที่ 1 คดีหลอกลวงเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปีไปกระทำชำเรา พื้นที่ สภ.กัลยาณิวัฒนา
จากกรณีช่วงระหว่างเดือนส.ค. – ธ.ค.65 ที่ผ่านมา ได้มีการเข้าช่วยเหลือเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งถูกหลอกลวงไปบังคับกระทำชำเรา เหตุเกิดในพื้นที่ สภ.กัลยาณิวัฒนา ภ.จว.เชียงใหม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถช่วยเหลือเด็กได้จำนวน 5 ราย โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการ TICAC ร่วมกับ ภ.5 และ ภ.จว.เชียงใหม่ เร่งขยายผลจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด เจ้าหน้าที่สืบสวนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดได้จำนวน 9 คดี ผู้ต้องหาทั้งสิ้น 25 ราย มีรายละเอียดดังนี้
คดีที่ 1 ผู้เสียหายเป็นเด็กหญิง 2 ราย ถูกเพื่อนผู้หญิง 2 คน ล่อลวงไปที่ร้านขายน้ำปั่นให้เพื่อนชาย 2 คน กระทำชำเรา ดำเนินคดีกับผู้ต้องหารวม 4 ราย จับกุมได้ทั้ง 4 ราย
คดีที่ 2 และ 3 ผู้เสียหายเป็นหญิง 2 คน ถูกหลอกให้ไปชงเหล้าในห้องพักชั่วคราว ถูกผู้ต้องหาบังคับกระทำชำเรา ดำเนินคดีกับผู้ต้องหารวม 2 ราย จับกุมได้ทั้ง 2 ราย (ซ้ำกับคดีแรก 1 ราย)
คดีที่ 4 – 9 รวม 6 คดี ผู้เสียหายเป็นเด็กหญิง 1 ราย ถูกล่อลวงให้ไปกระทำชำเรากับผู้ต้องหาหลายคน จำนวน 6 ครั้ง ตามสถานที่ต่างๆ บางครั้งได้รับค่าตอบแทน ดำเนินคดีกับผู้ต้องหารวม 20 ราย จับกุมได้ทั้งหมด 19 ราย ออกหมายจับผู้หลบหนี 1 ราย อยู่ระหว่างติดตามจับกุม
โดยสำนวนคดีทั้งหมดดำเนินการสรุปสำนวนเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างดำเนินการส่งสำนวนพร้อมผู้ต้องหาทั้งหมดให้กับพนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้องคดีต่อไป
กรณีที่ 2 บุคคลต่างด้าวสวมบัตรประชาชน พื้นที่ สภ.เชียงดาว
สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 30 ต.ค.65 ที่ผ่านมา เกิดเหตุชายชาวจีนถูกอุ้มเรียกค่าไถ่และถูกตัดนิ้ว ทราบชื่อคือ นายเหริน ไห่ป๋อ เหตุเกิดพื้นที่ สภ.เมืองพัทยา ภ.จว.ชลบุรี โดยมี น.ส.อริสรา ศุภสิริบัณฑิตย์ แฟนของนายเหรินเข้าแจ้งความกับตำรวจ แต่ต่อมาระหว่างการสืบสวน เจ้าหน้าที่ได้สังเกตความผิดปกติเกี่ยวกับข้อมูลของ น.ส.อริสราฯ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับบิดามารดาของ น.ส.อริสราฯ จึงได้นำเรียนผู้บังคับบัญชา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้ดำเนินการสืบสวนเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว
จากการสืบสวนทราบว่า ก่อนสวมบัตรประชาชนดังกล่าว น.ส.อริสราฯ มีชื่อว่า น.ส.หย่งฮุ้ย แซ่ฉี่ เป็นบุคคลไม่มีสัญชาติ (บัตรขาว) ต่อมาได้มีการพูดคุยกับนายเพิ่มเกียรติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ปลัดอำเภอเชียงดาว เพื่อจะขอสวมเลขบัตรประชาชน นายเพิ่มเกียรติฯ จึงได้แนะนำให้พูดคุยกับนายอาเบฯ ซึ่งเป็นกำนัน สามารถประสานหาเลขบัตรประชาชนให้ได้ ต่อมานายอาเบฯ ได้คุยกับนายสมศักดิ์ฯ(พยาน) เพื่อให้ช่วยหาชื่อหญิงไทยที่ไม่มีความเคลื่อนไหวทางทะเบียน และมีอายุใกล้เคียงกับ น.ส.หย่งฮุ้ย ซึ่งนายสมศักดิ์จึงได้ขอความช่วยเหลือไปยังนายสุลอย ซึ่งเป็นอดีตกำนัน ซึ่งสามารถหาข้อมูลที่ต้องการได้ นายสุลอยจึงได้ประสานไปยัง นายธวัช ผู้ใหญ่บ้านให้ช่วยหาข้อมูลให้ นายธวัชประสาน นายกรวุฒิ ผู้ใหญ่บ้านอีกคนหนึ่ง ซึ่งนายกรวุฒิพบว่า มีรายชื่อ ด.ญ.อริสรา ศุภสิริบัณฑิตย์ ซึ่งเป็นบุตรสาวของนายวาเซฯ เสียชีวิตตั้งแต่อายุ 2 ขวบ แต่สถานะทางทะเบียนยังไม่มีการจำหน่ายออก จึงได้ประสานนายวาเซฯ เพื่อขอใช้ชื่อดังกล่าว เมื่อได้ชื่อแล้ว นายเพิ่มเกียรติฯ จึงได้ดำเนินการออกบัตรให้ โดยให้นายอมรเทพฯ ผู้ใหญ่บ้าน ลูกน้องของนายเพิ่มเกียรติฯ ช่วยดำเนินการกรอกคำขอมีบัตรให้ หลังจากกระบวนการเสร็จสิ้นแล้ว นายเหรินฯ ได้มีการโอนเงินค่าดำเนินการโดยแบ่งเป็น 2 ครั้ง ครั้งแรกโอนให้บัญชีนายอาซาผะ (พยาน) จำนวน 250,000 บาท ซึ่งปลัดได้ขอยืมบัญชีดังกล่าวใช้รับโอนเงิน แล้วให้นายอาซาผะถอนเงินออกมาให้ อีกครั้งหนึ่งโอนเงินจำนวน 480,000 บาท ให้กับบัญชีของภรรยานายอาเบ โดยนายอาเบได้เก็บไว้ให้ตนเอง 240,000 บาท และได้โอนให้ผู้เกี่ยวข้องที่เหลือทั้งหมดอีก 240,000 บาท
จากข้อมูลดังกล่าวทั้งหมด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขอออกหมายจับดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมด 9 ราย จับกุมแล้วจำนวน 7 ราย ยังหลบหนี 2 ราย ประกอบด้วย
1. นายเหริน ไห่ป๋อ สัญชาติจีน เป็นผู้จ่ายเงินค่าดำเนินการในการสวมบัตร
2. น.ส.หย่งฮุ้ย แซ่ฉี่ หรือ น.ส.อริสรา ศุภสิริบัณฑิตย์ ผู้สวมบัตรประชาชน
3. นายเพิ่มเกียรติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ปลัดอำเภอเชียงดาว ผู้ดำเนินการออกบัตร
4. นายอาเบ แซ่ลี่ กำนัน ผู้หาช่องทางการสวมบัตร
5. นายสุลอย สุวรรณวงศ์ อดีตกำนัน ผู้หาข้อมูลบุคคลเพื่อนำไปสวมบัตร
6. นายธวัช นาควนากร ผู้ใหญ่บ้าน ผู้หาข้อมูลบุคคลเพื่อนำไปสวมบัตร
7. นายกรวุฒิ เกาะเจริญสุข ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ติดต่อข้อมูลบุคคลจากนายวาเซฯ (หลบหนี)
8. นายอมรเทพ ปุกคำ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้กรอกข้อมูลคำขอมีบัตรให้ผู้สวมบัตร
9. นายวาเซ คล่องดารณี บิดาของ น.ส.อริสราฯ เป็นผู้ยินยอมให้สวมบัตรบุตรสาวของตนเอง (หลบหนี)
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ทั้งสองคดีดังกล่าวเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและประชาชน ซึ่งเกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบของ ภ.จว.เชียงใหม่ โดยในคดีหลอกลวงเด็กหญิงไปล่วงละเมิดทางเพศของ สภ.กัลยาณิวัฒนา ได้ดำเนินการขยายผลจนทราบตัวผู้กระทำความผิดทั้งหมดแล้วจำนวนทั้งหมด 25 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้แล้ว 24 ราย ยังเหลือหลบหนีอีก 1 ราย อยู่ระหว่างติดตามตัว ในส่วนของสำนวนการสอบสวนก็ได้สรุปสำนวนสั่งฟ้องทั้งหมด พร้อมส่งสำนวนและตัวผู้ต้องหาให้อัยการพิจารณาต่อไป และอีกคดีหนึ่งของ สภ.เชียงดาว ในเรื่องการสวมบัตรประชาชน เจ้าหน้าที่สืบสวนได้สืบทราบตัวละครทั้งหมดที่เกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งร่วมกันกระทำความผิดกันเป็นเครือข่าย โดยมีผู้ต้องหาทั้งหมด 9 ราย จับกุมแล้ว 7 ราย ยังเหลือหลบหนีอีก 2 ราย อยู่ระหว่างติดตามตัวมาดำเนินคดี ในส่วนของการสอบสวนได้สรุปสำนวนสั่งฟ้องเสนอพนักงานอัยการเรียบร้อยแล้ว เชื่อมั่นว่าทั้งสองคดีซึ่งได้ดำเนินการสืบสวนอย่างเต็มที่แล้วนั้น จะสามารถดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตามพยานหลักฐานได้ทั้งหมด


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บินด่วนติดตามความคืบหน้ากรณีลูกเรือประมงต่างด้าวถูกทำร้ายสาหัส

จากกรณี เมื่อวันที่ 14 ก.พ.66 เวลาประมาณ 20.00 น. พนักงานสอบสวน สภ.ปากน้ำชุมพร ได้รับแจ้ง จากศูนย์ PIPO ว่ามีลูกเรือประมง ชื่อ นายอาว วิน นายสัญชาติเมียนมา ซึ่งเป็นลูกเรือประมงอยู่กับเรือ ม.โชควาสนานาวี 9 ถูกทำร้ายร่างกายบนเรือประมงและได้ถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเขตอุดมศักดิ์

วันนี้ (18 ก.พ.66) เวลาประมาณ 11.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เข้าประชุมร่วมกับนายวิสาห์ พูลศิริรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร พล.ต.ท.วันไชย เอกพรพิชญ์ จต. (สบ 8) พล.ต.ต.จารุต ศรุตยาพร ผบก.ภ.จว.ชุมพร พร้อมด้วย พม.จังหวัดชุมพร แรงงานจังหวัดชุมพร และNGOs เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวน และหารือเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งติดตามความคืบหน้าของการดำเนินคดี

จากการสืบสวนทราบว่า เรือประมง ม.โชควาสนานาวี 9 มีลูกเรือจำนวน 7 คน เป็นสัญชาติเมียนมาทั้งหมดรวมถึงตัวผู้ได้รับบาดเจ็บ และมีคนไทย 2 คนเป็นเจ้าของเรือและไต้ก๋ง ในวันเกิดเหตุ เมื่อวันที่ 13 ก.พ.66 เวลา 13.30 น. ขณะที่เรือจอดอยู่ที่แพโชคทอง นายอาว วิน นาย รู้สึกไม่อยากทำงานต่อ จึงปฏิเสธที่จะลงเรือ ทำให้คนไทยทั้งสองไม่พอใจ และรุมทำร้ายนายอาว วิน นาย จนได้รับบาดเจ็บ และออกเรือไปทำประมงโดยถูกบังคับให้ลงเรือ ผู้เสียหายจึงขอความช่วยเหลือและรักษาตัวที่ รพ.

ผู้เสียหายคดีนี้ถูกบังคับให้ลงเรือ โดยมีการทำร้ายร่างกายบังคับลงเรือทำประมง จนกระทั่งเรือได้ออกจากฝั่งเพื่อทำการประมง นายอาว วิน นาย ได้โทรศัพท์ แจ้งมูลนิธิฯ เพื่อขอความช่วยเหลือเหตุถูกทำร้ายร่างกาย ต่อมาศูนย์ PIPO ได้แจ้งนายคมสันต์ ฯ ให้นำเรือเข้าฝั่ง เพื่อ ช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งจะได้เตรียมความพร้อมสหวิชาชีพและพงส.ทำการสัมภาษณ์และสอบปากคำต่อไป ซึ่งพงส.มีความเห็นเบื้องต้นอาจเข้าข่ายเป็นความผิดฐานบังคับใช้แรงงาน

หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้นำตัวลูกเรือประมงที่เหลืออีก 6 คน เข้ากระบวนการคัดแยกเหยื่อจากการค้ามนุษย์ ผลการคัดแยกเหยื่อพบว่า ลูกเรืออีก 6 รายที่เหลือนั้น ไม่เป็นผู้เสียหายในความผิดเรื่องค้ามนุษย์และบังคับใช้แรงงาน แต่พบว่า ลูกเรือทั้ง 6 คน ทำงานในเรือประมงโดยรับค่าจ้างไม่ผ่านบัญชีธนาคาร, จ่ายค่าจ้างไม่ถูกต้อง และไม่จัดทำเอกสารเกี่ยวกับการจ่ายค่าจ้างตามที่ กฎกระทรวงกำหนดไว้ จึงได้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีกับเจ้าของเรือแล้ว ในส่วนของกรณีนายอาว วิน นาย นั้น อยู่ในระหว่างการสอบปากคำพยานเพิ่มเติม รวมทั้งนำตัวเจ้าของเรือ และไต้ก๋งมาสอบปากคำเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวมีลูกเรือประมงถูกทำร้ายร่างกายจากนายจ้าง โดยอ้างว่าเกิดจากการปฏิเสธที่จะทำงาน ซึ่งเข้าข่ายการบังคับใช้แรงงานหรือการค้ามนุษย์ จึงได้สั่งการให้ดำเนินการสืบสวนและตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว เบื้องต้นยังไม่สามารถสอบผู้เสียหายโดยละเอียดได้ เนื่องจากยังรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ แต่ในส่วนของลูกเรือที่เหลือ หลังจากที่นำเข้าสู่กระบวนการคัดแยกเหยื่อแล้วพบว่า สภาพการทำงานภายในเรือนั้นไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งการจ่ายค่าจ้างก็มิได้ดำเนินการตามกฎหมาย จึงสั่งการให้ดำเนินคดีกับนายจ้างตาม พ.ร.บ.แรงงานฯ ต่อไป ในส่วนของการทำร้ายร่างกาย มีลักษณะเข้าข่ายการบังคับใช้แรงงานหรือการค้ามนุษย์ หากพบว่ากระทำผิดจริงจะดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องจนถึงที่สุด

ผบ.ตร.ร่วมรดน้ำศพ สารวัตรสืบฯ บันนังสะตา พลีชีพเหตุลอบวางระเบิด เสนอปูนบำเหน็จกรณีพิเศษ 7 ขั้นยศเป็น พล.ต.อ.เผยรู้ตัวคนร้าย ก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง สั่งเร่งไล่ล่ามาดำเนินคดี

วันนี้ (18 ก.พ.66) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ ตร. พล.ต.ท.นันทเดช น้อยนวล ผบช.ภ.9, พลตรี ไพศาล หนูสังข์ รอง แม่ทัพภาคที่4 ผอ.รมน.ภาค 4 สนร่วมพิธีรดน้ำศพ พ.ต.ต. ประสาน คงประสิทธิ์ สว.สส.สภ.บันนังสะตา จว.ยะลา ผู้เสียชีวิตจากเหตุคนร้ายรอบวางระเบิด หลังนำกำลังเข้าตรวจสอบเหตุเผารถทำถนนของ บริษัท ยะลาไฮเวย์ เหตุเกิด บนถนนศรีบางลาง ม.1 บ้านสนามบิน ต.เขื่อนบางลาง อ.บันนังสตา จ.ยะลา มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บอีก 4 นาย เวลาประมาณ 09.00 น. ผบ.ตร. พร้อมคณะเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ มายัง ศปก.สน.จว.ยะลา เชิญเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน, กอ.รมน.ภาค 4, นิติวิทยาศาสตร์ และส่วนเกี่ยวข้อง เข้าร่วม เพื่อประชุมติดตามเร่งรัดสืบสวนติดตามคนร้ายผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็ว ซึ่งเจ้าหน้าที่รู้ตัวกลุ่มผู้ก่อเหตุแล้ว เป็นกลุ่มเดิมที่เคยก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง อยู่ระหว่างติดตามตัวมาดำเนินคดี จากนั้นเวลา 11.30 น. ได้เดินทางโดยรถยนต์ไปยังวัดเมืองยะลา พระอารามหลวง ร่วมพิธีรดน้ำศพ และ เป็นผู้แทนนำพวงหรีด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีเคารพศพ พ.ต.ต. ประสาน คงประสิทธิ์ สว.สส.สภ.บันนังสะตา ผู้เสียชีวิตจากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด มีคณะนายตำรวจระดับสูง ไปจนถึงข้าราชการตำรวจในสังกัด จว.ยะลา และญาติร่วมพิธี บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ฯ ได้พูดคุยและให้กำลังใจกับญาติผู้วายชนม์ มอบเงินช่วยเหลือเยียวยาในเบื้องต้น พร้อมให้คำมั่นว่าจะนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ ต่อมาเวลา 12.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บ ณ รพ.ศูนย์ยะลา และ รพ.ยะลาสิริรัตนรักษ์ มอบเงินสวัสดิการช่วยเหลือ พร้อมให้กำลังใจว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่เคยทอดทิ้ง ผบ.ตร. กล่าวว่า “เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องเอามาถอดบทเรียน ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียอีก แต่ทั้งนี้จะได้ประสานข้อมูลการข่าวอย่างใกล้ชิดกับฝ่ายความมั่นคง” สำหรับการช่วยเหลือเยียวยาดูแลสิทธิประโยชน์ พ.ต.ต.ประสาน คงประสิทธิ์ สว.สส.สภ.บันนังสตา ที่เสียชีวิต ผบ.ตร.ได้สั่งการให้เสนอปูนบำเหน็จความดีความชอบตอบแทนเป็นกรณีพิเศษ โดยขอเลื่อนเงินเดือนให้ 7 ขั้น ขอพระราชทานยศเป็น พล.ต.อ.และเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงขึ้นไม่เกิน 2 ชั้นตรา การช่วยเหลือบรรจุทายาท รวมทั้งมีการให้เงินช่วยเหลือดูแลในส่วนของสิทธิประโยชน์อื่นๆ ทั้งของผู้เสียชีวิตและครอบครัว เช่น เงินกองทุนสวัสดิการ ตร. 500,000 บาท แยกให้ทายาทแต่ละคน เงินฌาปกิจสงเคราะห์ ตร 670,000 บาท และเงินช่วยเหลือในส่วนอื่นๆอีก รวมเป็นเงินทั้งสิ้น จำนวน 4,188,378 บาท ด้าน ส.ต.อ.ภาสกร คำดี ผบ.หมู่สส.สภ.บันนังสตา ที่บาดเจ็บสาหัส จะได้รับเงินช่วยเหลือ สิทธิประโยชน์อื่นๆ จำนวน 317,000 บาท ส่วนตำรวจอีก 3 รายที่ได้รับบาดเจ็บ จ.ส.ต.สุวิทย์ ธนะวงศ์ ส.ต.อ.สุทัศน์ มูลเงิน และ ส.ต.อ.ไกรสีห์ โรจโนดม ผบ.หมู่ สส.สภ.บันนังสตา จะได้รับเงินช่วยเหลือ สิทธิประโยชน์อื่นๆ รายละ 80,000 บาท

ทั้งนี้ ผบ.ตร.ได้มอบเงิน ช่วยเหลือเพิ่มเติม ผู้เสียชีวิต 50,000 บาท ผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 รายฯ ละ 5,000 บาท จำนวน 4 ราย สมาคม แม่บ้านตำรวจ มอบเงินช่วยเหลือ ผู้เสียชีวิต 10,000 บาท ผู้ได้รับบาดเจ็บ รายละ 5,000 บาท

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พบปะหารือกับผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย ประสานความร่วมมือปราบปรามคดีถูกหลอกไปทำงานต่างประเทศ

วันนี้ (17 ก.พ.66) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้ให้การต้อนรับ ดาโต๊ะ สรี อับดุล จาลิล บิน ฮัซซาน (CP Dato’ Sri Abd Jalil bin Hassan) ผู้บัญชาการแผนกสืบสวนอาชญากรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย, ดาตุ๊ก โจจี้ ซามูแอล (H.E Datuk Jojie Samuel) เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย และคณะผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย เพื่อเข้าเยี่ยมคารวะ และประสานงานความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามคดีที่ผู้เสียหายชาวมาเลเซียซึ่งถูกหลอกไปทำงานยังต่างประเทศ ณ ห้องพรหมนอก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย ได้นำเสนอเกี่ยวกับข้อมูลคดีเกี่ยวกับผู้เสียหายชาวมาเลเซีย ซึ่งถูกหลอกให้สมัครงานผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งจะหลอกว่าเป็นงานดูแลลูกค้า (Customer Service) ซึ่งมีรายได้ดี และทำงานที่ประเทศ่ลาวและเมียนมา โดยค่าใช้จ่ายผู้รับสมัครจะออกให้ทั้งหมด เมื่อมีผู้หลงเชื่อ ก็จะพาเดินทางผ่านประเทศไทย มีทั้งทางบก และทางอากาศ แล้วพาผู้เสียหายออกไปยังประเทศที่สาม ทั้งลาวและเมียนมา เมื่อไปถึงพบว่างานที่ให้ทำไม่ตรงกับที่สมัครไว้ กลับเป็นงานที่ให้หลอกคนมาลงทุน หรือหลอกให้โอนเงิน ทำให้ไม่อยากทำงาน สุดท้ายต้องลงเอยด้วยการเสียเงินไถ่ตัวเพื่อจะเดินทางกลับประเทศ สุดท้ายต้องหาทางเดินทางกลับมาเลเซียด้วยตนเอง ทั้งนี้จึงต้องการประสานความร่วมมือกับทางการไทย ซึ่งถูกใช้เป็นทางผ่าน ในการร่วมกันปราบปรามอาชญากรรมประเทศดังกล่าว เพื่อป้องกันเหตุลักษณะเดียวกันที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติอื่นๆ ต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การพบปะหารือกันในวันนี้ ถือเป็นการสร้างความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของทั้งสองประเทศ ในการปราบปราบอาชญากรรมเกี่ยวกับการหลอกผู้เสียหายไปทำงานคอลเซ็นเตอร์ที่ต่างประเทศ ซึ่งจากกรณีดังกล่าว ประเทศไทยมีสถานะเป็นทางผ่านให้ผู้เสียหายเดินทางไปสู่ประเทศที่สาม ซึ่งคดีเหล่านี้มีลักษณะการกระทำผิดคล้ายกับที่ผู้เสียหายชาวไทยได้เคยประสบเหตุมาแล้ว และเราสามารถให้การช่วยเหลือผู้เสียหายชาวไทยกลับมาได้อย่างปลอดภัยเป็นจำนวนมาก ครั้งนี้จึงถือเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลในการให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายในต่างประเทศ รวมทั้งร่วมมือกันในการป้องกันอาชญากรรมในลักษณะดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในอนาคตต่อไป

ผบก.อคฝ. (อัศวิน 1) มอบนโยบาย กำชับข้อสั่งการและข้อราชการ

วันนี้ (17 ก.พ.66) เวลา 10.00 น.

พล.ต.ต.ธนันท์ธร รัตนสิทธิภาคย์
ผบก.อคฝ. (อัศวิน 1)

พร้อมด้วย พ.ต.อ.ฐิรวิทย์ บุษบัน
รอง ผบก.อคฝ. (อัศวิน 3)

พ.ต.อ.ภัสพงษ์ บุตรไทย
รอง ผบก.อคฝ. (อัศวิน 5),

พ.ต.อ.กิตติ แสงศิริวุฒิ
รอง ผบก.อคฝ. (อัศวิน 6),

พ.ต.อ.สมยศ อุดมรักษาทรัพย์
รอง ผบก.อคฝ. (อัศวิน 7)

และ ผกก., รอง ผกก.,สว. ผบ.ร้อย ในสังกัด บก.อคฝ. เข้าร่วมรับฟังคำชี้แจงมอบนโยบาย กำชับข้อสั่งการและข้อราชการให้กับข้าราชการตำรวจระดับ รอง ผบก.-สว.ที่ได้รับการแต่งตั้งให้มาดำรงตำแหน่งใน บก.อคฝ. วาระประจำปี 2565 ณ ห้องประชุมอเนกประสงค์ ชั้น 2 บก.อคฝ.

ผู้กำกับเตาปูน “บุก” ชุมชนซอยพัฒนา ,ชุมชนเดลี่เบลล์ เยี่ยมเยือน และรับฟังปัญหาของประชาชน

วันพฤหัสบดีที่ 16 ก.พ. 66
เวลา 16.15 น.

ตามนโยบายของ ผบ.ตร,ผบช.น.,
ผบก.น.2 ให้ทุกสน.ตรวจเยี่ยมชุมชน
เพื่อสอบถามปัญหา สภาพอาชญากรรม

ว่าที่ พ.ต.อ.สุรเดช ฉัตรไทย
ผกก.สน.เตาปูน

พ.ต.ท.กิตติพันธ์ แท่นตั้งเจริญชัย
รอง ผกก.ป. สน.เตาปูน

พ.ต.ต.เอกวิทย์ นามวงศ์
สวป.สน.เตาปูน

เจ้าหน้าที่ฝ่าย ป. ,จร.,สืบสวน และตำรวจชุดชุมชนสัมพันธ์ สน.เตาปูน

ร่วมกับ นายสรสิช เหลืองรุ่งเกียรติ ผอ.เขตบางซื่อ ,เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.,เจ้าหน้าที่ศูนย์สาธารณสุข 3 บางซื่อ

ตรวจร่วมปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ณ ชุมชนซอยพัฒนา,ชุมชนเดลี่เบลล์ แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กทม.

เตาปูนปลอดภัยตำรวจใส่ใจพิทักษ์ไทยประชา

#ประชาชนคือตำรวจ

#ตำรวจคือประชาชน

#พิทักษ์สันติราษฎร์

โครงการฝึกอบรมตำรวจชุมชนแบบบูรณาการ ภายใต้โครงการ RTP cyber Village (ครูแม่ไก่ รุ่นที่ 2)

วันที่ 16 ก.พ.66 เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เดินทางมาเป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมตำรวจชุมชนแบบบูรณาการ ภายใต้โครงการ RTP Cyber Village รุ่นที่ 2 ให้กับผู้เข้ารับการอบรมจากตำรวจภูธรภาค 4,6,7,8 และ 9 ประกอบด้วย รอง ผบก.ทุก บก./ภ.จว. หน่วยละ 1 นายเป็นหัวหน้าทีม พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจที่มีความรู้ด้านตำรวจชุมชน บก./ภ.จว.ละ 5 นาย โดยมี รอง ผบช. บช.ละ 1 นาย เป็นผู้สังเกตการณ์ รวมทั้งสิ้นจำนวน 306 นาย ณ รร.นรต. โครงการดังกล่าวนี้เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น รับทราบปัญหา เสนอแนะ จัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนของปัญหาที่จะให้แก้ไข ร่วมกันพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของหมู่บ้าน/ชุมชน เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยกัน ปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงานแบบตั้งรับ รูปแบบเดิมที่ตำรวจรับแจ้งเหตุแล้วเข้าไประงับเหตุ
มาเป็นการใช้มาตรการเชิงรุกเข้าถึงชุมชน มุ่งเน้นการแก้ไขต้นเหตุของปัญหาในชุมชนเพื่อลดปัญหาอาชญากรรมและปัญหาต่างๆ ให้น้อยลง ทั้งยังเป็นการแก้ไขปัญหาในชุมชนที่ต้องการให้แก้ไข
สืบเนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาจำเป็นต้องรักษาระยะห่างเพื่อความปลอดภัย แต่ตำรวจก็ยังต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อความสงบสุขของประชาชนและสังคม ซึ่งในปี 2565 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ทำโครงการตำรวจชุมชน ภายใต้ชื่อโครงการ Cyber Village 1,483 สถานีตำรวจทั่วประเทศ 7,403 หมู่บ้าน ประชาชนเข้าร่วม 4,408,321 คน จำนวน 1,572,558 ครัวเรือน โดยใช้แพลทฟอร์มออนไลน์เข้ามาช่วยในการทำงาน เช่น Line, Clubhouse, Facebook และ Tiktok เป็นต้น ทำให้เข้าถึงประชาชนได้เป็นจำนวนมาก และร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ เช่น อบต., เทศบาล และฝ่ายปกครอง
เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น รับทราบปัญหา เสนอแนะ จัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนของปัญหาที่จะให้แก้ไข ร่วมกันพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของหมู่บ้าน/ชุมชน เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาด้วยกัน ปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงานแบบตั้งรับ รูปแบบเดิมที่ตำรวจรับแจ้งเหตุแล้วเข้าไประงับเหตุ มาเป็นการใช้มาตรการเชิงรุกเข้าถึงชุมชน มุ่งเน้นการแก้ไขต้นเหตุของปัญหาในชุมชนเพื่อลดปัญหาอาชญากรรมและปัญหาต่างๆ ให้น้อยลง ทั้งยังเป็นการแก้ไขปัญหาในชุมชนที่ต้องการให้แก้ไข ยกตัวอย่างปัญหาของชุมชนหนึ่งคือเรื่องการจอดรถไม่เป็นระเบียบ แต่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในชุมชน จนถึงการทำร้ายร่างกายเป็นอันตรายต่อชีวิตและร่างกาย ตำรวจและชุมชน ได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาโดยการจัดระเบียบให้เรียบร้อย เป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุและชุมชนต้องการ สามารถลดปัญหาอาชญากรรมที่จะเกิดขึ้นได้ นอกจากนั้นยังมีปัญหายาเสพติด และปัญหาอื่นๆ อีกเป็นต้น

การดำเนินโครงการฝึกอบรมปี 2566 ณ รร.นรต. รุ่นที่ 1 วันที่ 13-15 ก.พ.2566 และ รุ่นที่ 2 16-18 ก.พ.2566 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้เกียรติมาเป็นประธาน และบรรยายในหัวข้อนโยบายตำรวจชุมชน ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และได้นำเอาประสบการณ์ที่ท่านได้ทำงานด้าน ชุมชนสัมพันธ์ จนได้รับรางวัลชนะเลิศ 3 ปีซ้อน ขณะดำรงตำแหน่งระดับ ผกก. มาเป็นวิทยาทานให้ข้าราชการตำรวจผู้เข้ารับการอบรมทั้งสองรุ่น จำนวนกว่า 595 นาย ได้นำไปเป็นแนวทางการปฏิบัติงานต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นวิทยากรพิเศษบรรยายหลักสูตรสืบสวนสอบสวนคดีอาญา ให้ความรู้ด้านการแก้ไขปัญหาค้ามนุษย์ของไทย

วันนี้ (15 ก.พ.66) เวลา 16.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) เป็นวิทยากรพิเศษ บรรยายให้ความรู้แก่ผู้เข้าอบรมหลักสูตรประกาศนียบัตรด้านการสืบสวนสอบสวนคดีอาญา รุ่นที่ 8 และ 9 ณ ห้องประชุมอเนกประสงค์ สถาบันส่งเสริมงานสอบสวน ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ซึ่งมีผู้เข้าอบรมมาฟังบรรยายจำนวน 521 นาย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในฐานะ ผอ.ศพดส.ตร. ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ และมีบทบาทสำคัญในการนำเสนอผลงานการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ในการจัดอันดับโดยสหรัฐอเมริกา จนยกระดับประเทศไทยขึ้นสู่ Tier 2 นั้น ได้บรรยายข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ในประเทศไทย ซึ่งมีสถานะเป็นทั้งประเทศต้นทาง ปลายทาง และทางผ่านในการกระทำผิด และมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้นตามยุคสมัยและเทคโนโลยี ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม จำเป็นต้องพัฒนาองค์ความรู้เพื่อให้สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างถูกต้องเหมาะสม รวมทั้งได้นำเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ขับเคลื่อนในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาในหลายๆด้าน ยกตัวอย่างเช่น การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติให้มีความรู้เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งต้องทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมซึ่งล้วนมีความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ และยังต้องมีการประสานงานร่วมกับหน่วยงานต่างประเทศ เพื่อแสวงหาความร่วมมือในการบังคับใช้กฎหมาย และช่วยเหลือผู้เสียหาย เนื่องจากยุคสมัยนี้การกระทำผิดสามารถกระทำได้โดยไร้พรมแดน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำงานร่วมกัน นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังได้เสริมข้อมูลเกี่ยวกับผลงานการปฏิบัติของ ศพดส.ตร. เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจรุ่นใหม่เพื่อจะได้มีกำลังใจในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า วันนี้เป็นโอกาสอีกครั้งที่จะได้มาบรรยายให้ความรู้แก่ตำรวจรุ่นใหม่ซึ่งมาอบรมเพิ่มพูนศักยภาพในการสืบสวนสอบสวนคดีอาญา โดยได้นำความรู้เกี่ยวกับการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ นำมาบรรยายใด้ผู้เข้ารับการอบรมได้เข้าใจการทำงานเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจำเป็นจะต้องพัฒนาศักยภาพของตนให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นด้านการบังคับใช้กฎหมาย หรือการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหาย ซึ่งจำเป็นจะต้องยึดหลักผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง รวมทั้งยังได้นำสถานการณ์ แนวโน้ม และผลการปฏิบัติที่ผ่านมา นำมาบรรยายเพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้ทราบว่า วันนี้การทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ยกระดับทัดเทียมนานาชาติ ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ และสามารถผลักดันให้ประเทศไทยถูกจัดอันดับขึ้นสู่ Tier 2 ได้ ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้ตำรวจรุ่นใหม่ที่ผ่านการฝึกอบรมออกมามีความตั้งใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ติดตามตัวหญิงไทยชนแล้วหนีที่อเมริกาด้านเจ้าตัวยินดีบินกลับรับทราบข้อกล่าวหา

จากกรณีเมื่อวันที่ 6 ก.พ.66 สื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศได้มีการนำเสนอข่าวกรณีหญิงไทยในอเมริกาได้ก่อเหตุขับรถยนต์ชนนายเบนจามิน เคเบิล อายุ 22 ปี เสียชีวิตในที่เกิดเหตุเมื่อวันที่ 1 ม.ค.66 ณ เมืองมิชิแกน สหรัฐอเมริกา แล้วหลบหนีจากที่เกิดเหตุ ต่อมาได้บินหลบหนีกลับมากบดานที่ประเทศไทย ซึ่งเจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐได้สืบสวนจนทราบว่า ผู้ก่อเหตุคือ นางทับทิม ซู ฮาวสัน อายุ 57 ปี และได้ดำเนินการออกหมายจับ และต้องการประสานทางการไทยเพื่อขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอไปแล้ว นั้น
จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ตรวจสอบข้อมูลกรณีดังกล่าว รวมทั้งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับหญิงไทยรายดังกล่าว เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวนดำเนินการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับนางทับทิม เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏ
จากการสืบสวนทราบว่า หลังจากที่นางทับทิมฯ เดินทางกลับถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 ม.ค.66 ได้ไปพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ จ.ชลบุรี ต่อมาวันที่ 10 ก.พ.66 เมื่อมีข่าวปรากฏทางสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดีย นางทับทิมได้ย้ายพักอาศัยที่ห้องพักแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เมื่อเจ้าหน้าที่สืบสวนทราบข้อมูลดังกล่าว จึงได้เดินทางไปตรวจสอบยังสถานที่ดังกล่าว และพบนางทับทิมฯ อาศัยอยู่จริง จึงได้สอบถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว นางทับทิมฯ ยอมรับว่าตนเป็นบุคคลที่ปรากฏชื่อตามข่าวจริง และเป็นผู้ก่อเหตุขับรถชนนายเบนจามินจริง ด้วยความตกใจจึงได้บินกลับมาที่ประเทศไทยก่อน โดยขณะนี้ยินดีให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และพร้อมที่จะเดินทางกลับไปเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่สหรัฐอเมริกาตามกฎหมาย
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เหตุดังกล่าวได้รับการประสานข้อมูลเบื้องต้นจากทางการสหรัฐ ท่าน ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลตามที่ปรากฏ เพื่อจะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และตามที่กฎหมายไทยกำหนดไว้ โดยหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบและพูดคุยกับนางทับทิมฯ พบว่า เจ้าตัวรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยินดีที่จะเดินทางกลับไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายต่อไป โดยจากนี้จะประสานงานกับทางการสหรัฐเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามที่สามารถทำได้ ทั้งนี้ทางการไทยกับสหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์อันดีกันมาเป็นเวลานาน รวมทั้งมีความร่วมมือในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมด้วยกันมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นในครั้งนี้จึงถือเป็นการต่อยอดความสัมพันธ์ระหว่างทางการไทยกับสหรัฐอเมริกาให้มีความมั่นคงต่อไป


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพการปฏิบัติหน้าที่ในการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง

วันนี้ (14 ก.พ.66) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปนม.ตร.) ได้เป็นประธานในพิธีการเปิดโครงการอบรมสัมมนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพการปฏิบัติหน้าที่ในการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีนายวุฒิทัต ตันติเวส รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน, นายมงคล สุดโต ผอ.ส่วนควบคุมระบบปฏิบัติการป้องกันและปราบปราม กรมสรรพสามิต และ นางนันทวดี วีระวัฒน์เดช ผอ.ส่วนมาตรฐานและพัฒนาการจัดเก็บภาษี กรมสรรพสามิต ร่วมการพิธีเปิดดังกล่าว ซึ่งจัดขึ้น ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 13-15 ก.พ.66

การฝึกอบรมดังกล่าวจัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในการสืบสวน ตรวจสอบ และจับกุมผู้กระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและแสวงหาความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมธุรกิจพลังงาน และกรมสรรพสามิต เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งการฝึกอบรมครั้งนี้ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากทั่วประเทศเข้ารับการอบรมจำนวน 143 นาย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ในครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนทั้งด้านงบประมาณและวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมธุรกิจพลังงานและกรมสรรพสามิต เพื่อเพิ่มความรู้ความเข้าใจให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ปราบปรามความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งหลังจากการฝึกอบรมแล้ว จะทำให้การปฏิบัติหน้าที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งจะได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากยิ่งขึ้น ย่อมจะทำให้การปราบปรามน้ำมันเถื่อนของประเทศไทยสามารถบูรณาการร่วมกันได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

Design a site like this with WordPress.com
Get started