กอ.รมน.มุกดาหาร ร่วมเป็นเกียรติวันคล้ายวันสถาปนากองอาสารักษาดินแดน ครบรอบ 69 ปี ประจำปี 2566


เมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 08.30 น. พ.อ.ภูษิต พลาเศรษฐ รอง ผอ.รมน.จังหวัด ม.ห.(ท.)/รอง ผอ.สน.ปรมน.จว.มทบ.210 ร่วมเป็นเกียรติวันคล้ายวันสถาปนากองอาสารักษาดินแดน ครบรอบ 69 ปี ประจำปี 2566 เพื่อรำลึกถึงเหล่าวีรบุรุษสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน ผู้เสียสละ ทำงานอุทิศตน ปกป้องบ้านเมืองให้รอดพ้นจากภัยอันตรายต่าง ๆ ณ ลานสนามหน้าศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร โดยมีนายวรญาณ บุญณราช ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เป็นประธาน ในงานจัดให้มีพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ ๙ รูป อาราธนาศีล พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม , ผวจ.ม.ห.อ่านสารผู้บัญชาการกองอาสารักษาดินแดน กำลังพลกล่าวคำปฏิญาณ, มอบเข็มอาสารักษาดินแดนสดุดี , มอบทุนการศึกษาของมูลนิธิอาสารักษาดินแดน ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ให้แก่บุตรสมาชิก อส. และพิธีสวนสนามของกองร้อยอาสารักษาดินแดนที่ 1 มุกดาหาร โดยมีสมาชิกอาสารักษาดินแดน, ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน เข้าร่วมพิธีสวนสนาม จำนวน 300 คน

ความเป็นมาของกองอาสารักษาดินแดน“ โดยที่การป้องกันประเทศชาติในสถานการณ์สงครามปัจจุบัน เป็นหน้าที่ของประชาชนพลเมืองทุกคน ที่จะต้องร่วมมือช่วยเหลือและจะต้องได้รับการศึกษาอบรมเพื่อให้มีความรู้ในการที่จะป้องกันตนเองและประเทศชาติ จึงจำเป็นต้องมีการฝึกอบรม และจัดตั้งหน่วยบังคับบัญชาเตรียมไว้ตั้งแต่เวลาปกติ ”เป็นเหตุผลสำคัญในการจัดตั้งกองอาสารักษาดินแดน

กองอาสารักษาดินแดน เป็นองค์กรขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทย มีฐานะเป็นนิติบุคคล มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็น ผู้บัญชาการกองอาสารักษาดินแดน หลักการสำคัญในการจัดตั้งคือ เพื่อมีกำลังสำรองไว้ช่วยเหลือประชาชนและประเทศชาติ ทั้งยามปกติและสงคราม โดยรับสมัครราษฎรที่สมัครใจอาสาเข้ามาเป็นสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (สมาชิก อส.) มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติกองอาสารักษาดินแดน พ.ศ. 2497

เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2497 ทำให้การดำเนินการด้านพลเรือนอาสา มีรูปแบบและระบบที่ชัดเจน ซึ่งต่อมาได้มีการพัฒนาตามลำดับจนถึงปัจจุบัน จึงถือเอาวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น “ วันคล้ายวันสถาปนากองอาสารักษาดินแดน ”


เดวิท โชคชัย มุกดาหาร รายงาน 092-5259-777

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งรวบแก๊งเว็บพนันอุ้มวิศวกรรีดทรัพย์ขยายผลเจ้าหน้าที่ค้นข้อมูลทะเบียนราษฎร์ส่งคนร้ายใช้ข่มขู่

จากกรณีเมื่อวันที่ 7 ก.พ.66 เพจสายไหมต้องรอดพร้อมด้วย นายเชิดเกียรติ ศักดิ์ศรี ผู้เสียหาย เข้าร้องขอความช่วยเหลือจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. จากเหตุถูกแก๊งเว็บพนันซึ่งมีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง อุ้มไปทำร้ายร่างกายอ้างว่าถูกผู้เสียหายโกงเงินหลักแสนบาท รวมทั้งปล้นเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายไปหลายรายการ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 ม.ค.66 ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลได้นำเสนอไปแล้ว นั้น

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เร่งดำเนินการสืบสวนหาตัวกลุ่มผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีโดยเร็ว เนื่องจากเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชนอย่างมาก เพราะมีการให้ข้อมูลว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ดังกล่าว และยังมีการก่อเหตุอย่างอุกอาจ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนร่วมกับ สน.โชคชัย ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบในคดีดังกล่าว เร่งสืบสวนติดตามผู้ก่อเหตุในคดีดังกล่าว จึงสั่งการให้นำตัวกลุ่มผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็ว

จากการสืบสวนทราบว่า ผู้เสียหายทำงานเป็นแอดมินเว็บไซต์พนันออนไลน์มาแล้วประมาณ 5-6 ปี ทำหน้าที่คอยดูแลลูกค้าและให้คำแนะนำเรื่องฝากถอนเงิน โดยมีกลุ่มของผู้ก่อเหตุเป็นผู้ดูแลเว็บไซต์ ก่อนเกิดเหตุกลุ่มผู้ก่อเหตุตั้งข้อสงสัยว่า ผู้เสียหายโกงเงินไป เนื่องจากยอดเงินไม่ตรง จึงได้มีการนัดหมายเพื่อพูดคุยกัน โดยมีคนมารับผู้เสียหายไปเจอกลุ่มผู้ต้องหาที่ร้านกาแฟในเขต ต.เสม็ด อ.เมือง จ.ชลบุรี มีกลุ่มผู้ต้องหารออยู่ประมาณ 4-5 คน ได้มีการซักถามผู้เสียหายเกี่ยวกับเงินที่หายไป แต่ผู้เสียหายปฏิเสธ จึงถูกกลุ่มผู้ต้องหาเตะต่อยหลายครั้ง และได้หยิบเอาโทรศัพท์มือถือและแท็ปเล็ตของผู้เสียหายไป และได้กดโอนเงินจากบัญชีของผู้เสียหายไปจำนวน 25,000 บาท ระหว่างนั้นได้มีการแสดงข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของผู้เสียหายเพื่อข่มขู่ จากนั้นได้พาผู้เสียหายนั่งรถไปที่ห้องพักของผู้เสียหายในย่านลาดพร้าววังหิน แขวง/เขตลาดพร้าว กทม. โดยคนที่พาไปได้มีการเปิดให้เห็นว่ามีการพกอาวุธปืนมาด้วย ทำให้ผู้เสียหายตกใจกลัวและยินยอมไปด้วยดี เมื่อถึงห้องพักพบว่าแฟนสาวของผู้เสียหายอยู่ด้วย กลุ่มผู้ต้องหาได้หยิบเอาทรัพย์สินเป็นรองเท้า และนาฬิกาเพิ่มไปอีก จากนั้นได้ขับรถกระบะหลบหนีไป ผู้เสียหายจึงตัดสินใจร้องขอความช่วยเหลือในเวลาต่อมา

จากข้อมูลดังกล่าว ประกอบกับการรวบรวมพยานหลักฐาน พนักงานสอบสวน สน.โชคชัย จึงได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับกลุ่มผู้ต้องหาจำนวน 7 ราย ประกอบด้วย

  1. น.ส.พัชญ์วัญญ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี เป็นคนซักถามและเอาโทรศัพท์ผู้เสียหายไปโอนเงิน
  2. นายมนตรี (สงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี เป็นคนซักถาม
  3. นายชัยชนะ (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี เป็นคนลงมือทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย (มอบตัว)
  4. น.ส.รมิตา (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี เป็นคนช่วยเช็คข้อมูลบัญชีของผู้เสียหาย (มอบตัว)
  5. นายธเนศ (สงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี เป็นคนลงมือทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย (มอบตัว)
  6. นายกฤษฎา (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี เป็นคนขับรถพาไปห้องผู้เสียหาย (มอบตัว)
  7. นายสุทัศน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี เป็นคนขับรถพาไปห้องผู้เสียหาย (มอบตัว)

โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน “ปล้นทรัพย์, ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้ถูกข่มขืนใจหรือผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น โดยมีอาวุธ, หน่วงเหนี่ยว กักขัง หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย, ทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือตกใจ โดยการขู่เข็ญ, กระทำด้วยประการใดๆ ต่อผู้อื่น อันเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคาม ให้ได้รับความเดือดร้อน, มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต โดยไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วน” ล่าสุดผู้ต้องหาได้เข้ามอบตัวแล้วจำนวน 5 ราย เหลือติดตามจับกุม 2 ราย

นอกจากนี้ ในส่วนของการตรวจสอบข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของผู้เสียหายซึ่งกลุ่มผู้ต้องหานำมาข่มขู่นั้น จากการตรวจสอบพบว่า ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความช่วยเหลือในการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว อยู่ในระหว่างการสืบสวนขยายผล หากพบว่าร่วมมือกับกลุ่มผู้กระทำความผิดจริง จะมีการดำเนินคดีถึงที่สุดต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนและประชาชนเป็นอย่างมาก เนื่องจากผู้เสียหายได้ให้ข้อมูลว่าเป็นเว็บพนันออนไลน์ที่มีตำรวจเป็นเจ้าของ รวมทั้งมีการก่อเหตุอย่างอุกอาจ ดังนั้นจึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนร่วมกับ สน.โชคชัย ในการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหาโดยเร็ว ในเบื้องต้นสามารถรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้ จำนวน 7 ราย อยู่ในระหว่างติดตามตัวมาดำเนินคดี นอกจากนี้ยังจะดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ให้การสนับสนุนข้อมูลทะเบียนราษฎร์ให้กลุ่มผู้ต้องหานำมาใช้ข่มขู่ผู้เสียหาย หากพบมีความเกี่ยวข้องจะดำเนินคดีจนถึงที่สุด และยังได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนทำการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อสืบให้ถึงตัวเจ้าของเว็บไซต์ หากพบผู้เกี่ยวข้อง แม้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐจริง ก็จะดำเนินคดีโดยเด็ดขาดไม่มียกเว้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ เครือซีพี รวมพลังแฉกลโกงมิจฉาชีพออนไลน์ หวังต้านอาชญากรรมไซเบอร์

วันที่ 10 ก.พ. 66 เวลา 15.00 น. ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคารฝึกอบรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้แทนลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ ว่าด้วยการประชาสัมพันธ์สื่อสร้างภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ร่วมกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยมีนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นผู้แทนลงนาม ทั้งนี้มีผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้แทนบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ เข้าร่วมพิธีฯ
สำหรับการลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ สืบเนื่องจากสถานการณ์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรืออาชญากรรมไซเบอร์ในปัจจุบันมีสถิติที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมีประชาชนเป็นจำนวนมากที่หลงกลตกเป็นเหยื่อจนได้รับความเดือดร้อน สูญเสียทรัพย์สิน ซึ่งในบางรายถึงกับต้องสูญเสียชีวิต ซึ่งจากสถิติการรับแจ้งความออนไลน์ตั้งแต่ 1 มี.ค. 2565 – 6 ก.พ. 2566 มีการรับแจ้งความอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จำนวนทั้งสิ้น 192,031 คดี รวมมูลค่าความเสียหาย 29,546,732,805 บาท สามารถติดตามอายัดบัญชี 65,872 บัญชี อายัดได้ทัน 445,265,908 บาท
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ตระหนักถึงความสำคัญ และห่วงใยประชาชน จึงบูรณาการความร่วมมือระหว่างองค์กรทั้งในส่วนของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน (Public Private Partnership (PPP) เพื่อร่วมเป็นเครือข่ายในการยับยั้ง ป้องกัน และสร้างภูมิคุ้มกัน (Cyber Vaccine) แก่ประชาชนเพื่อให้รู้เท่าทันกลโกงรูปแบบต่างๆ ของมิจฉาชีพ ซึ่งตลอดระยะเวลาการดำเนินงานได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกภาคส่วน เพื่อร่วมประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ไปยังประชาชน
ด้านนายศุภชัย เจียรวนนท์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันที่อาชญากรรมไซเบอร์ได้พัฒนารูปแบบกลลวงอย่างหลากหลายและรุนแรงมากขึ้น จนกลายเป็นปัญหาความมั่นคงระดับชาติ เพราะส่งผลกระทบทั้งต่อการดำเนินชีวิตของคนไทย และความมั่นคงของประเทศ นอกจากนี้ในการประชุม World Economic Forum 2023 ได้จัดให้ ‘ภัยคุกคามไซเบอร์’ เป็น 1 ใน 5 ความเสี่ยงที่สำคัญระดับโลก โดยมีการคาดการณ์ว่าผลกระทบจากการโจมตีทางไซเบอร์ จะสูงถึง 10.5 ล้านล้านเหรียญภายในปี 2025 นั้น เครือเจริญโภคภัณฑ์และกลุ่มบริษัทในเครือฯ ในฐานะของผู้นำธุรกิจภาคเอกชน จึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำร่องด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับกลโกงต่างๆ ของอาชญากรรมไซเบอร์เป็นองค์กรแรก เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันไซเบอร์วัคซีนให้ประชาชนชาวไทยมีความรู้เท่าทันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในรูปแบบต่างๆ ซึ่งการร่วมสร้างความตื่นรู้ให้สังคมไทยในครั้งนี้ สอดคล้องกับค่านิยม 3 ประโยชน์ที่เครือฯ ยึดมั่นในการตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน สร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชนเป็นสำคัญ
โดยเครือฯ ได้ระดมสรรพกำลังของกลุ่มธุรกิจในเครือ เพื่อร่วมประชาสัมพันธ์กลโกงของอาชญกรรมไซเบอร์ในทุกช่องทางการสื่อสารอย่างเต็มศักยภาพรวมระยะเวลา 2 ปี ทั้งจากกลุ่มโทรคมนาคมและร้านค้าปลีกค้าส่ง คือการส่ง SMS เตือนภัยผ่านเครือข่ายทรูมูฟ เอช ซึ่งมีผู้ใช้บริการรวม 37 ล้านเลขหมาย ซึ่งได้เริ่มดำเนินการไปแล้วในเดือนมกราคมที่ผ่านมา การเผยแพร่ข่าวสารผ่านสื่อภายในลักษณะต่างๆ ในร้านเซเว่น – อีเลฟเว่นกว่า 13,000 สาขาประเทศ ซึ่งมีจำนวนลูกค้าเข้าใช้บริการ 11,404,314 คนต่อวัน ในแม็คโคร 152 สาขา และโลตัสมากกว่า 2,000 สาขา การประชาสัมพันธ์รายการในสถานีข่าว TNN16 และช่อง True4U การจัดกิจกรรมแฮกกาธอนในกลุ่มเยาวชน คิดค้น
ไอเดียรับมือกลโกง รวมถึงการกระจายข่าวสารผ่านพนักงานกว่า 361,570 คนทั่วประเทศ ซึ่งความหลากหลายทางธุรกิจฯ ของเครือ จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ข่าวสารเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง และทำให้ประชาชนรู้เท่าทันกลโกงรูปแบบต่างๆ ของมิจฉาชีพได้อย่างรวดเร็ว เพื่อลดความสูญเสียทั้งต่อประชาชนและประเทศชาติที่อาจเกิดขึ้นต่อไป
นอกจากนี้ ภายในงานได้มีการจัดการเสวนา “จุดกระแส On Stage” ดำเนินรายการโดย คุณกรรชัย กำเนิดพลอย ในหัวข้อ “แฉสารพัดกลโกงมิจฉาชีพหลอกเหยื่อบนโลกออนไลน์” ซึ่งมีผู้ร่วมแชร์ประสบการณ์ ได้แก่ คุณมยุรา เศวตศิลา นักแสดงชื่อดัง, คุณภาณุพงศ์ หอมวันทา ยูทูปเบอร์เจ้าของช่อง Epic Time, ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในผู้ร่วมกระบวนการกลโกง Call Center และผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเคยตกเป็นเหยื่อกลโกงแอพออนไลน์ดูดเงินโดยแอบอ้างสรรพากร โดยมีความคิดเห็นในทิศทางเดียวกันว่าโครงการความร่วมมือครั้งนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อคนไทย เพราะความรู้ผ่านสื่อต่างๆ จะช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการถูกมิจฉาชีพออนไลน์หลอกลวง และจากที่เคยตกอยู่ในสถานะของเหยื่อมาแล้วนั้น ทำให้มั่นใจมากว่า ถ้ารู้ทันกลโกงก่อนจะไม่ตกเป็นเหยื่ออย่างที่ผ่านมา และหวังว่าการสื่อสารประชาสัมพันธ์ถึงกลโกงผ่านช่องทางที่หลากหลาย จะเข้าถึงคนไทยทุกกลุ่มทั่วประเทศได้
รวมถึง “ความร่วมมือของภาคเอกชน ต้านภัยออนไลน์ด้วยวัคซีนไซเบอร์” โดย พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รองผู้บัญชาการ กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผู้บังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหาร ยุทธศาสตร์ข้อมูลและการสื่อสาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น และคุณศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน)
สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนเกี่ยวกับปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งปัจจุบัน สามารถติดตามรูปแบบการประชาสัมพันธ์กลโกงได้ที่ pctpr.police.go.th โดยมี 18 กลโกงหลักของมิจฉาชีพ ที่ใช้หลอกลวงเหยื่อบนโลกออนไลน์ คือ 1) หลอกขายสินค้าออนไลน์ 2) หลอกให้ทำงานเสริมออนไลน์ 3) เงินกู้ออนไลน์ (เงินกู้ทิพย์) 4) ข่มขู่ให้เกิดความหวาดกลัว (Call Center) 5) หลอกลวงให้ลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ 6) หลอกให้รักแล้วลงทุน 7) หลอกให้รักแล้วโอนเงิน หรือยืมเงิน 😎 ปลอมหรือแฮคบัญชีไลน์ เฟซบุ๊ค แล้วหลอกยืมเงิน 9) แชร์ลูกโซ่ 10) การพนันออนไลน์ 11) หลอกให้โหลดโปรแกรมควบคุมคอมพิวเตอร์ทางไกล เพื่อขโมยข้อมูล 12) ส่ง QR Code หลอกให้โอนเงิน 13) ฉ้อโกงรูปแบบอื่น โดยหลอกลวงด้วยเรื่องราวต่าง ๆ 14) โฆษณาเชิญชวนไปทำงานต่างประเทศ 15) หลอกลวงให้ถ่ายภาพโป๊เปลือย เพื่อข่มขู่เรียกเงิน16) ยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคาร (บัญชีม้า) และร่วมกันกระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ฟอกเงิน 17) ข่าวปลอม 18) เรียกค่าไถ่ทางคอมพิวเตอร์
หากสงสัยเกรงจะตกเป็นเหยื่อสามารถปรึกษาได้ที่ สายด่วน บช.สอท. 1441 หรือ ศูนย์ PCT 081-8663000 ผู้เสียหายสามารถแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ http://www.thaipoliceonline.com

ผบ.ตร. ร่วมทำกิจกรรมจิตอาสาปลูกป่า ณ รร.นรต.

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ผบ.ตร.มาเป็นประธานทำกิจกรรมจิตอาสาปลูกป่า โดยมี พล.ต.ท. เสนิต สำราญสำรวจกิจ ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย โดยได้มีผู้ใต้บังคับบัญชาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้โดยพร้อมเพรียงกัน ณ รร.นรต.

#เราทำดีด้วยหัวใจ

พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ รอง ผบช.สตม. แถลงผลการปฏิบัติการ ยุทธการกวาดล้างมังกรซ่อนกาย

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่อง การควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ประกอบกับนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์
กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด
ภายใต้การอำนวยการและสั่งการของ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม.,พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม.,พล.ต.ต.ปิยะอนันต์ โตสกลุวงศ์ ผบก.ตม.1,พล.ต.ต.วริศร์สิริภ์ สีละสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.อภิมุข กานตยากร รอง ผบก.สส.สตม.,พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม.,พ.ต.อ.ระพีพัฒน์ อุตสาหะ รอง ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.รัชธพงศ์เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7/จนท. ศปอส.ตร.ชป.1 ,พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม.,พ.ต.อ.สรธรรศจ์ เอี่ยมละออ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงษ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม.,พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม.,พ.ต.อ.กาจภณ ปฐมัง ผกก.สส.บก.ตม.1 และ พ.ต.อ.จิรพงศ์รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 ได้ร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติการ ยุทธการกวาดล้างมังกรซ่อนกาย ดังนี้
กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้ทำการสืบสวนคนต่างด้าวที่มีหนังสือเดินทาง 2 สัญชาติขึ้นไป โดยได้ตรวจสอบข้อมูลในระบบสารสนเทศ สตม. พบว่ามีคนต่างด้าวที่ถือหนังสือเดินทาง 2 สัญชาติ เดินทางเข้ามาพำนักอาศัยในประเทศไทย จำนวน 117 ราย จากนั้นกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ได้ประสานไปยังสถานทูตตามหนังสือเดินทางของคนต่างด้าวเหล่านั้น เพื่อขอทำการตรวจสอบประวัติ จากการตรวจสอบประวัติของคนต่างด้าวดังกล่าวทั้ง 117 ราย พบว่า เป็นบุคคลที่รัฐบาลต่างประเทศได้มีการออกหมายจับไว้ที่ประเทศต้นทาง จำนวน 17 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นคดีเกี่ยวกับ แชร์ลูกโซ่ และ ฉ้อโกง ซึ่งทั้ง 17 ราย ได้หลบหนีและเข้ามาพำนักในประเทศไทย
กองบังคับการสืบสวนสอบสวน จึงได้นำข้อมูลคนต่างด้าวทั้ง 17 ราย มาตรวจสอบโดยละเอียด รวมทั้งขอหนังสือยืนยันและสำเนาหมายจับจากสถานทูต เพื่อนำมาประกอบการขออนุมัติเพิกถอนการอยู่ในราชอาณาจักรไทย โดยในระหว่างการประสานข้อมูลกับสถานทูตนั้น ได้มีคนต่างด้าวบางส่วนได้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปแล้ว คงเหลืออยู่ในราชอาณาจักรไทยเพียง 3 ราย เมื่อได้รับการยืนยันและสำเนาหมายจับจากสถานทูต กองบังคับการสืบสวนสอบสวน จึงได้ทำการอนุมัติเพิกถอนการอยู่ในราชอาณาจักรไทย ของคนต่างด้าวทั้ง 3 ราย ดังกล่าว และได้ออกสืบสวนติดตามคนต่างด้าวทั้ง 3 ราย เพื่อนำตัวมาผลักดันส่งออกนอกราชอาณาจักรไทย
นอกจากนี้ จากการสืบสวนยังพบว่า คนต่างด้าว ใน 117 ราย ที่ถือหนังสือเดินทาง 2 สัญชาติ และยังไม่ได้เดินทางออกไปจากราชอาณาจักไทย เป็นผู้ที่อยู่ในราชอาณาจักรเกินกำหนดอนุญาต (Overstay) อีกจำนวน 58 ราย
ต่อมาวันที่ 9 ก.พ. 2566 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จึงได้สั่งการให้กองบังคับการสืบสวนสอบสวน เปิดปฏิบัติการ ยุทธการกวาดล้างมังกรซ่อนกาย ขึ้น โดยได้ทำการจับกุม คนต่างด้าวที่ถือหนังสือเดินทาง 2 สัญชาติ และมีหมายจับของประเทศอื่น ซึ่งกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ได้ทำการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรไทยไปแล้ว ได้จำนวน 3 ราย ซึ่ง คนต่างด้าวทั้ง 3 รายนี้ เป็นผู้ที่หลบหนีการกระทำผิดมาพำนักและอยู่ในประเทศไทย โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  1. นาย เสี่ยว (นามสมมุติ) อายุ 40 ปี มีหมายจับสาธารณรัฐประชาชนจีน ข้อหา ความผิดเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ จับกุมได้ที่คอนโดหรูย่านพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ
  2. นาย ลี (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี มีหมายจับสาธารณรัฐประชาชนจีน ข้อหา ฉ้อโกง จับกุมได้ที่บ้านพักย่านพัฒนาการ เขตสานหลวง กรุงเทพฯ
  3. นางสาว เฉิน (นามสมมุติ) อายุ 34 ปี มีหมายจับสาธารณรัฐประชาชนจีน ข้อหา ฉ้อโกง จับกุมได้ที่หน้าร้านอาหารย่านสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ
    จากนั้น ได้นำตัวคนต่างด้าวทั้ง 3 ราย ส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อรอผลักดันส่งกลับออกนอกราชอาณาจักรไทยต่อไป ส่วนคนต่างด้าวที่มีหมายจับของทางการสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 14 ราย ที่ได้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปก่อนแล้ว กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ได้นำรายชื่อทั้ง 14 ราย ขึ้นบัญชีเป็นคนต้องห้ามและเฝ้าระวังเพื่อไม่ให้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย
    ในส่วนคนต่างด้าวที่อยู่ในราชอาณาจักรเกินกำหนดอนุญาต (Overstay) อีกจำนวน 58 ราย ได้มอบหมายให้ กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 ,3 และ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ร่วมกันสืบสวนจับกุม ซึ่งมีผลการปฏิบัติ ดังนี้
    กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 จับกุมคนต่างด้าวที่ถือหนังสือเดินทาง 2 สัญชาติ และอยู่ในราชอาณาจักรเกินกำหนดอนุญาต (Overstay) ได้จำนวน 4 ราย
    กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 3 จับกุมคนต่างด้าวที่ถือหนังสือเดินทาง 2 สัญชาติ และอยู่ในราชอาณาจักรเกินกำหนดอนุญาต (Overstay) ได้จำนวน 8 ราย
    กองบังคับการสืบสวนสอบสวน จับกุมคนต่างด้าวที่ถือหนังสือเดินทาง 2 สัญชาติ และอยู่ในราชอาณาจักรเกินกำหนดอนุญาต (Overstay) ได้จำนวน 19 ราย
    รวมจับกุมคนต่างด้าวที่ถือหนังสือเดินทาง 2 สัญชาติ และอยู่ในราชอาณาจักรเกินกำหนดอนุญาต (Overstay) ได้จำนวน 31 ราย
    สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแส การกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ http://www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) จัดกิจกรรม CIB Vollayball พร้อมกิจกรรมนัดพิเศษแข่งขันร่วมกับนักกีฬาวอลเล่ย์บอลทีมชาติ


โดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้จัดกิจกรรม CIB Vollayball ซึ่งเป็นการเเข่งขันวอลเลย์บอลภายในให้กับข้าราชการตำรวจในสังกัด บช.ก. เพื่อเป็นการสร้างกิจกรรมให้กับข้าราชการตำรวจ และช่วยเสริมสร้างสุขภาพพลานามัยให้แข็งแรง เพื่อพร้อมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่
.
อีกทั้งยังได้มีกิจกรรมนัดพิเศษ ให้ข้าราชการตำรวจในสังกัด บช.ก. ร่วมแข่งขันกับนักกีฬาวอลเล่ย์บอลทีมชาติอีกด้วย
.
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB)
มืออาชีพ เป็นกลาง เคียงข้างประชาชน
.

HANUMAN #วอลเล่ย์บอล #ตำรวจสอบสวนกลาง #CIB

5 หน่วยงานร่วมแถลงข่าวสร้างความชัดเจน “บุหรี่ไฟฟ้า”

​วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 13.30 น. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมศุลกากร กรมการค้าต่างประเทศ และกรมควบคุมโรค ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวเพื่อสร้างความรับรู้ความเข้าใจกรณีการบังคับใช้กฎหมายกับบุหรี่ไฟฟ้าและพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า ณ ห้องประชุม 4 ชั้น ๒ อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
​กรณีที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อต่าง ๆ และการแสดงความคิดเห็นที่หลากหลายเกี่ยวกับ
“บุหรี่ไฟฟ้า การสูบ – ครอบครอง ไม่ได้นำเข้า – ผลิต – ขาย ผิดกฎหมาย หรือไม่ ” ขอชี้แจงข้อเท็จจริง
เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนี้​​
​1. กรณีผู้ขายหรือผู้ให้บริการบุหรี่ไฟฟ้า คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้มีคำสั่งที่
9/2558 เรื่อง ห้ามขายหรือห้ามให้บริการสินค้า “บารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า” ซึ่งมีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกายหลายชนิด รวมทั้งโลหะหนักที่เป็นสารก่อมะเร็ง และมีปัญหาต่อระบบทางเดินหายใจส่งผลกระทบเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้น ผู้ใดขายหรือให้บริการ มีความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
​2. กรณีผู้นำเข้าบุหรี่ไฟฟ้ามีความผิดประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่
และบารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ไฟฟ้า เป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับเป็นเงิน 5 เท่า ของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ กับให้ริบบุหรี่ไฟฟ้า รวมทั้งสิ่งที่ใช้บรรจุ และพาหนะใดๆ ที่ใช้ในการบรรทุกสินค้าบุหรี่ไฟฟ้านั้นด้วย นอกจากนั้นยังเป็นความผิด
ตาม พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 244 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลอาจสั่งริบของนั้นก็ได้ ไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษา หรือไม่
​3. กรณีผู้ครอบครองหรือรับไว้ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้า อันเป็นสินค้าห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร
จะมีความผิดฐาน ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ หรือรับไว้โดยประการใด
ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่เข้ามาในราชอาณาจักร โดยยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากรโดยถูกต้อง ตามมาตรา 246 วรรคหนึ่ง ของ พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2560 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่า
ของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ เมื่อบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าต้องห้ามแม้จะไม่มีเจตนาหรือไม่รู้ว่าเป็นของมีความผิด ก็ต้องถูกริบให้ตกเป็นของแผ่นดินและนำไปทำลายตามกฎหมายของศุลกากร
​สคบ. จะดำเนินคดีกับผู้ลักลอบจำหน่าย หรือให้บริการบุหรี่ไฟฟ้า บารากู่ หรือบารากู่ไฟฟ้า
ทุกราย หากผู้ใดพบเห็นการจำหน่ายหรือให้บริการบุหรี่ไฟฟ้า บารากู่ หรือบารากู่ไฟฟ้า สามารถแจ้งเบาะแส
(โดยข้อมูลการแจ้งเบาะแสของท่าน สคบ. จะเก็บไว้เป็นความลับ) ได้ที่สายด่วน สคบ. 1166
(ในวันและเวลาราชการ) และ ผ่านระบบออนไลน์ ได้ที่ “ระบบร้องทุกข์ผู้บริโภค” หรือ โมบายแอพพลิเคชั่น “OCPB Connect ” ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือแจ้งสถานีตำรวจในท้องที่

ม.หาดใหญ่ จัดพิธีไหว้ครู 2565 พร้อมมอบทุนการศึกษา

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

ที่ อาคารศูนย์กีฬาและกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ จัดพิธีไหว้ครู ประจำปีการศึกษา 2565 โดยมีท่านอาจารย์ประณีต ดิษยะศริน ผู้ก่อตั้งและอุปนายกสภามหาวิทยาลัยหาดใหญ่ เป็นประธานในพิธี พร้อม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิทวัส ดิษยะศริน สัตยารักษ์ อธิการบดี คณะผู้บริหารและคณาจารย์ และนักศึกษามหาวิทยาลัยหาดใหญ่เข้าร่วมพิธีฯ เพื่อให้นักศึกษาแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อครูอาจารย์ผู้มีพระคุณ และการมอบทุนการศึกษาประจำปีการศึกษา 2564 และปีการศึกษา 2565 ท่านอาจารย์ประณีต ดิษยะศริน ผู้ก่อตั้งและอุปนายกสภามหาวิทยาลัย กล่าวให้โอวาทว่า คุณครูเหมือนพ่อแม่คนที่ 2 ที่นอกจากจะให้วิชาความรู้แล้ว ยังให้ความรัก ความเอื้ออาทร แก่ลูกศิษย์ทุก ๆ คน ทั้งนี้นักศึกษาทุกคนให้พยายามศึกษาเล่าเรียนและใช้เวลาว่างแสวงหาวิชาความรู้เพิ่มเติม เนื่องจากปัจจุบันเป็นโลกแห่งการแข่งขัน ดังนั้นปริญญาบัตรอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ โดยทางมหาวิทยาลัยจึงมีชมรมต่าง ๆ มากมาย ให้เลือกเข้าตามความสนใจ เพื่อให้นักศึกษาเป็นบัณฑิตที่สมบูรณ์ ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิทวัส ดิษยะศริน สัตยารักษ์ อธิการบดี กล่าวว่า ขอให้นักศึกษาทุกคนประสบความสำเร็จทั้งการเรียนและการทำงานต่อไปในอนาคต เป็นศิษย์ที่ดีของครู และรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ใช้เวลาทำกิจกรรมต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพ เก่งเรียนอย่างเดียวไม่พอ ต้องเก่งกิจกรรมและมีจิตอาสาซึ่งสำคัญมากในปัจจุบัน ด้าน นายเจตนิพัทธ์ เหมือนพรรณราย นักศึกษาสาขาวิชาการประถมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์และศิลปศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 ผู้ได้รับทุนผลการเรียนดีเด่น กล่าวว่า รู้สึกดีใจและตื่นเต้นมากที่ได้รับทุนการศึกษา โดยเทคนิคการเรียนของตนเองคือการนั่งหน้าตลอด และต้องมีตัวตนในห้องเรียนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถาม การมีส่วนร่วมในห้องเรียน โดยหลังจากตั้งเป้าจะสอบใบประกอบวิชาชีพครูให้ได้ และอยากจะเรียนต่อในระดับปริญญาโท โดยในปีการศึกษา 2564 และปีการศึกษา 2565 มีนักศึกษาได้รับทุนการศึกษาในวันไหว้ครู จำนวน 48 ทุน เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 144,000 บาท มีรายละเอียดดังนี้ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ มอบทุนผลการเรียนดีเด่น จำนวน 32 ทุน ทุนผลงานด้านกิจกรรมนักศึกษาดีเด่น จำนวน 2 ทุน ทุนผลงานด้านทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมดีเด่น จำนวน 2 ทุน รวมทุนการศึกษามหาวิทยาลัยหาดใหญ่ทั้งสิ้น 36 ทุน เป็นเงินจำนวน 108,000 บาท และทุนการศึกษาสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอก ได้แก่ ทุนสมาคมชาวสุราษฎร์ธานีในจังหวัดสงขลา จำนวน 3 ทุน ทุน “นพรัตน์แห่งเกียรติร่วมมิตร” เพื่อมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ จำนวน 5 ทุน ทุนร้อยตรี ดาโต๊ะ ดร.ไพโรจน์ รัตตกุล หาดทิพย์ – โค้ก เพื่อมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ จำนวน 4 ทุน รวมทุนการศึกษาสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอกทั้งสิ้น 12 ทุน เป็นเงินจำนวน 36,000 บาท

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ รอง ผบ.ตร. เดินทางมาตรวจติดตามโครงการชุมชนยั่งยืน

ตามวิสัยทัศน์ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เป็นตำรวจมืออาชีพ  ทำงานเชิงรุก เพื่อความสงบสุขของประชาชน” ตำรวจภูธรจังหวัดร้อยเอ็ด(ภ.จว.ร้อยเอ็ด/ภ.๔)

วันอังคารที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ เวลา ๑๐.๐๐ น.
พล.ต.ต.กิตติศักดิ์ จำรัสประเสริฐ ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด
พ.ต.อ.ดร.ศิรสัณห์ เยื้อนสงวนชัย รอง ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด (รอ.๕/ปป.๑/สส.๑/ปส.๒/จร.๒/จต.๒)
ร่วมต้อนรับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมลรอง ผบ.ตร.(พิทักษ์๗/ปป.๑)
พร้อมคณะเดินทางมาตรวจติดตามโครงการชุมชนยั่งยืน (นาคาพิทักษ์ รักษ์ประชา) ในพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด โดยมี นายทรงพล ใจกริ่ม ผวจ.ร้อยเอ็ด รอง ผบก.ฯ ผกก./หัวหน้าสถานีตำรวจและหัวหน้าส่วนราชการ ให้การต้อนรับและประชุม ณ ห้องประชุมตำรวจภูธรจังหวัดร้อยเอ็ด  

พล.ต.ท.เสนิต สำราญสำรวจกิจ ผบช.รร.นรต. จัดฝึกวิชาการสืบสวน

พลตำรวจโท เสนิต สำราญสำรวจกิจ ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ
นำ นรต.ชั้นปีที่ 2 Gen Z จำนวน 15 คน ไปรับการฝึกวิชาการสืบสวน ในโครงการพัฒนาทักษะและขีดความสามารถทางด้านงานสืบสวนแบบบูรณาการของนักเรียนนายร้อยตำรวจ ณ กองบังคับการสืบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ระหว่าง 8-17 ก.พ.65 เพื่อเป็นตำรวจมืออาชีพและจัดครูพี่เลี้ยงประกบ 1 ต่อ 1 จัดตารางการถ่ายทอดความรู้แบบเต็มคาราเบล

#โรงเรียนนายร้อยตํารวจแห่งสร้างตำรวจมืออาชีพ

Design a site like this with WordPress.com
Get started