พล.ต.ท.เสนิต ผบช.รร.นรต.จับมือหัวเว่ยเสริมศักยภาพด้าน cyber

พลตำรวจโท เสนิต สำราญสำรวจกิจ ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ นำโรงเรียนนายร้อยตำรวจจับมือหัวเว่ยเสริมศักยภาพ นรต.ด้าน cyber โดยได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาผู้มีความสามารถด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT Talent) ร่วมกัน ระหว่างโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด โดยคุณเควิน เฉิง ประธานกลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ และคุณไทเกอร์ เฉิน
รองประธานกลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ เป็นผู้แทน

ณ ห้องสามพราน รร.นรต.

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บินด่วนนำทีมจับกุม ปลัดอำเภอ และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ห้วยคตสมรู้ร่วมคิดจ้างวานเผาเสาไฟฟ้าผู้รับเหมาเสียหาย ในพื้นที่ สภ.ห้วยคต จว.อุทัยธานี

จากกรณีช่วงระหว่างวันที่ 19 – 20 พ.ย.65 ที่ผ่านมา เกิดเหตุกลุ่มคนร้ายได้ลักลอบวางเพลิงเผาเสาไฟฟ้าส่องสว่างจำนวน 28 ต้น เหตุเกิดที่บริเวณถนนสายห้วยช้าง-คูคต ต.ห้วยคต อ.ห้วยคต จว.อุทัยธานี พื้นที่รับผิดชอบของ สภ.ห้วยคต ภ.จว.อุทัยธานี ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลได้นำเสนอไปแล้ว นั้น
กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน โดยให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ทำหน้าที่ควบคุมดูแลสั่งการการสืบสวนสอบสวนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นคดีที่สร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชนในพื้นที่ มีความเกี่ยวเนื่องกับคดีอื่นๆ อีกหลายคดีในลักษณะเดียวกันนี้ อีก 9 เหตุการณ์ ใน 7 พื้นที่ 2 จังหวัด ซึ่งมีลักษณะพฤติการณ์ในคดีใกล้เคียงกัน อาจมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งทางธุรกิจ เกี่ยวข้องกับการประมูลงานในระดับท้องถิ่น และอาจมีผู้มีอิทธิพลในพื้นที่มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำผิด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้ พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย ผกก.ตม.จว.ตราด, พ.ต.อ.ศักยะ แสงวรรณ ผกก.สส.บก.น.3 พร้อมด้วยทีมงานพนักงานสืบสวน ตามคำสั่ง ตร.ที่ 587/2565 รวบรวมพยานหลักฐานโดยละเอียด และเร่งรัดการสืบสวนหาผู้กระทำผิดมาลงโทษโดยเร็ว

จากการสืบสวนทราบว่า หลังจากเกิดเหตุคดีเผาเสาไฟฟ้าจำนวนหลายต้น ต่อมาเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.65 นายอนุชา หรือบีม อายุ 19 ปี ได้เดินทางมามอบตัวต่อ พงส.สภ.ห้วยคต และให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้ ก่อเหตุวางเพลิงเผาเสาไฟฟ้าส่องสว่างดังกล่าวด้วยตนเองจริง และได้ก่อเหตุแต่เพียงผู้เดียว พงส.จึงได้แจ้งข้อกล่าวหานายอนุชาฯ หรือบีม ว่าได้กระทำความผิดฐาน “วางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น, ทำให้เสียทรัพย์” ซึ่งจากกรณีดังกล่าว ทีมงานพนักงานสืบสวนฯ พบข้อพิรุธต้องสงสัยหลายประการ จึงได้ทำการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม ทำให้ทราบว่าพฤติการณ์ตามที่นายอนุชาฯ หรือบีม ให้การรับสารภาพกับ พงส.สภ.ห้วยคต ดังกล่าวนั้นไม่เป็นความจริง นำไปสู่รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมและยื่นคำร้องต่อศาลอาญา เพื่อขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาที่ได้ร่วมก่อเหตุในคดีดังกล่าวเพิ่มเติม ได้แก่

  1. นายสุรสีห์ หรือปลัดแมว หรือ ป.แมว อายุ 45 ปี ปลัดอำเภอห้วยคต ตามหมายจับของศาลอาญาที่ 1/2566 ลงวันที่ 2 ม.ค.66
  2. นายวิรัตน์ หรือต้อม อายุ 34 ปี พนักงานราชการ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า วนอุทยานห้วยคต ตามหมายจับของศาลอาญาที่ 2/2566 ลงวันที่ 2 ม.ค.66

ซึ่งได้ร่วมกันกระทำความผิดฐาน “ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น, ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์และซ่องโจร”

ต่อมา วันที่ 3 ม.ค. 66 ทีมงานพนักงานสืบสวนฯ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ห้วยคต ภ.จว.อุทัยธานี ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายวิรัตน์ หรือต้อม อายุ 34 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 2/2566 ลงวันที่ 2 ม.ค.66 โดยจับกุมตัวได้ที่บริเวณร้านค้าสวัสดิการ วนอุทยานห้วยคต ต.ห้วยคต อ.ห้วยคต จว.อุทัยธานี ส่วนนายสุรสีห์ หรือ ป.แมว นั้น ได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนแล้ว ในส่วนของผู้ต้องหารายอื่นๆ ที่ร่วมกันกระทำความผิดนั้นจะได้ทำการสืบสวนขยายผลและติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีให้ครบถ้วนต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวเป็นหนึ่งในคดีที่มีลักษณะพฤติการณ์คล้ายคลึงกัน เป็นการสร้างความหวาดกลัวให้กับบุคคลและประชาชนในพื้นที่ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและยังไม่สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ หลังจากที่ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตามคำสั่งพนักงานสืบสวนสอบสวนลงพื้นที่เพื่อหาข้อมูลและรวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถทำข้อเท็จจริงให้ปรากฏได้ ซึ่งผู้กระทำผิดกลับเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเสียเอง ขณะนี้อยู่ในระหว่างติดตามจับกุมผู้ต้องหามาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว และจะเร่งขยายผลสืบสวนเพิ่มเติมว่ามีผู้ใดเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ หากพบผู้เกี่ยวข้องก็จะดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด รวมทั้งจะขยายผลไปยังคดีอื่นที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ จ.อุทัยธานี และ จ.นครสวรรค์ อีกด้วย


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บินติดตามความคืบหน้ากรณีครูเทียมล่วงละเมิดทางเพศเด็ก

จากกรณีเมื่อวันที่ 20 ก.ย.65 ที่ผ่านมา ผู้ปกครองได้พา นายจักร (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.จักราช ภ.จว.นครราชสีมา ว่าถูกนายชุติเดช ทองอยู่ หรือครูเทียม อายุ 60 ปี ประกอบอาชีพ คอมเมนท์เตเตอร์ 3 รายการ คือรายการชิงช้าสวรรค์, ไมค์ทองคำ, สงครามไมค์ และออกแบบท่าเต้นให้กับนักร้องและแดนซ์เซอร์ จากรายการทีวีชื่อดัง พาไปกระทำอนาจาร ที่ห้องพักในพื้นที่ ต.ยายแย้มวัฒนา อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอรายละเอียดไปแล้ว นั้น

จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.3 พล.ต.ต.อิทธิพล นาคคำ ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา และ พ.ต.อ.สิทธิศักดิ์ พรหมหมื่นไวย ผกก.สภ.จักราช ดำเนินการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานอย่างละเอียดรอบคอบ เนื่องจากเป็นคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลมีชื่อเสียงกระทำทางเพศต่อเด็ก ซึ่งประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
จากการสืบสวนทราบว่า นายจักรฯ เป็นนักเรียนและอยู่ในวงดนตรีของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ได้รู้จักและติดต่อกับนายชุติเดชฯ หรือครูเทียม เนื่องจากเห็นว่าเป็นบุคคลมีชื่อเสียงและมีความน่าเชื่อถือ ต่อมาเมื่อวันที่ 16 ก.ย.65 นายจักรได้นัดหมายกับนายชุติเดชฯ หรือครูเทียม ว่าจะมารับที่บ้านในพื้นที่ อ.จักราช จ.นครราชสีมา เพื่อพาไปศึกษางาน และจะหางานให้ทำ โดยนายชุติเดชฯ หรือครูเทียม ได้ขับรถมารับแล้วพาไปที่ห้องพักในพื้นที่ ต.ยายแย้มวัฒนา อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ จากนั้นได้กระทำอนาจารโดยการกอดจูบ ใช้มือจับอวัยวะเพศของผู้เสียหาย และพยายามซุกใบหน้าเข้าไปที่หว่างขา แต่ผู้เสียหายขัดขืน จึงไม่สามารถทำอะไรได้ และได้พาผู้เสียหายมาส่งที่บ้าน ต่อมานายจักรฯ จึงได้แจ้งให้ผู้ปกครองทราบ และขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการ TICAC เข้าสนับสนุนการปฏิบัติดังกล่าว ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นบ้านพักของนายชุติเดชฯ พร้อมนำตัวมาพบพนักงานสอบ และแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีในความผิดฐาน “พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุสมควรเพื่อการอนาจาร, พาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจาร โดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดครองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยวิธีอื่นใด, กระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปี โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือทำให้บุคคลนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น”
ต่อมาวันนี้ (3 ม.ค.66) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้เข้าประชุมรับฟัง ติดตามความคืบหน้าในการรวบรวมพยานหลักฐาน โดยพนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนมีความเห็นสั่งฟ้องเสนอพนักงานอัยการ และพนักงานอัยการมีความเห็นส่งฟ้องต่อศาลจังหวัดนครราชสีมาเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.65 ที่ผ่านมา ผู้ต้องหาอยู่ระหว่างการปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นศาล และจะนัดทั้งสองฝ่ายมาสืบพยานในชั้นศาลในเดือน ก.พ.66 นี้
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจ เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับบุคคลมีชื่อเสียง จึงได้กำชับให้พนักงานสอบสวนทำสำนวนให้ละเอียดรอบคอบครบถ้วน เพื่อให้สามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดให้ได้รับการลงโทษ โดยขอเตือนไปยังพี่น้องประชาชนให้ช่วยกันดูแลบุตรหลานของท่าน ฝากเป็นข้อคิดกรณีได้รับการชักชวนหรือติดต่องานกับคนแปลกหน้า แม้ว่าจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ก็ขอให้มีความระมัดระวัง ศึกษาข้อมูลโดยละเอียด และแจ้งผู้ปกครองเพื่อให้คำปรึกษาและดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อมิให้ตกเป็นเหยื่อของการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศต่อไป


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บินด่วนเข้าตรวจเยี่ยมศูนย์พิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ร่วมภารกิจช่วยเหลือคนไทยจากเหตุเพลิงไหม้ในปอยเปต

จากกรณีเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.65 เวลาประมาณ 00.30 น. ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่คาสิโนแกรนด์ไดมอนต์ เมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทยเพียง 200 เมตร มีผู้ที่ติดอยู่ด้านในรอความช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก โดยพบว่ามีชาวไทยที่ไปทำงานอยู่ที่สถานที่ดังกล่าวด้วยจำนวนหนึ่ง หลังเพลิงสงบมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอไปแล้วนั้น จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้มีการตั้งศูนย์พิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลขึ้น ที่ด่านพรมแดนคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เพื่อเป็นหลักในการประสานงานกับทางการกัมพูชาในการรับร่างผู้เสียชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าวกลับมายังประเทศไทย และตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์เพื่อสามารถส่งคืนร่างผู้เสียชีวิตให้กับญาติได้อย่างถูกต้อง

ต่อมาวันนี้ (31 ธ.ค.65) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผบช.สพฐ.ตร. และคณะได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมศูนย์พิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ณ ด่านพรมแดนคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว โดยได้บรรยายสรุปความคืบหน้าการปฏิบัติหน้าที่ในการสนับสนุนภารกิจช่วยเหลือคนไทยที่ประสบเหตุเพลิงไหม้ ล่าสุดจากการปฏิบัติหน้าที่ในช่วงที่ผ่านมา มีคนไทยที่ถูกส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาลของไทยจำนวน 54 ราย เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย 20 ราย คงเหลือยังรักษาตัวที่โรงพยาบาลอีก 33 ราย และได้รับแจ้งว่าทางการกัมพูชาพบศพผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ จำนวน 25 ราย เป็นคนไทย 19 ราย ชาวจีน 1 ราย ชาวเนปาล 1 ราย และยังมีศพรอการพิสูจน์เอกลักษณ์จำนวน 4 ราย ซึ่งทางประเทศไทยได้รับมอบศพจากทางการกัมพูชา เพื่อตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์และส่งคืนให้ญาติแล้วทั้งสิ้น 19 ราย โดยยังมีบุคคลสูญหายซึ่งเป็นคนไทยที่มีการรับแจ้งจากฝ่ายปกครอง จำนวน 12 ราย ซึ่งต้องเร่งสืบสวนและพิสูจน์ทราบต่อไป
ต่อมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ฯ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.อิทธิพล ฯ ผบช.สพฐ. พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้เดินทางไปยังบริเวณวัดตราด เมืองปอยเปต จว.บันเตียมันเจย ประเทศกัมพูชา เข้าประชุมร่วมกับ พล.ต.อ.มวง โซะเทีย รอง ผบ.ตร.ประเทศกัมพูชา เพื่อประสานความร่วมมือกันในทุกๆด้านทั้งการดูแลผู้บาดเจ็บ การพิสูจน์เอกลักษณ์ การติดตามบุคคลสูญหายและการส่งศพคนไทยกลับมายังประเทศไทย
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ในวันนี้ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่มาร่วมกันปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือคนไทยที่ประสบเหตุเพลิงไหม้ที่ฝั่งปอยเปต กัมพูชา และช่วยกันตรวจพิสูจน์ยืนยันบุคคลเพื่อส่งคืนร่างให้กับญาติสามารถนำกลับไปบำเพ็ญกุศล แม้จะอยู่ในช่วงวันหยุดในโอกาสวันสิ้นปี ก็ยังอยู่ปฏิบัติหน้าที่กันอย่างเข้มแข็งเพื่อช่วยเหลือพี่น้องคนไทย ขอให้ทุกท่านช่วยกันสนับสนุนภารกิจนี้ต่อไปจนกว่าการช่วยเหลือคนไทยจากเหตุเพลิงไหม้ฝั่งปอยเปตจะเสร็จสิ้นภารกิจ

บิ๊กโจ๊ก” ฟิตขยับเข้มประมงหลัง EU แจ้งจุดอ่อน 35 ข้อ

ประมงไทยส่งการบ้าน มิถุนา 2566 นี้ เพื่อคงใบเขียว IUU และขยับ Tier 1 ค้ามนุษย์

ภายหลังการประชุมคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐบาลไทย และสหภาพยุโรปในการต่อต้านการทำประมง IUU เมื่อวันที่ 11-14 ตุลาคม 2565 เสร็จสิ้นไป ต่อมาสหภาพยุโรปได้มีบันทึกข้อเสนอให้มีการปรับปรุงแก้ไขการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกรมประมง ถึง 35 ประเด็น ครอบคลุม 3 เรื่องใหญ่ ประกอบด้วย 1. การปล่อยปละละเลยให้เรือประมงพาณิชย์มีการจับสัตว์น้ำวัยอ่อนอย่างมากและต่อเนื่อง จนส่งผลกระทบให้ทรัพยากรเสื่อมโทรม 2. การทุจริตประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3. ความอ่อนแอการตรวจเรือของศูนย์ PIPO ด่านตรวจประมง รวมถึงหน่วยตรวจกลางทะเล

และขีดเส้นให้ประเทศไทยแก้ไขปรับปรุงถึงเดือนพฤษภาคม 2565 ก่อนสหภาพยุโรปจะมาตรวจประเมินในเดือนมิถุนายน 2566 ซึ่งจะมีผลต่อการต่อใบเขียวและการเลื่อนอันดับการค้ามนุษย์เป็น Tier 1
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ปรับโครงสร้างการทำงานด้านบังคับใช้กฎหมายเพื่อสนับสนุนหน่วยงานหลักที่ต้องรับผิดชอบคือ กรมประมง
จึงได้มีคำสั่งลงวันที่ 28 ธันวาคม 2565 แต่งตั้งคณะทำงานขึ้น 2 ชุด ที่มี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าทีมด้วยตนเอง ประกอบด้วย
1. คณะทำงานวิเคราะห์สถานการณ์การตรวจ ติดตาม ควบคุม เฝ้าระวังการทำประมง และแรงงานในภาคประมง ทำหน้าที่ รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ หรือชี้เป้า
2. คณะทำงานปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม ทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ หรือ ชาร์จเป้า
โดยพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ กำชับว่า “ต้องคงใบเขียว และเลื่อน Tier 1” เท่านั้น
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า “ปี 2565 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าไปเสริมการทำงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถจับกุมคดีประมงใหม่ ๆ ได้มากกว่า 10 คดี ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐอย่างไม่ละเว้น เพราะต้องยึดถือภาพรวมของประเทศ แต่ที่ EU ส่งรายงานว่า ต้องแก้ไขปรับปรุงถึง 35 ประเด็น โดยเฉพาะการปล่อยปละละเลยให้มีการจับสัตว์น้ำวัยอ่อนมากมายอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งการตรวจของศูนย์ PIPO ด่านตรวจประมง และหน่วยตรวจกลางทะเล เป็นสิ่งที่กรมประมงต้องเป็นหน่วยงานหลักในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยมีตำรวจเป็นหน่วยสนับสนุน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายมีความพร้อม แม้ที่ผ่านมาตำรวจจะทำงานอย่างหนัก แต่อาจยังไม่ครอบคลุม จำเป็นที่หน่วยงานหลักจะต้องเข้ามาร่วมมือกัน ดังนั้นการจัดตั้ง 2 คณะทำงานนี้ของท่านรองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ จึงเป็นการขับเคลื่อนให้หน่วยหลัก คือ กรมประมง ออกมาทำงานอย่างเข้มข้นเช่นเดียวกับช่วงเวลาปลดใบเหลืองเมื่อปี 2558-2562 แต่หลังจากนั้นก็ลดน้อยถอยลงจน EU มองเห็นจุดอ่อนถึง 35 ประการ
รอง ผบ.ตร. กล่าวย้ำอีกว่า ทันทีที่เปิดทำงาน ทางคณะทำงานร่วมกับกรมประมง กรมเจ้าท่า ศรชล กระทรวงแรงงาน จะเร่งปฏิบัติการแก้ไขปัญหาทั้ง 35 ประเด็นนีทันที อย่างเร่งด่วนที่สุด ซึ่งได้สั่งการให้คณะทำงานวิเคราะห์ข้อมูลเตรียมการล่วงหน้าไว้เรียบร้อยแล้ว

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นำทีมบินตรวจศูนย์พิสูจน์เอกลักษณ์บางสะพานช่วยเหลือส่งคืนร่างแก่ญาติ-เหลือสูญหายอีก 6 ราย

จากกรณีเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.65 ประมาณ 23.30 น. เรือหลวงสุโขทัยได้ประสบเหตุอับปางกลางทะเลอ่าวไทย บริเวณ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งขณะเกิดเหตุ มีลูกเรือโดยสารอยู่ภายในเรือ จำนวน 105 นาย ซึ่งสามารถช่วยเหลือลูกเรือได้จำนวน 76 ราย และสูญหาย 29 ราย ซึ่งได้มีการตั้งศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้าภารกิจช่วยเหลือลูกเรือสุโขทัย โดยตามที่สื่อมวลชนนำเสนอไปแล้วนั้น
จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และแพทย์นิติเวช สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เข้าช่วยเหลือสนับสนุนภารกิจในกรณีพบร่างผู้เสียชีวิต โดยจะช่วยตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล โดยการตรวจลายนิ้วมือ ลักษณะฟัน และดีเอ็นเอ เพื่อสามารถส่งคืนร่างดังกล่าวให้กับญาติของผู้เสียชีวิตได้อย่างถูกต้อง
วันนี้ (30 ธ.ค.65) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.วรณัน สุขเจริญ รอง ผบช.สพฐ.ตร. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้เดินทางเข้าตรวจเยี่ยมศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้าภารกิจช่วยเหลือลูกเรือสุโขทัย รวมทั้งประชุมชี้แจงความคืบหน้าในภารกิจช่วยเหลือและตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล โดยล่าสุดสามารถเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้แล้ว จำนวน 76 ราย เสียชีวิต 23 ราย ยังสูญหายอีก 6 ราย และพบศพที่รอการตรวจพิสูจน์อีก 1 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังคงติดตามค้นหาอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของญาติของผู้ที่ยังสูญหายที่เหลือ ได้มีการตรวจเก็บดีเอ็นเอเอาไว้แล้ว เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล กรณีที่มีการพบร่างผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม โดยรายชื่อของผู้สูญหายอีก 6 ราย ประกอบด้วย

  1. ว่าที่ น.ต.พลรัตน์​สิโรดม
  2. พ.จ.อ.จิราวัฒน์​เจริญศิลป์
  3. จ.ต.โสภณ​​วงษ์สนิท
  4. พลฯ อับดุลอาซิส​มะแอ
  5. พลฯ ชัยชนะ​​ช่างวาด
  6. พลฯ ทวีศักดิ์​​แซ่เซียว
    พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าว ได้ให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานและแพทย์จากสถาบันนิติเวช ช่วยสนับสนุนในภารกิจดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาได้ตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลและสามารถส่งคืนร่างผู้เสียชีวิตกลับไปสู่ญาติได้อย่างรวดเร็ว ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ได้ช่วยกันปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง แม้ว่าการตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์จะมีความยากลำบากเนื่องจากสภาพร่างของผู้เสียชีวิตที่เสื่อมสภาพจนการตรวจพิสูจน์กระทำได้ยากแล้วก็ตาม โดยเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานและแพทย์นิติเวชจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ในการสนับสนุนการตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลต่อไปจนกว่าภารกิจการช่วยเหลือจะเสร็จสิ้น และสามารถคืนร่างผู้เสียชีวิตให้ญาติได้จนครบทุกคน

พลเมืองดี มีรางวัล!! ศจร.ตร.ชวนส่งคลิป “อาสาตาจราจร 7 วัน 7 คลิป 7 หมื่น”

เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2565 ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศจร.ตร.) ขอเชิญชวนประชาชนร่วมโครงการอาสาตาจราจร “7 วัน 7 คลิป 7 หมื่น” ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ห้วง 7 วันควบคุมเข้มข้น บังคับใช้กฎหมายป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนน

พล.ต.ต.นิธิธรฯ กล่าวว่า โครงการ “อาสาตาจราจร” มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างตำรวจกับประชาชนร่วมเป็นหูเป็นตาส่งคลิปการกระทำความผิดบนท้องถนนเพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ในเทศกาลปีใหม่นี้ได้จัดกิจกรรมรณรงค์พิเศษ “7 วัน 7 คลิป 7 หมื่น” ในช่วง 7 วัน ที่ประชาชนเดินทางสัญจรในห้วงเทศกาลปีใหม่ โดยเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, มูลนิธิเมาไม่ขับ, บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด ( มหาชน ), จส.100 และ สวพ.91 โดยเปิดรับคลิปจากกล้องหน้ารถ หรือกล้องโทรศัพท์มือถือ ที่บันทึกภาพอุบัติเหตุ หรือการทำผิดกฎจราจร ที่เกิดขึ้นในช่วง 7 วันควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565 ถึง 4 มกราคม 2566
พล.ต.ต.นิธิธรฯ กล่าวด้วยว่า หากคลิปใดเป็นหลักฐานนำไปสู่การดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด เราจะคัดเลือก 7 คลิปที่ดีที่สุด ได้รับรางวัล คลิปละ 10,000 บาท รวม 70,000 บาท โดยส่งคลิปพร้อมบอกเล่าเรื่องราว ได้ที่เฟซบุ๊ก ศูนย์โซเชียลมีเดีย ศปก.ตร., จส.100, สวพ.91 และ อาสาตาจราจร ได้จนถึงวันที่ 10 มกราคม 2566
“คลิปของท่านช่วยคืนความยุติธรรมให้กับสังคมในโครงการอาสาตาจราจร หากท่านบันทึกภาพได้โปรดส่งคลิปมาให้เรา คลิปของท่านไม่เพียงแต่จะใช้เป็นพยานหลักฐานทางคดี เพื่อพิสูจน์ความผิดของผู้ที่ขับขี่รถโดยประมาท แต่ยังช่วยเราในการวิเคราะห์ และวางแนวทางในการป้องกันอุบัติเหตุไม่ให้เกิดขึ้นอีกด้วย” พล.ต.ต.นิธิธรฯ กล่าว

หัวหน้าคณะฯ ศจร.ตร. กล่าวเพิ่มเติมว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศจร.ตร. และ พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผู้ช่วยผบ.ตร.ในฐานะ รอง ผอ.ศจร.ตร. มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน ในห้วงเทศกาลปีใหม่ 2566 ที่ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวแห่งชาติ จึงมีนโยบายบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นใน 10 ข้อหาหลัก หรือ ร ส ข ม ซึ่งเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุ ประกอบด้วย 1. ไม่ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด 2.ไม่ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร 3.ไม่ขับรถย้อนศร 4. ต้องมีใบขับขี่ 5.ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย 6.ไม่แซงในที่คับขัน 7.ไม่ขับขี่รถขณะเมาสุรา 8.สวมหมวกนิรภัย 9.ไม่ใช้รถมอเตอร์ไซค์ที่ไม่ปลอดภัย และ 10.ไม่ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ พร้อมทั้งกำชับให้ตำรวจทุกนาย โดยเฉพาะตำรวจจราจรดูแลความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกด้านการจราจรแก่ผู้ใช้เส้นทางทุกคน

ทั้งนี้สามารถโทรสอบถามเส้นทาง ขอความช่วยเหลือ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่ โทร. 1193 ตำรวจทางหลวง โทร.1197 บก.จร. (เฉพาะ กทม.และปริมณฑล ) โทร.191 หรือ 1599 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจพร้อมดูแล

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นประธานเปิดเวทีพูดคุยเครือข่ายการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ใน “Let’s Talk TIP”

วันนี้ (28 ธ.ค.65) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) ได้เป็นประธานในการจัดงาน “Let’s Talk TIP : ขับเคลื่อนด้วยใจ ประเทศไทยไร้ค้ามนุษย์” ซึ่งเป็นการเสวนาระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมที่มีบทบาทในการร่วมกันแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ โดยจัดขึ้นที่ ห้องสารสิน ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ เข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง
ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมประมง อัยการประจำสำนักงานคดีค้ามนุษย์ กรมการจัดหางาน กรมสวัสดิการและแรงงาน ผู้แทนจากสถานทูตอเมริกา มูลนิธิกระจกเงา โครงการ SPRING โครงการ HUG PROJECT มูลนิธิ Stella Maris มูลนิธิ O.U.R. เอทเวนตี้วัน มูลนิธิราฟาอินเตอร์เนชั่นแนล สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย และหน่วยงานจากภาครัฐ เอกชน และประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง

โดยในงานได้มีการเปิดโอกาสให้แต่ละภาคส่วนที่ได้มาร่วมงานนี้ ได้มีโอกาสในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ รวมทั้งรับฟังปัญหาในการทำงานต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งเวทีนี้เป็นประโยชน์อย่างมากในการสร้างความร่วมมือกันในทุกภาคส่วน ซึ่งจะทำให้หน่วยงานรัฐมีความเข้าใจข้อจำกัดของภาคเอกชน และในขณะเดียวกัน ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมก็รับทราบและเข้าใจการทำงานของหน่วยงานรัฐมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสร้างเครือข่ายในการประสานงานกันมากยิ่งขึ้น เพื่อทำให้การทำงานร่วมกันสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้กล่าวกับผู้เข้าร่วมงานในครั้งนี้ว่า ขอขอบคุณสำหรับทุกหน่วยงานที่ได้ร่วมแรงร่วมใจในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในปีที่ผ่านมา การจัดงานในครั้งนี้ เปรียบเสมือนเป็นเวทีที่ให้ทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ได้มีโอกาสในการทำความรู้จักกันมากขึ้น เพื่อสร้างเป็นเครือข่ายของผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งจะทำให้การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทยมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน และได้รับฟังปัญหาของแต่ละหน่วยงานในการปฏิบัติ ซึ่งในฐานะ ผอ.ศพดส.ตร. ก็จะช่วยแก้ไขปัญหาและขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป

พล.ต.อ.รอย รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ ผบช.สตม. ขยายผลการจับกุมคนต่างด้าวซึ่งมีพฤติการณ์ประกอบธุรกิจใช้ชื่อคนไทยเป็นเจ้าของกิจการแทน (นอมินี)

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ประกอบกับนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์
กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติ
ที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด
สตม.ร่วมกับ บช.ก. ภายใต้การอำนวยการและสั่งการของ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. , พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ
รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.อาภากร โกมลสุทธิ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ทัศน์ภูมิ จารุปรัชญ์
รอง ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม.,
พ.ต.อ.วีระพงษ์ คล้ายทอง ผกก.4 บก.ปอศ., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน)กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม.
ร่วมแถลงข่าวขยายผลการจับกุมตัวคนต่างด้าวซึ่งมีพฤติการณ์ในการประกอบธุรกิจโดยใช้ชื่อคนไทยเป็นเจ้าของกิจการแทน (นอมินี) ดังนี้
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 9 พ.ย.65 เจ้าหน้าที่ บก.สส.สตม. ได้เข้าจับกุมตัว Mr.SHAO คนต่างด้าว
ตามหมายจับศาลจังหวัดปัตตานี ในข้อหา “ยื่นขอมีบัตรประชาชนไทยโดยมิได้มีสัญชาติไทยฯ” พร้อมตรวจยึดของกลางรวม 36 รายการ ได้ที่สมาคมพ่อค้าไทย ถ.วิภาวดีรังสิต แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. ซึ่งในการเข้าตรวจค้นจับกุมพบพยานหลักฐานว่า Mr.SHAO มีพฤติการณ์ในการประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยใช้ชื่อคนไทยเป็นเจ้าของกิจการแทน (นอมินี) จำนวน 3 บริษัท จึงได้ร่วมกับ บก.ปอศ. สืบสวนขยายผลจนพบชาวไทยผู้ให้ความช่วยเหลือ Mr.SHAO ในการประกอบธุรกิจในบริษัทดังกล่าว โดยต่อมาได้ขออนุมัติหมายค้นต่อศาลอาญา เพื่อเข้าตรวจค้นบริษัทที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิด จำนวน 3 บริษัท คือ
1.บริษัท คิววาย ออโต้ อิมพอร์ต จำกัด
2.บริษัท ลีฟ อิเล็กทริก จำกัด
3.บริษัท โฮป โฮม บิวดิ้ง จำกัด
และสถานที่ที่เกี่ยวข้องจำนวน 2 จุด จากนั้นได้รวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับชาวไทยผู้ให้ความช่วยเหลือในการกระทำความผิดดังกล่าว จำนวน 3 ราย ซึ่งต่อมาในวันที่ 23 ธ.ค.2565 สามารถจับกุมตัวตามหมายจับได้ดังนี้

  1. นายศรัณย์ฯ บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 2885/2565 ลงวันที่ 22 ธ.ค.2565
  2. นายปฏิพัทธ์ฯ บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 2886/2565 ลงวันที่ 22 ธ.ค.2565
  3. น.ส.ชัญญ่าฯ บุคคลตามหมายจับศาลอาญาที่ 2887/2565 ลงวันที่ 22 ธ.ค.2565
    จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า Mr.SHAO มีการเปิดบริษัทโดยใช้ชื่อคนไทยเป็นเจ้าของกิจการแทน (นอนิมี) มากกว่า 3 บริษัทข้างต้น ซึ่งมีทุนจดทะเบียนรวมมากกว่า 10 ล้านบาท ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด และตรวจพบทรัพย์สินของ Mr.SHAO ซึ่งมีคนไทยและเปิดบริษัทที่ใช้ชื่อคนไทยเป็นเจ้าของกิจการแทน (นอมินี) ถือครองแทนมากกว่า 200 ล้านบาท อีกทั้งพบว่า Mr.SHAO มีการนำบัตรประชาชนไทยโดยมิได้มีสัญชาติไทยไปใช้กระทำความผิดอีกหลายอย่าง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดี
    และออกหมายจับเพิ่มเติมอีก 2 หมาย คือ แจ้งความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน และประกอบธุรกิจโดย
    ไม่ได้รับอนุญาต
    สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแส การกระทำความผิด
    กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
    สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด
    จังหวัดนนทบุรี 11120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ http://www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ขุดรากโจรไซเบอร์!‘ศูนย์ PCT ศปอส.ตร.’ชวนปชช.เข้าเพจ ร่วมเป็นกองกำลังแจ้งเบาะแส

27 ธันวาคม 2565 พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) หัวหน้าอำนวยการด้านประชาสัมพันธ์ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) , พล.ต.ต.อรุษ แสงจันทร์ ผบก./หัวหน้าฝ่ายแถลงข่าวและประสานงานสื่อมวลชน ศปอส.ตร. และ พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก./รองหัวหน้าฝ่ายแถลงข่าวและประสานงานสื่อมวลชน ร่วมกันเปิดเผยว่า ทางศูนย์ได้มีข้อมูลข่าวสารไว้ให้ประชาชนได้ศึกษา และเข้าถึงความรู้ในการป้องกันภัยจากโลกและสังคมสมัยใหม่ ปัจจุบันการหลอกลวงทางไซเบอร์มีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเกี่ยวกับการหลอกลวงเรื่องการโอนเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอื่นๆอีกมากมาย

ทั้งนี้ ขอเชิญชวนเข้าดูข้อมูลพร้อมกับเข้าไปกดไลค์กดแชร์เป็นแนวร่วมสมาชิกในเพจ https://www.facebook.com/PCTPOLICE เพื่อแจ้งข้อมูลข่าวสารให้กับญาติพี่น้อง คนรอบตัว เพื่อนฝูง ตลอดจนกระจายข่าวไปให้กับประชาชนทั่วไป เป็นอีกหนึ่งแนวร่วมของเพจในการกระทำความดีเพื่อป้องกันและปราบปรามไม่ให้มิจฉาชีพกระทำความผิดต่อประชาชนที่ไม่อาจตามทันกลโกงได้ สำหรับขั้นตอนการการแจ้งความ

1.ให้ผู้เสียหาย เตรียมเอกสารส่วนตัว และ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
2.กรณีที่เสียหายต่อชื่อเสียง ให้เตรียมหลักฐาน ที่พบว่ามีการกระทำความผิด เช่น ปรินส์เอกสารหน้าจอ หน้าเว็บไซต์ หน้าโปรแกรมไลน์ โปรแกรมเฟสบุค หรือหน้าเพจที่พบการกระทำความผิด
3.กรณีที่เสียหายต่อทรัพย์ ให้เตรียมหลักฐานที่พบการกระทำความผิด การหลอกลวง ปรินส์เอกสารออกมาจากระบบคอมพิวเตอร์ให้เรียบร้อย หลักฐานการโอนเงิน เป็นต้น
4.ให้ไปแจ้งความ ณ สถานีตำรวจท้องที่เกิดเหตุ สถานีตำรวจนครบาล หรือสถานีตำรวจภูธร หรือท่านสามารถเดินทางมา ร้องทุกข์ที่ บก.ปอท. ได้เช่นกัน โดย บก.ปอท. ไม่สามารถดำเนินการลบหรือปิดกั้นโพสต์ใดๆได้ทันที เพราะข้อมูลอินเทอร์เน็ตอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ให้บริการสื่อนั้นๆ การดำเนินการใดจำเป็นต้องเป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมายที่ต้องมีผู้เสียหายมาร้องทุกข์กล่าวโทษด้วยตนเอง ณ สถานีตำรวจ หรือที่ บก.ปอท. แล้วเท่านั้น

พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งหมดเป็นนโยบายและสั่งการของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ที่ได้สั่งการให้เข้มงวดกวดขันในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องในความรับผิดชอบของศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและสารสนเทศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยหวังว่าจะสามารถปราบปรามการกระทรวงปิดให้หมดสิ้นไปเพื่อความสุขของประชาชนและสังคมไทยอย่างแท้จริง

“อย่าลืมเข้าไปดูในเพจ https://www.facebook.com/PCTPOLICE แล้วร่วมกันแจ้งเบาะแสในการแสดงความผิดเป็นกองกำลังป้องกันปราบปรามอาชญากรรมเหล่านี้หมดสิ้นไป” พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าว

Design a site like this with WordPress.com
Get started