นายพันธ์ทอง รองอธิบดีกรมศุลกากร เผยข้อมูลความสะดวกทางการค้าและส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ของประเทศ การส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศด้วยมาตรการทางศุลกากรและข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ

วันนี้ (วันที่ 23 ธันวาคม 2565) นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากร มีการดำเนินงานเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกทางการค้าและส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ของประเทศ การส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศด้วยมาตรการทางศุลกากรและข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ การเพิ่มขีดความสามารถในการปกป้องสังคมให้ปลอดภัยด้วยระบบควบคุมทางศุลกากร และการจัดเก็บภาษีอากรอย่างเป็นธรรม โปร่งใส อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในเดือนธันวาคม 2565 มีผลงานที่น่าสนใจ ดังนี้

  1. ผลการตรวจพบการกระทำความผิดประจำเดือนพฤศจิกายน 2565
    กรมศุลกากร
    นโยบายในการเร่งรัดปราบปรามการลักลอบและหลีกเลี่ยงการนำเข้าและส่งออกสินค้าจากราชอาณาจักร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี ปกป้องสังคมและสิ่งแวดล้อม จึงให้หน่วยงานในสังกัดพร้อมหน่วยปฏิบัติการวางแผนตรวจค้นจับกุมอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ เพื่อสกัดกั้นป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น สินค้าเกษตร น้ำมัน ยาเสพติด IPRs และสินค้าละเมิดอนุสัญญา CITES โดยสืบสวนหาข่าวและออกลาดตระเวนด้วยรถยนต์ ตรวจค้นรถบรรทุก โกดัง แหล่งจำหน่าย สถานที่เก็บรักษาที่เชื่อได้ว่ามีของผิดกฎหมายเก็บซุกซ่อนอยู่ อีกทั้งยังมีแผนการป้องกันและปราบปรามสินค้าดังกล่าวในช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงในการลักลอบนำเข้า-ส่งออกสินค้า นอกจากนี้ มีการบูรณาการกับหน่วยงาน และพันธุ์พืช สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สถานทูตต่าง ๆ องค์การตำรวจสากล (Interpol) สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (Drug Enforcement Administration: DEA) เป็นต้น เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการข่าวระหว่างกัน โดยในเดือนพฤศจิกายน 2565 มีจำนวน 2,859 คดี คิดเป็นมูลค่ารวม 261.61 ล้านบาทมีผลงานที่น่าสนใจ ดังนี้
    1.1. ผลการจับกุมยาเสพติด
    ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดทั้งการผลิต การนำเข้า การนำผ่าน และการลักลอบจำหน่าย โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวด ด้านกระทรวงการคลังโดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง จึงสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง เพิ่มความเข้มงวดและเดินหน้าปราบปรามการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักรทุกเส้นทาง กรมศุลกากรจึงเพิ่มการเฝ้าระวังการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักร ทั้งทางบก ทางเรือและทางอากาศ รวมถึงการลักลอบนำยาเสพติดซุกซ่อนมากับสินค้าที่ส่งทางพัสดุไปรษณีย์ โดยมีผลการจับกุม ดังนี้
  • เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร ตรวจพบพัสดุด่วนพิเศษระหว่างประเทศต้องสงสัย ซึ่งเป็นสินค้าและเส้นทางในกลุ่มเสี่ยงที่ถูกใช้ในการซุกซ่อนยาเสพติด สำแดงเป็น SILK ปลายทางประเทศออสเตรเลีย ณ ศูนย์ไปรษณีย์สุวรรณภูมิ กรมศุลกากรจึงได้ร่วมกับ ชุดปฏิบัติการ Airport Interdiction Task Force (AITF) ทำการตรวจสอบ พบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เฮโรอีน (Heroine) ลักษณะเป็นผงสีขาว บรรจุพลาสติกใส ด้านหนึ่งปิดด้วยเทปกาวสีดำซุกซ่อนอยู่ในสาบเสื้อและชายเสื้อพื้นเมือง น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 1,973 กรัม มูลค่า 5,919,000 บาท จึงได้ยึดและประสานศุลกากรออสเตรเลีย เพื่อสืบสวนเครือข่ายต่อไป
    กรณีนี้ ถือเป็นความผิดฐานพยายามลักลอบส่งออกยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เฮโรอีน ออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 และพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 244 มาตรา 252 ประกอบมาตรา 166 และ 167
  • เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2565 เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร พร้อมด้วยทหาร กองกำลังผาเมือง และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เข้าตรวจสอบ บริษัทขนส่ง (สาขาป่าเหมือด) อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย พบพัสดุและสิ่งของที่อายัดไว้จำนวนหนึ่งก่อนหน้านี้ ซึ่งนำเข้าจากต่างประเทศ มีลักษณะต้องสงสัย โดยหีบห่อและน้ำหนักผิดปกติ จึงได้ทำการตรวจสอบ ผลการเปิดตรวจกล่องพัสดุ จำนวน 8 หีบห่อ พบกล่องสุราต่างประเทศ ภายในบรรจุยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) รวม 387,840 เม็ด มูลค่า 31,027,200 บาท

กรณีนี้ ถือเป็นความผิดฐาน ห้ามผู้ใดผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ตามมาตรา 90 ประกอบมาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 และมาตรา 242 มาตรา 246 ประกอบมาตรา 252 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560

  • เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 เจ้าหน้าที่ศุลกากรพบพัสดุไปรษณีย์ระหว่างประเทศ ประเภทพัสดุไปรษณีย์ทางอากาศ ต้นทางจากประเทศโปรตุเกส จำนวน 1 หีบห่อ มีลักษณะที่น่าสงสัย จึงร่วมกับ พนักงาน บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ภายในพบกล่องเครื่องเล่น Play Station VR ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าปกติ ใต้กล่องพบว่ามีการซุกซ่อนถุงสีดำ ภายในพบห่อด้วยกระดาษคาร์บอนสีน้ำเงิน หลังจากแกะกระดาษคาร์บอนสีน้ำเงินพบถุงพลาสติกใสบรรจุผงสีขาว เจ้าหน้าที่จึงนำผงสีขาวดังกล่าวไปทดสอบด้วยน้ำยา COBALT THIOCYANATE REAGENT พบว่าทำปฏิกิริยากับน้ำยาทดสอบพบเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 2 โคคาอีน น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 2.31 กิโลกรัม มูลค่า 11,000,000 บาท
    กรณีนี้ ถือเป็นความผิดฐานนำของต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร อันเป็นความผิดตามมาตรา 244 และมาตรา 252 ประกอบมาตรา 60 และมาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ในข้อหา “นำยาเสพติดให้โทษประเภท 2 โคคาอีน เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”

สำหรับ สถิติการตรวจยึดยาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในเดือนพฤศจิกายน 2565 มีจำนวน 15 คดี มูลค่า 108.45 ล้านบาท

1.2 ผลการจับกุมบุหรี่
เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2565 เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร เข้าตรวจค้นห้องแถว ถนนนิพัทธ์สงเคราะห์ 1 ต.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พบบุหรี่ต่างประเทศมีถิ่นกำเนิดต่างประเทศ ไม่ปิดแสตมป์ตามกฎหมาย ขณะตรวจค้นไม่พบเอกสารการปฏิบัติพิธีการทางศุลกากรโดยถูกต้อง จำนวน 32,350 ซอง มูลค่า 2,588,000 บาท
กรณีนี้เป็นการลักลอบหนีศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักร อันเป็นความผิดตามมาตรา 242, 244 และมาตรา 246 ประกอบกับมาตรา 166 และ 167 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 และกฎหมายอื่น ที่เกี่ยวข้อง จึงยึดของกลางส่งด่านศุลกากรท่าอากาศยานหาดใหญ่ และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคดีต่อไป

ทั้งนี้สถิติการจับกุมบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในเดือนพฤศจิกายน 2565 ได้แก่ 1. บุหรี่ จำนวน 138 คดี มูลค่า 6,457,186 ล้านบาท 2. บารากู่ บารากู่ไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้า และอุปกรณ์ จำนวน 37 คดี มูลค่า 3,360,536 บาท

1.3. ผลการจับกุมสินค้าเกษตร
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 เจ้าหน้าที่ศุลกากร ได้ตรวจค้นรถยนต์บรรทุก 12 ล้อ เนื่องจากสงสัยว่ามีสิ่งของที่ยังไม่ได้เสียภาษีอากร หรือมีของต้องห้ามต้องกำกัดซุกซ่อนมาในรถยนต์ ในพื้นที่ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร พบกระเทียม มีเมืองกำเนิดต่างประเทศ เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร บรรจุกระสอบ กระสอบละ 20 กิโลกรัม จำนวน 750 กระสอบ น้ำหนักรวม 15,000 กิโลกรัม มูลค่า 900,000 บาท
กรณีดังกล่าวเป็นความผิดตามมาตรา 242, 246และมาตรา 247 ประกอบกับมาตรา 166 และ 167 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560

ทั้งนี้ สถิติการจับกุมสินค้าเกษตรในเดือนพฤศจิกายน 2565 มีจำนวน 60 คดี มูลค่า 1,863,166 บาท

  1. การนำเข้าของเร่งด่วน (Express) จากต่างประเทศ ผ่านทางอากาศยานและการนำเข้าของทางไปรษณีย์

กรมศุลกากรมีแนวทางในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับผู้ที่นำเข้าของเร่งด่วน (Express) จากต่างประเทศ ผ่านทางอากาศยานและการนำเข้าของทางไปรษณีย์ โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ 2.1 ของที่ไม่ต้องเสียภาษี ของที่รวมมูลค่าแล้ว ไม่เกิน 1,500 บาท โดยรวมจาก ราคาของ + ค่าขนส่ง + ค่าประกันภัย = ราคา CIF ซึ่งของทุกชิ้นจะถูกตรวจสอบโดยการ X – Ray และบันทึกภาพด้วย CCTV ตลอดเวลา ทั้งนี้ของบางประเภทจะไม่สามารถนำเข้ามาในประเทศได้ หากฝ่าฝืนจะมีโทษตามพระราชบัญญัติกรมศุลกากรและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยมีตัวอย่างของที่ห้ามนำเข้าประเทศ ดังนี้ บุหรี่ไฟฟ้า บารากู่ สินค้าที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา วัตถุหรือสื่อลามก สัตว์ป่าสงวน และสารเสพติด สำหรับของบางประเภทต้องขอใบอนุญาตนำเข้าจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ส่วนต่าง ๆ ของพืช ต้องขออนุญาตจากกรมวิชาการเกษตร, สัตว์เลี้ยงและสัตว์น้ำต้องขออนุญาตจากกรมปศุสัตว์และกรมประมง, ยา เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ อาหาร วัตถุอันตราย และผลิตภัณฑ์สมุนไพร ต้องขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.), วิทยุสื่อสาร และโดรน ต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) หากขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรียบร้อย ผู้รับของต้องจัดทำใบขนสินค้าขาเข้า โดยส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เข้าระบบคอมพิวเตอร์กรมศุลกากร ณ สำนักงาน/ด่านศุลกากร

2.2 ของที่ต้องเสียภาษี
ราคาของ ตั้งแต่ 1,500 บาท ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 40,000 บาท
ของจะถูกเลือกโดยระบบบริหารความเสี่ยงของกรมศุลกากรเพื่อตรวจสอบโดยการเปิดตรวจทางกายภาพ ซึ่งหีบห่อถูกเปิดและปิดโดยพนักงานของผู้ประกอบการของเร่งด่วน หรือเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ไทย และบันทึกภาพด้วย CCTV ตลอดเวลา ตัวอย่างอัตราอากรขาเข้าของสินค้า ได้แก่ นาฬิกา 5%, ของเล่น 10%, เครื่องดนตรี 10%, กระเป๋า 20%, รองเท้า 30%, เสื้อผ้า 30%
วิธีการคำนวณค่าภาษีอากร
อากรขาเข้า = ราคา CIF x อัตราอากรขาเข้าของสินค้า
ภาษีมูลค่าเพิ่ม = (ราคา CIF + อากรขาเข้า) x อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตัวอย่าง การคำนวณค่าภาษีสินค้ากระเป๋าถือสตรี ราคา CIF 10,000 บาท, อัตราอากร 20% อากรขาเข้า = 10,000 x 20% = 2,000 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่ม = (10,000 + 2,000) x 7% = 840 บาท
ดังนั้น ต้องเสียภาษีอากรทั้งหมด 2,840 บาท

กรณีราคาของ (FOB) เกินกว่า 40,000 บาท ผู้รับของ ต้องจัดทำใบขนสินค้าขาเข้า โดยการส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ของศุลกากร ณ สำนักงาน/ด่านศุลกากร

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งเตรียมปิดศูนย์ตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลส่วนหน้าบางสะพาน

พรุ่งนี้บ่ายโมง หลังเจ้าหน้าที่ระบุ ร่างที่จะพบจากนี้ไปอาจกระจัดกระจาย และตรวจลายนิ้วมือไม่ได้ เสนอให้ส่งเข้านิติเวช ส่วนดีเอ็นเอ ของญาติ ที่จะใช้เทียบเคียง ให้ไปส่งพิมพ์ที่ พฐ จังหวัดที่อยู่ได้ จากกรณีเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.65 ประมาณ 23.30 น. เรือหลวงสุโขทัยได้อัปปาง ในทะเลอ่าวไทย บริเวณ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งขณะเกิดเหตุ มีลูกเรือโดยสารอยู่ภายในเรือ จำนวน 105 นาย โดยสามารถเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้แล้ว จำนวน 76 ราย เสียชีวิต 6 ราย และสูญหาย อีก 23 ราย ซึ่งอยู่ในระหว่างการค้นหา ตามที่สื่อมวลชนนำเสนอไปแล้วนั้น วันนี้ (22 ธ.ค. 65)เวลาประมาณ 18.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมประชุมชี้แจงความคืบหน้าและลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมี พ.ต.อ.กิตติภาพ ชุมพูนุช รอง ผบก.ฯ รรท.ผกก.สภ.บางสะพาน ภ.จว.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นผู้บรรยายสรุป ซึ่งในส่วนของตำรวจนั้น ได้นำพนักงานสอบสวนพร้อมตำรวจสายตรวจ และชุดสืบสวนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาอำนวยความสะดวกให้กับญาติของผู้สูญหายที่มาเฝ้ารอการค้นหา รวมทั้งสนับสนุนการชันสูตรพลิกศพกรณีพบผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยบูรณาการร่วมกับ ร.พ.บางสะพาน ,ฝ่ายปกครองอำเภอบางสะพาน ,กลุ่มงานศูนย์พิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ,ศพฐ.ตร.และอาสาสมัครกู้ภัยของมูลนิธิต่างๆ ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีผลการปฏิบัติในการค้นหาติดตามบุคคลที่สูญหาย ดังต่อไปนี้ กำลังพลทั้งสิ้น 105 นาย พบแล้ว 82 นาย สูญหาย 23 ราย ประกอบด้วย

  • รอดชีวิต 76 นาย ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย รักษาตัวอยู่ที่ รพ.บางสะพาน
  • เสียชีวิต 6 นาย สามารถพิสูจน์เอกลักษณ์ได้ทั้ง 6 ราย (เก็บ DNA ,ฟันและพิมพ์ลายนิ้วมือ) มีรายชื่อดังต่อไปนี้
    1.พ.จ.อ.สมเกียรติ หมายชอบ
    2.จ.อ.จักรพงค์ พูลผล
    3.ร.ท.สามารถ แก้วผลึก
    4.พ.จ.อ.อัชชา แก้วสุพรรณ์
    5.พลฯ อัครเดช โพธิ์บัติ
    6.พ.จ.อ.อำนาจ พิมที
  • อยู่ระหว่างการค้นหา 23 นาย
    พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ฯ ได้กล่าวขอบคุณทุกฝ่าย ที่ร่วมกันบูรณาการในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล ทั้งนี้เพื่อให้ญาติได้รับศพกลับไปอย่างถูกต้องและรวดเร็วที่สุด และขอแสดงความเสียใจกับญาติๆ ที่ต้องสูญเสียคนที่รัก จากเหตุการณ์นี้ โดยล่าสุดตำรวจสามารถยืนยันศพผู้เสียชีวิตที่พบ ไปได้ 6 ศพ และส่งกลับไปบำเพ็ญกุศล ที่สัตหีบ ได้ครบตามจำนวนแล้ว ทั้งนี้ยังเหลือยอดที่ต้องรอพิสูจน์อีก 23 ราย ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการพบเพิ่ม ซึ่งจากการคาดการณ์ของเจ้าหน้าที่ เชื่อว่าร่างที่ยังสูญหาย หากไม่ได้รับการช่วยเหลือ ก็อาจจะกระจัดกระจายไปหลายพื้นที่ ดังนั้นที่ประชุมจึงเสนอให้ปิดศูนย์พิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลส่วนหน้าที่บางสะพาน ในช่วงบ่ายวันพรุ่งนี้
    โดยหากมีการพบศพเพิ่มเติมหลังจากนี้ไป ให้ส่งไปพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลได้ที่ นิติเวช สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งอาจจะต้องใช้วิธีการตรวจดีเอ็นเอแทน การตรวจลายนิ้วมือ เนื่องจากเชื่อว่า ร่างที่พบจากนี้ไปอาจจะเสื่อมสภาพ โดยเฉพาะส่วนของผิวหนัง เนื่องจากสภาพอากาศร้อนและแดดแรง อาจจะทำให้แบคทีเรียย่อยสลายได้เร็วขึ้น
    ทั้งนี้เบื้องต้นได้ประสานไปยังญาติของผู้สูญหาย ให้ทยอยมาเก็บดีเอ็นเอไว้เพื่อใช้เทียบเคียง โดยขณะที่มีพ่อแม่ และญาติ มาเก็บดีเอ็นเอแล้ว 14 คนแล้ว ยังเหลืออีก 9 คน ซึ่งส่วนที่เหลือสามารถไปตรวจเก็บดีเอ็นเอ ได้ตามภูมิลำเนา ที่มี พฐ ตั้งอยู่ เพื่อให้สะดวกต่อการเดินทาง
    รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังได้กำชับให้หน่วยพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล จะต้องยึดหลักทางนิติวิทยาศาสตร์เท่านั้น คือการพิสูจน์ทราบจากลายนิ้วมือ ดีเอ็นเอหรือฟัน จะไม่ใช้การดูจากภายนอกจากเครื่องแต่งกายหรือเสื้อผ้า ซึ่งอาจเกิดความผิดพลาดในการส่งมอบศพไปได้
    โดยยืนยันว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะร่วมสนับสนุนการตรวจพิสูจน์ยืนยันเอกลักษณ์บุคคล ในการส่งมอบร่างผู้เสียชีวิตให้กับญาติพี่น้องไปจนกว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจการค้นหาผู้สูญหายแน่นอน

นายกรัฐมนตรีเปิดนิทรรศการ “ของขวัญปีใหม่ จากตำรวจไทยสู่ประชาชน” พ.ศ.2566 ผ่าน 9 โครงการ

วันพฤหัสบดี ที่ 22 ธ.ค. 65 เวลา 14.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดนิทรรศการ “ของขวัญปีใหม่ จากตำรวจไทยสู่ประชาชน” พ.ศ. 2566 โดยมี พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย รอง ผบ.ตร. , ผู้ช่วย ผบ.ตร.และข้าราชการตำรวจ เข้าร่วม โดยปีใหม่ 2566 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบของขวัญแก่พี่น้องประชาชน และข้าราชการตำรวจ
ตามนโยบายรัฐบาล 9 โครงการ ประกอบด้วย
1. โครงการประชาอุ่นใจ ตำรวจเข้มแข็ง เน้นการป้องกันอาชญากรรม ให้ประชาชน
เกิดความเชื่อมั่นอุ่นใจ เช่น โครงการฝากบ้าน 4.0 เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยบ้านและทรัพย์สินของประชาชนที่ไม่มีผู้อยู่ในอาศัยในช่วงเทศกาล โดยลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ฝากบ้าน 4.0” หรือ โทรศัพท์หรือแจ้งด้วยตนเองกับสถานีตำรวจในพื้นที่, โครงการเพื่อนบ้านเตือนภัย สร้างความร่วมมือจากประชาชน
ในการช่วยกันดูแลความปลอดภัยให้แก่กันและกัน, โครงการ Stop Walk & Talk เก็บข้อมูลจากการพูดคุยกับประชาชน แล้วนำข้อมูลไปใช้ในการป้องกันอาชญากรรม, โครงการ 1 ตำรวจ 1 ชุมชน เป็นการเปิดช่องทางในการรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากประชาชน สู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
2. โครงการชุมชนยั่งยืนเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด แบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ
ได้ดำเนินการไปแล้ว จำนวน 2,966 หมู่บ้าน/ชุมชน และในปี พ.ศ. 2566 จะดำเนินการอีกจำนวน
1,483 หมู่บ้าน/ชุมชน นำผู้เสพยาเสพติดสู่การบำบัดรักษาโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน CBTx , โครงการค้นหาผู้ใช้ ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ผู้มีอาการทางจิต และผู้ป่วยจิตเวช เพื่อนำเข้าสู่การบำบัดรักษา และมาตรการเชิงรุก ได้ปิดล้อมตรวจค้นชุมชนเพื่อระงับยับยั้งการแพร่ระบาด ตรวจสถานบริการ สถานบันเทิง เพื่อลดการแพร่ระบาดยาเสพติดลงให้ได้เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ให้แก่พี่น้องประชาชน
3. โครงการเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันภัยออนไลน์ ผลิตตำรวจทุกสถานีตำรวจ ข้าราชการและประชาชน 4,584 คน ให้เป็น “ครูวัคซีนไซเบอร์” เผยแพร่ประชาสัมพันธ์สื่อไซเบอร์วัคซีน หรือกลโกงของคนร้ายที่ใช้ในการหลอกลวงเหยื่อบนโลกออนไลน์ ให้ประชาชนรับทราบ และไม่ตกเหยื่อ , มีการทำ MOU ระหว่าง ตร.กับหน่วยงานต่างๆ ได้ดำเนินการกับสมาคมธนาคารไทย และบริษัทไปรษณีย์ไทย ไปแล้ว
และอยู่ระหว่างดำเนินการกับ กสทช.และเครือเจริญโภคภัณฑ์ ทั้งยังได้รับข้อมูลในการสืบสวนกับเอกชน
เช่น Lazada, Shopee เพื่อสร้างเครือข่ายในการป้องกันปราบปราม และพัฒนาระบบการรับแจ้งความออนไลน์ ทางสายด่วน 1441, 081 866 3000 และมีระบบแชทบอทผ่าน application Line@police1441 , โครงการมายซิสบอท ใช้สื่อสารกับผู้ใช้ผ่านโลกออนไลน์ เพื่อให้คำแนะนำและความรู้แก่เด็ก สตรี เมื่อต้องเผชิญกับความรุนแรงในครอบครัว รวมไปถึงการระบายให้บอทมายซิสฟัง ผ่านแพรตฟอร์มแมสเซนเจอร์ และเฟซบุ๊กในเพจ มายซิส MySis Bot
4. โครงการขับดี ปลอดภัย ใส่ใจทุกการเดินทาง จะมีโครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย เพื่อคัดเลือกตำรวจจรจรารที่ปฏิบัติงานดีเด่นในทุกสถานีตำรวจ ทำให้มีตำรวจราจรมืออาชีพในทุกสถานีที่จะดูแลและอำนวยการจราจรแก่ประชาชนอย่างเป็นมิตร , การพัฒนา Smart Platform
สำหรับอำนวยความสะดวกประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลจราจรต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชันขับดี และ
เว็บ E-Ticket จะอำนวยความสะดวกประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้านการจราจรต่างๆ , หน่วยบริการตำรวจทางหลวงที่สะดวกและทันสมัย จัดห้องพักฟรีที่หน่วยบริการทั่วประเทศ รวมจำนวน 205 หน่วย
พร้อมเครื่องดื่มและขนม ห้องน้ำ สัญญาณอินเตอร์เน็ต โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
5. โครงการแก้ปัญหาหนี้สินของข้าราชการตำรวจ โดยใช้กลไกของสหกรณ์ออมทรัพย์รวมหนี้จากสถาบันการเงินต่าง ๆ มีผู้เข้าร่วมโครงการ จำนวน 9,617 ราย แก้ไขสำเร็จ จำนวน 6,569 ราย คิดเป็นร้อยละ 68.3 ยอดเงินจำนวน 8,934,250,945 บาท และจัดให้มีโครงการ Money management and Investment ให้ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนทางการเงิน และการลงทุนให้กับข้าราชการตำรวจและครอบครัว ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานเพื่อประชาชนต่อไป
6. โครงการลบประวัติล้างความผิดคืนชีวิตให้ประชาชน โดยลบประวัติที่เข้าเงื่อนไข
ตามระเบียบฯ ไปแล้ว 1.4 ล้านรายการ เพิ่มช่องทางการขอตรวจสอบประวัติได้ทางเว็บไซต์ และรับผล
ได้ทุกจังหวัด, โครงการจัดหาเครื่อง LIVE SCAN เพื่อใช้ SCAN ลายพิมพ์นิ้วมือทางอิเล็กทรอนิกส์ แทนการพิมพ์ลายนิ้วมือด้วยหมึกพิมพ์แบบดั้งเดิม ติดตั้งที่สถานีตำรวจ 140 แห่ง สามารถพิมพ์ลายนิ้วมือได้
อย่างรวดเร็ว จะขยายโครงการจัดหาเครื่อง LIVE SCAN ให้ครบทั้ง 1,484 สถานี บริการประชาชน
ได้ทั้งประเทศ
7. โครงการแทนความห่วงใยห่างไกลโควิด-19 เป็นการให้บริการฉีดวัคซีน ป้องกันเชื้อโรค
ไวรัสโคโรนา 2019 มีแอปพลิเคชัน Police Plus ให้บริการนัดหมาย ตรวจสอบสิทธิ ลงทะเบียนตรวจรักษา และระบบTelemedicine สำหรับการตรวจรักษาแบบ Online ผ่านแอปพลิเคชัน
8. โครงการศูนย์ไกล่เกลี่ยประจำสถานีตำรวจ โดยใน กทม. มี สน.ทองหล่อ และ สน.วัดพระยาไกร เป็น สน.นำร่อง อำนวยความสะดวกให้กับประชาชน โดยในคดีลหุโทษ, คดีความผิดอันยอมความได้
และคดีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ตามท้าย พ.ร.บ.การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทฯ ปัจจุบันมีผู้ไกล่เกลี่ยที่ผ่านการอบรมและขึ้นทะเบียนแล้วกว่า 1,300 คน เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยประจำ สน./สภ.ทั่วประเทศ
เพื่อให้บริการแก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึง ลดปริมาณคดีขึ้นสู่ศาล ประหยัดค่าใช้จ่าย เกิดความสมานฉันท์
ขึ้นในสังคม
9. โครงการยกระดับการบริการประชาชนของสถานีตำรวจ มีการปรับปรุง พัฒนาการทำงานให้บริการประชาชนด้วยความรวดเร็ว โดยนำเทคโนโลยีมาใช้ สร้างเครือข่ายออนไลน์กับภาคประชาชน
ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในงานตำรวจยิ่งขึ้น ทำงานด้วยความโปร่งใส มีการแจ้งความคืบหน้าทางคดี กำหนดให้มีการสำรวจความพึงพอใจประชาชนต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งประเทศ เพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มประสิทธิภาพทำงานและพิจารณาความดีความชอบ และระบบร้องเรียน ร้องทุกข์แจ้งเบาะแสต่าง ๆ ผ่านระบบออนไลน์ (JCoMs) เพื่อให้เข้าไปช่วยเหลือ แก้ไข ปัญหาที่ประชาชนร้องเรียน
ภายใน 30 วัน

ผอ.สพป.สงขลา เขต 2 เปิดเวทีแข่งขันคัดตัวแทนระดับเขตพื้นที่การศึกษา หวังเจ้าเหรียญทอง ระดับชาติ งานศิลปะฯ ครั้งที่ 70

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

วันนี้ 22 ธันวาคม 2565 ที่ โรงเรียนบ้านหน้าควนลัง(ราษฎร์สามัคคี) หมู่ที่ 1 บ้านหน้าควน ต.ควนลัง อำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา นายอุทัย กาญจนะ ผอ.สพป.สงขลา เขต 2 ประธานพิธีเปิดการแข่งขันงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ครั้งที่ 70 ปีการศึกษา 2565 ระดับเขตพื้นที่การศึกษา มีนางกฤศรดา ศศิธนาดุล รอง ผอ. สพป.สงขลา เขต 2 กล่าวรายงาน การดำเนินงาน และคณะผู้บริหารเขตพื้นที่ฯ ผู้บริหารสถานศึกษา คณะกรรมการ คณะศึกษานิเทศก์ คณะครู นักเรียน ภาคีเครือข่าย หน่วยงานการศึกษาและผู้ปกครอง ร่วมพิธีเปิดงานอย่างคับคั่ง ภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมการแข่งขัน อาทิเล่านิทาน รำวงมาตรฐาน ดนตรีไทย อื่นๆ หลังเสร็จสิ้นพิธีเปิด นายอุทัย ได้เยี่ยมชม ให้กำลังใจ คณะกรรมการตัดสิน นักเรียน ผู้ปกครอง ในการแข่งขันทุกกิจกรรม
ซึ่งตนเองพร้อมคณะจะลงพื้นที่เข้าเยี่ยม ให้กำลังใจ คณะกรรมการตัดสิน นักเรียน อย่างทั่วถึง ทุกหน่วยการแข่งขันระดับเขตพื้นที่ 12 สนามแข่งขัน เพื่อคัดเลือกนักเรียนเป็นตัวแทนไปแข่งขัน ระดับชาติ ภาคใต้จังหวัดสตูล
ทั้งนี้เพื่อสืบสานพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ที่มุ่งหวังให้เยาวชนไทยหันมาเอาใจใส่ในการเรียนวิชาชีพ ฝึกฝนทักษะฝืมือตนเองให้มีความเป็นเลิศและรอบรู้ในวิชาชีพที่ตนองถนัด อันจะเป็นรากฐานสำคัญในการประกอบอาชีพในอนาคต เป็นเวทีให้นักเรียนได้แสดงออกถึงความรู้ความสามารถ ซึ่งนับเป็นผลสำเร็จของการจัดการศึกษาและเผยแพร่ผลงานด้านการจัดการศึกษาสู่สายตาสาธารณชน ซึ่งการจัดงานฯ มีการจัดต่อเนื่องกันตลอดมา มีหยุดเว้นช่วงบ้าง เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองไม่ปกติ ได้เปลี่ยนรูปแบบวิธีการจัดการแข่งขัน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายและบริบทการจัดการศึกษาที่เปลี่ยนไปทุกปี ในครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 70
สพป.สงขลา เขต 2 จึงจัดการแข่งขันระดับเขตพื้นที่ ระหว่างวันที่ 19 – 20 ธันวาคม 2565 เพื่อคัดเลือกนักเรียนเป็นตัวแทนระดับเขตพื้นที่การศึกษา ส่งเข้าแข่งขันระดับชาติ(ภาคใต้จังหวัดสตูล)ระหว่างวันที่ 18 – 20 มกราคม 2566 เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อยสมบูรณ์ บริสุทธิ์ ยุติธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยใช้กลยุทธ์ ตั้งเป้าหมายให้ครูทุกคนได้ร่วมแสดงออกในเวทีการแข่งขันดังกล่าวนี้ อย่างน้อย 1 ครู 1 รายการ หวังครองเหรียญทองงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ระดับชาติ ครั้งที่ 70 อย่างน้อย 150 เหรียญทอง พร้อมดำเนินการคัดเลือกตัวแทนระดับเขต พื้นที่การศึกษา ภายใต้คำขวัญงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ครั้งที่ 70 ปีการศึกษา 2565 ระดับเขตพื้นที่การศึกษาฯสงขลา เขต 2 ที่ ว่า “สงขลาสองรักษ์ถิ่น สืบศิลป์ศาสตร์สร้าง นวัตกรรมนำทาง สู่โลกกว้างก้าวไกล “และภายใต้คำขวัญงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ครั้งที่ 70 ปีการศึกษา 2565ระดับชาติที่ว่า “เด็กใต้รักษ์ถิ่น สืบศิลป์ศาสตร์สร้าง นำไทยสู่ทาง นวัตกรรมล้ำไกล”

มุกดาหาร-ตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหารแถลงการณ์ผลการจับกุมแก๊งค้ายาบ้า 2ราย 418,000 เม็ด รถยนต์ 2 คัน อาวุธปืน 1 กระบอก

เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2565 เวลา 10.30 น นายวรญาณ บุญณราช ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร พล.ต.ต.ชัชชัย วงศ์สุนะ ผบก.ก.จว.มุกดาหาร พ.ต.อ.สงกรานต์ สันหกรณ์ รอง ผบก.ๆพร้อม พ.ต.อ.วิจิตร บุญวรรณ ผกก.สืบสวนฯ และชุดปฏิบัติการฯ กองกำกับการสืบสวน เฝ้าติดตามและสืบสวนจับกุม
ทั้งการตั้งด่านเสันทางในพื้นที่ การสะกดรอย ซุ่มสังเกตการณ์ตลอตแนวแม่น้ำโขงเรื่อยมา จนกระทั่ง

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565
เวลา20..00 น. ชุดปฏิบัติการ กองกำกับการสืบสวน ได้รับแจ้งจากสายข่าวว่ามีการลำเลียงยาเสพติดผ่านในพื้นที่ จว.มุกดาหาร จะมีขบวนการการลักลอบขนยาเสพติด(ยาบ้า) จำนวนมาก จากเส้นทางถนนบ้านหนองหอย ต.บางทรายใหญ่ อ.เมือง จ.มุกดาหาร มาทางสี่แยกโพนทราย ต.โพนทราย อ.มือง จ.มุกดาหาร โดยรถคันที่ใช้ขนยาบ้าเป็นรถยนต์กระบะ แคป ยี่ห้ออีซูสุ รุ่นดีแม็ก สีดำ ติตแผ่นป้ายทะเบียน หน้า-หลัง 2ฒล 5739 กทม.

เมื่อชุดจับกุมจึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบแล้วได้สั่งการให้ พ.ต.ต.ศรุตฯพร้อมพวกวางแผนเพื่อจับกุม จึงได้จัดวางกำลังบริเวณสี่แยกโพนทราย กระทั่งเวลาประมาณ 19.16 น. รถของเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมมองเห็นรถทะเบียน 2ฒล 5739 กทม. จอดติดไฟแดงที่แยกโพนทราย จึงได้แสดงตัวเพื่อตรวจค้น แต่รถคันดังกล่าวไเห็นเจ้าหน้าที่จึงได้ขับหลบหนี ขับ
ย้อนกลับไปทางบ้านแก่นเต่า พ.ต.ต.ศรุตฯจึงได้สั่งการให้ไล่ติดตามอย่างกระชั้นชิด แต่รถคันดังกล่าวใช้ความเร็วสูง รถตำรวจชุดจับกุมจึงได้ติดตามไปอย่างกระชั้นชิด กระทั่งถึงบริเวณสะพานหัวยหวายดิน ต.พังแดง อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร

รถเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมซึ่งได้ติดตามจนทัน ตรวจสอบ คนขับทราบชื่อนายธนาทรัพย์ หรือแข็งค์บุตดี ส่วนคนโดยสารข้างคนขับทราบชื่อคือนายอนุพงษ์ หรือ ถิ่นโสภา ทั้งสองคนรับว่าในแคป หลังคนขับมีกระสอบ
ยาบ้า จำนวน 3 กระสอบ พ.ต.ต.ศรุดฯ จึงได้เปิดดูในแคปด้านหลังพบกระสอบปุ๋ยสีขาว จำนวน 3 กระสอบ เปิดดูภายในพบห่อยาเสพคิดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ชนิดเม็ดลักษณะกลมแบนด้านหนึ่งเรียบอีกด้านหนึ่งประทับตรา W
(ดับเบิ้ลยูวาย) แต่ละห่อมีสัญลักษณ์ Y1สีเขียว จำนวน 71 ห่อ แบ่งเป็น ห่อละ 3มัด 6,000เม็ด) จำนวน 67 ห่อ และห่อ
2มัด(4,000เม็ด) จำนวน 4 ห่อ รวมของกลางยาบ้าทั้งหมด ประมาณ 418,000 เม็ด(สี่แสนหนึ่งหมื่นแป็ดพันเม็ด)

จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลาง ขยายผลตรวจค้นบ้านชองนายธนาทรัพย์ พบอาวุธปินสั้น ยี่ห้อ COLT ไม่มีทะเบียน
จำนวน 1 กระบอก พร้อมแม็กกาชีน ขนาด 9 มม. จำนวน 1 แม็ก และรถยนต์ toyota vigo สีดำ หมายเลขทะเบียน กฉ 460 มุกดาหาร เจ้าหน้าที่จึงนำผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมดนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองมุกดาหารเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.


ภาพ/ข่าว สุรศักดิ์-เดวิท โชคชัย จ.มุกดาหาร รายงาน 092-5259-777

ผบช.ทท.เป็นประธานกิจกรรมสร้างความเชื่อมั่นในการดูแลรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองพัทยา จว.ชลบุรี

เมื่อวันที่ 21ธ.ค.65 ตำรวจท่องเที่ยวพัทยา ได้จัดกิจกรรมสร้างความเชื่อมั่นในการดูแลรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองพัทยา จว.ชลบุรี ดังนี้

  • เวลา 13.30 น. พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท. พร้อมด้วยคณะที่ปรึกษา บช.ทท. ตรวจเยี่ยมและมอบสิ่งของบำรุงขวัญให้แก่ข้าราชกาารตำรวจในสังกัด ส.ทท.4ฯ โดยมี พล.ต.ต.ม.ล.สันธิกร วรวรรณ ผบก.ทท.1 , พ.ต.อ.ศราวุธ ตันกุล รอง ผบก.ทท.1 , พ.ต.อ.สมชาย ธีรภัทรไพศาล ผกก.2 บก.ทท.1 , พ.ต.ท.พิชญะ เขียวเปลื้อง สว.ส.ทท.4 กก.2 บก.ทท.1 ร่วมให้การต้อนรับ
  • เวลา 15.00 น. พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท. เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย ผู้แทน ภ.จว.ชลบุรี , สภ.เมืองพัทยา , ตม.จว.ชลบุรี , ตำรวจน้ำ , ตำรวจทางหลวง , เมืองพัทยา , อำเภอบางละมุง , ท่องเที่ยวและกีฬา จว.ชลบุรี , ททท.สำนักงานพัทยา , กรมเจ้าท่า , สาธารณสุข และหน่วยงานภาคเอกชนในพื้นที่ ร่วมประชุมบูรณาการเพื่อยกระดับการรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ 2566 ณ Shambhala Hotel Pattaya
  • เวลา 19.30 น. พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท. เป็นประธานในการปล่อยแถวสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ 2566 ณ แยกนิภารอท เลียบชายหาดพัทยา

เวลา 20.30 น. พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท. พร้อมด้วยคณะที่ปรึกษา บช.ทท. , ข้าราชการตำรวจ ร่วมเดินออกตรวจเพื่อรณรงค์สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว ณ ถนนวอคกิ้งสตรีท พัทยา

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นำทีมเข้าตรวจสอบโรงงานเย็บผ้าในพื้นที่แม่สอดหลังพบข้อมูลการใช้แรงงานบังคับ

ตามที่มีข่าวปรากฏตามสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดีย กรณีพบโรงงานในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก บังคับใช้แรงงานมากถึง 99 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยทราบภายหลังว่า โรงงานที่ปรากฏในสื่อ คือ บริษัท วี เค การ์เม้นท์ จำกัด มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เลขที่ 48, 50, 52, 54, 56, 126, 128 และ 130 ซ.สมเด็จพระเจ้าตากสิน 13 ถ.สมเด็จพระเจ้าตากสิน แขวงสำเหร่ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ ประกอบกิจการรับจ้างเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูป โดยมีสาขาอยู่ที่เลขที่ 608 หมู่ 7 ต.แม่กุ อ.แม่สอด จ.ตาก มีลูกจ้างรวม 146 คน (แยกเป็นลูกจ้างสัญชาติไทย 6 คนสัญชาติเมียนมา 140 คน)
จากกรณีดังกล่าว วันนี้ (20 ธ.ค.65 ) เวลาประมาณ 12.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร./ ผอ.ศพดส.ตร., พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย รอง ผบช.ทท./หน.ชุดปฏิบัติการ TATIP, พล.ต.ต.ปกปภพ บดีพิทักษ์ ผบก.ภ.จว.ตาก และ นายเกริกไกร นาสมยนต์ ผู้ตรวจราชการกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ ตม.จว.ตาก เจ้าหน้าที่สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานและ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่สอด บูรณาการกำลังเข้าตรวจสอบข้อมูลยังสถานที่ดังกล่าว

จากการสืบสวนเบื้องต้นทราบว่า เมื่อปี 2563 บริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้คำสั่งสินค้าลดลง จึงประสงค์ลดวันทำงาน จาก 6 วัน เหลือ 5 วัน ต่อสัปดาห์ พร้อมให้ลูกจ้างเขียนใบสมัครใหม่ ลูกจ้างไม่ยินยอม นายจ้างจึงไม่ให้ลูกจ้างเข้าทำงาน ซึ่งทางพนักงานตรวจแรงงานได้แก้ไขข้อขัดแย้งแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 26 ส.ค.63 มีลูกจ้างบางส่วนยินยอมเขียนใบสมัครใหม่ ส่วนที่เหลือ 136 คน ไม่ยินยอมและได้ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำย้อนหลังตั้งแต่ปี 2560 ค่าล่วงเวลา ค่าจ้างในการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าชดเชย ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ซึ่งมีการฟ้องร้องคดีต่อศาลแรงงานภาค 6 ตามคดีหมายเลขดำที่ ร324/2564 ศาลมีคำพิพากษาแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานในส่วนของค่าชดเชย โดยสั่งจ่ายเพิ่มขึ้นตามอายุงานจริงที่นำสืบได้ภายหลัง ตามคดีหมายเลขแดงที่ ร1030/2565 ปัจจุบันนายจ้าง (โจทก์) และลูกจ้างกับพวกรวม 136 คน (ผู้ร้องสอด) อยู่ในระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษาศาลแรงงานภาค 6 เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.65
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่สอด ภ.จว.ตาก ร่วมกับเจ้าหน้าที่สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ดำเนินการสอบสวนปากคำแรงงานทั้งหมด โดยจะประสานกับทีมสหวิชาชีพ จัดหาสถานที่สอบสวน และประสานหาล่ามแปลภาษา เพื่อเป็นการรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นไปตามข้อเท็จจริง นอกจากนั้นจะให้ทางอุตสาหกรรมจังหวัด เตรียมจัดหาตำแหน่งงานมารองรับ เพื่อความปลอดภัยและสบายใจของแรงงาน เนื่องจากแรงงานดังกล่าวไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้ เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด รวมถึงการสู้รบตามแนวชายแดน ในส่วนของลูกจ้างที่เข้าให้ปากคำกับตำรวจ จะได้ประสานตำรวจท้องที่ เพื่อให้ประสานกับเจ้าของโรงงาน เพื่อให้ได้รับการดูแลตามสิทธิ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า หลังจากที่ได้ทราบเหตุดังกล่าว ได้ประสานกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เพื่อให้มาร่วมตรวจสอบกรณีดังกล่าวโดยเร่งด่วนทันที ซึ่งจากการตรวจสอบในเบื้องต้น หลังจากที่ได้เดินดูภายในสถานที่ทำงานและบ้านพัก ได้มีโอกาสพูดคุยกับแรงงานบางส่วนพบว่า ทางบริษัทมีปัญหาในการจ่ายแรงงานให้กับลูกจ้าง ซึ่งเป็นคดีอยู่ในศาลแรงงานในขั้นตอนของการอุทธรณ์ ส่วนในเรื่องของความผิดเกี่ยวกับแรงงานบังคับนั้น ขณะนี้ได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เตรียมการนำแรงงานทั้งหมดเข้ากระบวนการคัดแยกเหยื่อ เพื่อรวบรวมข้อมูลและพยานหลักฐาน หากพบว่ามีการกระทำผิดจริง ก็จะดำเนินคดีในทุกมิติ ทั้งความผิดตาม พ.ร.บ.แรงงาน และค้ามนุษย์ ในส่วนของแรงงานนั้น ก็ได้ประสานอุตสาหกรรมจังหวัดให้ช่วยหาทางออกในเรื่องของตำแหน่งงานมารองรับในระหว่างที่แรงงานไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้ รวมทั้งให้ทางเจ้าของโรงงานดูแลความเป็นอยู่ให้กับลูกจ้าง ให้รู้สึกไม่กดดันระหว่างการทำงาน ซึ่งมาตรการทั้งหมดนี้ จะต้องเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน ก่อนที่ปัญหาดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการจัดลำดับปัญหาการค้ามนุษย์ในประเทศไทย เนื่องจากในขณะนี้ อยู่ระหว่างที่คณะกรรมการเขียนรายงานเพื่อยื่นเสนอให้พิจารณา ก่อนจะมีการประกาศผลช่วงต้นปี 2566

ปฏิบัติการทลายแก๊งปล่อยเงินกู้นอกระบบดอกเบี้ยโหดผ่านแอปพลิเคชันส่งข้อความข่มขู่ลูกหนี้รวบนายทุนจีนพร้อมพวก 19 ราย พบเงินสะพัดในระบบกว่า 2,500 ล้านบาท

ในช่วงระหว่างปลายปี 64 ถึงปี 65 ได้มีผู้เสียหายมาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ปอศ. กรณีกู้เงินมาจากแอปพลิเคชันเงินกู้นอกระบบชื่อ กระเป๋าให้ท่านมีที่ยืม และ Self service รวมถึงแอปพลิเคชันอื่นที่เกี่ยวข้องอีกกว่า 40 แอปพลิเคชัน โดยเรียกดอกเบี้ยโหดกว่าร้อยละ 2,080 ต่อปี นอกจากนั้นยังมีพฤติการณ์ข่มขู่จะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกหนี้ เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับความเสียหาย จากกรณีดังกล่าว ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปน.ตร.) นำโดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปน.ตร., พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช ผู้ช่วย ผบ.ตร./ รอง ผอ.ศปน.ตร., พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปน.ตร. ได้สั่งการให้ บช.ก. เร่งรัดปราบปรามแอปพลิเคชันเงินกู้นอกระบบที่เอารัดเอาเปรียบประชาชน เรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรากว่าที่กฎหมายกำหนด และมีการข่มขู่คุกคามผู้กู้ให้ได้รับความเดือดร้อน พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. จึงได้มอบหมายให้ บก.ปอศ. โดย พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ. ดำเนินการสืบสวนหาเครือข่ายผู้กระทำความผิดดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย
ต่อมาวันที่ 15 ธ.ค.65 พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบช.ภ.1 /หัวหน้าชุดปฏิบัติการส่วนกลาง ศปน.ตร. พร้อมด้วยชุดปฏิบัติการ บก.ปอศ. ร่วมบูรณาการกับ น. ภ.1 ภ.2 ภ.5 และ ภ.7 รวมกำลังทั้งสิ้นกว่า 100 นาย บุกทลายเครือข่ายลักลอบปล่อยเงินกู้นอกระบบผ่านแอปพลิเคชันชื่อ “Self service” และ แอปพลิเคชันอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกว่า 40 แอปพลิเคชัน ซึ่งมีพฤติการณ์ในการปล่อยเงินกู้ เรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ทวงถามหนี้โดยส่งข้อความข่มขู่คุกคามผู้เสียหาย ซึ่งจากการสืบสวนพบว่ามีกลุ่มทุนชาวจีนอยู่เบื้องหลัง โดยเจ้าหน้าที่สามารถพิสูจน์ทราบบุคคลที่เกี่ยวข้องกับแอพลิเคชั่นดังกล่าว และออกหมายจับผู้ต้องหาจำนวน 23 หมาย ผู้ต้องหา 22 ราย และได้ปฏิบัติการเข้าตรวจค้นเป้าหมายจำนวน 22 จุด ในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี เชียงราย พะเยา ชลบุรี และ ประจวบคีรีขันธ์ สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ทั้งหมด 20 หมาย ผู้ต้องหา 19 ราย ประกอบด้วย

  1. น.ส.เปา ลู่ ซัน สัญชาติจีน อายุ 34 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ 828/2565 ลง 13 ธ.ค.65
  2. น.ส.ไช่ ซิง เหมย สัญชาติจีน อายุ 29 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ 829/2565 ลง 13 ธ.ค.65 และหมายจับของศาลจังหวัดชลบุรี ที่ 737/2565 ลง 13 ธ.ค.65
  3. น.ส.กรรณฐภรรฐ ชัยโชค อายุ 32 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ 821/2565 ลง 13 ธ.ค.65
  4. นายกิติศักดิ์ ไตรรักษ์ฐาปนกุล อายุ 33 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ 818/2565 ลง 13 ธ.ค.65
  1. น.ส.ดวงนภา วงค์วาล อายุ 37 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 825/2565
    ลง 13 ธ.ค.65
  2. น.ส.พรรณรัตน์ ผ่องพรรณ์ อายุ 28 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 822/2565 ลง 13 ธ.ค.65
  3. น.ส.น้ำฝน บุญยะมหา อายุ 27 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 823/2565
    ลง 13 ธ.ค.65
  4. น.ส.บุญเพ็ง นาพรม อายุ 47 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 824/2565
    ลง 13 ธ.ค.65
  5. นายคณิน อุดมเดช อายุ 25ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ 820/2565 ลง 13 ธ.ค.65
  6. นายสราวุฒ ดงพลับ อายุ 25 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 819/2565
    ลง 13 ธ.ค.65
  7. น.ส.ปราณี สินทิพย์ลา อายุ 29 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 817/2565
    ลง 13 ธ.ค.65
  8. นายอำนาจ อุส่าห์การ อายุ 48 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 826/2565 ลง 13 ธ.ค.65
  9. น.ส.ดารณี เกิดพา อายุ 32 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ที่ 827/2565 ลง 13 ธ.ค.65
    1. นางสาวพัชรินทร์ ศรีสุข อายุ 50 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดชลบุรี ที่ 728/2565 ลง 13 ธ.ค.65
  10. นางสาวสุพรรษา ชาติพจน์ อายุ 25 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดชลบุรี ที่ 729/2565 ลง 13 ธ.ค.65
  11. นายเกรียงไกร กลิ่นจันทร์ อายุ 50 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดชลบุรี ที่ 733/2565 ลง13 ธ.ค.65
  12. นายธนดล รัศสง่า อายุ 31 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดชลบุรี ที่ 734/2565 ลง 13 ธ.ค.65
  13. นางสาวศิริพร วันดี อายุ 25 ปี ตามหมายจับของศาลจังหวัดชลบุรี ที่ 735/2565 ลง 13 ธ.ค.65
  14. นางสาวคนึง แสนสุข อายุ 58 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดชลบุรี ที่ 730/2565 ลง 13 ธ.ค.65
    โดยผู้ต้องหาทั้ง 19 ราย จะถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับเป็นทางการค้าปกติโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง,ร่วมกันให้กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และร่วมกันทวงถามหนี้ในลักษณะข่มขู่”
    นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังสามารถตรวจยึดของกลางได้ รวม 7 รายการ ประกอบด้วย
  15. สมุดบัญชีเงินฝาก จำนวน 5 เล่ม
  16. คอมพิวเตอร์ จำนวน 3 เครื่อง
  17. บัตรอิเล็คทรอนิกส์ จำนวน 3 ใบ
  18. โทรศัพท์มือถือ จำนวน 2 เครื่อง
  19. ซิมการ์ด จำนวน 4 ซิม
  20. เราเตอร์ จำนวน 1 เครื่อง
  21. อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ จำนวน 5 เครื่อง
    และได้อายัดบัญชีเงินฝากที่เกี่ยวข้อง จำนวน 33 บัญชี ยอดเงิน 5,293,869.77 บาท

จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่าแอพลิเคชั่น กระเป๋าให้ท่านมีที่ยืม และ Self service มีลักษณะคล้ายกันโดยเมื่อดาวน์โหลดแอปพลิชันแล้ว จะพบว่าภายในแอปพลิชันดังกล่าวมีแอปพลิเคชันย่อยแอบแฝงอยู่กว่า 40 แอปพลิเคชัน ซึ่งลูกหนี้สามารถเลือกกู้เงินได้ โดยมีการคิดค่าบริการร้อยละ 40 ของยอดเงินกู้ ต่อ 7 วัน หรือคิดดอกเบี้ยกว่า ร้อยละ 2,080 ต่อปี เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนดเวลา ก็จะโทรศัพท์และส่งข้อความมาทวงถาม ในลักษณะข่มขู่คุกคามว่าจะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล จากการสืบสวนเพิ่มเติม พบว่าผู้อยู่เบื้องหลังคือนายทุนชาวจีนที่เป็นผู้รับผลประโยชน์และเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กับแอปพลิเคชันดังกล่าว ซึ่งหลังจากที่มีการเปิดปฏิบัติการทลายแก๊งปล่อยเงินกู้ในครั้งนี้ มีความพยายามจะหลบหนีไปออกนอกประเทศ แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปน.ตร. และชุดปฏิบัติการส่วนกลางติดตามจับกุมตัวได้ในที่สุด
ในส่วนของแอปพลิเคชัน“กระเป๋าให้ท่านมีที่ยืม” มีแอปพลิเคชันอื่นที่เกี่ยวข้องกว่า 20 แอปพลิเคชัน จากการตรวจสอบพบว่าไม่เคยได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้กำกับแต่อย่างใด โดยภายในระยะเวลา 6 เดือน กลุ่มคนร้ายใช้บัญชีธนาคารกว่า 20 บัญชี ในการกระทำความผิด มียอดเงินหมุนเวียนสูงถึง 1,000 ล้านบาท เมื่อได้กำไรจากการปล่อยเงินกู้นอกระบบแล้วจะรีบโอนเงินออกเป็นทอดๆ ในระยะเวลาที่รวดเร็ว และในส่วนของแอปพลิเคชัน“Self service” พบว่าไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้กำกับเช่นเดียวกัน โดยภายในระยะเวลา 6 เดือน พบว่ากลุ่มคนร้ายใช้บัญชี 11 บัญชี ในการกระทำความผิด มียอดเงินหมุนเวียนกว่า 1,500 ล้านบาท และมีการโอนเงินออกเป็นทอดๆ เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ทั้งสองแอพลิเคชั่นมีการนำกำไรดังกล่าวไปซื้อเป็นเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สินค้าและบริการ เพื่อให้ยากต่อการถูกตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ในวันนี้ ศปน.ตร. ซึ่งมีหน้าที่ในการปราบปรามแก๊งเงินกู้นอกระบบ ซึ่งปัจจุบันมีการกระทำผิดในหลายรูปแบบ ซึ่งปฏิบัติการในครั้งนี้ได้เข้าทลายแก๊งเงินกู้นอกระบบผ่านแอพลิเคชั่น ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงผู้ที่ต้องการกู้ได้ง่ายมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้กู้ผ่านทางโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งแก๊งเหล่านี้จะเอามาใช้ในการข่มขู่เพื่อให้ผู้กู้ยินยอมชำระดอกเบี้ยมหาโหดถึงร้อยละ 40 ต่อ 7 วัน หรือร้อยละ 2,080 ต่อปี เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องรวมทั้งนายทุนชาวจีนที่อยู่เบื้องหลังแอพลิเคชั่นดังกล่าว พร้อมทั้งยึดทรัพย์สินและบัญชีที่ใช้ในการกระทำความผิดได้ ซึ่งจากนี้จะสั่งการให้มีการตรวจสอบทรัพย์สินเพิ่มเติมที่ติดตามยึดอายัดเพื่อนำมาดำเนินคดีตามกฎหมาย และจะมีการตรวจสอบการกระทำผิดในลักษณะของการปล่อยเงินกู้นอกระบบ เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายต่อไป หากพี่น้องประชาชนคนใดได้รับความเดือดร้อนจากแก๊งเงินกู้ หรือมีเบาะแสที่เป็นประโยชน์ สามารถแจ้งได้ที่ช่องทาง 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือสามารถแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ได้เช่นกัน
สุดท้ายนี้ ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอฝากเตือนภัยถึงประชาชน อย่าหลงเชื่อในการกู้เงินจากแหล่งเงินกู้นอกระบบ ซึ่งไม่มีความน่าเชื่อถือและไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งยังเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ขอให้ใช้ความระมัดระวังในการอนุญาตให้ผู้อื่นเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลทางช่องทางต่างๆ เช่น การอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลโทรศัพท์ หากต้องการตรวจสอบแหล่งเงินกู้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย สามารถตรวจสอบใบอนุญาตการปล่อยสินเชื่อได้ที่ช่องทางดังต่อไปนี้

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย เว็บไซต์ https://www.bot.or.th/app/BotLicenseCheck
  • สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เว็บไซต์ http://www.1359.go.th/picodoc/comp.php
    ช่องทางการติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
    พ.ต.ต.วรวุฒิ คงรักษา สว.กก.5 บก.ปอศ. โทร 094 439 2557
    พ.ต.ต.สุทธิพงษ์ จันทพันธ์ สว.กก.5 บก.ปอศ. โทร 092 938 8593
    “ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด”

ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
“สายด่วน 1599”

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นำทีมขยายผลจับผู้ต้องหา 2 คดีพื้นที่เชียงใหม่คนจีนสวมบัตร และแก๊งจีนไลฟ์สดมีเพศสัมพันธ์

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.65 ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุกลุ่มคนร้ายลักพาตัวนายเหริน ไฮ่ ป๋อ สัญชาติจีน โดยมี น.ส.อริสรา ศุภสิริบัณฑิตย์ แฟนสาวสัญชาติไทยมาแจ้งความเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถสืบสวนจับกุมผู้ก่อเหตุชาวจีนได้ทั้ง 2 ราย ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา ภ.จว.ชลบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมายไปแล้วนั้น
ในระหว่างการสืบสวนคดีดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการสอบปากคำ น.ส.อริสรา ศุภสิริบัณฑิตย์ เพื่อเป็นพยานในคดีดังกล่าว ระหว่างการสอบสวนเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวของ น.ส.อริสราฯ เจ้าหน้าที่พบพิรุธหลายอย่าง อาทิเช่น ไม่สามารถระบุชื่อและใบหน้าของพ่อแม่ของตนได้ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเกิดข้อสงสัยในประเด็นดังกล่าว จึงได้นำเรียน่ให้ผู้บังคับบัญชาทราบ กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปตรวจสอบประวัติของ น.ส.อริสราฯ โดยละเอียด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ไปตรวจสอบกับพ่อและแม่ของ น.ส.อริสราฯ ที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ โดยเจ้าหน้าที่ได้นำรูปของ น.ส.อริสราฯ ให้ทั้งสองดู ยืนยันว่าไม่เคยรู้จักและไม่เคยเห็นหน้าบุคคลดังกล่าวมาก่อน โดยยืนยันว่า ทั้งคู่เคยมีบุตรสาวชื่อ น.ส.อริสรา ศุภสิริบัณฑิตย์ จริง แต่เสียชีวิตแล้วตั้งแต่อายุ 2 ขวบเท่านั้น แต่ไม่ได้มีการแจ้งการเสียชีวิต เนื่องจากที่พักอยู่ในถิ่นกันดาร เดินทางลำบาก เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เดินทางไปตรวจสอบข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ณ ที่ว่าการอำเภอเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ น.ส.อริสราฯ ขอมีบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อตรวจสอบรายชื่อเจ้าหน้าที่ที่ออกบัตรให้ น.ส.อริสราฯ เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.65 และรวบรวมพยานหลักฐานและซักถามปากคำบุคคลที่เกี่ยวข้อง จนสามารถดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้จำนวน 4 ราย ประกอบด้วย

  1. นายเพิ่มเกียรติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ปลัดอำเภอเชียงดาว (จับกุม)
  2. นายอาเบ แซ่ลี่ กำนัน และผู้ดูแลมูลนิธิ (จับกุม)
  3. นายอมรเทพ ปุกคำ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ (จับกุม)
  4. นายวาเซ คล่องดารณี บิดาของ น.ส.อริสราฯ ตัวจริง (หลบหนี)
    จากการสืบสวนทราบว่า นายเหรินไฮ่ป๋อ แฟนของ น.ส.อริสราฯ ได้ติดต่อกับนายอาเบฯ และนายอมรเทพฯ เพื่อให้ทำบัตรประชาชนให้ โดยได้มีการโอนค่าใช้จ่ายรวมเป็นเงินกว่า 7 แสนบาทสำหรับค่าดำเนินการ โดยมีการแบ่งให้ผู้ร่วมขบวนการทั้ง 4 ราย มีนายอาเบและนายอมรเทพเป็นคนดำเนินการ โดยได้มีการพาตัวนายวาเซฯ ซึ่งเป็นพ่อของ น.ส.อริสราฯ ตัวจริง ให้มารับสมอ้างเป็นบิดา แต่เนื่องจากนายวาเซฯ ไม่เคยเห็นหน้าของผู้ว่าจ้างมาก่อน ทำให้ตอนที่เจ้าหน้าที่ไปซักถามจึงแจ้งว่าไม่รู้จักบุคคลดังกล่าว และมีนายเพิ่มเกียรติฯ เป็นเจ้าหน้าที่ในการออกบัตรให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาจำนวน 4 ราย ในความผิดฐาน เป็นผู้สนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสาร หรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำตามหน้าที่ รับรองเป็นหลักฐานว่าตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใด ได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นเท็จด้วยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ, แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, ปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ, แจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จฯ, ร่วมกับบุคคลที่มิได้มีสัญชาติไทย ยื่นคำขอมีบัตรด้วยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
    นอกจากนี้ ได้ดำเนินคดีกับ น.ส.อริสรา ศุภสิริบัณฑิตย์ หรือ น.ส.หย่ง ในความผิดฐาน เป็นคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ทำ ใช้ หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ หรือกระทำการเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นมีชื่อ หรือมีรายการอย่างหนึ่งอย่างใดในทะเบียนบ้านหรือเอกสารการทะเบียนราษฎร์อื่นโดยมิชอบ, แจ้งข้อความหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในการขอมีบัตรประจำตัวประชาชน, แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, แจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน, ใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน, และเป็นคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ทำหรือใช้ หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ หรือกระทำการเพื่อให้ตนเองมีชื่อ หรือมีรายการอย่างหนึ่งอย่างใดในทะเบียนบ้านหรือเอกสารทะเบียนราษฎร์อื่นโดยมิชอบ

อีกกรณีหนึ่ง เป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการขยายผลจับกุมกรณีแก๊งชาวจีนไลฟ์สดการมีเพศสัมพันธ์ผ่านแอบจีนชื่อ ตาต้าไลฟ์ หลังจากที่เมื่อวันที่ 26 พ.ค.65 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ TICAC ได้มีการเข้าตรวจค้นรีสอร์ท 2 แห่ง ในพื้นที่ จ.เชียงราย ตรวจพบแก๊งคนจีนเช่าสถานที่ดังกล่าวในการไลฟ์สดมีเพศสัมพันธ์ผ่านแอพจีน โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 14 คน รวมทั้งบุคคลต่างด้าวสัญชาติลาวอีก 30 คน และต่อมาเมื่อวันที่ 19 ต.ค.65 ได้ทำการขยายผลจากกรณีดังกล่าว จนสามารถดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้อีกจำนวน 5 ราย และตัวนักแสดงอีก 19 ราย ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอข่าวไปแล้ว นั้น
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ตม.3 ได้ทำการตรวจสอบแอพที่ใช้ในการถ่ายทอดสดการมีเพศสัมพันธ์พบว่า ยังมีการถ่ายทอดสดอยู่ จึงได้ทำการสืบสวนเพิ่มเติมจนทราบว่า มีการใช้สถานที่ในการถ่ายทำดังกล่าวที่บริเวณคอนโดอาคาเดีย บีช คอนติเนนทอล หมู่ 10 ซ.ทัพพระยา 9 ถ.ทัพพระยา ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี พื้นที่ สภ.เมืองพัทยา เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ตม.3 ร่วมกับ สภ.เมืองพัทยา จึงได้ขอหมายค้นต่อศาลจังหวัดพัทยา เข้าค้นภายในห้อง D801 คอนโดอาคาเดีย บีช คอนิเนนทอล พบกลุ่มผู้ต้องหากำลังถ่ายทอดสดการมีเพศสัมพันธ์อยู่ โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 7 ราย ประกอบด้วย

  1. นายอาหลง มาเยอะ ทำหน้าที่ล่ามแปลภาษาจีน และควบคุมการถ่ายทำ
  2. นายธันวา เรืองชิต นักแสดง
  3. นายพีรพล กำริสุ นักแสดง
  4. นายนนท์ธนา แถมสุข นักแสดง
  5. นายวรินทร์ลดา คำอ้วน นักแสดง
  6. นายสิทธิศักดิ์ คชสงคราม นักแสดง
  7. น.ส.จิราพัชร์ จันต๊ะนาเขต นักแสดง/จัดคิวนักแสดง/ดูแลสถานที่ถ่ายทำ
    จากการสอบถามทราบว่า ได้มีบอสคนจีนสั่งการมาชื่อว่า มะปราง หรือน.ส.เสว ลี่ เหว่ย อายุ 33 ปี ซึ่งอยู่ที่ประเทศจีน โดยยังมีนักแสดงที่ทำการหมุนเวียนมาถ่ายทำที่สถานที่ดังกล่าวอีกจำนวน 19 คน และมีคนทำหน้าที่ในการนำเงินค่าจ้างมาให้ รวมทั้งดูต้นทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงออกหมายจับในส่วนของผู้จัดการถ่ายทำเพิ่มอีก
  8. น.ส.เสว ลี่ เหว่ย หรือมะปราง เป็นบอส
  9. นายสุพรรณ ทรัพย์แย้ม เป็นผู้ดูแลการไลฟ์สด
  10. นายปิยะกร คำเสียง คนดูต้นทางและคนจ่ายเงินนักแสดง
  11. นายสมพงษ์ แซ่หยัง ล่ามแปลภาษาจีนและควบคุมการถ่ายทำ
  12. นายจี้ เจิ้ง แพน เป็นผู้รับเงินจาก น.ส.มะปราง มาจ่ายนักแสดง
    รวมทั้งยังออกหมายจับนักแสดงเพิ่มอีก 19 คน
    โดยทั้งหมดจะถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันเพื่อความประสงค์แห่งการค้า หรือโดยการค้า เพื่อการแจกจ่ายหรือเพื่อการแสดงอวดแก่ประชาชน ทำ ผลิต มีไว้ นำเข้าหรือยังให้นำเข้าในราชอาณาจักร ส่งออกหรือยังให้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พาไปหรือยังให้พาไปหรือทำให้แพร่หลายโดยประการใดๆ ซึ่งเอกสาร ภาพเขียน ภาพพิมพ์ ภาพระบายสี สิ่งพิมพ์ รูปภาพ ภาพโฆษณา เครื่อง หมาย รูปถ่าย ภาพยนตร์ แถบบันทึกเสียง แถบบันทึกภาพหรือสิ่งอื่นใดอันลามก, ร่วมกันประกอบการค้า หรือมีส่วนหรือเข้าเกี่ยวข้องในการค้าเกี่ยวกับวัตถุหรือสิ่งของลามกดังกล่าวแล้ว จ่ายแจกหรือแสดงอวดแก่ประชาชน หรือให้เช่าวัตถุหรือสิ่งของเช่นว่านั้น, และร่วมกันนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
    พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ในคดีแรกที่มีการขยายผลจับกุมได้นั้น เกิดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความใส่ใจในการทำงาน สามารถตั้งข้อสังเกตจากการซักถามปากคำ จนนำมาสู่การตรวจพบการกระทำความผิดของชาวจีนที่หาช่องทางในการสวมบัตรคนไทย เพื่อสามารถมาประกอบธุรกิจในประเทศไทยได้ โดยสามารถขยายผลจับกุมเจ้าหน้าที่รัฐที่เปิดช่องให้คนไม่ดีสามารถเข้ามากระทำความผิดในประเทศไทยได้ ซึ่งจากนี้จะได้สั่งการให้ขยายผลตรวจสอบเพิ่มเติมว่ามีชาวต่างชาติใช้วิธีการสวมบัตรคนไทยอีกหรือไม่ หากตรวจพบก็จะดำเนินคดีโดยเด็ดขาดจนถึงเจ้าหน้าที่รัฐทุกราย นอกจากนี้ ในส่วนของการขยายผลกลุ่มแก๊งชาวจีนที่ใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่ในการถ่ายทอดสดการมีเพศสัมพันธ์ผ่านแอพ หารายได้จากการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศ โดยครั้งนี้สามารถขยายผลจับกุมผู้ควบคุมการถ่ายทำและนักแสดงซึ่งเต็มใจมาร่วมกระทำความผิดดังกล่าวได้จำนวนมาก เป็นอีกคดีหนึ่งที่ชาวจีนบางส่วนที่ไม่ดีได้มาลงทุนทำธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย ดังนั้นจะยังมีการขยายผลเพื่อติดตามจับกุมบุคคลเหล่านี้ที่เข้ามาทำสิ่งผิดกฎหมายในประเทศไทย เพื่อนำมาดำเนินคดีและผลักดันออกจากประเทศไทยให้หมด รับเฉพาะคนดีเข้ามาช่วยเหลือพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวหน้าต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อม ป.ป.ส. เข้าตรวจโรงแรมดีวาลักษณ์ เชื่อมโยงตู้ห่าว

วันนี้ (15 ธ.ค.65) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย นายธนากร คัยนันท์ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. นายมานะ ศิริพิทยาวัฒน์ รอง เลขาธิการ ป.ป.ส. นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เข้าตรวจสอบโรงแรมดีวาลักซ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ บริษัท ดีวาลักซ์ รีสอร์ทแอนด์สปา จำกัด เลขที่ 88 หมู่ 3 ต.ศีรษะจรเข้น้อย อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทซึ่งอยู่ในรายชื่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือตู้ห่าว ผู้ต้องหาในคดีผับจินหลิง ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอข่าวไปแล้ว นั้น

โดยวันนี้เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบเอกสารเพิ่มเติม และได้มีการแจ้งเข้าควบคุมกิจการ โดย เลขาธิการ ป.ป.ส. อาศัยอำนาจตามมาตรา 73 วรรคสองประกอบมาตรา 68 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ มีคำสั่งให้ตรวจสอบทรัพย์สินของนายตู้ห่าว และแจ้งคำสั่งอายัดทรัพย์สินของบริษัท ดีวาลักซ์ รวมทั้งโฉนดที่ดินที่ตั้งของโรงแรมดังกล่าวจำนวน 5 แปลง รวมเนื้อที่ 37 ไร่ มูลค่ากว่า 2,970 ล้านบาท รวมทั้งรายได้อื่นใดที่อาจเกิดขึ้นหลังจากรับทราบคำสั่งนี้ จะต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.ทราบทั้งหมด และดำเนินการอายัดบัญชีธนาคารและบัญชีกองทุนในชื่อของนางพัชรินทร์ อิทธิวัฒนา ในฐานะกรรมการบริษัทดังกล่าว อีกจำนวน 7 บัญชี โดยมีนางพัชรินทร์ฯ รับทราบคำสั่งของ เลขาธิการ ป.ป.ส.
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า วันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้บูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เข้าตรวจสอบทรัพย์สินของนายตู้ห่าวเพิ่มเติม ซึ่ง ป.ป.ส.ได้มีคำสั่งอายัดที่ดินที่ตั้งโรงแรมและบัญชีธนาคารของโรงแรมดังกล่าว และเข้าควบคุมกิจการซึ่งเฉพาะที่ดินมีมูลค่าสูงถึง 2,970 ล้านบาท ซึ่งโรงแรมแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งในข้อมูลทรัพย์สินทั้งหมดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. ร่วมกันตรวจสอบ ดังนั้นขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยจะตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับมาอย่างละเอียดรอบคอบ และขยายผลยึดทรัพย์ของนายตู้ห่าวเพิ่มขึ้นให้ได้มากที่สุด รวมทั้งหากพบผู้ใดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดดังกล่าว จะนำตัวมาดำเนินคดีทั้งหมดแน่นอน

Design a site like this with WordPress.com
Get started