ทลายเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ยึดทรัพย์สินกว่าพันล้าน

(13 ธ.ค.2565) ที่บช.สอท. พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. , พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร.ในฐานะ ผอ.ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอล พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง , พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วยผบ.ตร. , พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นจับกุมเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และ จ.เชียงราย รวม 13 จุด

จุดที่น่าสนใจคือการเข้าตรวจค้น 5 ห้องชุด ภายคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง แขวงตลาดพลู เขตธนบุรี กรุงเทพฯ จับนายอรรถเศรษฐ ในข้อหา “ มีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท(เคตามีน) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย ” พร้อมตรวจยึดของกลางที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด เช่น เงินสด 2,650,000 บาท รถยนต์หรู 4 คัน , นาฬิกาหรู 39 เรือน , โฉนดที่ดิน 18 แปลง , สมุดบัญชีธนาคารต่าง ๆ 65 เล่ม , กระเป๋าแบรนด์เนมหรู 25 ใบ , เข็มขัดแบรนด์เนมหรู 5 เส้น , เคตามีน 3 ถุง , ตุ๊กตาแบร์บริค 59 ตัว , เครื่องประดับจำนวนมาก และ คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค

นอกจากนี้เข้าตรวจค้นบ้าน 3 หลังเป็นตึกแถวอาคารพาณิชย์ติดกันในซอยจรัญสนิทวงศ์ 68 แขวงบางพลัด เขตบางพลัด กรุงเทพฯ ก่อนทำการตรวจยึดของกลางเช่น รถยนต์เบนซ์ 1 คัน , รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู 1 คัน , สมุดบัญชีเงินฝาก 46 เล่ม , เงินสด 140,000 บาทโฉนดที่ดิน , สำเนาโฉนดที่ดินที่ต่าง ๆ 6 แปลง ,ใบกองทุนบริษัทต่าง ๆ 2 ชุด , ใบจองหุ้นบริษัทต่าง ๆ 4 ชุด , เช็คเงินสดและแคชเชียร์เช็ค 14 ใบ , ใบหุ้นกู้บริษัทต่าง ๆ 7 ชุด , กระเป๋าแบรนด์เนมหรู 23 รายการ , นาฬิกาแบรนด์เนมหรู 3 เรือน ไว้ทำการตรวจสอบ

นอกจากนี้ยังจับนายบุญประสิทธิ์ ซึ่งทำหน้าที่ม้าเบิกถอนเงิน ตามหมายจับของศาลอาญา 2784/2565 ลงวันที่ 9 ธ.ค.
2565 ในความผิดฐาน “ ร่วมกันเป็นผู้จัดให้มีการเล่นหรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นซึ่งมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน และร่วมกันฟอกเงิน ” ที่ห้องพักเลขที่ 328 อพาร์ตเม้นต์แห่งหนึ่ง ซ.เพชรเกษม 48 แขวงบางด้วน เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ และจับนายกิตติกร นายรุ่งอรุณ และ น.ส.ทองทัย ซึ่งเป็นเจ้าของบัญชีม้า ตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 2781 – 2783/2565 ลงวันที่ 9 ธ.ค.2565 ในความผิดฐาน “ ร่วมกันเป็นผู้จัดให้มีการเล่นหรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนัน ในการเล่นซึ่งมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน และร่วมกันฟอกเงิน ” ได้ที่อ.แม่สาย จ.เชียงราย

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากมีเว็บไซต์พนันออนไลน์บัญชีหนึ่ง เปิดทายผลพนันฟุตบอลโลกและยังมีการจัดให้มีการเล่นพนันออนไลน์อีกหลายประเภท โดยมีสมาชิกเว็บไซต์ดังกล่าวจำนวนมาก อีกทั้งมีการเสนอการฝาก ถอน เงินสดสำหรับเป็นเครดิตในการเล่นพนันผ่านธนาคาร และเว็บไซด์มีระบบฝากถอนอัตโนมัติ ประกาศโฆษณาหรือชักชวนให้ผู้อื่นเข้าเล่นผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และป้ายโฆษณาทางเว็บไซต์อย่างเปิดเผย

โดยผู้เล่นจะต้องโอนเงินเข้าไปในระบบจะถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารที่ผูกกับเว็บไซต์ ก่อนโอนต่อไปยังกลุ่มบัญชีม้า เพื่อปกปิดเส้นทางการเงิน จากนั้นจะมีคนทำหน้าที่ถอนเงินสดออกจากบัญชีม้าโดยตระเวนถอนเงินหลายธนาคารในพื้นที่ต่าง ๆ นำเงินไปมอบให้ตามคำสั่งของกลุ่มนายทุน จึงได้ทำการขยายผลจนทราบที่ตั้งของขบวนการดังกล่าว ทั้งเจ้าของเว็บที่สั่งการควบคุมด้านการตลาด , แอดมิน , จุดการดำเนินการเรื่องการเงินรับโอนเข้าออกของเว็บไซต์พนันออนไลน์ ข้อมูลสืบสวน ตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า มีเงินหมุนเวียนกว่า 3,000 ล้านบาท

พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ กล่าวอีกว่า ได้สั่งการให้ขยายผลเป็นนายทุนใหญ่ ซึ่งอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลออกหมายจับอย่างไรก็ตามทรัพย์สินที่ยึดได้มีมูลค่าสูงกว่าพันล้านบาท ขบวนการนี้มีการยักย้ายถ่ายเทสินทรัพย์ เป็นสินทรัพย์ต่าง ๆ ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ที่ดินสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ โดยในส่วนของที่ดินตรวจยึดได้ทั้ง 18 แปลง มูลค่าสูงกว่า 600 ล้านบาท นาฬิกาหรูกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งบางเรือนอย่าง ริชาร์ด มิลล์ มีราคาสูงถึง 25 ล้าน นอกจากนี้ยังพบว่าทุกครั้งที่มีการโอนเงินเป็นรายได้จะมีการโอนไปเทรดหุ้น ซึ่งมีมูลค่า 160 ล้านบาท.

ขอบคุณภาพ :: เจ้าของภาพ #เครือข่ายพนันออนไลน์ #ยึดทรัพย์ #ฟุตบอลโลก #ตำรวจไซเบอร์ #ดาวแปดแฉก

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ พร้อมคณะเดินทางประชุมระหว่างประเทศด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ ณ กรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์

เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.65 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) พร้อมคณะผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้แทน DSI ได้เดินทางเข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 8 จัดขึ้น ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยภายในการประชุมดังกล่าว ได้มีผู้แทนหน่วยงานด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์จากประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมดมาร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก รวมทั้งผู้แทนหน่วยงานและองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น โครงการ ASEAN-ACT และประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น
ในการประชุมระหว่างประเทศครั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้มีโอกาสในการแสวงหาความร่วมมือในการปราบปรามการค้ามนุษย์ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนได้มากยิ่งขึ้น และได้มีโอกาสในการนำเสนอการทำงานของ ศพดส.ตร. การแบ่งโครงสร้างการปฏิบัติซึ่งมีความครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งผลงานการปฏิบัติของ ศพดส.ตร. และชุดปฏิบัติการ TICAC ในรอบปีที่ผ่านมา โดยที่ประชุมให้ความสนใจในเรื่องของแผลกลยุทธ์ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ใช้เป็นหลักในการขับเคลื่อนในด้านการบังคับใช้กฎหมาย ที่ทำให้ประเทศไทยสามารถขยับขึ้นไปอยู่ Tier 2 ได้ ซึ่งเกิดจากการให้ความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย การยึดหลักผู้เสียหายเป็นศูนย์กลางเพื่อบรรเทาความสูญเสียและได้รับความร่วมมือมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการบูรณาการทำงานร่วมกันกับทุกภาคส่วนเช่น พม. แรงงาน หรือภาคประชาสังคมต่างๆ ที่ร่วมกันแจ้งเบาะแส เข้าช่วยเหลือเหยื่อจากการค้ามนุษย์ รวมทั้งเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสมและทันเวลา โดยหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมในครั้งนี้ การดำเนินการปราบปรามการค้ามนุษย์ในภาพรวมของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนจะเป็นไปในแนวทางที่ดีขึ้น และเชื่อว่าประเทศไทยจะได้ประโยชน์จากการแสวงหาความร่วมมือจากการประสานงานผ่านการประชุมในครั้งนี้

เจอด่านต้องทำอย่างไร! ศจร.ตร.ชี้วิธีสังเกตจุดตรวจกวดขันวินัยจราจรที่ถูกต้อง แนะการถ่ายภาพ – คลิป พิจารณาก่อนแชร์

เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2565 พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศจร.ตร.) แจ้งประชาสัมพันธ์ประชาชน เรื่องการตั้งจุดตรวจของตำรวจจราจร ตามแนวปฏิบัติในการกวดขันวินัยจราจรเพื่อความปลอดภัยของทุกคนบนท้องถนน

พล.ต.ต.นิธิธรฯ กล่าวว่า ตำรวจจราจร ตำรวจทางหลวง เป็นเจ้าพนักงานจราจรตามกฎหมาย พ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ศ.2522 มีอำนาจหน้าที่ตั้งจุดตรวจ เพื่อกวดขันวินัยจราจรป้องกันอุบัติเหตุ และป้องกันปราบปรามอาชญากรรมบนท้องถนน ป้องกันปราบปราม สอดส่องดูพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมบนท้องถนน โดยด่านตรวจ หรือจุดตรวจ ต้องมีนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร ระดับรองสารวัตรขึ้นไปเป็นหัวหน้ากำกับควบคุม

พล.ต.ต.นิธิธร ฯ กล่าวด้วยว่า เมื่อพบจุดตรวจ หรือด่านตรวจ กรุณาให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบ สอบถาม แสดงเอกสารหลักฐาน ทั้งนี้การขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 ผู้ใดต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการต่อสู้หรือขัดขวางนั้น ได้กระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือ ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีหรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้หากขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน ซึ่งสั่งการตามอำนาจตามกฎหมาย โดยไม่มีเหตุ หรือข้อแก้ตัวอันสมควร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 วัน หรือปรับไม่เกิน 500 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“การถ่ายภาพ ถ่ายคลิปเจ้าหน้าที่ตำรวจขณะปฏิบัติหน้าที่สามารถทำได้ แต่หากนำไปเผยแพร่ ต้องพิจารณาด้วย หากเป็นการเผยแพร่โดยสื่อความหมายในทางมิชอบ ผิดจากข้อเท็จจริง ทำให้เกิดความเสียหาย อาจเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา หรืออาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14 หากนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ที่ก่อเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ทั้งนี้มีคดีตัวอย่างที่ศาลพิพากษาลงโทษแล้ว” พล.ต.ต.นิธิธรฯ กล่าว

รอง ผบช.น. กล่าวอีกว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. มีความห่วงใยพี่น้องประชาขนจึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศจร.ตร. ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจตามกฎหมาย หลักยุทธวิธีตำรวจ สามารถตรวจสอบได้จากประชาชน
ทั้งนี้หากท่านพบเห็นการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่โปรดแจ้ง ศปก.ตร. โทร. 1599 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เราช่วยท่านได้ พร้อมตรวจสอบและให้ความเป็นธรรม


เปิดหลักฐาน #บ่อนโอนตังค์ #ให้นักข่าว

คุณเอกภพ​ เหลืองประเสริฐ​ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด​ ถูกอ้างชื่อรับเงินบ่อนอาร์ต​ เจริญกรุง​ ซอย​2 พื้นที่​ สน.พระราชวัง

3หมื่นบาทเจ้าของบ่อนยืนยันจ่ายจริง

สืบสาวราวเรื่อง​ จนทราบว่า​ มี​บุคคล​อ้างเป็นนักข่าวสำนักใหญ่​ สะพายกล้อง​ขึ้นโรงพัก บีบผู้กำกับ
เรียก​อาร์ต​ บ่อนเจริญกรุง​ ซอย​ 2​ มาเคลียร์​ ผ่านคนใช้ชื่อ​ อานพ​

เจรจาเรียกตบทรัพย์4หมื่นบาทแต่เจ้าของบ่อนของจบจ่ายครั้งแรก15000บาท

เพจสายไหมต้องรอดไม่ยอมรวบรวมหลักฐานเอาเรื่อง
ไปไล่เบี้ย​ กับเจ้าของบ่อน​ที่อ้างจ่ายจริงพบว่า​ จ่ายครั้งแรก15000บาท
วันถัดมา​อ้างทำโรงทาน​ขออีก500​0บาท​ ต่อมาขออีก อ้างเอาไปดูแลผู้ใหญ่​ ตัดรำคาญโอนไป​ 4500 บาท
คุณเอกภพ​ เหลืองประเสริฐ​ บอกทำดันเป็นขบวนการ​ ลงข่าวตี​ แล้วให้คนไปเดินเคลียร์
อ้างต้องจ่ายสื่อทุกสำนัก​ และเพจดังทุกที่​

ใช้ชื่ออานพ….

ตั้งคำถาม​ : เจ้าของสื่อใหญ่​ ใช้นักข่าวหากินกับบ่อนแล้วใช่ไหม!!!
.
https://www.facebook.com/282260995579164/posts/1551084645363453/?mibextid=Nif5oz
.

#บิ๊กเกรียน

กรมศุลกากรร่วมกับหน่วย SITF ปิดกั้นเส้นทางลักลอบลำเลียงยาเสพติด“ยึดเฮโรอีน 45 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 1,350 ล้านบาท ณ ท่าเรือกรุงเทพฯ ส่งออสเตรเลีย”

วันนี้ (10 ธันวาคม 2565) เวลา 13.00 น. นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร พร้อมด้วย
นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี
นายพงศ์เทพ บัวทรัพย์ รองอธิบดี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร พ.ต.อ.ณรัชต์พล
เลิศรัชตะปภัสร์ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ นายถวัลย์ รอดจิตต์ ผู้อำนวยการกองสืบสวนและปราบปราม และหน่วย SITF โดย พ.ต.อ. จตุรภัทร์ ภิรมย์แก้ว รอง ผบก. ปส.1 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และเรือโทภูมิ แสงคำ ผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ ร่วมแถลงข่าวการตรวจยึดยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน) น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 45 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 1,350 ล้านบาท (ประเทศปลายทาง) ณ ศูนย์เอกซเรย์และเทคโนโลยีศุลกากร สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ กรมศุลกากร

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่าจากปัญหาการลักลอบส่งออกยาเสพติดที่ปรากฎในปัจจุบัน กรมศุลกากรในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้า-ส่งออกยาเสพติด
อีกทั้งคำสั่งศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ที่ 11/2564 แต่งตั้งอธิบดีกรมศุลกากรเป็นประธานอนุกรรมการ กรมศุลกากรจึงเร่งรัดดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อสกัดกั้นการลักลอบเคลื่อนย้ายยาเสพติด
ข้ามชาติให้ได้ผลอย่างเป็นรูปธรรม

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2565 สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ ร่วมกับกองสืบสวนและปราบปราม
กรมศุลกากร พบสินค้าต้องสงสัยที่มีความเสี่ยงสูงในการลักลอบลำเลียงยาเสพติดไปยังต่างประเทศ โดยสำแดงชนิดสินค้าเป็นเครื่องผสมแป้งโด (DOUGH MIXER MACHINE WITH ELECTRIC) ส่งออกทางท่าเรือกรุงเทพ ประเทศไทย ปลายทางบริสเบน (BRISBANE) ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งตรงกับเงื่อนไขความเสี่ยง (Local Profile) เบื้องต้นจากผลการวิเคราะห์ภาพเอกซเรย์พบความผิดปกติภายในสินค้า จึงได้ดำเนินการตรวจสอบทางกายภาพโดยละเอียด
พบยาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 (เฮโรอีน) ในลักษณะซุกซ่อนภายในเครื่องผสมแป้งโด น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 45 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 135 ล้านบาท หากส่งออกไปยังประเทศออสเตรเลีย จะมีมูลค่าในราคาขายสูงถึง 1,350 ล้านบาท จึงได้ร่วมกันกับหน่วย SITF โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม
ยาเสพติด (ป.ป.ส.) และกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ตรวจยึดพร้อมทั้งขยายผล
หาผู้เกี่ยวข้องต่อไป

อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวต่ออีกว่า สำหรับสถิติจับกุมยาเสพติด ตั้งแต่ 1 มกราคม – 10 ธันวาคม 2565 จับกุมได้ 154 ราย มูลค่า 3,950 ล้านบาท 4 อันดับแรก ได้แก่
1.ไอซ์ น้ำหนักรวมประมาณ 1,600,000 กรัม = 1,600 กิโลกรัม
2.โคคาอีน น้ำหนักรวมประมาณ 90,000 กรัม = 90 กิโลกรัม

  1. ยาบ้า น้ำหนักรวมประมาณ 2,400,000 เม็ด
  2. เฮโรอีนิน้ำหนักรวมประมาณ 100,000 กรัม = 100 กิโลกรัม
    อย่างไรก็ตามกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมมือกันสกัดกั้นเครือข่ายลักลอบลำเลียงยาเสพติดข้ามชาติอย่างเข้มงวด เพื่อปกป้องสังคมและประเทศชาติให้พ้นภัยจากยาเสพติดทุกประเภท

ชื่นชม 3 ตำรวจโครงการพระราชดำริ ช่วยชีวิตภรรยาสามีส่งจดหมายขอบคุณตำรวจช่วยนำทาง พาภรรยาป่วยวิกฤต ย้ายรพ.ถึงมือหมอทันเวลา

จากเหตุการณ์ตำรวจจราจรโครงการโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร ช่วยเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคมะเร็งอาการหนักจาก โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ส่งโรงพยาบาลสมิติเวชสุขุมวิท เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 โดยตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ได้รับการประสานงานจากญาติผู้ป่วยขอสนับสนุนตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริอำนวยความสะดวกเคลื่อนย้ายผู้ป่วยมะเร็งอาการหนัก

ภายหลังจากรับแจ้ง พ.ต.ต.พีรวุฒิ ใหม่อ่อง สว.งานฯ 2 กก.6 บก.จร.(โครงการฯใต้ 1) และร.ต.ต.มานะ จอกโคกสูง รองสว.งานฯ1 กก.6บก.จร.(โครงการเหนือ1-7) นำกำลังชุดเคลื่อนที่เร็ว ประกอบด้วย ด.ต.อารยะ ป้อมค่าย (6-205) และ ส.ต.ท.พิบูล มะวงษ์ (6-634) เข้าสนับสนุนยังโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน จากนั้นจึงเร่งอำนวยความสะดวกเปิดทางนำส่งถึงโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท โดยเรียบร้อยปลอดภัย

ต่อมา วันที่ 9 ธันวาคม 2565 กองบังคับการตำรวจจราจร ได้รับจดหมายจาก “นายจุมพล จรุงวัฒน์” สามีของผู้ป่วย ถึง ผู้บังคับการตำรวจจราจร เรื่องสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อโครงการตำรวจจราจรภายใต้โครงการพระราชดำริและขอบคุณ ส.ต.ท.พิบูลย์ นพวงศ์ และ เจ้าหน้าที่ร่วมขบวน ใจความว่าด้วยข้าพเจ้ามีความจำเป็นในการโอนย้าย นางมณี จรุงวัฒน์ ภรรยา ซึ่งเป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน มีภาวะแทรกซ้อนและอยู่ในภาวะเสี่ยงหลายประการ จากโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ถนนสีลม ไปยังโรงพยาบาลสมิติเวช ถนนสุขุมวิท ซอย 49 โดยได้ติดต่อมายังกองบังคับการตำรวจจราจร เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 เพื่อขอรับความช่วยเหลือในการอำนวยความสะดวกเพื่อการเคลื่อนย้ายดังกล่าว

“ส.ต.ท.พิบูลย์ นพวงศ์ และทีมงานเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 2 นาย เป็นผู้รับเรื่อง และต่อมาเมื่อ เวลา 12.30 น. ในวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 3 นาย ได้ให้ความช่วยเหลือด้วยการขับขี่รถมอเตอร์ไชค์ตำรวจ 3 คัน นำรถพยาบาลไปยังจุดหมายปลายทางได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว ผมขอแสดงความชื่นชมตำรวจทั้ง 3 นาย ที่แสดงความเต็มใจในการให้ความช่วยเหลือและการอำนวยความสะดวกดังกล่าวโดยไม่รับค่าตอบแทนใด ๆ ขอบคุณมาก ผมและครอบครัวขอแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่ได้ทรงมีพระราชดำริให้มีโครงการดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือพสกนิกร” นายจุมพล ฯ เขียนขอบคุณตำรวจจราจรในจดหมาย

ด้าน พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น. ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศจร.ตร.) เปิดเผยว่า ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ทั้ง 3 นาย มีจิตวิญญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ที่ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว และทันท่วงที ศจร.ตร.ชมเชยการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจทั้ง 3 นาย

“ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ เกิดจากพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีฯ ที่ทรงห่วงใยพสกนิกรที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพฯ จึงทรงมีพระราชดำริที่จะแก้ไขปัญหาให้ทุเลาลงด้วยการพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน 8 ล้านบาท ให้กรมตำรวจในขณะนั้น นำไปซื้อรถจักรยานยนต์เป็น หน่วยเคลื่อนที่เร็วทำหน้าที่สายตรวจจราจรรวมทั้งค่าใช้จ่ายในการซื้อวิทยุสื่อสาร ค่าเบี้ยเลี้ยง ฯลฯ” พล.ต.ต.นิธิธรฯ กล่าวและว่า ปัจจุบันตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ยังคงทำหน้าที่เป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ช่วยเหลือนำทางผู้ป่วยฉุกเฉิน นำทางทีมแพทย์ในภารกิจส่งต่ออวัยวะเพื่อต่อชีวิตผู้ป่วย หรือการทำคลอดฉุกเฉินช่วยเหลือผู้ป่วย ผู้ได้รับบาดเจ็บฉุกเฉินบนท้องถนน นอกจากนี้ยังมีหน่วยตำรวจช่างออกช่วยเหลือประชาชนที่รถเสียบนท้องถนนด้วย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นำทีมเปิดปฏิบัติการค้น 53 จุดใน 18 จังหวัดปราบเอเจนซี่เปิดมูลนิธิเอื้อประโยชน์ต่อวีซ่ากลุ่มทุนจีนสีเทา

จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการสืบสวนจับกุม กลุ่มทุนจีนสีเทาที่เข้ามาทำธุรกิจสถานบันเทิงในประเทศไทยโดยใช้คนไทยเป็นนอมินี แต่แอบแฝงด้วยธุรกิจสีเทา ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด หรือคอลเซ็นเตอร์ เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมา พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ขยายผลสืบสวนจับกุมกลุ่มทุนจีนสีเทาเหล่านี้ และเข้าตรวจค้นยึดทรัพย์สินได้เป็นจำนวนมาก ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียนำเสนอข่าวไปแล้ว นั้น
จากการสืบสวนขยายผลดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อสังเกตว่า การที่กลุ่มทุนจีนเหล่านี้สามารถเข้ามาภายในราชอาณาจักรและขออนุญาตอยู่ต่อได้นั้น ได้ใช้เหตุผลเกี่ยวกับเรื่องการศึกษา หรือเป็นอาสาสมัครมูลนิธิต่างๆ เพื่อขยายเวลาในการอยู่ต่อทุกครั้ง โดยที่ไม่ได้มีการตรวจสอบโดยละเอียดว่ามีการดำเนินการตามที่แจ้งจริงหรือไม่ จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ จึงได้สั่งการให้ชุดสืบสวนดำเนินการสืบสวนขยายผลเกี่ยวกับกลุ่มเอเจนซี่ที่รับต่อวีซ่าโดยเปิดตัวเป็นมูลนิธิหรือสถานศึกษา เพื่อตรวจสอบข้อมูลว่ามีการดำเนินการจริงหรือไม่
โดยในวันนี้ (9 ธ.ค.65) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนประสานความร่วมมือไปยัง บช.น. ,บช.ภ.1 , บช.ภ.2 ,บช.ภ.3 ,บช.ภ.4 , บช.5 บช.ภ.7 สตม. และ บช.ทท. เปิดปฏิบัติการเข้าค้นเป้าหมายที่เกี่ยวข้องรวมทั้งสิ้น 53 จุด อยู่ใน 18 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ นครปฐม ชลบุรี เชียงใหม่ เชียงราย แพร่ ลำพูน น่าน หนองบัวลำภู กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครราชสีมา ยโสธร อำนาจเจริญ ขอนแก่น และอุดรธานี โดยผลการตรวจค้น
กลุ่มที่ 1. มูลนิธิและสถานศึกษา ตรวจยึดเอกสารการสมัครเรียนและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ซึ่งพบความผิดปกติจำนวนมาก
กลุ่มที่ 2 ผับเบบี้เฟส ซูเปอร์คลับ เอกมัย ตรวจยึด/อายัดทรัพย์ เพื่อตรวจสอบ ลำโพง ยี่ห้อ aike Audio จำนวน 82 ตัว, ไฟสแกน (ไฟ Beam) จำนวน 176 ตัว , เครื่องทำควัน/ไอน้ำ จำนวน 25 ตัว , ไฟสำหรับทำแสงเลเซอร์ จำนวน 10 ตัว ตรวจยึดทรัพย์ ไฟสแกน (ไฟ Beam) จำนวน 3 ตัว ,กระสุนปืนพลุ จำนวน 261 ชิ้น ,ปืนสำหรับยิงพลุ (กระบอกเล็ก) จำนวน 11 กระบอก ,ปืนสำหรับยิงพลุ (กระบอกใหญ่) จำนวน 2 กระบอก ,น้ำยาสโมค ยี่ห้อ DJ RABBIT จำนวน 10 ลัง (40 แกลลอน) ,น้ำยาสโมค ยี่ห้อ YEROMCA จำนวน 6 ลัง (24 แกลลอน)
ผับ Space Plus และบริษัท สเปซ พลัส คลับ ตรวจยึด/อายัดทรัพย์ เพื่อตรวจสอบ ,ไฟติดตั้งเวที (LED+BEAM) จำนวน 150 ชิ้น , ไฟติดตั้งเวที BEAM XD-LIGHT) จำนวน 35 ชิ้น ,จักรยานออกกำลังกาย (PS300) จำนวน 81 คัน, ไฟสปอร์ตไลท์ ยี่ห้อ ACME จำนวน 4 ชิ้น, ไฟสปอร์ตไลท์ ยี่ห้อ ADJ จำนวน 4 ชิ้น, ลูมอม มีไฟ จำนวน 1000 ชิ้น, พลุ แบบยาว(ใช้ไฟฟ้า) (ลังละ 20 อัน) จำนวน 260 ลัง, รถไฟฟ้าเด็กเล่น จำนวน 3 คัน, กำไลข้อมือเรืองแสง (ลังละ 48 อัน) จำนวน 50 ลัง, แก้วน้ำพลาสติก (ลังละ 100 อัน) จำนวน 93 ลัง, ซองกันน้ำโทรศัพท์ (ลังละ 500 อัน) จำนวน 40 ลัง, ถังขยะ (ลังละ 6 อัน) จำนวน 3 ลัง, แก้วน้ำ จำนวน 60 ชิ้น, แก้วน้ำโปเกม่อน จำนวน 60 ชิ้น, แก้วยาว (ลังละ 72 อัน) จำนวน 40 ลัง, น้ำยาควันเวที DT4 (ลังละ 70 อัน) จำนวน 4 ลัง เพื่อตรวจสอบความผิดตามเกี่ยวกับ พรบ.ศุลกากร
กลุ่มที่ 3 ความผิดเกี่ยวกับนายหลิน หลง ตรวจพบเสื้อคล้ายเครื่องแบบทหารพร้อมเครื่องหมายประดับคล้ายยศพันเอก จำนวน 1 รายการ ,ไวน์และสุราต่างประเทศ โดยตรวจยึดตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต และศุลกากร
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า หลังจากช่วงที่ผ่านมา ได้สั่งการให้สืบสวนขยายผลเกี่ยวกับการจับกุมกลุ่มทุนจีนสีเทาที่ใช้คนไทยเป็นนอมินีในการทำธุรกิจในไทย ทำให้พบแผนประทุษกรรมที่เป็นรูปแบบใกล้เคียงกันของกลุ่มดังกล่าว โดยพบว่ากลุ่มดังกล่าวจะใช้เหตุผลในการขออยู่ต่อในราชอาณาจักรไทยโดยอ้างเหตุจากการศึกษา หรือเป็นอาสาสมัครมูลนิธิต่างๆ ทั้งที่ความเป็นจริงไม่ได้มีการดำเนินการตามที่กล่าวอ้าง ดังนั้นจึงต้องมีการตรวจสอบกลุ่มเอเจนซี่เหล่านี้ เพื่อมิให้คนไม่ดีใช้เป็นเครื่องมือหรือเป็นช่องทางในการอยู่อาศัยเพื่อกระทำความผิดในประเทศไทยเราได้ นอกจากนี้จะมีการตรวจสอบถึงเจ้าของหรือผู้เปิดมูลนิธิหรือสถานที่เหล่านี้ รวมทั้งตรวจสอบเส้นทางการเงินด้วยว่า ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มทุนจีนสีเทาหรือไม่ หากพบการกระทำความผิดจะขยายผลจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
นอกจากนี้จากการเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 25/48 หมู่ที่ 1 ต.สันกลาง อ.สันป่าตอง จว.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นบ้านพักของนายนี่ ยี่โป (Mr.NI YIBO) เอเย่นต์รับต่อสีวีซ่าให้กลุ่มชาวจีน โดยการขอวีซ่าประเภทมูลนิธิผ่าน มูลนิธิ ครีเอทิ่ง บาลานซ์ ซึ่งมีนายวรกฤต จิตธรรม เป็นประธานมูลนิธิ ได้มีการตรวจพบว่ามีการสวมสิทธิ์ นำชื่อของ นายกรกฤต จิตธรรม แสดงตนเป็นบิดาของ ด.ญ.กรวรรณ จิตธรรม ซี่งแท้จริงแล้วเป็นบุตรของนายนี่ ยี่โป (Mr.NI YIBO) กับนางเกา หยาง (MRS.GAO YANG) เพื่อให้ ด.ญ.กรวรรณ จิตธรรม ได้สัญชาติไทย จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับนายนี่ ยี่โป (Mr.NI YIBO ) และนางเกา หยาง (MRS.GAO YANG) ในความผิดฐาน “ร่วมกันทำ ใช้หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จ หรือกระทำการเพื่อให้ตนเอง หรือผู้อื่นมีชื่อ หรือมีรายการอย่างหนี่งอย่างใดในทะเบียนบ้านหรือเอกสารการทะเบียนราษฎรอื่นโดยมิชอบ ตาม พรบ. การทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534 มาตรา 50 ประกอบ ป.อาญา มาตรา 83, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็น เท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ตาม ป.อาญามาตรา 137, 83 และ ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ตาม ป.อาญา มาตรา 267,83 ต่อ พงส. สภ.ช้างเผือก ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


พล.ต.ต.จิรสันต์ รอง ผบช.น./โฆษก บช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.นิตินันท์ รอง ผบช.น. แถลงจับกุมผู้ต้องหาสวมทะเบียนรถยนต์ ใช้ในการก่ออาชญากรรม

วันนี้(พฤหัสบดีที่ 8 ธ.ค.65) เวลา 13.15 น. พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น./โฆษก บช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.นิตินันท์ เพชรบรม รอง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. และเจ้าหน้าที่ ศปจร.น. ร่วมแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาที่ กระทำความผิดเกี่ยวกับการสวมทะเบียนรถยนต์ เพื่อใช้ในการก่ออาชญากรรม ในเขตพื้นที่ จ.ปทุมธานี พร้อมของกลางรถยนต์ 5 คัน และหลังจากนั้นได้มอบคืนรถยนต์ดังกล่าว ณ ลานเอนกประสงค์ บช.น./ทีมประชาสัมพันธ์ บช.น.

สรรพสามิตโชว์ปราบปราบบุหรี่ผิดกฎหมายล็อตใหญ่ยกระดับเปิดศูนย์ปราบปรามสินค้าออนไลน์ เดินหน้าสู่องค์กรดิจิทัลตามยุทธศาสตร์ EASE EXCISE

กรมสรรพสามิตเปิดศูนย์ปราบปราบสินค้าผิดกฎหมายออนไลน์ โชว์ผลงานเด่นปราบปราบสินค้าผิดกฎหมายออนไลน์ จับกุมบุหรี่หนีภาษีบิ๊กล็อตกว่า 250,000 ซอง คิดเป็นค่าปรับ 247,289,842.50 บาท นำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการทำงาน ลิงก์ข้อมูลกับองค์กรภายนอก เดินหน้าสู่องค์กรดิจิทัล ตามยุทธศาสตร์ EASE EXCISE
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายที่มีการลักลอบนำเข้าโดยไม่ได้เสียภาษี ซึ่งส่งผลกระทบ ต่อผู้ประกอบการที่ค้าขายและจ่ายภาษีอย่างสุจริตให้ได้รับความเป็นธรรม รวมถึงยังเป็นการดูแลผู้บริโภคในเรื่อง ความปลอดภัยและได้สินค้าที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน จากการที่ได้มอบหมายให้ นายวิวัฒน์ เขาสกุล ที่ปรึกษา ด้านยุทธศาสตร์ภาษีสรรพสามิต และว่าที่ ร.ต.ยงยุทธ ภูมิประเทศ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม ติดตามจับกุมการจำหน่ายบุหรี่ภาษีในเขตพื้นที่ภาคใต้อย่างต่อเนื่องนั้น ทำให้สามารถจับกุมบุหรี่ หนีภาษีได้ จำนวนประมาณ 250,000 ซอง คิดเป็นค่าปรับ 247,289,842.50 บาท ประกอบด้วยบุหรี่ยี่ห้อ ASK ME ,JONE BLACK ,QUEST ,ORIS ,L&M ,CANYON ,TEXAS ,ZOUK , และ 235 รวมทั้งสิ้น 9 ยี่ห้อ
กรมสรรพสามิตได้มีการติดตามและตรวจพบการจำหน่ายบุหรี่ผิดกฎหมายทางช่องทางออนไลน์ เป็นจำนวนมาก จึงได้มอบหมายให้สำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และศูนย์ปราบปรามสินค้าออนไลน์ ที่กรมสรรพสามิตตั้งขึ้นเพื่อรองรับลักษณะการกระทำผิดที่เปลี่ยนแปลงไป จากการขายตามหน้าร้านมาเป็น การขายทางออนไลน์ ดำเนินการสืบสวนหาข่าวลงพื้นที่เพื่อติดตามจนทราบถึงแหล่งที่มา วิธีการจำหน่าย สถานที่เก็บสินค้า โดยให้เจ้าหน้าที่สำนักตรวจสอบป้องกัน และปราบปราม ดำเนินการล่อซื้อบุหรี่ผิดกฎหมาย จนทำให้ทราบถึงแหล่งที่ตั้งและสถานที่จำหน่ายบุหรี่ผิดกฎหมายที่จับกุมได้ในครั้งนี้

สำหรับผลการปราบปรามยาสูบในรอบปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึง วันที่ 30 กันยายน 2565 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 9,398 คดี สูงกว่าปีก่อน จำนวน 2,274 คดี หรือร้อยละ 31.92 คิดเป็นค่าปรับ 1,610,838,179.54 บาท สูงกว่าปีก่อน คิดเป็นค่าปรับ 492,832,249.61 บาท หรือร้อยละ 44.08 โดยมีของกลางยาสูบ จำนวน 4,053,554 ซอง สูงกว่าปีก่อน จำนวน 2,566,047.00 ซอง หรือร้อยละ172.51
ทั้งนี้ จากผลการดำเนินการปราบปราบและจับกุมการกระทำความผิดสินค้าที่อยู่ในการควบคุมของกรมสรรพสามิตผ่านทางช่องทางออนไลน์ที่ผ่านมานั้น แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของกรมฯ ในการบังคับใช้กฎหมายและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส เพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และช่วยดูแลผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและ ได้มาตรฐาน รวมถึงการมุ่งพัฒนาระบบการทำงานให้ได้มาตรฐานสากล นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ พร้อมมุ่งสู่การเป็นองค์กรดิจิทัลที่มีมาตรฐานสากล ตามยุทธศาสตร์ EASE Excise ที่กรมสรรพสามิตจะเดินหน้าเพื่อยกระดับองค์กรสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน อธิบดีกรมสรรพสามิตกล่าวทิ้งท้าย
หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศหรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ http://www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิต จะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแส เป็นความลับ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เร่งสืบคดียิงบ้านและรถผู้รับเหมา เชื่อฝีมือผู้มีอิทธิพลในพื้นที่

จากกรณีเมื่อวันที่ 23 พ.ย.65 ที่ผ่านมา เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปในบ้านของนายทรงศักดิ์ ส่งเสริมอุดมชัย อดีตเลขาผู้ช่วยรัฐมนตรี จำนวนหลายนัด ทำให้หน้าต่างและกำแพงบ้านได้รับความเสียหาย แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด เหตุเกิดในพื้นที่ สภ.พยุหะคีรี ภ.จว.นครสวรรค์ ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลได้นำเสนอไปแล้ว นั้น
วันนี้ (7 ธ.ค.65) เวลาประมาณ 18.00 น. ณ ภ.จว.นครสวรรค์ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย รอง ผบช.ทท. พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการสืบสวนและสอบสวน ลงพื้นที่เพื่อสืบสวนสอบสวนหาสาเหตุ เนื่องจากประชาชนรู้สึกหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นการกระทำที่อุกอาจไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งประเด็นการสืบสวนไว้หลายประเด็นด้วยกัน แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุด น่าจะเกิดจากความขัดแย้งทางธุรกิจ เนื่องจากผู้เสียหายเพิ่งชนะการประมูลงานในระดับท้องถิ่น ซึ่งมีผู้เสียผลประโยชน์จากกรณีดังกล่าว สืบทราบว่าเป็นผู้มีอิทธิพลในระดับการเมืองท้องถิ่น จึงได้ก่อเหตุดังกล่าวเพื่อข่มขุ่ผู้เสียหายเพื่อให้เกิดความหวาดกลัวจนจะต้องถอนตัวออกจากโครงการ อยู่ระหว่างการสืบสวนหาพยานหลักฐานมาประกอบเพิ่มเติม
นอกจากนี้ จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่พบว่า ในช่วงระหว่างปี 2563 – 2565 ได้มีเหตุที่มีพฤติการณ์ใกล้เคียงกันเกิดขึ้นในพื้นที่นครสวรรค์และอุทัยธานีหลายครั้ง ซึ่งพฤติการณ์ส่วนใหญ่เกิดจากการที่มีบริษัทชนะการประมูลงานในระดับท้องถิ่น จากนั้นจะมีคนโทรมาเจรจาเพื่อของานดังกล่าวไปทำ เมื่อถูกปฏิเสธก็มักจะมีคนร้ายมาก่อเหตุเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับคนทำงานของบริษัทดังกล่าวที่อยู่หน้างาน หรือทำลายข้าวของเพื่อมิให้สามารถส่งมอบงานได้ ซึ่งเบื้องต้นสามารถเรียงลำดับเหตุการณ์ได้
จำนวน 9 คดี ในจังหวัดอุทัยธานี และนครสวรรค์ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ในระหว่างสืบสวนขยายผลหาความเชื่อมโยงของคดีทั้งหมด โดยมีจำนวน 2 คดี ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถสืบสวนจนทราบชื่อผู้ก่อเหตุในคดีดังกล่าวแล้ว ได้แก่คดีของ สภ.บ้านไร่ และ สภ.ห้วยคต ภ.จว.อุทัยธานี ซึ่งอยู่ในระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับตัวผู้ต้องหาต่อไป

Design a site like this with WordPress.com
Get started