กรมศุลกากรจับกุมเนื้อสุกรลักลอบเข้าประเทศตามแนวชายแดนกัมพูชาน้ำหนัก 950 กิโลกรัม รวมมูลค่า 141,300 บาท

กรมศุลกากรจับกุมเนื้อสุกรแช่แข็งซุกซ่อนในรถกระบะ จำนวน 950 กิโลกรัม รวมมูลค่า 141,300 บาท บริเวณถนนป่าไร่-ดงงู ตำบลป่าไร่ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษา
ด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการลักลอบ
นำเนื้อสุกรและชิ้นส่วนสุกรที่มีถิ่นกำเนิดจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักรไทย
กรมศุลกากรจึงให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ต่าง ๆ เข้มงวดในการตรวจค้นจุดที่มีความเสี่ยงในการลักลอบ
นำเนื้อสุกรและชิ้นส่วนสุกรเข้ามาในประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ASF ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของผู้บริโภค พร้อมปกป้องเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรในประเทศอย่างต่อเนื่อง

โดยเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2565 เจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรอรัญประเทศ ได้รับแจ้งว่าจะมีการลักลอบนำเอาเนื้อสุกรที่ชำแหละแล้วจากฝั่งประเทศกัมพูชาเข้ามาในประเทศตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา
ในพื้นที่ ตำบลป่าไร่ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรจึงได้วางแผนจับกุม
พบรถยนต์กระบะต้องสงสัย ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน บริเวณถนนป่าไร่-ดงงู ตำบลป่าไร่ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งอยู่ใกล้เทศบาลตำบลป่าไร่ และอยู่ห่างจากชายแดนประมาณ 3 กิโลเมตร ผลการตรวจค้นพบเนื้อสุกรแช่แข็งบรรจุอยู่ในถุงพลาสติก และจากการได้ตรวจสอบอย่างละเอียด พบว่าเนื้อสุกรดังกล่าวเป็นเนื้อสุกรที่ลักลอบนำมาจากฝั่งประเทศกัมพูชาโดยที่ยังไม่ผ่านพิธีการทางด่านศุลกากร จำนวน 950 กิโลกรัม มูลค่า 141,300 บาท

การกระทำดังกล่าว เป็นความผิดตามมาตรา 242 มาตรา 246 และ/หรือ มาตรา 247 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 จึงเป็นของอันพึงต้องริบตามมาตรา 166 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 เจ้าของผู้มีสิทธิหรือผู้ครอบครอง อาจมีความผิดตามมาตราดังกล่าว เจ้าหน้าที่ฯ จึงได้อาศัยอำนาจ ตามมาตรา 167 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560

โฆษกกรมศุลกากร กล่าวต่ออีกว่า จากสถิติการจับกุมการลักลอบนำเนื้อสุกรและชิ้นส่วนสุกรที่มีถิ่นกำเนิดจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม 2565 ถึงปัจจุบัน มีจำนวนทั้งหมด 13 คดี รวม 173,750 กิโลกรัม มูลค่า 35,447,300.00 บาท ทั้งนี้ กรมศุลกากรจะส่งมอบเนื้อสุกรแช่แข็งให้กรมปศุสัตว์เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

ดร.อ๊อด มอบข้าวสาร

บริษัท เจเค เอเชีย จำกัด โดย ดร.อ๊อด โพธิ์เงิน ประธานที่ปรึกษา มอบข้าวสาร ตรา ใบเงิน 180 กิโลกรัม และน้ำดื่มยี่ห้อข้าวตราใบเงิน จำนวน 240 ขวด ผ่านผู้นำชุมชนเขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร นำของไปมอบให้ ผู้ป่วยติดเตียง เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ
5 ธันวาคม 2565

ตม.สุราษฎร์ฯ เข้มงวดจับจีน Over Stay


เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 65 เวลา 12.05 น. ภายใต้การอำนวยการและสั่งการของ พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ พันธ์โกศล ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี สั่งการให้ ร.ต.อ.ธเนศพล ละอองทอง รอง สว.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี พร้อมชุดสืบสวน ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ใช้รถยนต์ตรวจการณ์ไฟฟ้าอัจฉริยะ (SMART PATROL CAR:SPC)ออกตรวจและสืบสวนหาข่าวในช่วงระดมกวาดล้างบุคคลต่างด้าวที่อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอยู่เกินกำหนดอนุญาต(OVERSTAY)ห้วงวันที่ 1-10 ธ.ค.65ในพื้นที่รับผิดชอบ และได้จับกุมตัว
Miss HuYanqiu อายุ 31 ปี สัญชาติ จีนหนังสือเดินทางเลขที่ E32797809 โดยกล่าวหาว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด”(19วัน)
สถานที่จับกุม บ้านเลขที่ 227/130 ถนนโฉลกรัฐ ต.มะขามเตี้ย อ.เมืองสุราษฎร์ธานี จว.สุราษฎร์ธานี
พร้อมนี้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ควบคุมตัวผู้ถูกจับ ส่ง พงส.สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป

“ศจร.ตร.” ชมเชย ตำรวจจราจรตาไว สังเกต นศ.ช่างกล มีพิรุธ ขอตรวจ วิ่งหนี ไล่จับเจอปืนพร้อมยิงอีกรายตำรวจจราจรช่วยหญิงเป็นลมคาพวงมาลัย อุ้มส่ง รพ. จนปลอดภัย

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2565 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น. ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศจร.ตร.) เปิดเผยว่า พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. / ผอ.ศจร.ตร. และ พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร./ รอง ผอ.ศจร.ตร. ชมเชยการปฏิบัติหน้าที่ตำรวจจราจรของ ส.ต.ท.พงษ์พัฒน์ ลืออินต๊ะ ผบ.หมู่ งานป้องกันปราบปราม สน.ปทุมวัน (ช่วยงานจราจร) และ ส.ต.ท.ธนากุล สนธิกุล ผบ.หมู่ จร.สน.ปทุมวัน ที่มีไหวพริบช่างสังเกต เข้าตรวจสอบจับกุมนักศึกษาอาชีวะสถาบันแห่งหนึ่งได้พร้อมอาวุธปืน ถือว่าเป็นการกวดขัน เฝ้าระวังป้องกันก่อนนำไปก่อเหตุ และอีกราย ชมเชย พ.ต.ต.ยศพนธ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา สว.จร.สน.เพชรเกษม และ ร.ต.ต.วินัย นุชนาถ รองสว.จร.สน.เพชรเกษม เข้าให้การช่วยเหลือ หญิงวัย 57 ปี ที่เป็นลมขณะขับรถ

พล.ต.ต.นิธิธรฯ กล่าวว่า เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พ.ย.65 เวลาประมาณ 08.00 น. ขณะที่ ส.ต.ท.พงษ์พัฒน์ฯ กำลังขี่รถจักรยานยนต์ตรวจตราความเรียบร้อยด้านการจราจร เมื่อมาถึงป้ายรถเมล์หน้าโอสถศาลา แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ พบนายเอ (นามสมมติ) สวมเครื่องแบบสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง ยืนหลบอยู่หลังป้ายหยุดรถประจำทาง มีท่าทางพิรุธ จึงได้เข้าตรวจสอบ แต่นายเอกลับวิ่งหลบหนี ส.ต.ท.พงษ์พัฒน์ฯ จึงวิ่งติดตามไปจนสามารถควบคุมตัวไว้ได้พร้อมกับแจ้งวิทยุขอกำลังเสริมสนับสนุนเพื่อตรวจสอบ ตรวจค้นพบอาวุธปืน ขนาด .32 มม. อยู่ในซองปืน มีเครื่องกระสุนอยู่ในรังเพลิง 6 นัด สภาพพร้อมใช้ เหน็บอยู่ที่เอว สอบสวนนายเอรับว่าเป็นปืนของตัวเองที่สั่งซื้อมาทางออนไลน์ จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย

“ อีกราย เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.65 เวลาประมาณ 07.30 น. พ.ต.ต.ยศพนธ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา สว.จร.สน.เพชรเกษม และ ร.ต.ต.วินัย นุชนาถ รองสว.จร.สน.เพชรเกษม เข้าให้การช่วยเหลือ หญิง วัย 57 ปี ที่เกิดอาการเป็นลมหน้ามืดขณะขับรถ เหตุเกิดบริเวณโค้งวีเหลี่ยม ถนนเพชรเกษม แขวงหลักสอง เขตบางแค กทม. โดยตำรวจทั้ง 2 นายช่วยนำรถให้พ้นกีดขวางการจราจร และนำตัวผู้ป่วยขึ้นรถแท็กซี่เพื่อนำตัวส่งโรงพยาบาล ช่วยเหลือจนอาการปลอดภัย” พล.ต.ต.นิธิธรฯ กล่าว

รอง ผบช.น. กล่าวด้วยว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน ขอให้ปฏิบัติตามกฎจราจรเพื่อความปลอดภัยของทุกคน โดยให้นโยบายกำชับตำรวจจราจรทุกนาย ให้ปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกด้านการจราจรอย่างเต็มกำลังความสามารถ และให้เอาใจใส่ เฝ้าระวังภัยต่าง ๆ ที่เกิดบนท้องถนนด้วย ทั้งนี้อยากฝากประชาสัมพันธ์ถึงพี่น้องประชาชนหากพบเหตุบนท้องถนน หรือขอความช่วยเหลือเหตุด่วนเหตุร้าย สามารถให้ข้อมูล หรือแจ้งเบาะแส โทร. 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ฯ นำประชาชนชาวนครศรีธรรมราช ร่วมปลูกต้นไม้ ปล่อยสัตว์น้ำ และเก็บขยะ สร้างจิตสำนึก “จิตอาสาพัฒนาหาดแพรกเมืองเฉลิมพระเกียรติ”

วันนี้ (3 ธ.ค.65) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะนายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประธานในพิธี ร่วมกับจังหวัดนครศรีธรรมราช สมาคมชาวนครศรีธรรมราช กรุงเทพมหานคร ตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช และมูลนิธิอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอันดามัน นำประชาชนชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชเข้าร่วมในโครงการ ""จิตอาสาพัฒนาหาดแพรกเมืองเฉลิมพระเกียรติ" เพื่อถวายพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2565 โดยภายในงานมี ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคีเครือข่ายเอกชน ข้าราชการ นักเรียนนักศึกษา ตลอดจนประชาชนจิตอาสา รวมกันกว่า 5,000 คน เข้าร่วมโครงการอย่างพร้อมเพรียง ณ สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ ชายหาดแพรกเมือง ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า กิจกรรมจิตอาสาในครั้งนี้ ทางสมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับภาคส่วนต่างๆ จัดโครงการดังกล่าวเพื่อร่วมแสดงความจงรักภักดีและน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ ระลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งทรงมีพระราชปณิธานในการสืบสาน รักษาและต่อยอดพระราชกรณียกิจของพระราชบิดา

โดยกิจกรรมภายในงานจะประกอบไปด้วย
(1) กิจกรรมปลูกต้นไม้ 5,000 ต้น เพื่อสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนในพื้นที่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้อันสำคัญของประเทศ
(2) กิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ ซึ่งประกอบไปด้วย เต่าตะนุ จำนวน 50 ตัว , ปลากะพงขาว จำนวน 10,000 ตัว , กุ้งแชบ๊วย 6 แสนตัว และ ปูม้า 10 ล้านตัว

(3) กิจกรรมเก็บขยะริมชายหาด และดำน้ำเก็บขยะใต้ทะเล เพื่อให้ประชาชนทุกคนทุกฝ่ายตระหนักและให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาขยะใต้ท้องทะเล เพื่อทุกชีวิตที่มีค่าทั้งสัตว์ทะเล และเพื่อนมนุษย์ รวมถึงลูกหลานในอนาคต รอง ผบ.ตร. ยังกล่าวอีกว่า การดำเนินการในครั้งนี้ นับเป็นการดำเนินกิจกรรมจิตอาสาของสมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ครั้งที่ 9 ซึ่งสมาคมฯได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาได้ปลูกต้นไม้ไปแล้วกว่า 23,000 ต้น ปล่อยปลา 260,000 ตัว ปล่อยพันธุ์กุ้งและปู กว่า 120 ล้านตัวซึ่งสมาคมฯจะดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่องให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วภาคใต้

และหลังจากนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ รอง ผบ.ตร. ได้มอบชุดกาวน์ยาว​ 4,000​ ตัว รพ.หัวไทร2, 000ตัวรพ.เชียรใหญ่​2,000ตัวให้กับทาง รพ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช อีกด้วย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รอง ผบ.ตร. ขยายผลติดตามจับกุมขบวนการค้ามนุษย์มาดำเนินคดี

“ปวีณา” พาหญิงสาว 3 ราย เหยื่อถูกหลอกไปค้าประเวณีที่เมืองล๊อกกิ่ง ประเทศเมียนมา เข้าพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์
หักพาล รอง ผบ.ตร. เพื่อขยายผลติดตามจับกุมขบวนการค้ามนุษย์มาดำเนินคดี หลังประสานทหารไทย ทหารเมียนมา สถานทูตไทย เเละตำรวจไทยช่วยเหลือได้ 5 ราย ส่วนอีก 2 ราย ยังรอการส่งตัวกลับมา เนื่องจากมีการสู้รบระหว่างทหารไทยใหญ่และทหารเมียนมา ระหว่างเมืองลาเซียวกับเมืองสีปัดรัฐฐานเหนือใกล้ชายแดนแม่ฮ่องสอน ทำให้สนามบินเมืองลาเซียวปิดชั่วคราวต้องรอจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายจึงจะส่งตัวกลับไทย โดยมูลนิธิปวีณาฯ จะติดตามการช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด

วันที่ 2 ธ.ค.65 เวลา 15.00 น. ที่สโมสรตำรวจ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ได้พาหญิงสาว 3 ราย อายุ 27 ปี 28 ปี และ 29 ปี เหยื่อถูกหลอกไปค้าประเวณีที่เมืองล๊อกกิ่ง ประเทศเมียนมา ที่ได้ประสานทหารไทย ทหารเมียนมา สถานทูตไทย เเละตำรวจไทยช่วยเหลือกลับมาได้เมื่อวันที่ 27 พ.ย.65 เข้าพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เพื่อขยายผลติดตามจับกุมขบวนการค้ามนุษย์มาดำเนินคดี

ขณะที่หญิงสาวเหยื่ออีก 2 ราย อายุ 17 ปี และ 26 ปี ที่มูลนิธิปวีณาฯ ประสานความช่วยเหลือในลอตเดียวกันรวม 5 ราย ยังรอการส่งตัวกลับมาไทย เนื่องจากเมืองลาเซียว ประเทศเมียนมา ที่ทั้งสองคนอยู่มีการสู้รบระหว่างทหารไทยใหญ่และทหารเมียนมา ทำให้สนามบินเมืองลาเซียวปิดชั่วคราวจึงต้องรอจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายจึงจะส่งตัวกลับไทย โดยมูลนิธิปวีณาฯ จะติดตามการช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดร่วมกับสถานทูตไทยในเมียนมา ทหารไทย และตำรวจไทย

สำหรับการช่วยเหลือหญิงไทยทั้ง 5 รายในครั้งนี้ สืบเนื่องจากช่วงเดือน ต.ค.65 พ่อแม่และญาติของเหยื่อได้ร้องทุกข์ต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ ว่าลูกสาวต้องการหางานทำและไปพบข้อความในเฟซบุ๊กชักชวนไปทำงานร้านอาหารที่ประเทศเมียนมา งานสบาย รายได้ดี จึงหลงเชื่อ ขณะที่บางคนก็ถูกเพื่อนที่เพิ่งรู้จักชักชวน เมื่อเดินทางไปถึงกลับถูกบังคับค้าประเวณี บังคับให้เสพยาเสพติด

เส้นการเดินทาง
น.ส.เอ อายุ 27 ปี น.ส.บี อายุ 29 ปี เป็นพี่น้องกันเป็นชาว จ.พิษณุโลก และ น.ส.ซี อายุ 28 ปี ทั้ง 3 คน ทำงานโรงงานแห่งหนึ่งที่ จ.ชลบุรี ได้ถูก น.ส.น้ำ ชักชวนไปทำงานร้านอาหารที่ประเทศเมียนมา มีรายได้ดี วันละ 30,000-40,000 บาทไทย ทุกคนตกลงและตัดสินใจไปทำงาน เดินทางขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ – ลงที่สนามบินเชียงใหม่ มีรถกระบะมารับนอนพักที่เชียงใหม่ 1 คืน เช้าวันรุ่งเช้ามีรถกระบะพาไปส่งทางขึ้นดอยนอแล จากนั้นมีคนพาเดินขึ้นดอยนอแล เมื่อไปถึงจุดบนดอยนอแล จะมีรถมอเตอร์ไซค์ 4 คัน มารอรับ 3 คัน ส่วนมอเตอร์ไซค์อีกคันใช้ขนกระเป๋า ขับลัดเลาะลงดอยนอแล เพื่อข้ามไปชายแดนเมียนมา เมื่อไปถึงฝั่งเมียนมาได้เข้าค้างแรมที่บ้านของชาวเมียนมา จากนั้นมีรถมารับไปส่งต่อตามจุดเป็นทอดๆและมีการใช้รถหลายคัน โดยใช้เวลาเดินทาง 5 คืน เมื่อไปถึงร้านจะมี น.ส.มาย เอเจนซี่ ดูตัว และแจ้งว่าพวกตนเป็นหนี้คนละ 90,000 บาท ต้องทำงานใช้หนี้ ส่วน น.ส.ซี ไม่ตรงปกตามที่เคยส่งรูปมา อ้วนเกินไป จึงถูกขายต่อไปยังร้านอื่นและเป็นหนี้เพิ่มรวม 250,000 บาท และ น.ส.ซี ก็ถูกแยกตัวออกไป ทุกคนหวาดกลัวมากและต้องทำตามทุกอย่าง ถ้าไม่ทำก็ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกกักขัง บังคับให้เสพยา เคยให้อดข้าวอดน้ำถึง 3 วัน ถ้าขัดขืนไม่ทำตามจะถูกส่งตัวไปห้องมืดขังเดี่ยว (ท่าปิด) ไม่มีโอกาสได้ออกมา และชายฉกรรจ์แต่งตัวคล้ายทหารถือปืนคอยคุมอยู่หน้าห้องตลอดเวลา ต้องทนอยู่เหมือนตกนรกทั้งเป็น จึงติดต่อพ่อ เดินทางจาก จ.พิษณุโลก เข้าพบนางปวีณา ขอความช่วยเหลือ พยายามติดต่อวีดีโอคอลกับลูกสาวจนหาจุดพิกัดได้ในล๊อกกิ่ง

หลังรับเรื่อง นางปวีณา ได้ประสาน พ.อ.ณฑี ทิมเสน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารม้าที่ 2 (ผบ.ฉก.ม.2 ) และประธานคณะกรรมการประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา ส่วนท้องถิ่น (TBC) ฝ่ายไทย เพื่อหาแนวทางการช่วยเหลือหญิงสาวทั้ง 5 ราย และได้ประสานสถานทูตไทยในประเทศเมียนมาเพื่อส่งรายละเอียดขอความช่วยเหลือหญิงไทย 5 ราย

ต่อมาวันที่ 1 พ.ย.65 นางปวีณา ได้พาพ่อแม่เหยื่อ 5 ราย เดินทางไป จ.เชียงราย เพื่อติดตามการช่วยเหลือ โดยได้ร่วมประชุมกับ พ.อ.ณฑี ทิมเสน ผบ.ฉก.ม.2 ประธานคณะกรรมการประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา ส่วนท้องถิ่น (TBC) ฝ่ายไทย, ผู้เเทนทหารเมียนมา, พ.ต.อ.เขมชาติ วัฒนนภาเกษม ผกก.ตม.จว.เชียงราย นายณรงค์พล คิดอ่าน นายอำเภอเเม่สาย เเละหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และได้วีดีโอคอลประชุมร่วมกับกงสุลไทยในเมียนมาเพื่อเร่งให้การช่วยเหลือ

ในที่ประชุมผู้เเทนทหารเมียนมา กล่าวว่า เมืองล๊อกกิ่ง เป็นเขตปกครองพิเศษ อยู่ติดกับชายแดนจีน การเดินทางไปค่อนข้างลำบากเพราะต้องข้ามภูเขาต้องใช้เวลาหลายวัน เเละรับปากจะรีบประสานงานช่วยเหลืออย่างเต็มที่

ซึ่งระหว่างการประชุม นางปวีณาได้วีดีโอคอลคุยกับเหยื่อหญิงสาวทั้ง 5 ราย
ทุกคนร้องไห้ เล่าว่า อยู่อย่างทุกข์ทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็น บางวันก็ไม่ได้กินข้าว ทำงานไม่ได้เงิน หากรับเเขกไม่ดีไม่เอาใจก็ถูกทุบตี ทำร้ายร่างกายจนระบมไปทั้งตัว ขอให้ช่วยเหลือออกจากขุมนรกนี้ด้วย

วันที่ 5 พ.ย.65 นางปวีณา ได้รับแจ้งจากจาก พ.อ.ณฑี ทิมเสน ผบ.ฉก.ม.2 ประธานคณะกรรมการประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา ส่วนท้องถิ่น (TBC) ฝ่ายไทย ว่า ทหารเมียนมาสามารถเข้าไปช่วยเหลือหญิงไทย 3 ราย ได้แล้ว เนื่องจากหญิงไทย 3 ราย เข้าทางช่องทางธรรมชาติผิดกฎหมายจึงต้องส่งตัวให้ตำรวจ ตม.เมืองล๊อกกิ่ง ดำเนินคดีในข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมายจำคุกเป็นเวลา 3 อาทิตย์ ก่อนที่จะส่งตัวกลับไทย
ส่วนอีก 2 ราย วันที่ 13 พ.ย. 65 กงสุลไทยในเมียนมา แจ้งนางปวีณา ว่าตำรวจเมียนมาได้เข้าไปช่วยเหลือหญิงไทยอีก 2 รายได้แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองล็อกกิ่ง เมียนมา ได้สอบปากคำเหยื่อ 2 รายนี้ ซึ่งได้เดินทางเข้าเมืองถูกกฎหมาย จึงไม่ต้องถูกดำเนินคดี ก่อนจะทำเรื่องส่งตัวกลับไทย

ต่อมาวันที่ 25 พ.ย. 65 กงสุลไทยในประเทศเมียนมาได้แจ้งมายัง นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ ว่าตำรวจ ตม.เมียนมา จะส่งหญิงไทย 3 ราย กลับไทย โดยมาส่งที่ด่านพรมแดนเเม่สายเเห่งที่ 2 ซึ่งตำรวจ ตม.เมียนมา จะประสานกับ พ.ต.อ.เขมชาติ วัฒนนภาเกษม ผกก.ตม. จว.เชียงราย มารับตัวพร้อมมูลนิธิปวีณาฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเวลา 14.00 น. จากนั้นนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กเเละสตรี ได้นัดประชุมร่วมกับ พ.อ.ณฑี ทิมเสน ผบ.ฉก.ม.2 ประธานคณะกรรมการประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา ส่วนท้องถิ่น (TBC) ฝ่ายไทย พ.อ.อนุวัช ปัญญานันท์ รอง ผบ.ฉก.ม.2 พ.ต.อ.เขมชาติ วัฒนนภาเกษม ผกก.ตม. จว.เชียงราย และนางสาวภาณี จันทร์ตัน พมจ.เชียงราย ในวันที่ 27 พ.ย. 65 เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 2 ของ ตม.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อสรุปการช่วยเหลือหญิงไทยถูกหลอกไปประเทศเมียนมา

หลังจากนั้นวันที่ 27 พ.ย. 65 เวลา 14.00 น. นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กเเละสตรี พาพ่อเหยื่อเดินทางไปพร้อม พ.อ.ณฑี ทิมเสน ผบ.ฉก.ม.2 ประธานคณะกรรมการประสานงานชายแดนไทย-เมียนมา ส่วนท้องถิ่น (TBC) ฝ่ายไทย พ.อ.อนุวัช ปัญญานันท์ รอง ผบ.ฉก.ม.2 พ.ต.อ.เขมชาติ วัฒนนภาเกษม ผกก.ตม. จว.เชียงราย และนางสาวภาณี จันทร์ตัน พมจ.เชียงราย เดินทางมารับหญิงไทย 3 ราย ถูกหลอกค้าประเวณี โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม.เมียนมา ขับรถจากด่านท่าขี้เหล็กฝั่งเมียนมาส่ง ด่าน ตม.แม่สายฝั่งไทย เมื่อหญิงไทยทั้ง 3 คนมาถึงได้เข้าโผกอดพ่อด้วยความดีใจ จากนั้นได้เข้ากระบวนการสอบคัดแยกเหยื่อค้ามนุษย์เป็นเวลา 1 ชม. จากนั้นพนักงานสอบสวนร่วมกับเจ้าหน้าที่ พมจ. จากนั้นนางปวีณา พาเหยื่อผู้เสียหาย 3 ราย เดินทางไปประชุมเเละขอบคุณ พ.อ.ณฑี ทิมเสน ผบ.ฉก.ม2 ที่ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่2 กองกำลังผาเมือง ค่ายพญาเม็งราย อ.เมือง จ.เชียงราย ที่ได้ประสานทหารเมียนมาช่วยเหลือหญิงไทย 3 ราย ได้กลับไทยอย่างปลอดภัย

ช่วงค่ำนางปวีณา พาเหยื่อผู้เสียหาย 3 ราย เดินทางไปยังมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กเเละสตรี จ.ปทุมธานี เข้าเยียวยา และอยู่ในความดูแลของมูลนิธิปวีณาฯ

และในวันนี้ศุกร์ที่ 2 ธ.ค. 65 เวลา 15.00 น. นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี พาเหยื่อผู้เสียหาย 3 ราย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เข้าพบเพื่อขยายผลดำเนินคดีกับผู้หลอกลวงเหยื่อผู้เสียหาย 3 ราย ไปค้าประเวณี ทั้งนี้ในระหว่างนี้หญิงสาวทั้ง 3 ราย จะอยู่ในความดูแลของมูลนิธิปวีณาฯ เพราะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยมูลนิธิปวีณาฯ จะให้การติดตามด้านคดีและเรื่องความปลอดภัยร่วมกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. จนกว่าจะสิ้นสุดกระบวนการยุติธรรม

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นำทีมขยายผลปิด 2 คดีเกี่ยวกับเพศค้าประเวณีผ่านทวิตเตอร์ และแก๊งจีนไลฟ์สดมีเพศสัมพันธ์

ในห้วงเวลาที่ผ่านมา ศพดส.ตร. ได้ดำเนินการปราบปรามการค้ามนุษย์ และการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศหลากหลายรูปแบบมาอย่างต่อเนื่อง ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้มีการนำเสนอข่าวแล้วนั้น ในห้วงเดือนที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศพดส.ตร. ได้สั่งการให้มีการตรวจสอบขยายผลจับกุมคดีเกี่ยวกับการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศในพื้นที่ ภ.5 จำนวน 3 คดี ประกอบด้วย
กรณีที่ 1 นายหน้าค้าประเวณีผ่านทวิตเตอร์
เมื่อประมาณเดือน ก.ค.65 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการ TICAC ภ.5 ร่วมกับ บก.สอท.4 และ พม.จว.เชียงใหม่ พร้อมด้วยมูลนิธิ OUR ได้บูรณาการร่วมกันตรวจสอบกรณีพบการสร้างบัญชีทวิตเตอร์ และได้มีการโพสต์เสนอขายบริการทางเพศในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยจะจัดหาหญิงสัญชาติเมียนมามาบริการทางเพศ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้สืบสวนและตรวจสอบบัญชีดังกล่าวจนทราบตัวผู้ใช้บัญชีดังกล่าว จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับผู้ต้องหาจำนวน 1 ราย ได้แก่

  1. นาง นานเกี๋ยงคำ อายุ 35 ปี สัญชาติเมียนมา
    โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน “เพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิง แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม และเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปซึ่งบุคคลใดเพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณี แม้บุคคลนั้นจะยินยอมก็ตาม”
    ต่อมาเมื่อวันที่ 21 พ.ย.65 ที่ผ่านมา ชุดปฏิบัติการ TICAC สามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้ที่หอพักไม่มีชื่อ หมู่ 5 ต.แม่แรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ พร้อมเข้าช่วยเหลือหญิงที่ถูกพามาให้บริการทางเพศชาวเมียนมาได้จำนวน 5
    คน ได้แก่
    1.เอลู่ หรือน้องพลอย สัญชาติเมียนมา(ไทใหญ่) เกิดวันที่ 12พ.ค.2544 อายุ 21 ปี
    2.มน หรือน้องฝน สัญชาติเมียนมา(ไทใหญ่) เกิดวันที่ ไม่ทราบ อายุ 19 ปี
    3.นาน คาน ลู หรือน้องดาว สัญชาติเมียนมา(ไทใหญ่) เกิดวันที่ 1 ม.ค. 2539 อายุ 26 ปี
    4.แสงนวล หรือน้องฟ้า สัญชาติเมียนมา(ไทใหญ่) เกิดวันที่ ไม่ทราบ อายุ 20 ปี
    5.จาม จาม ลุงส่างอ่อง หรือน้องเมย์ สัญชาติเมียนมา(ไทใหญ่) เกิดวันที่ 1 ม.ค. 2545 อายุ 20 ปี
    ซึ่งมีอายุเกิน 18 ปี โดยตัวผู้ต้องหามีพฤติการณ์ในการเป็นนายหน้าในการขายบริการทางเพศผ่านทางทวิตเตอร์ คิดค่าบริการ 1,000 บาท นายหน้าได้ 200 บาท และตัวหญิงที่ให้บริการจะได้ 800 บาท

กรณีที่ 2 แก๊งคนจีนไลฟ์สดมีเพศสัมพันธ์
หลังจากที่เมื่อวันที่ 26 พ.ค.65 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ TICAC ได้มีการเข้าตรวจค้นรีสอร์ท 2 แห่ง ในพื้นที่ จ.เชียงราย ตรวจพบแก๊งคนจีนเช่าสถานที่ดังกล่าวในการไลฟ์สดมีเพศสัมพันธ์ผ่านแอพจีน โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 14 คน รวมทั้งบุคคลต่างด้าวสัญชาติลาวอีก 30 คน ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียเคยนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ต่อมาเมื่อวันที่ 19 ต.ค.65 เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ TICAC ได้ทำการขยายผลจากกรณีดังกล่าว จนสืบทราบว่า ยังมีแก๊งคนจีนที่กระทำความผิดในลักษณะเดียวกันอีก โดยมีคนจีน 2 คนเป็นหัวหน้าแก๊งดังกล่าวคือ นางลีน่า และ นางโมโม่ สัญชาติจีน โดยมีการเช่าสถานที่ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ และ จ.ชลบุรี ในการถ่ายทอดสดการมีเพศสัมพันธ์ และใช้นักแสดงเป็นคนไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหา
ต่อมา เจ้าหน้าที่สืบสวนได้สืบทราบว่า น.ส.ลีน่า และ น.ส.โมโม่ ได้แยกกันทำงานและเช่าสถานที่ถ่ายทำแบ่งเป็น 2 จุด จึงเดินเข้าตรวจค้นและจับกุมทั้ง 2 จุดดังกล่าว ประกอบด้วย

  1. บ้านต้นเกว่น ต.หนองควาย อ.หางดง จ.เชียงใหม่
    จากการเข้าตรวจค้น พบผู้ต้องหา จำนวน 2 คน ได้แก่
    1) นางเหวิน ลีน่า สัญชาติจีน เป็นหัวหน้าแก๊ง ทำหน้าที่คอยจัดการการถ่ายทอดสด จ่ายเงินให้นักแสดง และพากย์เสียงภาษาจีน
    2) นายปิยะพงษ์ หรือเอ้ วงษ์สุวรรณ ทำหน้าที่เป็นล่าม
    จึงได้จับกุมผู้ต้องหาทั้งสองรายดังกล่าวดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันเพื่อความประสงค์แห่งการค้า หรือโดยการค้า หรือยังให้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร หรือทำให้แพร่หลายโดยประการใดๆ ซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็ก, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้, ร่วมกันกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ โดยเป็นธุระจัดหา จัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้ซึ่งเด็ก เพื่อผลิตหรือเผยแพร่สื่อลามก” นอกจากนี้ยังตรวจพบนักแสดงจำนวน 10 ราย โดยพบว่าเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีซึ่งเป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์จำนวน 5 ราย
  2. บ้านเลขที่ 72/17 หมู่ 4 ต.ป่าแดด อ.เมือง จ.เชียงใหม่
    จากการเข้าตรวจค้น พบ ผู้ต้องหาจำนวน 3 คน ได้แก่
    1) นางซิง เอ้อ หง หรือโมโม่ สัญชาติจีน เป็นหัวหน้าแก๊ง ทำหน้าที่คอยจัดการการถ่ายทอดสด จ่ายเงินให้นักแสดง และพากย์เสียงภาษาจีน
    2) นายสุวรรณ หรือไบรท์ เปลี่ยนขุนทด เป็นผู้ช่วย
    3) น.ส.สรัลชนา หรือฉิง ปรีชามิตรกุล เป็นล่าม
    จึงได้จับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 รายดังกล่าวดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันเพื่อความประสงค์แห่งการค้า หรือโดยการค้า หรือยังให้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร หรือทำให้แพร่หลายโดยประการใดๆ ซึ่งสื่อลามกอนาจารเด็ก, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้, ร่วมกันกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ โดยเป็นธุระจัดหา จัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้ซึ่งเด็ก เพื่อผลิตหรือเผยแพร่สื่อลามก” นอกจากนี้ยังตรวจพบนักแสดงจำนวน 9 ราย โดยพบว่าเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีซึ่งเป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์จำนวน 5 ราย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศโดยมิชอบเป็นอีกคดีที่ในห้วงเวลาที่ผ่านมาเริ่มมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยมีเยาวชนตกเป็นเหยื่อให้กับกลุ่มแก๊งเหล่านี้รวมอยู่ด้วย ดังนั้น ศพดส.ตร. และชุดปฏิบ้ติการ TICAC จึงต้องมีการดำเนินการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาที่กระทำผิดลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง 2 คดี ในวันนี้เป็นการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ต ทั้งในรูปแบบของการเสนอขายบริการทางเพศผ่านทางทวิตเตอร์ และการไลฟ์สดการมีเพศสัมพันธ์ผ่านแอพจีน ซึ่งชุดปฏิบัติการ TICAC ได้บูรณาการร่วมกับหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น พม.จว. หรือภาคประชาสังคม ในการเข้าให้ความช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจากการกระทำผิดดังกล่าว รวมทั้งสามารถจับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องได้ทั้งหมด จากนี้จะยังมีการขยายผลการจับกุมความผิดลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศผ่านทางอินเตอร์เน็ตให้หมดไป


ความคืบหน้าการยึดเครื่องบิน ของ”ตู้ห่าว” หรือ นายชัยณัฐร์ เพื่อตรวจสอบ

จากการยึดเครื่องบินของ “ตู้ห่าว หรือนายชัยณัฐร์ ซึ่งจอดอยู่ที่สนามบินบ่อฝ้าย อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ นั้น ทางพล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รองผบช.ภ.1 พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันตรวจยึดเครื่องบินของตู้ห่าว ตาม พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด   เพื่อมาตรวจสอบ หลังพบหลักฐานในเอกสารปรากฏชื่อ “ตู้ห่าว” เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท เเละเครื่องบินซื้อขายในนามชื่อบริษัทดังกล่าว รวมทั้งจากการปฎิบัติการวันนี้ทั้ง 34 จุด ทางชุดสืบสวนได้ตรวจยึดบ้านหรูใน จ.สมุทรปราการ อีกทั้งตรวจยึดพยานหลักฐาน เอกสาร ตลอดจนรายการทรัพย์สินอื่นๆ ที่ปรากฎชื่อของนายตู้ห่าว และเครือข่ายที่เกี่ยวข้องด้วย

ขณะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า จากการสืบสวนขยายผลรวบรวมพยายหลักฐานพบว่าเครื่องบินลำนี้มีชื่อบริษัทแห่งหนึ่งเป็นเจ้าของ ซี่งมีความเชื่อมโยงกับนายตู้ห่าว หรือนายชัยณัฐร์ ซึ่งเป็นกรรมการบริษัท ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ทำให้เครื่องบินลำนี้เชื่อมโยงกับตู้ห่าว เมื่อเชื่อมโยงแล้วทางเจ้าหน้าที่ต้องทำการตรวจยึดไว้เพื่อตรวจสอบหาดีเอ็นเอ หาความเกี่ยวข้อง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ในส่วนของการตรวจยึดทางเลขาธิการ ปปส.ได้ออกหนังสือคำสั่งยึดไว้ก่อนหน้านี้โดยใช้อำนาจ ปปส. ทรัพย์ดังกล่าวอยู่ในความควบคุมดูแลของ ปปส. โดยวันนี้ทางเลขาธิการ ปปส.มอบหมายให้ผู้ตรวจการตรวจสอบทรัพย์สิน มาร่วมด้วย ซึ่งตำรวจร่วมกับทาง ปปส., ปปง. มาตรวจสอบหาหลักฐาน ตรวจหาดีเอ็นเอ การใช้สุนัขดมกลิ่นเพิ่อหายาเสพติด ซึ่งจะตรวจสอบให้ได้ข้อมูลว่าใครที่นั่งเครื่องบินลำนี้บ้าง ในเรื่องของการสืบสวนของทาง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ดำเนินการไปไกลแล้ว ซึ่งการตรวจสอบและนำผลตรวจซึ่งเป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์มาประกอบในสำนวนเพื่อให้ได้ความถูกต้องรัดกุม

จากการสืบสวนเมื่อวานเราได้จับกุมนานโทนี่ ยิป เจ้าของสเปชพลัส ผับ ตอนนี้เราจับกุม 4 นายทุนจีนสีเทา เหลือเพียง นายหมิง ที่หลบหนีไปก่อนหน้า ซึ่งเราได้ทำการประสานทำเรื่องหมายจับสากลต่อไป การตรวจค้น 34 จุดวันนี้ สื่งที่ได้มาคือการตรวจค้นเครือข่ายนอมินี ยึดทรัพย์นายตู้ห่าว และทรัพย์สินอื่นๆ โดยรายของตู้ห่าว เราพบทรัพย์สินอื่นๆรวมทั้งบ้านอีก 3 หลังในหมู่บ้านเดียวกัน และตรวจค้น บ.โมเดรินเจมส์ที่ทำทัวร์ศูนย์เหรียญ พบรถกว่าร้อยคัน ซึ่งโดยเฉพาะวันนี้ยึดทรัพย์กว่า 4 พันล้าน และรวมก่อนหน้านี้ที่ตรวจยึดทำให้ตอนนี้ยึดทรัพย์ไปแล้วกว่า 5 พันล้านบาท และจะรายงานเรื่องทรัพย์สินไปยัง ปปส. และ ปปง. ต่อไป พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว

ด้าน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของการตรวจยึดเครื่องบินของนายตู้ห่าว หรือนายชัยณัฐร์ เพื่อตรวจสอบ เบื้องต้นได้ให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าเก็บดีเอ็นเอ พร้อมนำสุนัขตำรวจเข้าร่วมภารกิจในการตรวจสอบยาเสพติดด้วย และการที่ตำรวจกวดขันกวาดล้างทุนจีน หากถามตำรวจพอใจหรือไม่ ในส่วนนี้ตอบไม่ได้ ต้องถามพี่น้องประชาชนดีกว่าว่าพอใจหรือไม่ เพราะสิ่งที่เราทำวันนี้เราทำเพื่อเซ็ทซีโร่จริงๆ เพราะธุรกิจสีเทาเรามองว่าเหมือนภูเขาน้ำแข็ง เรามองยอดเขาแต่ใต้น้ำไปพัวพันหลายอย่าง พอเราขุดจะเห็นว่าอาชญากรรมทิ้งร่องรอยไว้ทั้งหมด ซึ่งได้พูดคุยกับทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ว่าเราทำตามพยานหลักฐาน ไม่ทำตามกระแสโซเซียล ถึงใครก็ว่าไปตามนั้น ไม่ถึงเราก็คืนความยุติธรรมให้กับเขา นี่คือสิ่งที่ทาง ผบ.ตร.และทีมงานทุกคนเน้น ถ้าเกิดเชื่อมโยงถึงกันก็ต้องรับสภาพทั้งนอมินีต้องขอเตือนเลย และคนที่คิดจะเป็นนอมินีว่า เป็นความผิดมีโทษจับจำคุก ในการถือทรัพย์สินแทนเขา ยืนยันว่าตำรวจไม่ได้ทำงานล่าช้าแต่ทุกอย่างมีขั้นตอน รวบรวมพยานหลักฐาน ในการไปขอหมายศ่าลถ้าพยานหลักฐานไม่ชัดศาลก็ไม่ให้ ต้องสืบมาก่อน ทำรายงานชี้แจงต่อศาล จนมีเหตุให้ควรสงสัยศาลถึงให้หมายมา ใช่ว่าขอวันนี้จะได้เลย ยืนยีนว่าเราทำต่อเนื่องไม่ได้หยุด ส่วนที่หลายฝ่ายบอกว่าเกี่ยวข้องกับการเมืองไหม ส่วนตัวยืนยันว่าการเมืองมาครอบงำการทำงานไม่ได้ ถ้าหากเป็นเรื่องการเมืองเกี่ยวข้องถึงใครก็ว่าไปตามพยานหลักฐาน ซึ่งขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจ ไม่มีมวยล้มแน่นอน

ที่ผ่านมาไม่เคยที่จะมีสายสืบสวนและสายปราบปรามทำงานร่วมกัน ซึ่งเราลงมาสองคนทั้งตนและรองโจ๊ก นี่คือครั้งแรก และเป็นสื่งที่เราต้องการให้พี่น้องประชาชนปรับมายเซ็ทที่มีต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

กรมศุลกากรจับกุมเนื้อสุกรแช่แข็งลักลอบเข้าประเทศทางภาคใต้น้ำหนัก 12,000 กิโลกรัม รวมมูลค่า 3 ล้านบาท

เมื่อวานนี้ (29 พฤศจิกายน 2565) กรมศุลกากรจับกุมเนื้อสุกรแช่แข็งซุกซ่อนในรถบรรทุก จำนวน 12,000 กิโลกรัม รวมมูลค่า 3,000,000.00 บาท บริเวณริมทางหลวงชนบท 2004 จังหวัดสงขลา

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษา
ด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการลักลอบนำเนื้อสุกรและชิ้นส่วนสุกรที่มีถิ่นกำเนิดจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักรไทย
กรมศุลกากรจึงให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ต่าง ๆ เข้มงวดในการตรวจค้นจุดที่มีความเสี่ยงในการลักลอบ
นำเนื้อสุกรและชิ้นส่วนสุกรเข้ามาในประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ASF ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของผู้บริโภค พร้อมปกป้องเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรในประเทศอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 เวลาประมาณ 15.00 น. เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนและปราบปราม สำนักงานศุลกากรภาคที่ 4 จังหวัดสงขลา ได้ทำการตรวจค้นรถยนต์บรรทุก 12 ล้อ บริเวณริมทางหลวงชนบท 2004 ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ผลการตรวจค้นพบ ชิ้นส่วนสุกรแช่แข็ง มีถิ่นกำเนิดต่างประเทศ บรรจุอยู่ภายในถุงพลาสติกมีข้อความภาษาต่างประเทศ โดยไม่พบเอกสารใบอนุญาตนำเข้าหรือเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติพิธีการทางศุลกากร จำนวน 12,000 กิโลกรัม รวมมูลค่า 3,000,000.00 บาท

การกระทำดังกล่าว อาจเป็นความผิดตามมาตรา 242 มาตรา 246 และ/หรือ มาตรา 247 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 จึงเป็นของอันพึงต้องริบตามมาตรา 166 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 เจ้าของผู้มีสิทธิหรือผู้ครอบครอง อาจมีความผิดตามมาตราดังกล่าว เจ้าหน้าที่ฯ จึงได้อาศัยอำนาจ ตามมาตรา 167 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560

โฆษกกรมศุลกากร กล่าวต่ออีกว่า จากสถิติการจับกุมการลักลอบนำเนื้อสุกรและชิ้นส่วนสุกรที่มีถิ่นกำเนิดจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม 2565 ถึงปัจจุบัน มีจำนวนทั้งหมด 12 คดี รวม 172,800 กิโลกรัม มูลค่า 35,306,000.00 บาท ทั้งนี้ กรมศุลกากรจะส่งมอบเนื้อสุกรแช่แข็งให้กรมปศุสัตว์เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ประสานทางการลาวจับกุม 2 ผู้ต้องหาปล้นฆ่าพ่อค้ารถหลุดจำนำ

จากกรณีเมื่อวันที่ 9 ต.ค.65 เวลาประมาณ 05.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านเป็ด ภ.จว.ขอนแก่น ได้รับแจ้งเหตุพบศพผู้เสียชีวิต ทราบชื่อต่อมาคือ นายพนม ทิพย์รัตนมงคล อายุ 40 ปี สภาพศพอยู่ลักษณะนอนหงาย ในมือข้างซ้ายกำสร้อยคอรูปพรรณน้ำหนัก 1 บาท มือขวากำพระเลี่ยมทอง มีบาดแผลถูกยิงที่บริเวณด้านหลังทะลุหน้าอก 1 แผล และพบรอยกระสุนปืนบริเวณโคนอวัยวะเพศ 2 แผล เหตุเกิดที่บริเวณทางเข้าสนามบินขอนแก่น ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้รายงานไปแล้ว นั้น
จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ดำเนินการควบคุมการสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุในคดีนี้มาดำเนินคดีโดยเร็ว เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ คนร้ายมีการใช้อาวุธปืนในการก่อเหตุ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 พล.ต.ต.นพเก้า โสมนัส ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น และ พ.ต.อ.สุรศักดิ์ มโนทัย ผกก.สภ.บ้านเป็ด ให้เร่งสืบสวนติดตามจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาที่ก่อเหตุในครั้งนี้ให้ได้
จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า ก่อนเกิดเหตุเมื่อวันที่ 8 ต.ค.65 นายพนมฯ ผู้เสียชีวิต ได้มีการเสนอขายรถกระบะยี่ห้ออีซุซุ ดีแม็ก สีขาว ทะเบียน 1ขบ 2903 กทม. ซึ่งเป็นรถหลุดจำนำ ให้กับนายพันธรัตน์ หรือโก้ หาญสุริย์ โดยได้มีการตกลงกันว่า จะมีการโอนเงินค่ามัดจำก่อน 19,000 บาท แล้วจะมีการจ่ายเงินที่เหลือตอนที่มีการนัดรับรถจริง ต่อมาในวันเดียวกัน ได้มีการนัดส่งมอบรถดังกล่าวที่บริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท. อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด โดยนายพนมฯ ได้พาเพื่อนไปด้วย 2 คน ส่วนในฝั่งนายพันธรัตน์ฯ ได้ไปกับนายจิราวุฒิ หรือเบนซ์ ทองสืบสาย แต่เมื่อพบกันแล้ว ทางนายพันธรัตน์ฯ อ้างว่า เงินสดที่เตรียมมาไม่พอจ่าย โดยจะมีเงินโอนจากลาวมาในเช้าวันรุ่งขึ้น จึงเลื่อนการนัดรับรถออกไปและแยกย้ายกันกลับ ต่อมาเช้าวันที่ 9 ต.ค.65 เวลาประมาณ 05.00 น. นายพันธรัตน์ฯ ได้นัดให้นายพนมฯ ขับรถคันดังกล่าวมาส่งมอบให้ที่บริเวณทางเข้าสนามบินขอนแก่นที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงพบว่า ทางฝั่งนายพันธรัตน์ฯ มากัน 5 คน โดยขับรถยนต์ฮอนด้า ซีอาร์วี สีขาว มาด้วย ได้มีการลงไปพูดคุยกัน จากนั้นนายพันธรัตน์ฯได้ชักอาวุธปืนออกมา นายพนมฯ พยายามวิ่งหนี แต่ถูกนายพันธรัตน์ฯ ยิง 3 นัด จนล้มลงและเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ จากนั้นได้ขับรถกระบะที่นายพนมฯ นำมา หลบหนีไปทั้งหมด
หลังทราบข้อมูลดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน และออกหมายจับผู้ต้องหาจำนวน 5 ราย ประกอบด้วย

  1. นายพันธรัตน์ หรือโก้ หาญสุริย์ อายุ 18 ปี
  2. นายจิราวุฒิ หรือเบนซ์ ทองสืบสาย อายุ 26 ปี
  3. นายธนพล หรือเอ๊กซ์ วงษ์สมบูรณ์ อายุ 22 ปี
  4. นายเกียรติศักดิ์ หรือบาส จรัสกาย อายุ 26 ปี
  5. นายอภิชาต หรือฟิว ถะเกิงสุข อายุ 22 ปี
    โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยคนใดคนหนึ่งมีอาวุธ ใช้ปืนยิงเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, ร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยเปิดเผย หรือโดยไม่มีเหตุสมควร และร่วมกันมี ใช้อาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืนโดยมิได้รับอนุญาต” โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่สามารถติดตามจับกุม นายธนพลฯ นายเกียรติศักดิ์ฯ และนายอภิชาตฯ ได้เรียบร้อย ในส่วนของนายพันธรัตน์ฯ และนายจิราวุฒิฯ เจ้าหน้าที่สืบสวนทราบว่า ได้หลบหนีข้ามพรมแดนไปยัง สปป.ลาว จึงได้มีการประสานทางการลาวเพื่อขอความร่วมมือในการติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองราย จนสามารถติดตามจับกุมได้ และนำตัวมาส่งมอบที่ด่าน ตม.จว.หนองคาย เพื่อรับตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
    พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจ เนื่องจากกลุ่มคนร้ายก่อเหตุอย่างอุกอาจโดยใช้อาวุธปืนยิงสังหารผู้ตายอย่างเหี้ยมโหดก่อนจะลักเอารถกระบะไป จากการสืบสวนขยายผลของเจ้าหน้าที่ หลังจากที่จับกุมผู้ก่อเหตุที่หลบหนีในประเทศได้แล้ว ทราบว่ามีผู้ก่อเหตุหลบหนีไปยัง สปป.ลาว จึงได้มีการประสานขอความร่วมมือไปยังเจ้าหน้าที่ทางการ สปป.ลาว เพื่อช่วยในการติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุ และนำกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยจนได้ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้าหน้าที่ไทยและลาวที่พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกันในการปราบปรามอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในทั้งสองประเทศ จึงขอขอบคุณในความร่วมมือดังกล่าวไว้ ณ ทีนี้ นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความเอาจริงเอาจังของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ให้ความสนใจในการติดตามจับกุมผู้ต้องหาแม้จะหนีไปต่างประเทศก็ตาม ถือเป็นการสร้างความมั่นใจในการทำงานของตำรวจในสายตาของประชาชนในพื้นที่มากยิ่งขึ้น
Design a site like this with WordPress.com
Get started