ผบ.ตร.โชว์ผลงานรอบ 2 เดือน เน้นงานนโยบาย 5 ด้าน เร่งด่วน แก้ปัญหาผู้เสพกว่า 1.4 แสนราย จับกุมปืน 22,027 คดี กวาดล้างยาเสพติด 47,310 คดี พนันฟุตบอล 5,101 ราย ทลายเครือข่ายนายทุนจีน แก็งต่างชาติ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน

วันนี้ (30 พ.ย.65 ) เวลา 11.00 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เปิดเผยว่า “ตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล โดยเฉพาะด้านอาชญากรรม ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน ด้านปัญหายาเสพติด อาวุธปืน สถานบริการ การพนัน คดีออนไลน์ และเครือข่ายคนต่างด้าวที่กระทำผิดกฎหมายในประเทศไทย อย่างเฉียบขาด จริงจัง และต่อเนื่อง โดยบังคับใช้ทุกมาตรการทางกฎหมาย
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอแถลงผลการดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. – 28 พ.ย.65 จำนวน 5 ด้าน ดังนี้

  1. สถิติอาชญากรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (1 ต.ค.- 28 พ.ย.65) รับคำร้องทุกข์ 142,740 คดี จับกุมได้ 131,349 คดี คิดเป็น ร้อยละ 92
    1.1 จับกุม อาวุธปืนและวัตถุระเบิด 22,027 คดี 20,316 คน (ปืนสงคราม 220 คดี, ปืนไม่มีทะเบียน 6,466 คดี, ปืนมีทะเบียน 529 คดี )
    1.2 คดีเกี่ยวกับการพนัน 15,407 คดี ผู้ต้องหา 18,170 คน จับกุมกรณี บ่อนการพนัน(20 คนขึ้นไป) 4 คดี ผู้ต้องหา 108 คน
    โดยศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลโลก (World Cup 2022) มีผลปฏิบัติ จับกุมเจ้ามือ จำนวน 104 ราย (เจ้ามือ 57 ราย เจ้ามือออนไลน์ 47 ราย) ผู้เล่น 4,975 ราย (ผู้เล่นทั่วไป 4,559 ราย ผู้เล่นออนไลน์ 416 ราย) เดินโพย 22 ราย รวม จำนวนทั้งสิ้น 5,101 ราย โดยยึดของกลางโพยบอล 7,064 ใบ เงินสด 98,140 บาท รวมมูลค่า 1,268,000 บาท
    1.3 จับกุมความผิดเกี่ยวกับสถานบริการ 1,032 คดี ผู้ต้องหา 1,024 คน
  2. ด้านการป้องกันปราบปรามยาเสพติด
    2.1 ค้นหาและนำผู้สมัครใจเข้าสู่กระบวนการบำบัดฯ จำนวน 72,716 ราย และผู้เสพที่มีอาการ ทางจิตประสาท จำนวน 21,143 ราย รวมทั้งสิ้น 93,859 ราย
    2.2 ผู้เสพไม่สมัครใจบำบัดหรือกระทำผิดซ้ำ จับกุม จำนวน 46,980 ราย (กลุ่มฐานความผิดร้ายแรง (ผู้จำหน่าย ครอบครองเพื่อการค้า ซึ่งทำให้เกิดการแพร่กระจายในหมู่ประชาชน) จำนวน 9,329 ราย
    โดยสามารถนำผู้เสพเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย รวมทั้งสิ้น จำนวน 140,839 ราย ระยะเวลา ต.ค.-พ.ย.65 คิดเป็นร้อยละ 54 เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ.2565
    2.3 จับกุมยาเสพติด 47,310 คดี ผู้ต้องหา 46,453 คน ปริมาณของกลางยาบ้า 34,827,953 เม็ด ไอซ์ 67.88 กิโลกรัม เฮโรอีน 125.9 กิโลกรัม เคตามีน 406.5 กิโลกรัม โคเคน 2.4 กิโลกรัม และ ยาอี 1,217 เม็ด,ดำเนินการตามยึดทรัพย์ ตามมาตรการฟอกเงิน 3 ราย
    2.4 ดำเนินโครงการชุมชนยั่งยืนเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจรในพื้นที่ 1,483 หมู่บ้าน/ชุมชน จำนวนไม่น้อยกว่า 15,000 ราย โดยจะเริ่มดำเนินการได้ในห้วง ม.ค.-เม.ย.2566
  3. ด้านการแจ้งความออนไลน์ และ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี
    สถิติการรับแจ้งความออนไลน์ตั้งแต่ 1 มี.ค. – 29 พ.ย.65 รับแจ้งความ 134,268 คดี พบว่า ข้อมูล 5 กลโกงที่พบการรับแจ้งมากที่สุด ( 1.คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า 2.โอนเงินเพื่อหารายได้จากกิจกรรม 3.หลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน 4. หลอกให้ลงทุน 5.หลอกลวงทางโทรศัพท์แบบเป็นขบวนการ/Call Center)
    ข้อมูล 5 กลโกงที่พบความเสียหายสูงสุด ( 1.หลอกให้ลงทุน (6.4 ลบ.) 2.หลอกลวงทางโทรศัพท์แบบ เป็นขบวนการ (2.1 ลบ.) 3.โอนเงินเพื่อหารายได้จากกิจกรรม (2.0 ลบ.) 4.หลอกให้รักแล้วลงทุน (0.99 ลบ.) 5.หลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน (0.67 ลบ.)
    สามารถติดตามอายัดบัญชี 49,765 บัญชี สามารถอายัดได้ทัน 385,759,583 บาท
  4. ด้านเครือข่ายคนต่างด้าวกระทำผิดกฎหมาย ผบ.ตร. สั่งการให้ ผบช.สตม. ดำเนินการเพิ่มความเข้มในการคัดกรอง กวาดล้างและจัดระเบียบ คนต่างด้าวที่ผิดกฎหมาย กระทำความผิดลักษณะเป็นเครือข่ายคนต่างด้าวกระทำผิดกฎหมายในประเทศไทย ดังนี้ 4.1 คัดกรองคนต่างด้าวมีการปฏิเสธคนต่างด้าวเข้าเมือง จำนวน 3,395 ราย คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง 2,005 ราย ช่วยเหลือ ซ่อนเร้น 21 ราย และจัดระเบียบคนต่างด้าวในประเทศ ไม่รายงานตัวฯ 582 ราย (มาตรา 37) ไม่แจ้งที่พักอาศัยคนต่างด้าว 8,770 ราย (มาตรา 38) และจับกุมคนต่างด้าวอนุญาตสิ้นสุด (Overstay) จำนวน 1,073 ราย 4.2 ขยายจับกุมเครือข่ายนายทุนจีนผิดกฎหมาย จากกรณี ร้านผับจินหลิง คดีที่เมื่อวันที่ 26 ต.ค.65 เข้าตรวจค้น พบผู้ใช้ยาเสพติดกว่า 104 ราย และพบยาเสพติดจำนวนมาก พร้อมตรวจยึดรถยนต์หรู จำนวน 35 คัน จากการขยายผลพบเพิ่มอีก 4 กรณี ได้แก่ 1. ร้านคลับวันพัทยา พื้นที่ สภ.เมืองพัทยา หลังการตรวจค้น พบยาเสพติดจำนวนมาก ผู้ต้องหา 4 ราย 2. ร้านท็อปวัน พื้นที่ สน.สุทธิสาร มีกลุ่มคนจีนเป็นเจ้าของ โดยใช้ชื่อคนไทยเป็นนอมินี จำนวน 2 ราย
    1. ร้านจินหลิง พื้นที่ สน.ยานนาวา จับกุมขยายผลผู้ต้อง 4 ราย ได้ของกลางเป็นยาเสพติดประเภท เฮโรอีน ยาอี และแฮปปี้วอเตอร์ ตรวจค้นจุดต้องสงสัยกว่า 38 จุด ยึดรถหรู 5 คัน เงินสด 19 ล้านบาท หลังจากนั้นได้ขออนุมัติออกหมายจับเพิ่มอีก 2 ราย
      4.ร้านเบบี้เฟซ พื้นที่ สน.คลองตัน หลังตรวจค้นที่พัก พบสุราต่างประเทศ ไวน์ต่างประเทศ บุหรี่ต่างประเทศ บุหรี่ไฟฟ้าพร้อมอุปกรณ์ และอาวุธปืน หลังจากรวบรวมพยานหลักฐาน ได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา เพิ่มจำนวน 4 ราย
      โดยคดีนี้อยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้อง
      4.3 จับกุม คนต่างด้าวลักลอบเปิดเว็บพนันออนไลน์ เมื่อวันที่ 28 ต.ค.65 คนต่างด้าว 56 ราย ใช้ไทยเป็นฐานลักลอบเปิดเว็บพนันออนไลน์ เห่อซิง โดยมีเงินทุนหมุนเวียนกว่า 500 ล้านบาท
      4.4 จับกุมแก๊งค์อุ้มเรียกค่าไถ่ เมื่อวันที่ 1 พ.ย.65 ผู้ต้องหา 2 ราย เกี่ยวข้องกับแก๊ง อุ้มตัดนิ้วเพื่อนร่วมแก๊งเรียกค่าไถ่ 37 ล้านบาท
      4.5 จับกุมคนต่างด้าวสวมบัตรประชาชน เมื่อวันที่ 9 พ.ย.65 จับกุมนายทุนรายใหญ่ สวมบัตรประชาชนไทย ตามหมายจับศาล จว.ปัตตานี จ.125/65 ยึดของกลางหลายรายการ เช่น ชุดเครื่องแบบฯ ติดป้ายชื่อ รถยนต์ 2 คัน (ติดธงจีนคล้ายรถสถานทูต) หนังสือเดินทาง 3 เล่ม
      4.6 จับกุม แก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่างชาติ เมื่อวันที่ 13 พ.ย.65 รวบหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หนีซุกไทยเสวยสุข ตามหมายจับฯ ข้อหา เกี่ยวกับยาเสพติด การฉ้อโกง การลักทรัพย์ เป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสาธารณะ หนังสือเดินทางปลอม ตรวจยึด รถยนต์ยี่ห้อ Ferrari 1 คัน มูลค่ากว่า 24 ล้านบาท
  5. โครงการ “ ทำดี มีรางวัล ”
    ​พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ ผบ.ตร. ได้มอบเกียรติบัตรตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 8 เรื่อง โดยเป็นข้าราชการตำรวจ จำนวน 12 นาย และประชาชน 3 นาย เช่น การช่วยเหลือ ประชาชน นำส่งเด็กผลัดหลง การปฐมพยาบาล(ปั้มหัวใจ) ช่วยเหลือรถจักรยานยนต์ตกคลอง การจับกุมคนร้ายใช้อาวุธปืน ช่วยเหลือเด็กหญิง เจรจาคนพยามยามจะกระโดดสะพาน ใช้ไหวพริบในการจับกุมยาเสพติดกว่า 5 ล้านเม็ด อีกทั้ง ยังมีผู้ได้รับเกียรติบัตรตามโครงการนี้ ที่เสนอขึ้นมาจากหน่วยงานต้นสังกัด(37หน่วย) โดยเดือน ต.ค. 65 มี 46 ราย (ตำรวจ 37 ราย กับพลเมืองดี 9 ราย) และเดือน พ.ย. 65 มี 43 ราย (ตำรวจ 37 ราย กับพลเมืองดี 6 ราย) รวมจำนวน 89 ราย
    และอีก 1 ราย ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ ผบช.ภ.8 พิจารณามอบรางวัล กรณีการจับกุมผู้ต้องหาที่มีอาวุธปืน และได้ยิงปืนใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษ กรณีเหตุเมื่อวันที่ 28 พ.ย.65 เวลาประมาณ 09.00 น. บริเวณด่านตรวจ ฉิมหลา จ.นครศรีธรรมราช
    โฆษก ตร. ฯ กล่าวอีกว่า “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำชับ สั่งการให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดูแลความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยให้มีการระดมกวาดล้าง จับกุมผู้กระทำความผิด บังคับใช้ทุกมาตรการทางกฎหมาย อย่างเด็ดขาด จริงจัง ต่อเนื่อง และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนาย ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง ตามหลักยุทธวิธี
    ตลอดระยะเวลาเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พอใจผลการปฏิบัติในภาพรวม สามารถขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาล ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะนโยบายเร่งด่วน การแก้ปัญหายาเสพติด ที่มีการนำผู้เสพเข้าสู่กระบวนการบำบัด จำนวน 140,839 ราย จับกุมคดีอาวุธปืนจำนวนมาก การพนัน สถานบริการ และแก้ปัญหาคดีออนไลน์ รวมทั้งการขยายผลดำเนินคดีกับแก็งอาชญากรรมต่างชาติ คดีนายทุนจีนผิดกฎหมาย
    ผลงานตัวเลขการปฏิบัติเหล่านี้ ยืนยันว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความพร้อมในการดูแลความปลอดภัย และสร้างความเชื่อมั่นให้พี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยวตามนโยบายรัฐบาล ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน ช่วยกันเป็นหูเป็นตา เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม สร้างความสงบเรียบร้อยในสังคม หากประชาชนพบเบาะแส สามารถแจ้งข้อมูลหรือเบาะแสได้ทางสายด่วน 1599 และ ศูนย์รับแจ้งเหตุ 191 ทั่วประเทศ”

สพป.สงขลา เขต 2 เปิดเวทีการแข่งขันศิลปหัตถกรรมนักเรียน

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

วันนี้ 28 พฤศจิกายน 2565 ที่ห้องประชุม รร.บ้านหน้าควนลัง ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สพป.สงขลา เขต 2 นายอุทัย กาญจนะ ผอ.สพป.สงขลา เขต 2 เป็นประธานเปิดเวทีการแข่งขันศิลปหัตถกรรมนักเรียน ประเดิมระดับเครือข่าย ครั้งที่ 70 ปีการศึกษา 2565 ระดับเครือข่ายสีเมืองสัมพันธ์มี รร.เข้าร่วม 10โรง จัดแข่งขัน จำนวน 45 กิจกรรม เพื่อคัดเลือกตัวแทนของเครือข่าย เข้าแข่งขันระดับเขตพื้นที่ฯ เพื่อส่งต่อเข้าแข่งขันระดับชาติ ในภูมิภาค(ภาคใต้) เพื่อร่วมกันสืบสานพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่มุ่งหวังให้เยาวชนไทยหันมาเอาใจใส่ในการเรียนวิชาชีพ ฝึกฝนทักษะ ฝีมือตนเองให้มีความเป็นเลิศและรอบรู้ในวิชาชีพที่ตนเองถนัด อันจะเป็นรากฐานสำคัญในการประกอบอาชีพในอนาคต เป็นเวทีให้นักเรียนได้แสดงออกถึงความรู้ความสามารถ ซึ่งนับเป็นผลสำเร็จของการจัดการศึกษาและเผยแพร่ผลงานด้านการจัดการศึกษาสู่สายตาสาธารณชน โดยการจัดงานฯได้เปลี่ยนรูปแบบวิธีการจัดการแข่งขัน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายและบริบทการจัดการศึกษาที่เปลี่ยนไปทุกปี ซึ่งตั้งเป้าหมายให้ครูทุกคนได้ร่วมแสดงออกในเวทีการแข่งขันดังกล่าวนี้ อย่างน้อง 1 ครู 1 รายการ ขณะที่ สพป.สงขลา เขต 2 มีข้าราชการครู กว่าพันคน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายครองเหรียญงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ระดับเครือข่าย ครั้งที่ 70 ปีการศึกษา 2565สพป.สงขลา เขต 2 เตรียมกำหนด จัดการแข่งขันระดับเครือข่ายอำเภอและระดับเขตพื้นที่การศึกษา ระหว่างเดือนพฤศจิกายน – เดือนธันวาคม 2565 และส่งตัวแทนระดับเขตพื้นที่การศึกษาเข้าแข่งขันงานศิลปหัตถกรรมนักเรียนครั้งที่ 70 ปีการศึกษา 2565 ระดับภาค ณ จังหวัดสตูล ระหว่างวันที่ 18-20 มกราคม 2566 ภายใต้คำขวัญงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ครั้งที่ 70 ปีการศึกษา 2565 ระดับเขตพื้นที่การศึกษาฯสงขลา เขต 2ที่ ว่าสงขลาสองรักษ์ถิ่น สืบศิลป์ศาสตร์สร้าง นวัตกรรมนำทาง สู่โลกกว้างก้าวไกล

ตำรวจสงขลา ร่วมกับ ปปส.ภาค 9 จับกุมยาบ้าล๊อตใหญ่ 4 แสนเม็ดมูลค่า 12 ล้านบาท ที่ส่งมาทางพัสดุกับบริษัทเอกชนนำมาเก็บไว้ในบ้านเช่ารอส่งให้เอเย่นต์เป็นเครือข่ายใหญ่ในภาคใต้

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

วันนี้ (27พ.ย.65) ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติดกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ปปส.ภาค 9 นำโดย พ.ต.อ.ธนวัต เส้งสุย ผกก.สส.ภ.จว.สงขลา/หน.ชปส.ภ.จว.สงขลา ภายใต้การสั่งการของ พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9,พล.ต.ต.วรา เวชชาภินันท์ ผบก.ภ.จว.สงขลา,นายพงศ์ธร ธรรมชาติ ผอ.ป.ป.ส.ภาค 9
เข้าตรวจค้นภายในบ้านเช่าเลขที่ 6/2 ม.5 ต.แม่ทอม อ.บางกล่ำ จ.สงขลา หลังจากสืบทราบว่าถูกใช้เป็นที่พักยาบ้าล๊อตใหญ่เพื่อรอกระจายส่งให้กับลูกค้า
และจับกุม นายอธิวัฒน์ กลับวงศา อายุ 27 ปี หรือโอม ชาว ต.บ้านหาร อ.บางกล่ำ จ.สงขลา จากการตรวจค้นภายในบ้านเช่า พบยาบ้าจำนวน 4 แสนเม็ด มูลค่า 12 แสนบาท ซุกซ่อนอยู่ในกล่องพัสดุ จำนวน 2 กล่อง กล่องละ 100 มัดจึงยึดเอาไว้ พร้อมรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดีแม็ค 4 ประตู สีบรอนซ์ทอง หมายเลขทะเบียน งจ 5884 สงขลา ซึ่งเป็นรถกระบะแต่งซิ่งเพิ่งวางเครื่องมาใหม่กว่า 3 แสนบาท
จากการสอบสวน นายอธิวัฒน์ ให้การว่า เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาได้รับการว่าจ้างจากนายเอ้ ไม่ทราบชื่อจริงโดยติดต่อผ่านไลน์ชื่อ Brazil 999 ใช้รูปโปรไฟล์ธงชาติบราชิล ให้ไปรับยาบ้า 4 กล่อง จำนวน 8 แสนเม็ด ที่ถูกส่งมาทางพัสดุกับทางบริษัทขนส่งแห่งหนึ่ง ย่านถนนรัถการ ใน อ.หาดใหญ่ โดยไปช่วยกันขนกับนายสรานนท์ แกล้วกล้า หรือแม็กซ์ ด้วยรถกระบะสองคันและนำมาเก็บไว้ในบ้านเช่าหลังนี้
และในช่วงเย็นวันเดียวกันได้รับใบสั่งให้นำยาบ้าจำนวน 2 กล่อง รวม 4 แสนบาท ไปส่งให้กับ นายอรรถพล ปิ่นแก้ว โดยนำไปวางไว้ริมโคนเสาไฟฟ้าข้างป่าช้าหนองลิง ป่าช้าหนองลิง ต.บ้านหาร อ.บางกล่ำ จ.สงขลา ก่อนที่จะถูกเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นและจับกุมได้
นอกจากนี้ นายอธิวัฒน์ ยังให้การอีกว่า ได้รับการว่าจ้างจาก นายสรานนท์ หรือแม็ก ให้ร่วมกันลำเลียงและเก็บยาบ้ามาพักไว้ที่บ้านเช่าหลังนี้มาแล้วถึง 15 ครั้ง ครั้งละ 2 แสนเม็ด ได้เงินค่าจ้างครั้งละ 2 หมื่นบาทโดยล่าสุดเมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมาไปรับยาบ้ามา 2 แสนเม็ด ที่ถูกนำมาวางไว้ภายในซอยซึ่งเขียนป้าย”ยินดีต้อนรับชุมชนทุ่งน้ำ” ถนนข้างคลอง เทศบาลเมืองคลองแห อ.หาดใหญ่ และเมื่อวันที่ 16 พ.ย. ไปรับยาบ้าอีก 2 ที่บริเวณในซอยหลังร้านสะดวกซื้อ ริมถนนทางไปสนามบินหาดใหญ่

โดยหลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะเร่งสืบสวนขยายผลไปยังเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดกลุ่มนี้ทั้งเอเย่นต์ต้นทางที่ส่งยาบ้ามาให้ นักบินหรือคนกลางที่ทำหน้าที่เก็บยาบ้าและเอเย่นต์ปลายทางที่มารับช่วงต่อซึ่งเป็นเครือข่ายใหญ่ใน จ.สงขลาและในภาคใต้

พล.ต.ท. เสนิต ผบช.รร.นรต. เปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการและฝึกอบรมด้านการสร้างหลักสูตรการฝึกอบรมแบบโมดูล

พลตำรวจโท เสนิต สำราญสำรวจกิจ ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการและฝึกอบรมด้านการสร้างหลักสูตรการฝึกอบรมแบบโมดูล

โดยมี

  • นายมันเฟรด กิเกล
    ผบ.รร.ตร.Eichstatt
  • นายอันเดรียส ดีเทอร์
    อจ.รร.ตร.Eichstatt
  • นายคามิเลอู้ม มองกอสโซ วัมบูรา
    ผบ.ตร.สหสาธารณรัฐแทนซาเนีย
  • นายคาร์ล ปีเตอร์ เชนฟิช
    ผู้แทนมูลนิธิ Hanns Seidel ประจำสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย

และมีคณะตำรวจจากสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ผู้เข้ารับการอบรม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมพิธีเปิดโดยพร้อมเพรียงกัน

ณ อาคารประสารราชกิจ รร.นรต.

#happybrian

พล.ต.ต.จิรสันต์ รอง ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.นิตินันท์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.นิธิธร รอง ผบช.น. ร่วมแถลงข่าวผลการจับกุม เว็บพนันแฮกเว็บไซต์และแท็กซี่เถื่อน ทะเบียนปลอม

วันนี้(ศุกร์ที่ 25 พ.ย.65) เวลา 14.00 น. พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น./โฆษก บช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.นิตินันท์ เพชรบรม รอง ผบช.น., พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น./รองโฆษก บช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว รอง ผบช.น., พ.ต.อ.ดำรงศักดิ์ สว่างงาม รอง ผบก.น.8 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ (ศปจร.น.) ร่วมแถลงข่าวผลการจับกุม รถแท็กซี่เถื่อน สวมทะเบียน ตระเวนรับผู้โดยสาร ในพื้นที่ อ.คลองสาม จ.ปทุมธานี โดยมีของกลางที่ได้ เป็นเครื่องปั๊มทะเบียน, แผ่นทะเบียน และรถของกลาง จำนวน 5 คัน

สืบเนื่องจากเมื่อประมาณกลางเดือนตุลาคม 2565 ศูนย์อาชญากรรมทางเทคโนโลยีของตำรวจนครบาล สืบสวนพบว่ามีแก๊งค์การพนันออนไลน์ได้ทำการแฮกเว็บไซต์ของหน่วยงานราชการจำนวนมากเพื่อนำไปใช้ทำโฆษณาเว็บไซต์พนันออนไลน์ พฤติการณ์กล่าวคือ ปัจจุบันการให้บริการโฆษณาต่างๆ บนเว็บไซต์ google จะมีระบบตรวจจับและป้องกันการโฆษณาที่
ผิดกฎหมาย หากตรวจพบ ทางเว็บไซต์ google จะทำการบล็อคสัญญานและปิดช่องทางการโฆษณาบนหน้าเว็บไซด์ google ทันที
เว็บไซต์การพนันออนไลน์จึงอาศัยความน่าเชื่อถือของเว็บไซด์หน่วยงานราชการ ที่ได้รับการตรวจสอบจากเว็บไซต์ google แล้วว่าเป็นเว็บไซต์ของหน่วยงานราชการ จากนั้นดำเนินการเข้าแฮกเว็บไซต์ของหน่วยงานราชการแล้วนำลิงค์เว็บไซต์การพนันออนไลน์เข้าไปฝังไว้ในเว็บไซต์หน่วยงานราชการที่ถูกทำการแฮก จึงทำให้ประชาชนทั่วไปรวมถึงเยาวชนสามารถพบเห็นเว็บไซต์การพนันออนไลน์บนหน้าเว็บไซต์ google ผ่านเว็บไซต์หน่วยงานราชการจำนวนมากที่ถูกแฮก
ศูนย์อาชญากรรมทางเทคโนโลยีของตำรวจนครบาล จึงได้ดำเนินการสืบสวนพบว่าขณะนี้มีเว็บไซต์หน่วยงานราชการจำนวน 115 เว็บไซต์  ถูกเว็บไซต์พนันออนไลน์จำนวนกว่า 50 เว็บไซต์ นำลิงค์เข้าไปฝังไว้ 
พล.ต.ท.ธิติ  แสงสว่าง ผบช.น. ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. พล.ต.ต.นิตินันท์ เพชรบรม รอง ผบช.น. พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต. สมบูรณ์ เทียนขาว รอง ผบช.น./ศปอส.น. ดำเนินการสืบสวนขยายผลและจับกุมแก๊งค์ที่ก่อเหตุแฮกเว็บไซต์หน่วยงานราชการแล้วนำไปโฆษณาเว็บไซต์พนันออนไลน์ 
พล.ต.ต.สมบูรณ์ฯ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการอาชญากรรมทางเทคโนโลยีของตำรวจนครบาล ดำเนินการสืบสวนมาโดยตลอดจนทราบว่ามีกลุ่มผู้ต้องหากว่า 10 ราย เป็นผู้ดำเนินการแฮกเว็บไซต์และลักลอบจัดให้มีการเล่น ทำอุบายล่อ หรือช่วยประกาศโฆษณา ให้ผู้อื่นเข้าเล่นการพนัน บริเวณบ้านเลขที่ 97/43 ซ.คุณาลัย 9/4 ถ.บางขุนเทียน-ชายทะเล แขวงท่าข้าม เขตเทียนทะเล กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีของตำรวจนครบาล จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขอหมายค้นต่อศาลแขวงธนบุรี ลงวันที่ 23 พ.ย.2565

ต่อมาวันที่ 24 พ.ย.65 เวลาประมาณ 13.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีของตำรวจนครบาล อาศัยอำนาจ หมายค้นของศาลแขวงธนบุรี ลงวันที่ 23 พ.ย.2565 เข้าทำการตรวจค้น บ้านเลขที่ 97/43 ซ.คุณาลัย 9/4 ถ.บางขุนเทียน-ชายทะเล แขวงท่าข้าม
เขตเทียนทะเล กรุงเทพมหานคร ผลการตรวจค้นพบผู้ต้องหาจำนวน 14 ราย กำลังลักลอบและประกาศโฆษณาให้กลุ่มลูกค้าเพื่อเข้าเล่นการพนัน ผ่านทางเว็บไซต์ http://www.betflix551.com จึงได้ทำการจับกุม พร้อมกับทำการตรวจยึดของกลางชุดคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย CPU จอคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ อื่นๆ จำนวน 14 ชุด ซึ่งมีไว้ใช้สำหรับการโฆษณาเว็บไซต์การพนัน โทรศัพท์มือถือ จำนวน 15 เครื่อง ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดจริง จึงได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สน.ราษฎร์บูรณะ และอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานและขยายผลในความผิดตามพระราชบัญญัติ คอมพิวเตอร์ และ พระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ต่อไป
ในส่วนเว็บไซต์การพนันที่เกี่ยวข้อง ตำรวจนครบาลจะดำเนินการสืบสวนขยายผลดำเนินคดีทุกเว็บไซต์ที่ได้แฮกเว็บของหน่วยงานราชการ ตำรวจนครบาลขอประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานราชการหมั่นตรวจสอบเว็บไซต์ของหน่วยงานว่าโดนแฮกแล้วถูกนำลิงค์ของเว็บไซต์การพนันเข้าไปฝังไว้หรือไม่ โดยพิมพ์คำค้นหาใน google ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์พนันออนไลน์ เช่น Slot Bacara แทงบอล แทงหวย เป็นต้น หากพบว่ามี ยูอาร์แอลเว็บไซต์ของท่านแสดงขึ้นมา แล้วปรากฏข้อความโฆษณาเกี่ยวกับเว็บไซต์พนันออนไลน์ แสดงว่าเว็บไซด์หน่วยงานของท่านอาจถูกแฮก ให้รีบดำเนินการแก้ไข และป้องกันโดยด่วน

“ศูนย์ปราบปรามโจรกรรมรถยนต์และรถจักรยานยนต์ กองบัญชาการตำรวจนครบาล
(ศปจร.น.) รวบรถแท็กซี่เถื่อน สวมทะเบียน ตระเวนรับผู้โดยสาร ”

พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. พล.ต.ต.นิตินันท์ เพชรบรม
รอง ผบช.น.,พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.และ พล.ต.ต.สมบูรณ์  เทียนขาว รอง ผบช.น. จึงให้ความสำคัญกับการติดตามสืบสวนแก๊งสวมแผ่นป้ายทะเบียนเพื่อใช้ในการกระทำความผิด จึงได้สั่งการให้ศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (ศปจร.น.) นำโดย พ.ต.อ.ปัญญา กุลไทย ผกก.ฯ, พ.ต.ท.กฤษตฤณ นิระภัย, พ.ต.ท.นพรัตน์ บุญถนอม รอง ผกก.ฯ, พ.ต.ต.ภาส อัยยวร, พ.ต.ต.หญิงชาดา เสสะเวช สว.ฯ , ร.ต.ท.จักรภพ สุทธิพงษ์, ร.ต.ต.พรหมฤทธิ์ เมืองแป้น รอง สว.ฯ นำเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนการกระทำผิดดังกล่าว เพื่อป้องกันอาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้น
       
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 ต.ค.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุด ศปจร.น. ได้นำกำลังเข้าค้นบ้านพักเลขที่ ๔๐/๓๑๒๖ ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จว.ปทุมธานี ได้พบ นายรณชัยฯ อายุ ๔๖ ปี แสดงตัวเป็นเจ้าของบ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจค้นพบ แผ่นป้ายทะเบียนรถแท็กซี่ ที่มีลูกค้าสั่งไว้จำนวน ๒ แผ่น และแม่แบบพิมพ์โลหะปั๊มอักษรย่อ ขส. รวมทั้งอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ในการผลิตแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ภายในบ้านพักดังกล่าว จากการสอบถาม นายรณชัยฯ ยอมรับว่าได้เปิดร้านรับซ่อมแซมแผ่นป้ายทะเบียน ชื่อ B&M Modify ถนนเลียบคลองสาม ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จว.ปทุมธานี จึงได้สมัครใจให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าทำการตรวจค้นที่ร้านดังกล่าวด้วย ผลการตรวจค้นพบ เครื่องคอม้าใช้สำหรับอัดตัวอักษรลงแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน ๑ เครื่อง, เครื่องปั๊มลงตัวอักษร ขส. จำนวน ๑ เครื่อง, แผ่นอะคริลิคตัวอักษรและเลขอารบิกจำนวนมาก รวมทั้งหมวดป้ายทะเบียนจังหวัดต่าง ๆ รวมของกลางกว่า ๓๐๐ รายการ

เจ้าหน้าที่ตำรวจชุด ศปจร.น.จึงได้ขยายผลไปยังผู้สั่งซื้อป้ายทะเบียนรถยนต์จากแหล่งผลิตแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอมดังกล่าว พบ
         – รถยนต์แท็กซี่ ยี่ห้อ โตโยต้า อัลติส สีเขียว-เหลือง ติดแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์รับจ้างทั่วไปปลอม (ป้ายทะเบียนสีเหลืองตัวอักษรสีดำ) หน้า-หลัง มฎ-5148 กรุงเทพฯ
         จากการสืบสวนพบว่า รถยนต์แท็กซี่คันดังกล่าวมีการปลอมทะเบียนขึ้นเพื่อสวมทะเบียนกับรถยนต์แท็กซี่ คันอื่น ซึ่งได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก และมีการขับตระเวนรับผู้โดยสารมาแล้วเป็น 4-5 ปี ซึ่งการสวมทะเบียนรถแท็กซี่ดังกล่าว อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงอันตรายแก่ผู้โดยสารแท็กซี่ทั่วไป เนื่องจากเมื่อเกิดเหตุขึ้น เช่น การลืมสิ่งของ การถูกล่วงละเมิดทางเพศ การชิงทรัพย์ ฯลฯ จะทำให้ไม่สามารถติดตามผู้กระทำผิด รวมถึงรถยนต์คันที่โดยสารจริงได้                                                
          
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุด ศปจร.น. ยังได้ขยายผลตรวจยึดรถยนต์ที่เจ้าของมีการสั่งซื้อแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอม และแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีปลอม (สีชมพู-ฟ้า) เพื่อสวมกับรถยนต์คันอื่นๆในลักษณะ ปลอมกับรถยนต์รุ่นเดียวกัน สีเดียวกัน (รถแฝด) อีกจำนวน 5 คัน ดังนี้
       1. รถยนต์ยี่ห้อ นิสสัน มาร์ช สีส้ม ติดป้ายทะเบียน XX-7211 กรุงเทพฯ นำส่งดำเนินคดีที่
สภ.คลองหลวง จว.ปทุมธานี
      2. รถยนต์ยี่ห้อ ฮอนด้า แจ๊ส สีดำ ติดป้ายทะเบียน XX-1495 กรุงเทพฯ นำส่งดำเนินคดีที่
สน.วังทองหลาง
      3. รถยนต์ยี่ห้อ ฮอนด้า แจ๊ส สีขาว ติดป้ายทะเบียน XX-5887 กรุงเทพฯ นำส่งดำเนินคดีที่
สภ.ไทรน้อย
      4. รถยนต์ยี่ห้อ เชฟโรเลต ครูซ สีขาว ติดป้ายทะเบียน XX-315 กรุงเทพฯ นำส่งดำเนินคดีที่
สภ.รัตนาธิเบศร์
     5. รถยนต์ยี่ห้อ โตโยต้า อวานซ่า สีเทา ติดป้ายทะเบียน XX-9034 กรุงเทพฯ นำส่งดำเนินคดีที่
สภ.ไทรน้อย

จึงฝากประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนในการใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ จะต้องใช้แผ่นป้ายทะเบียนที่ออกจากกรมการขนส่งทางบกเท่านั้น หากพบการใช้ป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอม รวมถึงแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีปลอมมีความผิดตามกฎหมายอาญาเข้าข่ายความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมมีโทษจำคุก ตั้งแต่ 6 เดือน – 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท

ณ ลานอเนกประสงค์ บช.น./ทีมประชาสัมพันธ์ บช.น.

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร เพิ่มมาตรการทางศุลกากรและข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ การเพิ่มขีดความสามารถในการปกป้องสังคมให้ปลอดภัยด้วยระบบควบคุมทางศุลกากร

วันนี้ (วันที่ 25 พฤศจิกายน 2565) นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ รองอธิบดีกรมศุลกากร รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากร มีการดำเนินงานเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกทางการค้าและส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ของประเทศ การส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศด้วยมาตรการทางศุลกากรและข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ การเพิ่มขีดความสามารถในการปกป้องสังคมให้ปลอดภัยด้วยระบบควบคุมทางศุลกากร และการจัดเก็บภาษีอากรอย่างเป็นธรรม โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ ซึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2565 มีผลงานที่น่าสนใจ ดังนี้

  1. ความก้าวหน้าของระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว (National Single Window) และการเชื่อมโยงข้อมูลกับ ASEAN Single Window (ASW)
    สถานะปัจจุบันของระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว (National Single Window) เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนทั้งภายในประเทศ และระหว่างประเทศ มีความก้าวหน้าดังนี้
    1.1 ระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว (National Single Window)
    เปิดให้บริการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยมีการเชื่อมโยงข้อมูลแบบไร้เอกสารระหว่างกรมศุลกากรกับผู้ประกอบการทั่วประเทศ และเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ รวมทั้งการเชื่อมโยงข้อมูลกับ ASEAN Single Window (ASW) รวม 105 ล้าน Transactions หรือเฉลี่ยประมาณเดือนละ 10.5 ล้าน Transactions มีผู้ประกอบการลงทะเบียนแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ประมาณ 15,751 ราย ซึ่งเป็นตัวแทนผู้ประกอบการประมาณ 100,000 ราย ในการทำธุรกรรมเพื่อเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวข้องการนำเข้า การส่งออก การนำผ่าน และโลจิสติกส์ โดยมีหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่ทำหน้าที่แทนหน่วยงานภาครัฐ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบ NSW จำนวน 34 หน่วยงาน และหน่วยงานอื่น ๆ โดยแบ่งเป็นตามรูปแบบการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ ดังนี้
    1) หน่วยงานที่เชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบ G2G ผ่านระบบ NSW จำนวน 33 หน่วยงาน (สำหรับใช้ในการผ่านพิธีการศุลกากรแบบไร้เอกสาร ข้อมูลกระบวนงานที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ ข้อมูลบัญชีสินค้าทางเรือ/อากาศยาน)
    2) หน่วยงานเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบ B2G ผ่านระบบ NSW จำนวน 22 หน่วยงาน
    3) หน่วยงานเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบ B2B ผ่านระบบ NSW จำนวน 5 หน่วยงาน/กลุ่ม
    4) ธนาคารพาณิชย์ ที่ให้บริการ e-Payment และ e-Guarantee จำนวน 18 แห่ง

1.2 ความก้าวหน้าการพัฒนาระบบ NSW ในการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์กับ ASW
1.2.1 การเชื่อมโยงข้อมูล ATIGA e-FORM D
ประเทศไทยโดยกรมศุลกากร และกรมการค้าต่างประเทศ ได้เชื่อมโยงข้อมูล ATIGA e-FORM D กับประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อใช้ในการผ่านพิธีการศุลกากรแบบไร้เอกสารตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2562 ซึ่งขณะนี้ ครบทั้ง 10 ประเทศ ได้แก่ 1) อินโดนีเซีย 2) มาเลเซีย 3) สิงคโปร์ 4) ไทย 5) เวียดนาม 6) บรูไน 7) กัมพูชา 8) เมียนมา 9) สปป.ลาว และ 10) ฟิลิปปินส์ โดยมีสถิติการรับส่งข้อมูล ATIGA e-FORM D ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2563 – 31 ตุลาคม 2565 จำนวน 1,600,818 เอกสารอิเล็กทรอนิกส์

1.2.2 การเชื่อมโยงข้อมูล ASEAN Customs Declaration Document (ACDD)
ประเทศไทยได้เข้าร่วมการเชื่อมโยงข้อมูล ASEAN Customs Declaration Document (ACDD) อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2564 ปัจจุบันเชื่อมโยงข้อมูล ACDD กับประเทศสมาชิกอาเซียนแล้ว 7 ประเทศ ประกอบด้วยกัมพูชา สิงคโปร์ มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และบรูไน โดยมีสถิติการรับส่งข้อมูล ACDD ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2564 – 31 ตุลาคม 2565 จำนวน 945,278 เอกสารอิเล็กทรอนิกส์

1.2.3 การเชื่อมโยงใบรับรองสุขอนามัยพืช (e-Phyto Certificate)
การเชื่อมโยงใบรับรองสุขอนามัยพืช (e-Phyto Certificate) ประเทศสมาชิกได้ตัดสินใจที่จะปรับปรุงโครงสร้างข้อมูลของ e-Phyto Certificate ใหม่ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานปัจจุบันที่ International Plant Protection Convention ใช้ เพื่อรองรับการเชื่อมโยงข้อมูลกับประเทศนอกอาเซียนได้ โดยปัจจุบันมีการรับรองโครงสร้างข้อมูลใหม่ของ e-Phyto Certificate เรียบร้อยแล้ว ซึ่งไทยและอินโดนีเซีย ได้เริ่มทดสอบเชื่อมโยงข้อมูลตามโครงสร้างใหม่ร่วมกัน ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2564 โดยมีกำหนดการเริ่มใช้งานอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ธันวาคม 2565

1.2.4 การเชื่อมโยงข้อมูลหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-CO) ระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น
ไทยและญี่ปุ่น ได้มีการหารือทางเทคนิคอย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-CO) ระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และหารือประเด็นทางเทคนิคและกฎระเบียบเพื่อรองรับการเชื่อมโยงข้อมูล e-CO ระหว่างทั้ง 2 ประเทศ จำนวน 6 ครั้ง

1.3 สถานะการพัฒนากระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า ส่งออก และโลจิสติกส์ สำหรับประกอบการผ่านพิธีการศุลกากรนำเข้า-ส่งออก (ราย Shipment) ผ่านระบบ NSW
ปัจจุบันกรมศุลกากรสามารถดำเนินการพัฒนากระบวนการที่เกี่ยวกับการนำเข้า ส่งออกและโลจิสติกส์ สำหรับประกอบการผ่านพิธีการศุลกากรนำเข้า ส่งออก ผ่านระบบ NSW ได้ถึง 444 กระบวนงาน จาก 473 กระบวนงาน(ร้อยละ 93.87) ซึ่งคาดว่าจะสามารถพัฒนาอีก 29 กระบวนงานให้บริการผ่านระบบ NSW ได้ในระยะเวลาอันใกล้

  1. ผลการตรวจพบการกระทำความผิดประจำเดือนตุลาคม 2565
    กรมศุลกากร มีนโยบายในการเร่งรัดปราบปรามการลักลอบและหลีกเลี่ยงการนำเข้า
    และส่งออกสินค้าจากราชอาณาจักร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี ปกป้องสังคมและสิ่งแวดล้อม จึงให้หน่วยงานในสังกัดพร้อมหน่วยปฏิบัติการวางแผนตรวจค้นจับกุมอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ เพื่อสกัดกั้นป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น สินค้าเกษตร น้ำมัน ยาเสพติด IPRs และสินค้าละเมิดอนุสัญญา CITES โดยสืบสวนหาข่าวและออกลาดตระเวนด้วยรถยนต์ ตรวจค้นรถบรรทุก โกดัง แหล่งจำหน่าย สถานที่เก็บรักษาที่เชื่อได้ว่ามีของผิดกฎหมายเก็บซุกซ่อนอยู่ อีกทั้ง
    ยังมีแผนการป้องกันและปราบปรามสินค้าดังกล่าวในช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงในการลักลอบนำเข้า-ส่งออกสินค้า นอกจากนี้ มีการบูรณาการกับหน่วยงาน และพันธุ์พืช สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สถานทูตต่าง ๆ องค์การตำรวจสากล (Interpol) สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (Drug Enforcement Administration: DEA) เป็นต้น เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการข่าวระหว่างกัน
    โดยในเดือนตุลาคม 2565 มีจำนวน 3,027 คดี คิดเป็นมูลค่ารวม 99.44 ล้านบาทมีผลงานที่น่าสนใจ ดังนี้
  2. ผลการจับกุมยาเสพติด
    ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดทั้งการผลิต การนำเข้า การนำผ่าน และการลักลอบจำหน่าย โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานร่วมกัน
    เพื่อปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวด ด้านกระทรวงการคลังโดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง จึงสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง เพิ่มความเข้มงวดและเดินหน้าปราบปรามการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักรทุกเส้นทาง กรมศุลกากรจึงเพิ่มการเฝ้าระวังการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักร ทั้งทางบก ทางเรือและทางอากาศ โดยเฉพาะทางพัสดุไปรษณีย์ที่ต้องใช้ประสบการณ์และความระมัดระวังในการเปิดตรวจพัสดุต่าง ๆ เป็นอย่างมาก

1.1 เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2565 เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร ตรวจพบพัสดุไปรษณีย์ต้องสงสัย เมื่อเปิดตรวจพบเครื่องทำน้ำอุ่น จำนวน 1 เครื่อง และทุเรียนอบแห้ง จำนวน 4 ลัง ต้นทางจากประเทศกัมพูชา ผ่านประเทศไทย ปลายทางไต้หวัน ทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พบเฮโรอีนอัดแท่ง ตราสัญลักษณ์สิงโตเหยียบลูก จำนวน 10 แท่ง น้ำหนักประมาณ 3,700 กรัม ซุกซ่อนอยู่ในเครื่องทำน้ำอุ่น ดัดแปลงขึ้นใหม่จำนวน 1 เครื่อง และพบเฮโรอีนบรรจุอยู่ภายในซองกันชื้น น้ำหนักประมาณ 3,510 กรัม ซุกซ่อนอยู่ในถุงทุเรียนอบแห้ง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศกัมพูชา จำนวน 4 ลัง รวมเฮโรอีนที่ตรวจยึดทั้งหมด น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 7,210 กรัม มูลค่า 21,630,000 บาท จึงได้ทำบันทึก ตรวจยึด และนำของกลางส่งสถานีตำรวจภูธรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
กรณีนี้เป็นความผิดฐานพยายามส่งออกยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน) ออกไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด ประกอบพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 244 ประกอบมาตรา 252 ,166 และ 167

1.2 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2565 เวลาประมาณ 21.30 น. เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรพบพัสดุสำแดงชนิดสินค้าเป็น Cosmetic ปลายทางประเทศออสเตรเลีย ณ ศูนย์ไปรษณีย์สุวรรณภูมิ จากการตรวจสอบด้วยการ X-Ray พบสิ่งบ่งชี้ความผิดปกติ จึงดำเนินการตรวจสอบทางกายภาพโดยละเอียด
พบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน (ไอซ์) ลักษณะเป็นของเหลวซุกซ่อนในขวดคอนแทคเลนส์ น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 4,440 กรัม มูลค่า 2,664,000 บาท จึงยึดและประสานศุลกากรออสเตรเลีย เพื่อสืบสวนเครือข่ายต่อไป

1.3 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2565 เวลาประมาณ 23.30 น. เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรพบพัสดุสำแดงชนิดสินค้าเป็น Dry Food, Sock ปลายทางประเทศอิสราเอล ณ ศูนย์ไปรษณีย์สุวรรณภูมิ จากการตรวจสอบด้วยการ X-Ray พบสิ่งบ่งชี้ความผิดปกติ จึงดำเนินการตรวจสอบทางกายภาพโดยละเอียด
พบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน (ไอซ์) จำนวน 559 กรัม ซุกซ่อนในซองน้ำตาลทราย มูลค่า 335,400 บาท จึงยึดและประสานศุลกากรอิสราเอลเพื่อสืบสวนเครือข่ายต่อไป

1.4 เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2565 เวลาประมาณ 23.30 น. เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรพบพัสดุสำแดงชนิดสินค้าเป็น Glove, Clothes ปลายทางประเทศอิสราเอล ณ ศูนย์ไปรษณีย์สุวรรณภูมิ จากการตรวจสอบด้วยการ X-Ray พบสิ่งบ่งชี้ความผิดปกติ จึงดำเนินการตรวจสอบทางกายภาพโดยละเอียด
พบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน (ไอซ์) จำนวน 515 กรัม ซุกซ่อนในกระดุมเสื้อ มูลค่า 309,000 บาท จึงยึดและประสานศุลกากรอิสราเอล เพื่อสืบสวนเครือข่ายต่อไป

กรณีที่ 1.2, 1.3, 1.4 ถือเป็นความผิดฐานพยายามนำยาเสพติดประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน (ไอซ์) ออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 และ พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 244 ประกอบมาตรา 252 มาตรา 166 และ167

สำหรับ สถิติการตรวจยึดยาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในเดือนตุลาคม 2565 มีจำนวน 8 คดี มูลค่า 28.16 ล้านบาท

  1. ผลการจับกุมบุหรี่
    เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2565 เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร โดยด่านศุลกากรสงขลาและเจ้าหน้าที่สำนักงานสรรพสามิต ภาคที่ 9 ได้ทำการตรวจค้น อาคารพาณิชย์ พื้นที่ ต.บ้านพร้าว อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง ตามหมายค้นศาลจังหวัดพัทลุง ผลการตรวจค้นพบ บุหรี่ มีถิ่นกำเนิดต่างประเทศ ไม่ปิดแสตมป์ตามกฎหมาย ขณะตรวจค้นไม่พบเอกสารการปฏิบัติพิธีการทางศุลกากรโดยถูกต้อง จำนวน 424,760 มวน มูลค่า 1,792,614 บาท
    กรณีดังกล่าวเป็นความผิดตามมาตรา 166 พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาจมีความผิดตามมาตรา 242, 246 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 เจ้าหน้าที่จึงได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 167 พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 ยึดของดังกล่าวพร้อมจับกุมตัวผู้ต้องหา ส่งด่านศุลกากรสงขลา เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
    ทั้งนี้สถิติการจับกุมบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในเดือนตุลาคม 2565 ได้แก่ 1. บุหรี่ จำนวน 130 คดี มูลค่า 15.85 ล้านบาท 2. บารากู่ บารากู่ไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้า และอุปกรณ์ จำนวน 23 คดี มูลค่า 951,837 บาท
  2. ผลการจับกุมสินค้าเกษตร
    เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2565 เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร โดยด่านศุลกากรสงขลา ได้ตรวจค้นโกดังแห่งหนึ่งในตำบลหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พบกระเทียม จำนวน 300 กระสอบ หอมหัวใหญ่ จำนวน 750 กระสอบ หอมแดง จำนวน 450 กระสอบ มีเมืองกำเนิดต่างประเทศ เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร จำนวน 15,000 กิโลกรัม มูลค่า 660,000 บาท
    กรณีดังกล่าวเป็นความผิดตามมาตรา 242, 244 และมาตรา 246 ประกอบมาตรา 166 และ 167 แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2560 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
    ทั้งนี้ สถิติการจับกุมสินค้าเกษตรในเดือนตุลาคม 2565 มีจำนวน 58 คดี มูลค่า 3.57 ล้านบาท

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ประชุมมอบนโยบาย ศูนย์ปราบปรามหนี้นอกระบบฯ เน้นรับแจ้งเหตุให้ทั่วถึงและขยายผลจับกุมให้หมดสิ้น

วันนี้ (24 พ.ค.65) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปน.ตร.) ได้เป็นประธานในการประชุมมอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติให้กับชุดปฏิบัติการ ศปน.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปน.ตร. และ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปน.ตร. ณ ห้องประชุมแจ้งยอดสุข อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้กำชับให้ชุดปฏิบัติการ ศปน.ตร. ให้ความสำคัญกับข้อมูลการกระทำผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ ซึ่งปัจจุบันเปิดรับ 2 ช่องทาง ได้แก่ สายด่วน 1599 หรือสามารถแจ้งความได้ตามสถานีตำรวจทุกท้องที่ทั่วประเทศ โดยได้สั่งการให้มีการประสานการปฏิบัติกันระหว่างฝ่ายรับแจ้งเหตุ ฝ่ายสืบสวน และฝ่ายสอบสวน ให้ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ และมีการรายงานผลการปฏิบัติให้ผู้บังคับบัญชาทราบเป็นระยะอย่างใกล้ชิด และยังได้สำรวจคดีที่เกี่ยวข้องกับหนี้นอกระบบทั้งหมด เพื่อเร่งรัดให้เสร็จสิ้นตามกรอบเวลา รวมทั้งได้กำหนดตัวชี้วัดและแนวทางการปฏิบัติเพื่อใช้วัดผลการปฏิบัติให้เห็นความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ประกอบไปด้วยมาตรการการรับแจ้งเหตุ การปราบปราม และการเพิ่มประสิทธิภาพในการอำนวยความยุติธรรมทางอาญา
นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในฐานะ ผอ.ศปน.ตร. ยังได้เน้นย้ำให้ชุดปฏิบัติการ ศปน.ตร. เพิ่มการตรวจสอบเหตุหนี้นอกระบบให้ครบทั้ง 7 ประเภท ประกอบด้วย แก๊งหมวกกันน็อค ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด การปล่อยกู้ออนไลน์ แก๊งรับจำนำรถ รับขายฝากที่ดิน จำนองที่ดิน และการวางประกันต่างๆ และเมื่อตรวจสอบเหตุแล้ว หากพบพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับผู้กระทำผิดรายใด ให้ขยายผลจับกุมให้ถึงตัวการใหญ่ให้ได้ และให้รายงานผลการปฏิบัติให้ทราบตามวงรอบ เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาสามารถควบคุมสั่งการ และให้ความช่วยเหลือกรณีพบปัญหาในการปฏิบัติ เพื่อทำให้การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของพี่น้องประชาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นำทีมขยายผล 4 เคสเกี่ยวข้องนายทุนจีนสีเทาจินหลิง-ท๊อปวัน-เบบี้เฟซ-คลับวัน

จากกรณีในห้วงเวลาที่ผ่านมา ได้มีการเข้าตรวจสอบสถานบริการที่มีพฤติการณ์ใกล้เคียงกันคือ นายทุนจีนเป็นเจ้าของ และใช้คนไทยเป็นนอมินี จำนวน 4 แห่ง ได้แก่

ร้านคลับวันพัทยา พื้นที่ สภ.เมืองพัทยา ภ.จว.ชลบุรี ซึ่งมีการตรวจค้นพบยาเสพติดจำนวนมาก, ร้านท็อปวัน พื้นที่ สน.สุทธิสาร ซึ่งพบหญิงชาวจีนเสียชีวิตหลังเที่ยวผับดังกล่าว โดยมีสาเหตุมาจากการเสพยาเกินขนาด, ร้านจินหลิง พื้นที่ สน.ยานนาวา ซึ่งตรวจค้นพบสารเสพติดในนักเที่ยวชาวจีนจำนวนกว่า 104 คน และยาเสพติดอีกจำนวนมาก สุดท้ายคือ ร้านเบบี้เฟซ พื้นที่ สน.คลองตัน ซึ่งพบความเชื่อมโยงกับนายทุนจีนและใช้คนไทยเป็นนอมินี ซึ่งได้มีการแจ้งความคืบหน้าเป็นระยะ ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียนำเสนอไปแล้ว นั้น
จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ดำเนินการควบคุมสั่งการสืบสวนความเชื่อมโยงของกลุ่มนายทุนจีนสีเทา ที่มีการประกอบกิจการสถานบันเทิง โดยมีการกระทำผิดแอบแฝง ทั้งเรื่องยาเสพติด บ่อนการพนัน และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ จึงได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการสืบสวน ตรวจสอบข้อมูลการติดต่อและเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงทั้ง 4 แห่งโดยละเอียด เพื่อให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของกลุ่มบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดทั้งหมด และให้เข้าตรวจค้นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มนายทุนจีนทั้งหมด เพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมมาใช้ในการดำเนินคดีในความผิดที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยแบ่งเป็นรายละเอียดตามแต่ละคดีดังนี้

กรณีที่ 1 ร้านจินหลิง พื้นที่ สน.ยานนาวา
หลังจากที่เมื่อวันที่ 26 ต.ค.65 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สนธิกำลังเข้าตรวจค้นร้านจินหลิง ถนนเจริญราษฎร์ แขวงยานนาวา เขตสาทร กทม. ผลการตรวจค้นพบสารเสพติดในปัสสาวะของนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมาก และพบยาเสพติดอยู่ภายในร้านจำนวนมาก จากกรณีดังกล่าว ได้มีการสืบสวนขยายผลจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 1 ราย คือ นายหวง ไห่ เถา หรืออาหวง พร้อมยึดของกลางเป็นยาเสพติดประเภท เฮโรอีน ยาอี และแฮปปี้วอเตอร์จำนวนหนึ่ง ซึ่งมีไว้จำหน่ายให้กับลูกค้าที่มาเที่ยวที่ร้าน และยังตรวจค้นจุดต้องสงสัยอีกกว่า 38 จุด ตรวจยึดรถหรู 5 คัน และเงินอีก 19 ล้านบาท
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขยายผลเกี่ยวกับยาเสพติด จนสามารถออกหมายจับ และจับกุมดำเนินคดีเพิ่มเติม รวมทั้งหมด 4 ราย ได้แก่

  1. นายหวง ไห่ เถา หรือ อาหวงสัญชาติจีน
  2. นายเจียง ไต่ หลิน หรือเสี่ยหลิน สัญชาติจีน
  3. นายเหมา ยะ ฉวง หรืออาฉวง สัญชาติจีน
  4. นายหวัง เจี้ยน หัว หรืออาหัว สัญชาติจีน
    โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 อันเป็นการมีไว้จำหน่ายเพื่อการค้า อันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชน, ร่วมกันจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 อันเป็นการมีไว้เพื่อการค้า อันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชน, สมคบกันกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและสนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด”
    หลังจากจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 4 รายแล้ว เจ้าหน้าที่สืบสวนยังรวบรวมพยานหลักฐานและพบความเชื่อมโยงกับบุคคลอื่น จนสามารถขออนุมัติออกหมายจับเพิ่มเติมอีก 2 ราย ได้แก่
  5. นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือตู้ห่าว
  6. นายหยาง เฉิน หรืออาหยาง สัญชาติจีน
    โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 อันเป็นการมีไว้จำหน่ายเพื่อการค้า อันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชน, ร่วมกันจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 อันเป็นการมีไว้เพื่อการค้า อันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชน, สมคบกันกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและสนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด” อยู่ในระหว่างการติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองราย

กรณีที่ 2 ร้านท็อปวัน พื้นที่ สน.สุทธิสาร
จากกรณีเมื่อวันที่ 26 ต.ค.65 ที่ผ่านมา ได้มีการแถลงผลการดำเนินคดีกรณีพบว่ามีนักท่องเที่ยวชาวจีน คือ น.ส.โหยว ซื่อ หัว อายุ 31 ปี ซึ่งไปเที่ยวที่ร้านท็อปวัน เมื่อว้นที่ 16 ก.ย.65 ต่อมาได้เสียชีวิตลงเนื่องจากเสพยาเกินขนาด ซึ่งได้มีการสืบสวนและจับกุมผู้ต้องหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซุกซ่อนอำพรางหลักฐานเกี่ยวกับการเสียชีวิตดังกล่าวไปแล้วจำนวน 4 ราย ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียนำเสนอไปแล้ว นั้น
จากสาเหตุการเสียชีวิตดังกล่าว จึงเป็นเหตุอันควรสงสัยว่า สถานบันเทิงดังกล่าวอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้ตรวจสอบเกี่ยวกับเจ้าของและผู้เกี่ยวข้องโดยละเอียดว่ามีการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือการกระทำผิดอื่นๆ หรือไม่ จากการตรวจสอบพบว่า สถานบันเทิงดังกล่าวได้มีกลุ่มทุนจีนเป็นเจ้าของ โดยใช้ชื่อคนไทยเป็นนอมินี เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ แต่นายทุนจีนดังกล่าวได้แสดงออกโดยชัดเจนว่าตนมีความเป็นเจ้าของ ซึ่งมีบุคคลที่เกี่ยวข้อง และเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นจำนวน 2 ราย ได้แก่

  1. นายวีรยุทธ แซ่หย้าง อายุ 23 ปี
  2. นายจาง เจี้ยนกุ้ย อายุ 48 ปี สัญชาติจีน
    การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 และยังดำเนินคดีในข้อหา ร่วมกันเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งได้มีออกหมายจับและจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองรายมาดำเนินคดีเรียบร้อยแล้ว

กรณีที่ 3 ร้านเบบี้เฟซ พื้นที่ สน.คลองตัน
เมื่อวันที่ 1 พ.ย.65 เวลา 01.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สนธิกำลังกันเข้าตรวจค้นสถานบันเทิงที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนจีนจำนวน 6 แห่ง รวมทั้งร้านเบบี้เฟซ พื้นที่ สน.คลองตัน ซึ่งผลการตรวจสอบภายในร้านพบสารเสพติดในนักท่องเที่ยวภายในร้านจำนวน 2 ราย จากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่า ร้านดังกล่าวมีเจ้าของเป็นบุคคลสัญชาติจีนซึ่งมีคนไทยเป็นนอมินี จึงได้ทำการขยายผลจนทราบว่า เจ้าของสัญชาติจีนดังกล่าวคือ นายสุ่ย ไท่ เหว่ย หรือเดวิด เป็นเจ้าของ จึงได้ขออนุมัติศาลเข้าค้นที่พักของนายเดวิด ที่บ้านเลขที่ 94 และ 96/1 ซอยสุขุมวิท 63 แขวงพระโขนง เขตวัฒนา กรุงเทพฯ ผลการตรวจค้นพบสุราต่างประเทศ 24 ขวด ไวน์ต่างประเทศ 28 ลัง บุหรี่ต่างประเทศจำนวน 45 คอตตอน บุหรี่ไฟฟ้าพร้อมอุปกรณ์จำนวน 15 กล่อง และอาวุธปืนจำนวน 2 กระบอก จึงได้จับกุมนายเดวิด พร้อมของกลางดำเนินคดีในความผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ร.บ.ศุลกากรฯ และ พ.ร.บ.สรรพสามิตฯ
จากการขยายผลเพิ่มเติมพบว่า นอกจากนายเดวิดซึ่งได้จับกุมดำเนินคดีแล้วนั้น ยังมีกลุ่มบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีกจำนวน 2 ราย โดยเป็นกลุ่มคนจีนมาลงทุนและใช้ชื่อคนไทยเป็นนอมินี ซึ่งคนไทยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีอำนาจในการตัดสินใจใดๆ ในการทำธุรกิจดังกล่าว มีหน้าที่เพียงลงลายมือชื่อในเอกสารต่างๆ และได้รับเงินค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเท่านั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาเพิ่มเติมรวมทั้งที่จับกุมแล้วรวม 4 ราย ประกอบด้วย

  1. บริษัท พอง แบงค็อก จำกัด (ในฐานะนิติบุคคล)
  2. นายสุ่ย ไท่ เหว่ย หรือเดวิด อายุ 47 ปี
  3. นายจู้ เฉิน สัญชาติจีน
  4. นางทองใส เฉิดลออ
    โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน “ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว อันเป็นธุรกิจที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายฯ โดยมิได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจดังกล่าว หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวโดยแสดงออกว่าเป็นธุรกิจตนแต่ผู้เดียวหรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัด เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติตาม พ.ร.บ.ฯ” โดยได้ดำเนินการจับกุมนายเดวิด และนายจู้ เฉิน แล้วรวม 2 ราย ที่เหลืออยู่ในระหว่างติดตามจับกุม

กรณีที่ 4 ร้านคลับวัน พัทยา พื้นที่ สภ.เมืองพัทยา ภ.จว.ชลบุรี
จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สนธิกำลังเข้าตรวจค้นร้านคลับวัน พัทยา เมื่อวันที่ 23 ต.ค.65 ที่ผ่านมา ซึ่งพบยาเสพติดจำนวนมากภายในร้านดังกล่าว และได้มีการจับกุมผู้ดูแลร้านจำนวน 1 ราย ดำเนินคดีในข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติด และเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียนำเสนอข่าวไปแล้ว นั้น
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนขยายผลจนทราบว่า ร้านดังกล่าวเป็นสถานบริการที่มีการกระทำผิดเกี่ยวข้องกับยาเสพติด จึงได้มีสืบสวนหาเจ้าของร้านที่แท้จริงเพื่อนำมาดำเนินคดีจนทราบว่า ร้านดังกล่าวมีบริษัท เดอะ ซิกเนเจอร์ จำกัด เป็นผู้ดำเนินกิจการดังกล่าว ซึ่งมีกรรมการและผู้ถือหุ้นจำนวน 4 ราย ได้แก่

  1. นายมนู อายุ 37 ปี
  2. นายสุนทร อายุ 68 ปี
  3. นายนิติพัฒน์ อยุ 45 ปี
  4. นายแบ้งค์ อายุ 46 ปี
    เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมดทั้งในฐานะนิติบุคคลและฐานะส่วนตัวรวม 5 หมายจับ 4 บุคคล โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันเปิดสถานบริการเกินเวลาที่กำหนดในกฎกระทรวง, ร่วมกันจำหน่ายสุราโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันจำหน่ายสุราเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด, ร่วมกันยินยอมหรือปล่อยปละละเลยให้การกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานบริการและผู้ได้รับอนุญาตตั้งสถานบริการ ย้าย แก้ไข เปลี่ยนแปลง (เปลี่ยนชื่อ) สถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต” ซึ่งสามารถติดตามจับกุมมาดำเนินคดีได้ทั้งหมดแล้ว

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวทั้ง 4 คดีนี้ มีพฤติการณ์ใกล้เคียงกันทั้งหมดคือ เป็นสถานบันเทิงที่มีกลุ่มทุนจีนเป็นเจ้าของ โดยใช้คนไทยมาเป็นนอมินีบังหน้า และยังมีเชื่อมโยงกับการกระทำผิดประเภทอื่นๆ เช่น ยาเสพติด บ่อนการพนัน หรือคอลเซ็นเตอร์ ในวันนี้ถือเป็นวาระแห่งชาติที่จะต้องทำความจริงที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่เกี่ยวข้องให้กระจ่าง เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้และมีความมีมั่นใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังจากการเข้าค้นและจับกุมทั้งหมดในวันนี้แล้ว จะยังคงดำเนินการขยายผลหาผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมต่อไป หากพบหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำผิดเชื่อมโยงถือผู้ใด ก็จะนำมาดำเนินคดีให้หมด ไม่มียกเว้นแน่นอน

ปุ๋ยอินทรีย์ ตราต้าถงปริมาณอินทรีย์รับรองไม่ต่ำกว่า20%NPKไม่ต่ำกว่า5%

“เป็นเทคโนโลยีการหมักด้วยจุลินทรีย์ในอุณหภูมิสูงเพื่อฆ่าไข่แมลง กำจัด แมลงฆ่าเชื้อโรคต่างๆ

“กระบวนการหมักในระบบปิดสมบูรณ์แบบ เพื่อการย่อยสลายอย่างทั่วถึง
“ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติเต็มรูปแบบ เพื่อให้มีโภชนาการที่ครอบคลุม
“ระบบตรวจสอบย้อนหลังของผลิตภัณฑ์ การรับประกันความปลอดภัย
“มีจุลินทรีย์ไตรโคเกอร์มา

พล.ต.ต.พิทักษ์ รอง ผบช.น. ดูงานโครงการงานป้องกันและปราบปรามมิจฉาชีพออนไลน์ที่ไม่สามารถระบุตัวตน หรือที่รู้จักในนาม “เว็บไซต์ฉลาดโอน”

พล.ต.ต.พิทักษ์ อุทัยธรรม รอง ผบช.น. พ.ต.อ.นิภพล สุขนิยม ผกก.สส.บก.น.8 และ พ.ต.อ.ดร.ปราโมทย์ จันทร์บุญแก้ว ผกก.ฝอ.บก.อก.บช.น. คณะที่ปรึกษาในส่วนงานตำรวจ โครงการจัดทำแนวทางพัฒนาระบบต้นแบบเพื่อสนับสนุนงานป้องกันและปราบปรามมิจฉาชีพออนไลน์ที่ไม่สามารถระบุตัวตน หรือที่รู้จักในนาม “เว็บไซต์ฉลาดโอน” และ ดร.เทอดพงษ์ แดงสี อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล หัวหน้าโครงการ ได้เข้าร่วมกิจกรรมจัดแสดงผลงานเด่น “เว็บไซต์ฉลาดโอน” ในงาน NBTC SHOWCASE ซึ่งจัดขึ้นโดยกองทุนวิจัยและพัฒนา กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) ในวันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2565 ตั้งแต่ 11:30 – 20:00 น. ณ ลานกิจกรรมโซน 1 เซ็นทรัล ลาดพร้าว เพื่อนำเสนอผลงานวิจัยที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก กทปส. ออกสู่สายตาประชาชน โดยได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นประธานเปิดงานในครั้งนี้ นอกจากนี้ยังมีหมอเจี๊ยบ ลลนา ก้องธรนินทร์ อดีตนางสาวไทย ประจำปี พ.ศ. 2549 มาร่วมให้สัมภาษณ์และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความสำคัญของงานวิจัย และมีแขกรับเชิญพิเศษ วิชัย แซฟ่าน (เซ้ง) และภัทรชนน อ่อนสะอาด (บิลลี่) นักแสดงจาก “แอบหลงรัก เดอะซีรี่ย์” ซึ่งถือเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่มาร่วมแสดงทัศนะต่อการพัฒนาประเทศผ่านการขับเคลื่อนของกองทุนวิจัยต่างๆ ด้วย

Design a site like this with WordPress.com
Get started