ลุงป้อม เตรียมการทุกหน่วยซักซ้อมแผนเผชิญเหตุรองรับการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจ เอเปค

วันที่ 11 พ.ย.2565 เวลา 10.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาเป็นประธานคณะอนุกรรมการ ในการตรวจเยี่ยมการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุรองรับการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจ เอเปค และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ จัดการประชุม เอเปค ปี พ.ศ.2565 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

พล.อ.ประวิตรฯ กล่าวว่า ตนมีความยินดี และ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานในการซักซ้อม แผนเผชิญเหตุรองรับการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค และการประชุมที่เกี่ยวข้องในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ จัดการประชุมเอเปค ปี พ.ศ.2565
ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในวันนี้

การซักซ้อมแผนเผชิญเหตุฯเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมของการทดสอบระบบบัญชาการในการรักษาความปลอดภัย และ การต่อต้าน การก่อการร้าย เพื่อให้กำลังพล ทั้ง กองอำนวยการ ตอบโต้ สถานการณ์ หน่วยตอบโต้สถานการณ์ฯและผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบได้ทบทวนกลไกกระบวนการและขั้นตอนการตอบโต้สถานการณ์ในการแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายและทดสอบระบบควบคุมบังคับบัญชาสั่งการรวมถึง ระบบการติดต่อสื่อสารให้มีความพร้อมรองรับการจัดการประชุมฯ

โดยผลการปฏิบัติ ของเจ้าหน้าที่ ในวันนี้แสดงให้เห็นถึง ความพร้อมในการรักษา ความปลอดภัย อันจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพขีดความสามารถของประเทศไทยและการยอมรับต่อผู้นำ รวมทั้ง ผู้แทน นานาประเทศ และ องค์กรต่างๆ ที่เข้าร่วมประชุมฯ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นประการสำคัญที่ต้องการ ให้พวกเราได้ตระหนัก อยู่ตลอดเวลา คือ การป้องกัน และควบคุมไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการประชุมฯซึ่งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องช่วยกันปฏิบัติภารกิจ ให้สำเร็จลุล่วงเพื่อเกียรติยศ และ ศักดิ์ศรี ของประเทศไทย

นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตรฯ ยังได้กล่าวขอบคุณ ทุกหน่วยงานและผู้ให้การสนับสนุนในทุกภาคส่วนรวมทั้งกำลังพลของกองอำนวยการตอบโต้สถานการณ์ทุกนายที่ได้เตรียมการและซักซ้อมการปฏิบัติ ในครั้งนี้ ให้เป็นไป อย่างเรียบร้อย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นำทีมแถลงความคืบหน้าคดีตำรวจลักปืนหลวงหลังปฏิบัติการเข้าค้น 34 จุด ได้ปืนคืนกว่า 64 กระบอก

จากกรณีเมื่อวันที่ 6 ต.ค.65 ที่ผ่านมา สภ.ปากเกร็ด ภ.จว.นนทบุรี ได้ตรวจสอบอาวุธปืนในคลังและพบว่า มีอาวุธปืนของทางราชการ หายไปจากในคลังจำนวนมากถึง 160 กระบอก ซึ่งต่อมาสามารถติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุดังกล่าวได้คือ ด.ต.เชาวลิต พุ่มขจร ผบ.หมู่ (ป) สภ.ปากเกร็ด ซึ่งมีหน้าที่ดูแลคลังอาวุธปืนดังกล่าว แต่ได้แอบทยอยลักเอาปืนหลวงออกไปจำหน่ายและจำนำเป็นจำนวนมาก โดย ด.ต.เชาวลิต ถูกดำเนินคดีในข้อหา ลักทรัพย์ในสถานที่ราชการ, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย และ ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม รายละเอียดตามที่สื่อมวลชนและโซเชี่ยลมีเดียนำเสนอแล้วนั้น

จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เร่งขยายผลติดตามอาวุธปืนที่ถูกลักออกไปจำหน่ายทั้งหมดกลับคืนมา รวมทั้งสืบสวนติดตามจับกุมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับซื้ออาวุธปืนหลวงที่ถูกลักไปดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผบก.ภ.จว.นนทบุรี เร่งดำเนินการสืบสวนติดตามอาวุธปืนทั้งหมดที่ถูกลักออกไป ซึ่งประกอบด้วย
1) อาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ขนาด 9 มม. ยี่ห้อ Sig Sauer รุ่u P320 SP จำนวน 23 กระบอก
2) อาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ขนาด 9 มม. ยี่ห้อ GLOCK จำนวน 20 กระบอก
3) อาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ขนาด 9 มม. ยี่ห้อ GLOCK รุ่น MS จำนวน 4 กระบอก
4) อาวุธปืนพกสั้นลูกโม่ ขนาด .38 ยี่ห้อ Smith and Wesson จำนวน 42 กระบอก
5) อาวุธปืนยาว COLT M4 จำนวน 25 กระบอก
6) อาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ขนาด 9 มม. ยี่ห้อ Sig Sauer รุ่น M18E (Carry) จำนวน 46 กระบอก
จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า อาวุธปืนดังกล่าวถูกนำไปขายและจำนำกับบุคคลหลายกลุ่ม ซึ่งได้มีการผลัดเปลี่ยนมือกันแล้วหลายทอด เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานและสามารถออกหมายจับ กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้แล้วจำนวน 13 ราย

วันนี้ (10 พ.ย.65) เจ้าหน้าที่ตำรวจ ภ.1 ได้ปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นเพื่อติดตามหาอาวุธปืนที่ถูกลักไป และติดตามจับกุมผู้ต้องหาดังกล่าวจำนวนทั้งสิ้น 34 จุด ใน 3 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี 29 จุด กรุงเทพฯ 4 จุด และปทุมธานี 1 จุด ผลการปฏิบัติสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 4 ราย ประกอบด้วย

  1. นายธีระวัฒน์ อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 38 ม.6 ต.ปากเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
  2. นายกิตกร อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 93 ม.6 ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
  3. น.ส.รุ่งรัตน์ อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 10/33 ม.3 ต.บางกร่าง อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี
  4. น.ส.วรรณพร อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 493 ซ.จรัญสนิทวงศ์ 85 ถ.จรัญสนิทวงศ์ แขวงบางอ้อ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร
    โดยผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย จะถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน รับของโจร

ความคืบหน้าล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามอาวุธปืนราชการกลับมาได้แล้วจำนวน 64 กระบอก ดังนี้

  1. อาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ขนาด 9 มม. ยี่ห้อ Sig Sauer จำนวน 20 กระบอก
  2. อาวุธปืนพกกึ่งอัตโนมัติ ขนาด 9 มม. ยี่ห้อ GLOCK จำนวน 7 กระบอก
  3. อาวุธปีนพกสั้นลูกโม่ ขนาด 38 ยี่ห้อ Smith and Wesson จำนวน 30 กระบอก
  4. อาวุธปีนยาว COLT M4 จำนวน 7 กระบอก
    พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีดังกล่าว แม้ในส่วนของคดีหลักจะสามารถจับกุมดำเนินคดีกับตัวผู้ก่อเหตุลักอาวุธปืนราชการได้แล้ว แต่ในส่วนของอาวุธปืนที่ถูกลักออกไปนั้น จำเป็นจะต้องมีการติดตามกลับมาให้ได้โดยเร็วที่สุด ซึ่ง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้เร่งรัดในการติดตามอาวุธปืน และดำเนินคดีกับผู้ที่รับซื้ออาวุธปืนที่ถูกลักไปทั้งหมด ในเวลานี้สามารถติดตามปืนกลับมาได้แล้ว 64 กระบอก และจับกุมผู้รับซื้อหรือช่วยซุกซ่อนอาวุธปืนดังกล่าวได้แล้วจำนวน 4 ราย ในส่วนของอาวุธปืนที่เหลือนั้น เจ้าหน้าที่ได้เร่งรัดการติดตามอาวุธปืนดังกล่าวกลับมา และอยู่ในระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีก ซึ่งหากพบว่ามีผู้รับซื้อหรือช่วยซุกซ่อนอาวุธปืนราชการทีถูกลักไปอีกนั้น จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดอย่างแน่นอน

“นอท” นายพันธ์ธวัช ผู้บริหารกองสลากพลัส มอบแท่งแบริเออร์ แก่สน.ทองหล่อ โดยมี พ.ต.อ.ดวงโชติ ผกก.เป็นผู้รับมอบ

พ.ต.อ.ดวงโชติ สุวรรณจรัส ผกก.สน.ทองหล่อ กล่าวว่า จำนวนแท่งแบริเออร์ที่ได้รับเพียงพอ เพื่อมาทดแทนอันเก่าที่ใช้การไม่ได้แล้ว พอทางเราได้รับมาก็สามารถนำมาใช้สอยเพื่อช่วยลดอุบัติเหตุในเบื้องต้นแล้วก็จัดการจราจรได้ดีขึ้น

“นอท” นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ ผู้บริหารกองสลากพลัส กล่าวว่า เนื่องจากเป็นคนอยู่ในย่านทองหล่อและใช้ถนนเส้นนี้อยู่จึงเห็นความสำคัญและมีความตั้งใจจึงมามอบแท่งแบริเออร์จำนวน 500 อัน และมีกรวยแล้วก็เสื้อกั๊กตำรวจอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อใช้ในราชการท้องที่สน.ทองหล่อ เพื่อความสะดวกแก่ประชาชนที่สัญจรบนท้องถนนได้สะดวกขึ้น

ผบ.ตร. ติวเข้มชุดปฎิบัติการพิเศษด้านความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่น APEC 2022 ลงพื้นที่จัดประชุม สั่งวางมาตรการป้องกันเข้ม วอนชาวไทยช่วยเป็นหูเป็นตา เพื่อภาพลักษณ์ให้ประเทศ

วันนี้ (9 พ.ย.65) เวลา 13.30 น. ที่ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ,พล.ต.ทนงศักดิ์ สัมมารัตน์ รอง ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย (ศตก.), นายพรหเมศ พหลพลพยุหเสนา รองอธิบดีกรมอาเซียน ,ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข และคณะ ได้เดินทางมาตรวจความพร้อมมาตรการรักษาความปลอดภัยและการจราจร สถานที่จัดการประชุมผู้นำ APEC 2022 ณ หอประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ผบ.ตร. ได้ เชิญหน่วยที่เกี่ยวข้องในการรักษาความปลอดภัยและการจราจร ชี้แจงแนวทางการปฏิบัติอย่างละเอียด กำชับเจ้าหน้าที่ เรื่องมาตรการการรักษาความปลอดภัยของบุคคล เส้นทาง ที่พำนัก การตั้งจุดตรวจจุดสกัด การบริหารจัดการชุมนุมสาธารณะ การต่อต้านการก่อการร้าย การตรวจหาวัตถุต้องสงสัย การรักษาความปลอดภัยสถานีรถไฟฟ้าต่างๆ การเตรียมความพร้อมของชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด การเตรียมความพร้อมจากชุดปฏิบัติการพิเศษทางยุทธวิธี กรณีเผชิญเหตุกรณีเหตุฉุกเฉินและเหตุการณ์วิกฤตต่าง ๆ ตามแผนรักษาความสงบของ ตร.
ทั้งนี้ได้จัดเจ้าหน้าที่ตำรวจทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยภายในอาคารสถานที่ รอบบริเวณพื้นที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และบริเวณโรงแรมที่พักจำนวน 19 โรงแรม ตลอด 24 ชั่วโมง

ด้านการอำนวยความสะดวกการจราจรเส้นทาง รัฐบาลได้กำหนดวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษและหยุดการเรียนการสอน ในวันที่ 16 – 18 พ.ย.65 (กทม. นนทบุรี สมุทรปราการ) เพื่อลดปริมาณการจราจรฯ และงดการใช้เส้นทาง (ชั่วคราว) ถ.รัชดาภิเษก หน้าศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่ แยกอโศกมนตรี – แยกพระราม 4 และถนนดวงพิทักษ์ ตลอดสาย ตลอด 24 ชม. และ “ปิดใช้บริการสถานี MRT ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์” ในวันที่ 16-19 พ.ย.65 โดยจัดให้มีรถบัส ให้บริการรับส่ง (shuttle bus) จำนวน 6 คัน

ต่อมาเวลา 14.30 น. ผบ.ตร. พร้อมคณะได้เดินตรวจบริเวณโดยรอบ หอประชุมฯ ชมสาธิตการปฏิบัติการรับแจ้งเหตุ การตอบสนองต่อเหตุ การปฏิบัติของชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด หรือ EOD การตรวจวัตถุต้องสงสัยของสุนัขตำรวจหน่วย K-9 และปฏิบัติการต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ ของชุด Anti-Drone โดย ตร. ได้ร่วมหารือกับ การบินพลเรือนแห่งประเทศไทย กำหนดเขตพื้นที่ห้ามบินอากาศยาน โดยเฉพาะอากาศยานไร้คนขับ และอากาศยานที่ไม่ได้รับอนุญาตให้บิน ในพื้นที่ กทม. ตั้งแต่วันที่ 16-21 พย 65 (No fly zone) เพราะฉะนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวหากมีโดรนหน่วยงานราชการใดหรือของเอกชนมาบินก็จะถูกชุดแอนตี้โดรน เข้าไปดำเนินการทันที

ผบ.ตร. กล่าวว่า รัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความพร้อมในการดูแลรักษาความปลอดภัยและการจราจร ให้การจัดการประชุม APEC 2022 ผ่านพ้นไปด้วยดี โดยจะได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนในการแจ้งเบาะแส ข้อมูล หรือสิ่งผิดปกติให้กับ ตร. ได้ตลอดเวลา ที่สายด่วน 191 หรือ 1599 ทั้งนี้ หากการแจ้งเบาะแส ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบสวนสอบสวนและนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหา โดยจะพิจารณามอบรางวัลนำจับให้กับผู้แจ้งเบาะแส หรือ ในการให้ข้อมูลตามแต่ละกรณี

ผบ.ตร.พอใจการดูแลความปลอดภัยงานลอยกระทง ขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ทำงานอย่างเข็มแข็ง สั่งดำเนินคดีคนจุดพลุ ผู้ว่าจ้าง เหตุพลุระเบิดนครพนม พร้อมถอดบทเรียน

วันนี้ (9 พ.ย.2565) เวลา 11.00 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.เปิดเผยถึง การดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในช่วงเทศกาลลอยกระทงเมื่อคืนที่ผ่านมา ว่า “ภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย พอใจกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการ ดูแลความสงบเรียบร้อย อำนวยความสะดวกการจราจรในเทศกาลลอยประทง มีเหตุที่น่าสนใจ
เหตุพลุระเบิด บริเวณลานพนมนาคา ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครพนม มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 15 คน เบื้องต้นพบว่า หลังจากเปิดงาน มีการจุดพลุจำนวน 3 ลูก โดยพลุลูกที่ 3 ระเบิดหลุดออกจากปล่องจุด ไม่พุ่งขึ้นไปบนฟ้า แตกกระจายไปบนพื้น โดนผู้คนที่มาเที่ยวงานได้รับบาดเจ็บ ขณะนี้ผู้ได้รับบาดเจ็บได้รับการรักษา ทำแผลกลับบ้านหมดแล้ว ในทางคดี พบว่า การจุดพลุ ไม่ได้มีการขออนุญาตโดยถูกต้อง พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครพนม จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดจำนวน 3 ราย ซึ่งเป็นคนที่จุดพลุ ผู้ว่าจ้าง และบุตรสาวของผู้ว่าจ้างทำหน้าที่ คอยส่งสัญญาณให้จุดพลุ ในข้อหา กระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ของผู้อื่น กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตราย และ ทำให้เกิดเสียงดังจนทำให้ประชาชนตกใจหรือเกิดความเดือดร้อน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 221 ,390 และ 370 คดีนี้มีโทษสูงสุด จำคุกไม่เกิน 7 ปี ส่วนการจัดทำพลุหรือจัดซื้อพลุ อยู่ระหว่างการสอบสวนขยายผลว่า ได้ซื้อมาจากที่ใด และได้รับอนุญาตให้จำหน่ายหรือไม่ ซึ่งจะมีการดำเนินคดีต่อไป สำหรับการชดใช้หรือเยียวยาค่าเสียหาย เทศบาลนครพนม ได้แสดงความรับผิดโดยการจะชดใช้และเยียวยาให้กับผู้บาดเจ็บทุกราย ทั้งนี้ได้สั่งการให้หน่วยลงไปตรวจสอบโดยละเอียดถึงสาเหตุอีกครั้ง เพื่อนำมาถอดบทเรียนในการป้องกันเหตุต่อไป
อีกเหตุเป็นกระสุนปืนตกใส่หลังคาบ้านประชาชนไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ พื้นที่ สภ.สารภี ภ.จว.เชียงใหม่ อยู่ระหว่างการสืบสวนติดตามผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี
ส่วนเหตุอื่นๆ จะมีเหตุทะเลาะวิวาท คดีความผิดเกี่ยวกับชีวิต ร่างกาย เพศ และทรัพย์เกิดขึ้น แต่จำนวนไม่มาก เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยที่ร่วมปฏิบัติ เช่น เทศกิจ ฝ่ายปกครอง สามารถควบคุมได้
ผบ.ตร.กล่าวเพิ่มอีกว่า “ผลการปฏิบัติในภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้เป็นอย่างดี ขอขอบคุณผู้บังคับบัญชาและข้าราชการตำรวจทุกนายที่ได้ร่วมกันปฏิบัติภารกิจด้วยความเหน็ดเหนื่อย ทุ่มเท เสียสละ ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ อย่างเข็มแข็งเต็มกำลังความสามารถ จนสามารถดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย สร้างรอยยิ้ม สร้างความสุขในเทศกาลลอยกระทง และขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ลอยกระทงแบบสร้างสรรค์ สืบสานวัฒนธรรมอันดีของไทย”

คลองสาน ร่วมงานลอยกระทง ICONSIAM Chao Phraya River Of Eternal Prosperity ลอยกระทงบนสายน้ำแห่งความเจริญรุ่งเรือง

(8 พ.ย. 65) เวลา 18.00 น. : ว่าที่ร้อยตรีสรวุฒิ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการเขตคลองสาน​ เข้าร่วมงานเทศกาลลอยกระทง “ICONSIAM Chao Phraya River Of Eternal Prosperity ลอยกระทงบนสายน้ำแห่งความเจริญรุ่งเรือง” ณ ลานริเวอร์ปาร์ค ไอคอนสยาม เพื่อเป็นการสืบสานประเพณีวัฒนธรรมไทย

ด้วย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับไอคอนสยาม สภาหอการค้าไทย บริษัท ดิ ไอคอนสยาม ซูเปอร์ลักซ์ เรสซิเดนซ์ คอร์ปอเรชั่น จํากัด พร้อมด้วยหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จัดงาน “ICONSIAM Chao Phraya River Of Eternal Prosperity ลอยกระทงบนสายน้ำแห่งความเจริญรุ่งเรือง” ในวันที่ 8 พ.ย. 2565 โดยทุกคนสามารถมาร่วมลอยกระทงที่ไอคอนสยามได้ตั้งแต่เวลา 15.00 – 24.00 น. ในงานมีกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ นิทรรศการกระทง 5 พื้นที่เอกลักษณ์ของไทย การแสดงแสงประทีปแห่งธาราสู่จันทราอันเรืองรอง และการแสดงดนตรีมินิคอนเสิร์ตโดยศิลปินปาล์มมี่

ตำรวจท่องเที่ยวปล่อยแถวรักษาความสงบความปลอดภัยและป้องกันอาชญากรรมแก่นักท่องเที่ยว ในเทศกาลลอยกระทง

วันนี้(8 พย.) เวลา 17.00 น. กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดพิธีปล่อยแถวส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย สืบสานประเพณีไทย”ลอยกระทง 65” ณ สวนสันติชัยปราการกรุงเทพมหานคร โดยเป็นการแสดงความพร้อมในการปฎิบัติหน้าที่ของตำรวจท่องเที่ยว ในการดูแลนักท่องเที่ยวและประชาชนในประเพณีลอยกระทง โดยมี พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท. เป็นประธานในพิธี

กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เป็นหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อย การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทั่วราชอาณาจักร การให้ความปลอดภัย ให้บริการช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ได้เล็งเห็นความสำคัญ จึงได้จัดพิธีปล่อยแถวภายใต้โครงการ” ส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างปลอดภัยสืบสานประเพณีไทย”ลอยกระทง 65” เพื่อร่วมบูรณาการกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และเป็นการยกระดับการเพิ่มอันดับความสามารถการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยว ด้านการรักษาความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว

การปล่อยแถวในครั้งนี้จึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวรับทราบถึงความตั้งใจของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะความพร้อมของกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลรักษาความปลอดภัย ให้กับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อความปลอดภัยในประเพณีลอยกระทงนี้

นอกจากนี้ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวขอฝากถึงนักท่องเที่ยวและพี่น้องประชาชนว่า ท่านสามารถแจ้งเหตุผ่านสายด่วน 1155 ตลอด 24 ชั่วโมงและแอพพลิเคชั่น ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว Tourist Police i Lert you //

สตม. อำนวยความสะดวกแก่ชาวต่างชาติ เปิดตัว ” e-Extension” การยื่นขออยู่ต่อออนไลน์ได้วีซ่าภายใน 3 นาที

​วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2565 พลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข อดีตผู้บัญชาการ
ตำรวจแห่งชาติ และพลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยพลตำรวจโท ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เปิดตัวระบบ
การขออนุญาตเพื่ออยู่ต่อในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ
“e-Extension” เป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยโครงการนี้เป็นดำริของพลตำรวจเอก สุวัฒน์
แจ้งยอดสุข อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ต้องการพัฒนาระบบการให้บริการแก่ประชาชนเพิ่มความสะดวกแก่ผู้มารับบริการด้วยเทคโนโลยีผ่านระบบดิจิตอล สอดคล้องกับแนวทางในการพัฒนาให้เข้าสู่การเป็นภาครัฐทันสมัย และพลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้สานต่อการดำเนินงานดังกล่าวให้สำเร็จลุล่วง
​การให้บริการขออนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e – Extension) ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เป็นการยกระดับและสร้างมาตรฐานการให้บริการคนต่างด้าวรูปแบบใหม่ด้วยการยื่นคำร้อง
ขออนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักรและชำระเงินค่าธรรมเนียมทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยนำร่อง
การขออยู่ต่อในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สำหรับคนต่างด้าวที่มีถิ่นพำนักอยู่ในกรุงเทพฯ หรือ
มีสถานที่ทำงานของรัฐในเขตกรุงเทพ ฯ ซึ่งได้เปิดให้บริการในส่วนของเหตุผลหรือความจำเป็น
ในการขออยู่ต่อฯ จำนวน 12 เหตุผล ดังนี้ 1. เพื่อการท่องเที่ยว, 2. ครูในสถานศึกษาของรัฐ,

  1. ศึกษาในสถานศึกษาของรัฐ, 4. อยู่ปฏิบัติงานในส่วนราชการ, 5. เดิมคนไทย, 6. ครอบครัวผู้มีถิ่นที่อยู่, 7. สื่อมวลชน, 8. ฝึกสอน ค้นคว้าวิจัยในหน่วยงานของรัฐ, 9. ติดตั้งซ่อมแซมเครื่องจักร, 10. ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์, 11. ผู้ควบคุมพาหนะประจำพาหนะ และ 12. สถานทูตให้การรับรองและร้องขอ
    ​เนื่องจากในแต่ละปี ประเทศไทยมีคนต่างด้าวยื่นขออนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักร
    เป็นการชั่วคราว เฉพาะในส่วนของเหตุผลหรือความจำเป็น 12 เหตุผลดังกล่าว มากกว่า 2 แสนคนต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในพื้นที่กรุงเทพ ฯ มีผู้มาขอรับบริการเป็นจำนวนมาก ทำให้คนต่างด้าวใช้เวลาค่อนข้างนานในการขอรับบริการแต่ละครั้งโดยเฉลี่ยต้องใช้เวลารอเข้ารับบริการประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง
    ​แต่หากคนต่างด้าวเปลี่ยนมาขอรับบริการผ่านระบบ“e – Extension” (Electronics Extension of Temporary Stay in The Kingdom : e – Extension) คนต่างด้าวสามารถดำเนินการกรอกข้อมูลได้ด้วยตนเองตลอดเวลา ผ่านระบบออนไลน์บนอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บไซต์ และเข้ามาพบเจ้าหน้าที่เพื่อยืนยันตัวบุคคลและรับสติ๊กเกอร์วีซ่าโดยใช้เวลาไม่เกิน 3 นาทีเท่านั้น
    ​โครงการดังกล่าวลดขั้นตอนและระยะเวลาในการดำเนินการ ทำให้คนต่างด้าวสามารถกำหนดนัดหมายวันเวลาขอรับสติ๊กเกอร์วีซ่าได้ด้วยตนเอง นับเป็นมิติใหม่ของการยื่นขออนุญาตอยู่ต่อในประเทศไทย
    ​บริการ “e – Extension” ได้มีการทดลองระบบโดยเปิดให้คนต่างด้าวขอรับบริการ ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม ที่ผ่านมา มีคนต่างด้าวให้ความสนใจและเข้ามาทดลองใช้งานผ่านระบบ
    เป็นจำนวนมาก ซึ่งระบบสามารถใช้งานได้เป็นอย่างดีจนได้รับความพึงพอใจจากผู้มารับบริการและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
    ​นายเกาชิค กอช หัวหน้าภูมิภาคออสเตรเลียเอเชีย, วีเอฟเอส โกลบอล ยังได้กล่าวถึง
    e – Extension ว่าเป็นแพลตฟอร์มที่จะช่วยให้กระบวนการขออยู่ต่อในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวสะดวกและราบรื่นยิ่งขึ้น ในขณะที่ยังคงรักษาความปลอดภัยและความสมบูรณ์
    ของกระบวนการขออยู่ต่อ และจะช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้มาเยือนที่ต้องการขยายเวลาพำนักในประเทศไทยอีกด้วย
    ​คนต่างด้าวสามารถยื่นขออยู่ต่อฯ ผ่านทางออนไลน์บนเว็บไซต์Thaiextension.vfsevisa.com
    ซึ่งในเฟสแรก ผู้รับบริการสามารถเข้ามารับสติ๊กเกอร์วีซ่าได้ที่กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ อาคาร B หลักสี่ กรุงเทพ ฯ
    ​ระบบ “e – Extension” จะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่ประสงค์จะขออนุญาต
    อยู่ต่อฯ พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการคัดกรองให้มากขึ้น โดยผ่านระบบออนไลน์ ตั้งแต่การกรอกแบบฟอร์ม ยื่นเอกสาร พร้อมรับชำระค่าธรรมเนียมแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดย สตม. ตั้งเป้าหมายขยายการบริการ ให้สามารถรับบริการได้ครอบคลุมทุกที่ทำการตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศพดส.ตร. ได้ต้อนรับผู้แทนจากมหาวิทยาลัยแซมฮูสตัน สเตท นำโดย ดร.ฟิลลิป คณบดีคณะบริหารงานยุติธรรม

คณบดี Sam Houston State เดินทางดูงาน ศูนย์ ศพดส.ตร.

วันนี้ (8 พ.ย.65) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศพดส.ตร. ได้ต้อนรับผู้แทนจากมหาวิทยาลัยแซมฮูสตัน สเตท นำโดย ดร.ฟิลลิป ลียง คณบดีคณะบริหารงานยุติธรรม และ นายเจิร์ก เกอร์เบอร์ อาจารย์คณะบริหารงานยุติธรรม ซึ่งได้เดินทางมาดูงานที่ ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกับปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) โดยคณะผู้แทนมีความสนใจเกี่ยวกับกระบวนการในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ศพดส.ตร. และผู้แทนจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ได้มีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับที่มาและจุดเริ่มต้นในการก่อตั้ง ศพดส.ตร. ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นเมื่อประมาณ ปี พ.ศ.2559 โดยแนวคิดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกอบกับความจำเป็นที่จะต้องมีการจัดตั้งชุดปฏิบัติการเพื่อทำหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามปัญหาการค้ามนุษย์ จึงได้จัดตั้ง ศพดส.ตร. ขึ้น โดยมีชุดปฏิบัติการที่อยู่ภายใต้ศูนย์ดังกล่าวอีก 2 หน่วย คือ TICAC และ TATIP ซึ่งในส่วนของ TICAC เป็นชุดปฏิบัติการที่จะทำหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กและเยาวชนทางอินเตอร์เน็ต และ TATIP จะเป็นชุดปฏิบัติการที่ช่วยสนับสนุนหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
นอกจากนี้ ยังได้มีการนำเสนอเทคโนโลยีและอุปกรณ์ต่างๆ เช่น อุปกรณ์ในการตรวจพิสูจน์หลักฐานทางเทคโนโลยี (Digital Forensic) ซึ่งจำเป็นต้องใช้เจ้าหน้าที่ที่มีความชำนาญเฉพาะทางและมีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อตรวจหาหลักฐานที่เป็นความผิด ทางคณะผู้แทนจากมหาวิทยาลัยแซมฮูสตัน สเตท ได้ให้ความสนใจกับการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนเป็นอย่างมาก เนื่องจากคดีเหล่านี้เป็นคดีที่ละเอียดอ่อน ต้องใช้ความรู้ความสามารถเกี่ยวกับการเก็บพยานหลักฐานทางดิจิตัล และยังต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวต่อผู้เสียหายที่เป็นเด็กและเยาวชน รวมทั้งยังต้องแสวงหาความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนอีกด้วย ทั้งนี้ ทางมหาวิทยาลัยแซมฮูสตัน สเตท มีความสนใจที่จะร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อสนับสนุนทุนการศึกษาให้กับข้าราชการตำรวจ ในสาขาวิชาอาชญาวิทยา เพื่อเป็นการพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ในวันนี้ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับคณะผู้แทนจากมหาวิทยาลัยแซมฮูสตัน สเตท และเป็นอีกก้าวหนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ศพดส.ตร. ในการแสวงหาความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะภาครัฐ ภาคเอกชน ในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งในวันนี้ ได้นำเสนอเกี่ยวกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ ศพดส.ตร. เพื่อป้องกันและปราบปรามปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งช่วยยกระดับให้ประเทศไทยผ่านการประเมิน TIP Report ในปีที่ผ่านมาขึ้นสู่ระดับ Tier 2 ซึ่งคณะผู้แทนจากมหาวิทยาลัยแซมฮูสตัน สเตท ให้ความสนใจกับการทำงานของ ศพดส.ตร. เป็นอย่างมาก รวมทั้งยินดีที่จะสนับสนุนทุนการศึกษาให้กับข้าราชการตำรวจ เพื่อเป็นศึกษาหาความรู้และเพิ่มศักยภาพในการทำงานต่อไป

พล.ต.ต.จิรสันต์ รอง ผบช.น./โฆษก บช.น. แถลงการจับกุมกระทำความผิดเกี่ยวกับดอกไม้เพลิง พลุ และประทัด ในช่วงเทศกาลลอยกระทง

วันนี้(อังคารที่ 8 พ.ย.65)เวลา 11.00น. พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น./โฆษก บช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สำเริง สวนทอง รอง ผบช.น., พ.ต.อ.เอกภพ ตันประยูร รอง ผบก.น.1, พ.ต.อ.ปราโมทย์ จันทร์บุญแก้ว ผกก.ฝอ.5 บก.อก.บช.น. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมกระทำความผิดเกี่ยวกับดอกไม้เพลิง พลุ และประทัด ในช่วงเทศกาลลอยกระทง ประจำปี 2565 ณ ลานอเนกประสงค์ บช.น./ทีมงานประชาสัมพันธ์ บช.น.

Design a site like this with WordPress.com
Get started