ผบ.ตร.โชว์ความพร้อมด้านความปลอดภัยประชุม APEC 2022 ระดมกวาดล้างอาชญากรรมทั่วประเทศครั้งใหญ่ จับผู้ต้องหาคดียาเสพติด และอาวุธปืน หมายจับค้างเก่า กว่า 60,000 ราย สร้างความเชื่อมั่นให้นานาชาติ

วันนี้ (8 พ.ย.65) เวลา 10.30 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.,พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.,พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 ,พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส. และ พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบช.ภ.8 ร่วมแถลงผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับนานาชาติ และประชาชน ก่อนการประชุม APEC 2022

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีระดมกวาดล้างปราบปรามผู้กระทำความผิดที่ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนเถื่อน อาวุธปืนสงคราม ยาเสพติด และหมายจับค้างเก่า ก่อนที่จะมีการจัดการประชุมผู้นำ APEC ปลายเดือนนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน โดยมีการระดมกวาดล้างในห้วงระหว่างวันที่ 10 ต.ค. – 8พ.ย. 65 ผลการดำเนินการ ดังนี้

1.ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน วัตถุระเบิด และเครื่องกระสุน ทั้งสิ้น 11,811 คดี ผู้ต้องหา 10,450 คน ของกลางอาวุธปืนสงคราม 36 กระบอก ปืนไม่มีทะเบียน 5,345 กระบอก มีทะเบียน 936 กระบอก วัตถุระเบิด 4,342 รายการ และเครื่องกระสุน 37,045 นัด

2.ผู้ต้องหาคดียาเสพติด 41,803 คดี ผู้ต้องหา 43,027 คน ของกลางยาบ้า 49,580,083 เม็ด

3.จับบุคคลตามหมายจับคดีอาญาได้ 9,465 หมายจับ ผู้ต้องหา 9,255 คน

สำหรับงานสืบสวนสอบสวนได้มีการระดมเร่งรัดหมายจับค้างเก่าทั้งประเทศ ซึ่งในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีการจับกุมหมายจับค้างเก่าไปแล้วกว่า 50% ส่วนด้านการป้องกันปราบปราม มีการระดมจับกุมผู้ต้องหาเกี่ยวกับอาวุธปืนและยาเสพติด ขณะนี้มีการขยายผลต่อเนื่องไปถึงต้นทางการผลิต โดยจะได้ปราบปรามอย่างครบถ้วนทุกมิติ

ผบ.ตร. กล่าวต่อว่า คดีที่น่าสนใจ ภ.5 สามารถจับกุมนายวีรยุทธ สงวนนามสกุล ผู้ต้องหาจำหน่ายอุปกรณ์ปืน บีปีกัน แบลงค์กัน และได้ผลิตแปลงอาวุธปืนแบลงค์กัน ใส่ลำกล้องปืน 9 มม. ให้เป็นอาวุธปืนที่สามารถยิงกระสุนจริงได้ โดยเปิดร้านชื่อ CHAROEN AIRSOFT 4289 ผ่านแพลตฟอร์ม ลาซาด้า โดยมีช่องทางติดต่อผ่านไลน์ Line Official “@612mrgnd” และใน Facebook เพจของ CHAROEN AIRSOFT 4289
โดยผู้ต้องหาเริ่มทำลำกล้องปืนด้วยตนเองและจำหน่ายทางออนไลน์ให้กับผู้สนใจ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหา “ทำและจำหน่ายอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ” ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย
ก่อนมอบหมายให้ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. /รอง ผอ.ศปอส. นำกำลังตำรวจ บช.สอท.,ภ.1, ภ.8 ขยายผลไปถึงผู้ซื้อและตัวแทนจำหน่าย 209 แห่ง ทั่วประเทศ สามารถจับกุมผู้ต้องเพิ่มอีก 54 ราย ยึดของกลางอาวุธปืนเถื่อน 110 กระบอก เครื่องกระสุนปืน 13,320 นัด และวัตถุระเบิดอีก 11 ลูก

ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยในการแก้ไขปัญหาอาวุธปืนและยาเสพติดที่เป็นรูปธรรม โดย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ บูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนร่วมแก้ปัญหา อย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อให้การปฏิบัติเป็นรูปธรรมชัดเจน สร้างความเชื่อมั่นให้พี่น้องประชาชน จึงได้กำหนดให้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทั่วประเทศ ซึ่งมีผลการปฏิบัติเป็นที่น่าพอใจ ทั้งนี้ขอความร่วมมือประชาชนในการแจ้งข้อมูล เบาะแส แจ้งข่าวอาชญากรรม ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตลอดเวลา ทางหมายเลขโทรศัพท์ 191 หรือ 1599 โดยทุกข้อมูลจะดำเนินการตรวจสอบอย่างจริงจัง

“บิ๊กโจ๊ก” รอง ผบ.ตร. ลงใต้ แถลงปิดฉากคดีแก๊งโจรโม่งลิงอ้วนผอมรวม 4 คน หลังก่อเหตุลักทรัพย์ และเจาะตู้เซฟทั่วไทยนานกว่า 7 ปี รวม 22 คดี

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา
กวาดเงินสดและทรัพย์สินมีค่าไปกว่า 50 ล้านบาท และชุดสืบสวนตามแกะรอยอยู่นานเกือบ 1 ปี จึงรวบได้ทั้งหมด และในวันนี้ได้ส่งมอบทรัพย์สินคืนผู้เสียหาย 2 ราย ใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา รวมมูลค่ามากกว่า 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่โดนขโมยไปมากที่สุด พร้อมกับเร่งตรวจตรวจสอบเส้นทางการเงินของขบวนการ และคนรับซื้อของโจร
เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. วานนี้ 7 พ.ย. 65 ที่ห้องประชุมชัยจินดา สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่แถลงข่าวสรุปคดีรวบแก๊งโม่งลิงอ้วนผอม 4 คน หลังก่อเหตุตระเวนลักทรัพย์ และเจาะตู้เซฟไปทุกหนแห่งทั่วประเทศจำนวน 22 คดี ตั้งแต่ช่วงปี 59-65 มูลค่าความเสียหายในภาพรวมทั้งเงินสดและทรัพย์สินกว่า 50 ล้านบาท
และทางตำรวจชุดสืบสวนจากหลายหน่วย โดยเฉพาะ บก.สส.ภ.9 , กก.สส.ภ.จว.สงขลา และ กก.สส.ภ.จว.สตูล สามารถสืบสวนจนนำไปสู่การจับกุมได้ทั้งแก๊งในวันที่ 15 ก.ย. และ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา และใช้เวลาเวลาในการติดตามแกะรอยอยู่นานเกือบ 1 ปี จึงสำเร็จ
โดยเคสที่ได้ทรัพย์สินไปมากที่สุด 3 เคส คือ ที่หมู่บ้านปาล์มสปริง 11 อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา กวาดทรัพย์สินทั้งเงินสด และของมีค่าไปกว่า 21 ล้านบาท อีกเคสคือ ที่ร้านสำเพ็ง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา กวาดทรัพย์สินไปราว 6 ล้านบาท และอีกเคสที่ในพื้นที่ ต.รั้วใหญ่ อ.เมืองสุพรรณบุรี ได้เงินสดและทรัพย์สินไปกว่า 12 ล้านบาท
และในการก่อเหตุส่วนใหญ่พบว่า มากกว่าครึ่งเป็นการเจาะตู้เซฟ และแทบทุกครั้งจะสวมหมวกไอ้โม่งลิงปิดบังอำพรางใบหน้า และสวมเสื้อผ้าคล้ายชุดพีพีอี แต่มาตายน้ำตื้นจากการเข้าไปก่อเหตุลักทรัพย์ที่ปั๊มน้ำมัน ปตท.ทุ่งนุ้ย อ.ควนกาหลง จ.สตูล ซึ่งได้เหล้าไปเพียง 1 ขวด หลังจากนั้นตำรวจก็เริ่มสืบสวนพบว่า ในพื้นที่หลายจังหวัดทั่วประเทศคนร้ายที่ก่อเหตุเป็นกลุ่มเดียวกัน จึงใช้เวลาขยายผลเกือบ 1 ปี จึงสามารถจับกุมได้ยกแก๊งรวม 4 คน ปิดฉากแก๊งโจรไอ้โม่งลิงได้สำเร็จ
สำหรับแก๊งโม่งลิงอ้วนผอม 4 คนนี้ ประกอบด้วย นายวสันต์ ตั้งธนภิญโญกูล อายุ 39 ปี ชาว อ.เบตง จ.ยะลา , นายสมพร พุฒขวัญ อายุ 44 ปี ชาว อ.ละงู จ.สตูล , นายเกษม แซ่เจียง อายุ 49 ปี ชาว อ.เบตง จ.ยะลา และ นายเรืองศักดิ์ เชื้อเมืองพาน อายุ 41 ปี ชาว อ.เบตง จ.ยะลา ภูมิลำเนาเดิมเป็นชาว จ.เชียงราย ซึ่งทั้งหมดให้การรับสารภาพ
และทั้งหมดถูกแจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใดๆ โดยเข้าช่องทางซึ่งได้ทำขึ้น โดยไม่ได้จำนงให้เป็นทางคนเข้า โดยแปลงตัวหรือปลอมตัวเป็นผู้อื่น มอมหน้าหรือทำด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหน้าหรือจำหน้าได้ โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป, โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม, ร่วมกันทำให้เสียหายทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น, ร่วมกันบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนโดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป”
อีกทั้งเจ้าหน้าที่จะเร่งทำการตรวจสอบเส้นทางทางการเงินของกลุ่มคนร้าย เพื่อประกอบเป็นหลักฐานเอาผิด และลงโทษคนร้ายให้ถึงที่สุด รวมไปถึงผู้ที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้อง และผู้ที่รับซื้อของโจรต่อไป
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังสามารถตรวจยึดทรัพย์สินที่ถูกลักเอาไปในคดีหมู่บ้านปาล์มสปริง 11 คือ นาฬิกาหรูจำนวน 8 เรือน และน้ำหอมจำนวน 3 ขวด และสามารถตรวจติดตามขยายผลสืบทรัพย์ของคดีร้านสำเพ็ง หาดใหญ่ สามารถตรวจยึดเครื่องประดับจำนวน 5 ชิ้น รวมมูลค่าทรัพย์สินที่สามารถติดตามส่งคืนให้กับผู้เสียหายมูลค่ามากกว่า 2 ล้านบาท และจะเร่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามทรัพย์สินที่ยังไม่ได้คืนมาอย่างเร่งด่วน
ซึ่งในวันนี้ได้มีการเชิญผู้เสียหายทั้ง 2 ราย ใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มาร่วมรับฟังบรรยายสรุปคดี และส่งมอบทรัพย์ที่ตรวจยึดกลับคืนมาได้บางส่วนมอบให้กับทางผู้เสียหาย พร้อมกับมีการมอบช่อดอกไม้ และกล่าวขอบคุณรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งทีมตำรวจชุดสืบสวน และหน่วยที่เกี่ยวข้อง ที่สามารถจับกุมคนร้ายได้ยกแก๊ง รวมทั้งติดตามทรัพย์สินกลับคืนมาได้ สร้างความอุ่นใจ และความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินให้กับประชาชน
/////

พล.ต.ต.นิธิธร รอง ผบช.น. เปิดปฏิบัติการตั้งจุดตรวจจุดสกัดวัยรุ่นแก็งค์รถซิ่ง

พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น. เปิดปฏิบัติการ โดยสนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ เจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษ ร่วมกันตั้งจุดตรวจจุดสกัด บริเวณ ถ.อุทยาน แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กทม.

จับกุมรถที่มีเสียงดังกว่าที่กฎหมายกำหนด จำนวน 13 คัน (รถยนต์ 4 คัน และ จักรยานยนต์ 9 คัน) ออกคำสั่งห้ามใช้ยานพาหนะที่เสียงดังเกินกฎหมายกำหนดชั่วคราว(เจ้าของต้องแก้ไขใน30วัน) ได้ประชาสัมพันธ์ข้อกฎหมายใหม่ ฐานความผิด พยายามแข่งรถในทางตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก ฉบับใหม่ ที่มีการประกาศใช้เมื่อวันที่ 5 ก.ย.65 ต้องรับโทษ 2 ใน 3 ของความผิดแข่งรถในทาง รวมถึงร้านรับแต่งรถก็มีโทษในฐานะผู้สนับสนุนเช่นกัน

#สถานีตำรวจนครบาลธรรมศาลา

#กองบังคับการตำรวจนครบาล7

#กองบัญชาการตำรวจนครบาล

ตำรวจบุกตรวจค้นคอนโดหรูใจกลาง กทม. ของกลุ่มนายทุนต่างชาติ จำนวน 2 จุดพบเงินสดกว่า 19 ล้านบาท

จากกรณี เมื่อวันที่ 26 ต.ค.65 กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้เข้าตรวจค้นร้านจินหลิง ในพื้นที่ สน.ยานนาวา พบนักท่องเที่ยวที่ใช้ยาเสพติดกว่า 104 ราย และพบยาเสพติดในร้านจำนวนมาก พร้อมตรวจยึดรถยนต์หรู จำนวน 35 คัน โดยพบว่ารถยนต์หรูบางคัน ยังไม่มีเจ้าของรถมาแสดงตัว และได้มีการเดินทางหลบหนีไปยังต่างประเทศแล้ว
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร.(ปป.), พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.(สส) ขยายผลตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเฉพาะเจ้าของรถยนต์หรูที่ตรวจยึดไว้ และเส้นทางลำเลียงยาเสพติดที่นำเข้ามาจำหน่ายในผับจิ้นหลิงแห่งนี้ จึงได้มีการร่วมกันวางแผนและนำทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจจากหลายหน่วยงานบูรณาการในปฏิบัติการและขยายผลอย่างเร่งด่วน
ต่อมา วันนี้ (4 พ.ย.65) เวลาประมาณ 06.30 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร.(ปป.), พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.(สส) ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบช.ภ.1 และ พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิสมัย รอง ผบก.สส.ภ.4 ,พ.ต.อ.จตุรภัทร ภิรมย์แก้ว รอง ผบก.ปส.1 และพ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล ผกก.สส.ตม.4 พร้อมกำลังชุดปฏิบัติการ จาก บช.น. , บช.ทท. , บช.สอท. , บช.ปส. และกองพิสูจน์ เข้าทำการตรวจค้นคอนโดมิเนียมหรู ใจกลาง กทม.จำนวน 2 จุด ตามหมายค้นศาลอาญา ได้แก่ อาคารมหานครและอาคารบันยันทรี ริเวอร์ไซต์เรสซิเด้น สามารถตรวจยึดทรัพย์สิน เพื่อพิสูจน์การได้มาและการครอบครอง ว่ามีความเชื่อมโยงกับผับจิ้นหลิงในลักษณะใด โดยมีผลการปฏิบัติดังนี้
อาคารบันยันทรี เลขที่ 1188/105 ชั้น 33 ซอยสมเด็จเจ้าพระยา 17 แขวงคลองสาน เขตคลองสาน จังหวัดกรุงเทพมหานครตรวจยึด
1.รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อ โรลส์รอยซ์ (Rolls-Royce) สี ดำ เลขทะเบียน กย 9 สระบุรี
2.รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อ Mercedes Benz สี ดำ เลขทะเบียน 7 กส 7 กรุงเทพมหานคร
3.รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อ โรลส์รอยซ์ (Rolls-Royce) Black Badge Cullinan สี ฟ้า
เลขทะเบียน ร-8100 กรุงเทพมหนคร (ป้ายแดง)
4.รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อ Mercedes Benz สี น้ำตาล เลขทะเบียน ฆษ 7 กรุงเทพมหานคร
5.รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อ TOYOTA VELLFIRE สีดำ เลขทะเบียน 5 กส 4841 กรุงเทพมหานคร
6.รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อ TOYOTA ALPHARD สีดำ (ติดสติกเกอร์สีม่วง-น้ำเงิน)
เลขทะเบียน ษธ 5888 กรุงเทพมหานคร

  1. บุหรี่ จำนวน 15 ซอง
  2. โทรศัพท์ ยี่ห้อ Apple รุ่น IPHONE 11 สีดำ (ในตู้เซฟ)
    9.โทรศัพท์ ยี่ห้อ Apple รุ่น IPHONE 7 (ในตู้เซฟ)
    10.เงินสด 19,088,000 บาท (ในตู้เซฟ)
    11.กำไล HERMES (ในตู้เซฟ)
    12.นาฬิกา HERMES (ในตู้เซฟ)
    13.แหวน GUCCI (ในตู้เซฟ)
    14.กำไล GUCCI (ในตู้เซฟ)
    15.กำไล VANCLEEF (ในตู้เซฟ)
    16.โฉนดห้องชุด ห้องเลขที่ 1188/105 (ในตู้เซฟ)
    17.โฉนดห้องชุด ห้องเลขที่ 1188/106 (ในตู้เซฟ)
    18.โฉนดห้องชุด ห้องเลขที่ 1188/107 (ในตู้เซฟ)
    19.กระเป๋า HERMES จำนวน 2 ใบ
    20.รองเท้า ยี่ห้อ Chanel จำนวน 1 คู่
    21.สุราและไวน์ ราคาแพง จำนวนมาก
    โดย มีนาย จะหมี่ แซ่หลี่ อายุ 24 ปีหมายเลขบัตรประจำตัวบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียน และ น.ส.ณัฐชา แซ่หยาง อายุ 25 ปี หมายเลขบัตรประจำตัวบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียน ที่อยู่ 0/89 หมู่ 10 ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ทั้ง 2 คนแสดงตนเป็นผู้นำการตรวจค้น จากการสืบสวนทราบว่าห้องดังกล่าวนี้ มีนายหวังเจิ้นหนาน อายุ 21 ปี เป็นเจ้าของห้องคอนโด

จุดที่ 2 ตึกมหานคร ห้อง 114/35-36 ชั้น 59
1.ยาอี 10 เม็ดครึ่ง
2.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 3 เครื่อง
3.สำรับไพ่กระดาษ จำนวน 60 สำรับ
4.สุรา ราคาแพง หลายๆยี่ห้อ 120 ขวด โดยมีราคาแพงสุด ราคา 2 ล้านบาท
รวมมูลค่าการตรวจยึดทรัพย์สินทั้งสองจุด จำนวนทั้งสิ้น 150 ล้านบาท รวมทั้งยังสามารถตรวจยึดเอกสารสำคัญและโทรศัพท์มือถืออีกหลายรายการ จะได้นำมาตรวจสอบโดยละเอียด เพื่อพิสูจน์การได้มาและการครอบครองของทรัพย์สินเหล่านี้ ว่ามีความเชื่อมโยงกับผับจิ้นหลิงในลักษณะใด

พลตำรวจโท เสนิต สำราญสำรวจกิจ ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ได้ให้การต้อนรับคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ณ ห้องประชุมไผ่สิงโต อาคารกองบัญชาการ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ

พลตำรวจโท เสนิต สำราญสำรวจกิจ ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ได้ให้การต้อนรับคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ประกอบด้วย 1. คุณฌอง ปีแอร์ ชาเนล ผู้แทนฝ่ายตำรวจระดับภูมิภาค, 2. คุณกฤช ตั้งทรงศิริศักดิ์ ที่ปรึกษาและผู้ประสานงาน กิจการทหารและตำรวจ, 3. พล.ต.ท. มณฑล เงินวัฒนะ ที่ปรึกษาอาวุโสกิจการตำรวจ ICRC ซึ่งได้เดินทางมาเข้าเยี่ยมคารวะและแสดงความยินดี พร้อมเสนอให้การสนับสนุนเรื่ององค์ความรู้และแบ่งปันประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานสากลในงานตำรวจ แก่ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ โดยมี พันตำรวจเอก พัฒนากร สูงนารถ ผู้กำกับการฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ ศูนย์บริการทางการศึกษา พร้อมด้วยผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุมไผ่สิงโต อาคารกองบัญชาการ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ

ศพดส.ตร. เข้าช่วยเด็กในมูลนิธิครูยุ่น ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม หลังพบคลิปวิดีโอถูกเผยแพร่ผ่านโซเชียล เห็นครูทำร้ายเด็ก ด้วยการเฆี่ยนตีและด่าทอ ขณะที่เด็กบางส่วนทนไม่ไหวหลบหนีออกจากมูลนิธิแล้ว

จากกรณีที่มีคลิปถูกนำมาเผยแพร่ในโลกโซเชียลโดยกลุ่มนักศึกษากลุ่มหนึ่ง พร้อมทั้งระบุว่า คลิปวีดีโอความยาวประมาณ 5 นาที ที่เห็นนี้ เป็นภาพเด็กจำนวน 7-8 คน อายุตั้งแต่ 10-17 ปี กำลังถูกครูเจ้าของมูลนิธิคุ้มครองเด็กแห่งหนึ่งภายใน อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ลงโทษโดยการเฆี่ยนตี และยังมีลักษณะพฤติกรรมใช้คำหยาบคาย เดินไป เดินมา ลงโทษเด็ก

ซึ่งคลิปที่เผยแพร่มีเด็กในมูลนิธิแอบถ่าย และส่งให้นักศึกษาที่ไปทำกิจกรรมเลี้ยงอาหารที่มูลนิธิ ให้ช่วยเหลือ โดยมีการส่งต่อมาให้สื่อมวลชน นำเสนอให้กับประชาชนทั่วไปทราบถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในมูลนิธิดังกล่าวนี้

ทำให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ต้องสั่งการสั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และ ผอ.ศพดส.ตร. เร่งสืบสวน ให้การช่วยเหลือ และติดตามคดีที่เกิดขึ้นโดยทันที เนื่องจากเหตุการณ์นี้กระทบกับความรู้สึกต่อประชาชน และเกรงว่าหากยิ่งเวลานานไปอาจเกิดอันตรายกับเด็กมากกว่านี้โดย โดยขอให้เร่งให้การช่วยเหลือเด็กออกมาก่อน และสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยด่วน

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจึงได้เชิญผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรอัมพวา จังหวัดสมุทรสงครามมาชี้แจงรายละเอียดที่เกิดขึ้นพร้อมกับให้นำหลักฐานที่เผยแพร่อยู่ในสื่อมวลชนมาตรวจสอบ จากนั้นได้สั่งกำชับให้เร่งดำเนินการช่วยเหลือเด็กออกมาจากสถานที่ให้เร็วที่สุดโดยประสานงานกับเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เข้าไปตรวจสอบและนำหลักฐานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นภาพคลิปวิดีโอกล้องวงจรปิดหรือคำให้การของผู้ที่ถูกทำร้าย มาสรุปเป็นรายงานและดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องโดยเร็ว

โดยในวันนี้ 3 ต.ค.65 เวลาประมาณ 20.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ฯ ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ พม. และ NGOs พร้อมชุดปฏิบัติการสืบสวนสอบสวน ศพดส.ตร. และเจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐาน เพื่อไปตรวจสอบเหตุการณ์ในมูลนิธิคุ้มครองเด็ก บ้านครูยุ่น จ.สมุทรสงคราม

โดยกำชับให้เร่งเก็บพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ และย้ายเด็กที่ถูกกระทำรุนแรง ไปให้ความคุ้มครองทุกคน โดยจะนำเข้าสู่กระบวนการคัดแยกเหยื่อ ต่อหน้าสหวิชาชีพ

ทั้งนี้จากการตรวจสอบเบื้องต้น ทราบว่า ที่มูลนิธิแห่งนี้ มีเด็กอยู่ในความดูแลของมูลนิธิประมาณ 54 คน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ พมจ.สมุทรสงคราม ได้เข้าช่วยเหลือเด็กที่ถูกทำร้ายออกมา จนขณะนี้เหลือเด็กที่ยังพักอาศัยอยู่ในมูลนิธิเพียง จำนวน 21 คน

ซึ่งจากการสอบถามเด็กให้การว่า ถูกทำร้ายจริง โดยนายมนตรี สินทวิชัยหรือครูยุ่น อายุ 54 ปี เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก (บ้านครูยุ่น) ได้ทำร้ายเฆี่ยนตี ด่าทอ และ อ้างว่าทำไปเพราะเด็กมีพฤติกรรมยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด มีการนำยาเสพติดมาใช้เสพในมูลนิธิ และบางคนชักชวนเด็กเล็กที่ว่ายน้ำไม่เป็น ลงเรือพายเรือเล่น จึงได้มีการเฆี่ยนตีเพื่อให้หลาบจำ

นอกจากการทำร้ายร่างกายแล้วการสอบสวนยังพบว่าที่มูลนิธิแห่งนี้ ยังมีพฤติการณ์ในการจ้างแรงงานเด็กต่ำกว่าสิบห้าปี ทำงานที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งภายใน จ.สมุทรสงคราม โดยเด็กจะได้รับค่าจ้างวันละ 30 บาท เป็นค่าตอบแทน แต่ไม่พบว่ามีการบังคับเฆี่ยนตีหากไม่ทำงาน ซึ่งมีเด็กบางส่วนทนพฤติกรรมของครูยุ่นไม่ไหว ได้หลบหนีออกจากมูลนิธิไปแล้ว

โดยตำรวจ จะดำเนินคดีกับครูยุ่น ผู้ต้องหา โดยกล่าวหาว่า ทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ และใช้แรงงานเด็ก ซึ่งใช้เวลาในการสอบสวนกว่า 6 ชั่วโมงซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้ประกันตัวโดยไม่จำเป็นต้องใช้หลักทรัพย์เนื่องจากไม่พบพฤติกรรมหลบหนี

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ได้เดินทางมาติดตามความคืบหน้าในการทำสำนวนคดีพร้อมเน้นย้ำให้ เจ้าหน้าที่ทำสำนวนด้วยความรัดกุมโดยเฉพาะประเด็นที่ตกเป็นข้อสงสัยของสังคม

ขบวนการลักลอบตัดไม้พะยูง และได้ลำเลียงไม้พะยูงออกจากป่าสงวนแห่งชาติ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 2 พ.ย. 2565 ตั้งแต่เวลา 22.40 น. ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 3 พ.ย. 2565 เวลา 10.30 น. นายพัชรพล ชาหว้า หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ อด. 2 (หนองวัวซอ) ได้รับแจ้งจากสายข่าวว่ามีขบวนการลักลอบตัดไม้พะยูง และได้ลำเลียงไม้พะยูงออกจากป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่า อด.2 (หนองวัวซอ) ได้ซุ่มรอกระทั่งเวลา 22.40 น.พบรถจักรยานยนต์พ่วงข้างบรรทุกไม้จำนวนหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงได้ขอเข้าตรวจสอบ พบนายคมสันต์ โคตรภักดี เป็นผู้ขับขี่ ซึ่งภายในรถตรวจสอบพบไม้พะยูงจำนวน 7 ท่อน จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ และทำการจับกุม นายคมสันต์ฯ พร้อมของกลางไม้พะยูง จำนวน 7 ท่อน และของกลางที่ใช้ในการกระทำความผิด ต่อมานายคมสันต์ฯ ได้ให้การว่า จะนำไม้พะยูงดังกล่าวไปขายให้นายยนต์ (ไม่ทราบนามสกุล)ซึ่งเป็นราษฏร บ้านกุดน้ำใส จึงได้ขยายผลติดตามผู้กระทำความผิดและต่อมาคณะเจ้าหน้าที่จึงได้ประสานงานฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ปทส. เข้าตรวจสอบพื้นที่บริเวณดังกล่าว พบไม้พะยูงและไม้แปรรูปอื่นๆ ซุกซ่อนไว้ในบริเวณบ้าน คณะเจ้าหน้าที่จึงได้อายัดไม้ทั้งหมดเอาไว้ตรวจสอบ ต่อเนื่องมาเช้าวันที่ 3 พ.ย. 2565 จึงได้เข้าทำการตรวจสอบการได้มาของไม้อีกครั้ง ผลปรากฎว่าไม้พะยูงทั้งหมดไม่มีเอกสารการได้มาโดยชอบมายืนยันกับคณะเจ้าหน้าที่ จึงได้ดำเนินการตรวจยึดทั้งหมด จำนวน 105 ท่อน ปริมาตร 0.697 ลบ.ม. ส่วนไม้แปรรูปอื่น ๆ เช่น ไม้ประดู่ และไม้กระยาเลย คณะเจ้าหน้าที่ได้ทำการอายัดไว้เพื่อตรวจสอบ ทั้งนี้ได้ดำเนินการบันทึกจับกุมไม้พะยูงดังกล่าว เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ผลการดำเนินงานทางคดีจักได้รายงานในโอกาสต่อไป

surasak008 ผอ.ข่าว ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

รร.นรต.เป็นเจ้าภาพจัดพิธีมอบเครื่องหมายเชิดชูเกียรติเข็มแม่นปืนกิตติมศักดิ์

รร.นรต.เป็นเจ้าภาพจัดพิธีมอบเครื่องหมายเชิดชูเกียรติเข็มแม่นปืนกิตติมศักดิ์ (เหรียญทอง) ของ รร.นรต.ให้แด่ รอง ผบ.ตร.และผู้ช่วย ผบ.ตร. โดยมี
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.เป็นประธานในพิธี
ณ ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 ตร.

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ ผบ.ตร.พร้อมด้วย นายชัชชาติ ผู้ว่าฯ กทม.ร่วมกันหารือ วางมาตรการป้องกันอาชญากรรมและเตรียมพร้อมการประชุมเอเปค 2022

เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมมาตรการความร่วมมือแนวทางป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ยาเสพติด และปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยมีวาระสำคัญที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรการความปลอดภัย การอำนวยความสะดวกการจราจร เตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ เอเปค 2022 นอกจากนี้ จะมีการหารือเกี่ยวกับปัญหายาเสพติดในชุมชน และแนวทางการป้องกันการเกิดเหตุอาชญากรรม

นายชัชชาติ กล่าวว่า จากการหารือร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อหาแนวทางการทำงานร่วมกัน จะเน้นความร่วมมือ 4 ด้าน คือ

1.Smart Safety Zone หรือพื้นที่ปลอดภัย โดยจะมีการขยายพื้นที่ปลอดภัยให้มากขึ้น โดยจะเพิ่มป้ายบอกทาง กล้องวงจรปิด เพื่อให้ครอบคลุมจุดเสี่ยงในพื้นที่ โดยปัจจุบัน กรุงเทพมหานคร มีกล้องวงจรปิดกว่า 60,000 ตัว แต่จะมีการบูรณาการร่วมกับตำรวจ เพื่อให้ครอบคลุมมากขึ้น

2.คณะทำงานที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด กทม.จะรับผิดชอบในเรื่องการบำบัด การดูแลผู้ป่วย และข้อมูลในชุมชน ส่วนทางตำรวจก็มีการข่าว มีการปราบปรามจับกุม จะตั้งคณะทำงานร่วมกันหาชุมชนตัวอย่างในแต่ละเขต พัฒนา และนำชุมชนตัวอย่างในการต่อต้านยาเสพติด ปรับผู้เสพให้เป็นผู้ป่วยและทำการรักษา จะมีการดำเนินการขยายผลให้ครบทุกเขต

3.คณะทำงานด้านการจราจร มี 3 ส่วน คือ 1.ด้านความปลอดภัยจราจร 2.จราจรติดขัด และ 3.การนำเทคโนโลยีมาใช้ระบบ ITMF โดยทางตำรวจและ กทม. จะช่วยกันเสนอให้รัฐบาลช่วยดูในเรื่องงบประมาณ เพื่อดูแลเรื่องการบริหารทรัพยากร กทม. ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด 4.ตั้งคณะทำงานดูแลโซนนิ่งของสถานบริการ เพราะปัจจุบันกฎหมายโซนนิ่ง เป็นกฎหมายเก่า โดยจะร่วมกันศึกษาเพื่อเสนอมหาดไทยพิจารณาต่อไป

นายชัชชาติฯ กล่าวต่อว่า มีเรื่องเร่งด่วน 3 เรื่องหลักดังนี้

1.การประชุมเอเปค เนื่องจาก กทม. เป็นเจ้าของสถานที่ต้องดูการบริหารจัดการพื้นที่สวนเบญจกิติ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาใช้งาน การอบรมเจ้าหน้าที่ กทม. ในการช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และสนับสนุนกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม

2.การอบรมนักเรียนเกี่ยวกับ Active Shooter ซึ่งทางตำรวจได้ทำคลิปสอนเด็กนักเรียน หากมีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้น ซึ่งจะขยายผลไปถึงกรณีศูนย์เด็กเล็ก และการให้ความรู้เรื่อง CPR

3.คณะทำงานปัญหาด้านการจราจรและการฝ่าฝืนการจราจรต่าง ๆ มีการเริ่มในเดือนนี้ เพื่อให้การจราจรดีขึ้น

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า ตำรวจจะมีการจัดทำแผนเผชิญเหตุ ในการเตรียมการป้องกันเหตุอาชญากรรม โดยต้องขอความร่วมมือจากพนักงานเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร เพื่อช่วยเป็นหูเป็นตา ขณะที่ตำรวจจะมีส่วนช่วยสนับสนุนเกี่ยวกับการจัดทำระบบระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งจะมีการวางมาตรการร่วมกันเรื่องกล้องวงจรปิดและการเชื่อมโยงกล้องวงจรปิด ข้อสรุปการประชุมวันนี้จะทำให้การทำงานได้ดียิ่งขึ้น จะมีการจัดทำแผนในการขับเคลื่อนเรื่องการแก้ไขปัญหายาเสพติด สถานบำบัด สถานฟื้นฟู ต้องมีการเพิ่มเติมมากขึ้น ในส่วนของด้านการจราจรก็เป็นเรื่องสำคัญ

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมรองรับการประชุมเอเปค เบื้องต้น อาจจะต้องมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มอีกกว่า 100 ตัว เพื่อให้ครอบคลุมในพื้นที่ โดยทุกหน่วยงาน ได้ซักซ้อมแผนเผชิญเหตุย่อยครบแล้ว 6 ครั้ง เหลือซักซ้อมใหญ่ในวันที่ 6 และ 12 พฤศจิกายน อาจจะขอความร่วมมือประชาชน ซึ่งจะมีการซักซ้อม เตรียมความพร้อมขบวนเส้นทางของผู้นำที่จะมาร่วมประชุมโดยจะมีการซักซ้อมในช่วงกลางคืน ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายนเป็นต้นไป โดยจะซักซ้อมเสมือนจริง ทั้งเรื่องดับเพลิงและแผนต่อต้านการก่อการร้ายที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า การติดตามด้านการข่าวกลุ่มที่อาจจะเคลื่อนไหวในการประชุมเอเปค ตำรวจมีการติดตามด้านการข่าว และขอความร่วมมือกลุ่มที่จะแสดงออก ให้คำนึงถึงประเทศชาติ ความเห็นต่างก็อาจจะต้องเก็บไว้บ้าง การเป็นเจ้าภาพของประเทศไทยเป็นเจ้าภาพร่วมกันของประชาชน ถ้าทุกอย่างผ่านไปด้วยดีก็เป็นหน้าตาของประเทศไทย จึงอยากขอความร่วมมือทุกภาคส่วนให้ช่วยกัน

เมื่อถามถึงการประชุมมีการหารือเรื่องการปราบปราบบ่อนการพนันหรือไม่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่มี ตั้งแต่รับตำแหน่งมาเมื่อ 1 ตุลาคม ยืนยันว่าต้องไปตรวจสอบให้ดี ยืนยันว่าไม่มี ไม่ได้คุยกันเรื่องนี้เลย

ตำรวจสนธิกำลังบุกเข้า ตรวจค้น สถานบันเทิงของ กลุ่มนายทุนต่างชาติและนอมินี หวังกวาดล้างอาวุธปืน สารเสพติด

วันนี้ 1 พ.ย.65 เวลา 00.01 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร.(ปป.) และพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. (สส.) พร้อมชุดปฏิบัติการ บช.น. ,บช.สอท. ,บช.ปส. , บช.สตม. พิสูจน์หลักฐาน และ บช.ทท.กว่า 200 นาย เข้าตรวจค้น ผับ บาร์ สถานบริการ ซึ่งเชื่อว่าเป็นของนายทุนต่างชาติ และนอมินีพร้อมกัน 6 จุด ทั่วกทม. มีพื้นที่ มักกะสัน. ได้แก่
K Bangkok / Space + ส่วนพื้นที่ห้วยขวาง มี 3 จุด คือ Hollywood /Brooz / และ Asgard พื้นที่สุดท้ายคือ
คลองตัน คือBaby Face

โดยมีพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุวิมล พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติทั้งสายปราบปรามและสืบสวน ลงไปติดตามประเมินความคืบหน้าในการบุกเข้าค้นสถานประกอบการทั้ง 6 แห่ง

โดยจุดแรกที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นคือ
เบบี้เฟซ ซึ่งอยู่ย่านเอกมัย เป็นผับขนาดใหญ่ ซึ่งระหว่างที่เจ้าหน้าที่แสดงตัวเข้าตรวจค้นยังพบว่ามีนักท่องเที่ยวเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน เมื่อเจ้าหน้าที่เปิดไฟและขอเข้าตรวจค้น เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพิสูจน์หลักฐาน ได้นำชุดตรวจสารเสพติดออกมาวางโดยให้นักท่องเที่ยวเข้ามาแสดงตนและรับชุดตรวจสารเสพติดไปตรวจ

จากนั้นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เดินทางต่อไปยัง แอสการ์ด บาร์โฮส อันดับหนึ่งซึ่งอยู่ย่าน เหม่งจ๋าย ก็ยังพบนักท่องเที่ยวเต้นรำกันอย่างสนุกสนานเนื่องจากคืนนี้เป็นคืนวันฮาโลวีน

โดยผลการตรวจค้นเบื้องต้นพบมีนักท่องเที่ยวปัสสาวะเป็นสีม่วงเพียงสองถึงสามรายต่อแห่งเท่านั้น ทั้งนี้รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติย้ำว่านี่เป็นการเตือนครั้งที่หนึ่งหากยังมีการฝ่าฝืนอีกท้องที่ จะต้องร่วมรับผิดชอบปล่อยประละเลย และเจ้าของสถานประกอบการ ก็เสี่ยงที่จะต้องถูกสั่งปิดห้าปี

Design a site like this with WordPress.com
Get started