กองปราบฯ ตะครุบมือปืนลำดับที่ 117 ยิงนักธุรกิจแคนาดา ใน จภูเก็ต หนีคดีนาน 13 ปีตามปฏิทินมือปืนรับจ้าง ตร

เมื่อวันที่ 30 ต.ค 65 ที่กองบังคับการปราบปราม บก ป พล.ต.ท จิรภพ ภูริเดช ผบช .ก. พล.ต.ต มนตรี เทศขัน ร่วมกันแถลงผลการจับกุม นายสำราญ สีเมฆ หรือ แบงค์ หรือ ลาน อายุ 39 ปี มือปืนลำดับที่ 117 ในปฏิทินมือปืนรับจ้างของสำนักงานตำรวจแห่งชาติปี 2564 ตามหมายจับศาลจังหวัดภูเก็ตที่ จ 176/2552 ลงวันที่ 5 มีนาคม 2552 ข้อหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ได้ที่บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่หมู่ที่ 12 ต หินเหล็กไฟ อ หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 ก.พ 2552 ได้มีเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิง นาย ฟรานซิส อเล็กซ์ บีโกนิมี อายุ 34 ปี ผู้บริหารโครงการพาโนราม่า คอนโดมิเนียม ป่าตอง เสียชีวิต บริเวณหน้าบ้านพักใน ต.ป่าตอง อ.กระทู้ จ.ภูเก็ต ต่อมาตำรวจกองปราบ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 8 ที่คลายคดีโดยพบปม สาเหตุมาจากพูดตายไปยืมเงินจากนางโกห์ฟัน ลิ ฟัน หรือ ไดอานา ชาวสิงคโปร์ หลายล้านบาท แต่ไม่ใช้คืน ทำให้นางโกห์ฟันโกรธแค้นและไปจ้างวานให้นางเนตรนภา วิทยธรรมโสภณ อายุ 37 ปี ช่วยจัดหามือปืนไปสังหารผู้ตาย จึงรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องและติดตามจับกุมได้ 5 คน แต่คงเหลือนายสำราญ ซึ่งเป็นคนจัดหาที่พักให้กับกลุ่มมือปืน และขี่ จยย ให้กับมือปืนก่อเหตุที่ยังลอยนวล กระทั่งตำรวจกองปราบ ได้เบาะแสผู้ต้องหารายนี้แอบกบด่านอยู่กับเพื่อนเก่าใน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลจังหวัดหัวหินออกหมายค้นและจับกุมตัวไว้ได้ก่อนควบคุมตัวส่ง สภ ป่าตอง จ.ภูเก็ต ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
Mr l e k เรียบเรียงรายงาน

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ฯ ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญข้าราชการตำรวจในสังกัด สภ.ดงขุยและให้โอวาทแก่กำลังพลเพื่อเป็นแนวทางในการทำงาน

วันนี้ (31 ต.ค.65) เวลา 14.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เป็นผู้แทน พร้อมด้วย พล.ต.ต.ภพพล จักกะพาก ผบก.อก.บช.ทท. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เดินทางมาตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญข้าราชการตำรวจในสังกัด สภ.ดงขุย จว.เพชรบูรณ์ โดยมี พล.ต.ต.สุรชาติ จึงดำรงกิจ รอง ผบช.ภ.6, พ.ต.อ.จาตุรนต์ บุษปะเกศ รอง ผบก.อก.ภ.6, พ.ต.อ. ทรงพล สังข์เกษม รอง ผบก.ภ.จว.พิษณุโลก และ พ.ต.ท.พัชรวัฒน์ ลี้รัตนศิริ รรท.ผกก. สภ.ดงขุย จ.เพชรบูรณ์ พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจในสังกัดและประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ

โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ฯ ได้กล่าวให้โอวาทแก่กำลังพลเพื่อเป็นแนวทางในการทำงานตามนโยบายของ ผบ.ตร. ดังต่อไปนี้

1.ผบ.ตร. ได้ฝากให้ข้าราชการตำรวจทุกนายปฏิบัติหน้าที่ตามนโยบายของ ผบ.ตร. ตามวิสัยทัศน์ที่ว่า “เป็นตำรวจมืออาชีพ ทำงานเชิงรุก เพื่อความสงบสุขของประชาชน” 2.การเป็นตำรวจมืออาชีพนั้น จะต้องแม่นยำกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ต้องเชี่ยวชาญยุทธวิธีและเทคโนโลยี ต้องมีบุคลิกภาพและทักษะการสื่อสารที่ดี และมีจริยธรรมประจำใจ 3.การทำงานเชิงรุกนั้น ต้องรู้จักพบปะประชาชนและเพิ่มช่องทางการรับฟังปัญหา ต้องแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ต้องเตรียมการและวางแผนก่อนเกิดเหตุ และถอดบทเรียนและสร้างต้นแบบการปฏิบัติ 4.การทำงานต้องมุ่งผลลัพธ์สุดท้ายเพื่อความสงบสุขของประชาชน โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง สร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน บังคับใช้กฎหมายด้วยความเป็นธรรมอย่างรวดเร็ว 5.ถือปฏิบัติตาม 10 นโยบายการบริหารของ ผบ.ตร. โดยเคร่งครัด ได้แก่ พิทักษ์ เทิดทูนและเทิดพระเกียรติต่อสถาบันพระมหากษัตริย์, เสริมสร้างภาพลักษณ์ด้วยการยกระดับการบริการประชาชนของสถานีตำรวจ, การแก้ไขปัญหาอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนและขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล, แก้ไขปัญหายาเสพติดทุกมิติอย่างเป็นระบบ โดยบูรณาการกับทุกภาคส่วน, เพิ่มการมีส่วนร่วมระหว่างตำรวจกับประชาชนโดยเปิดช่องทางรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากประชาชน, พัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ข้าราชการตำรวจ, พัฒนาองค์ความรู้ข้าราชการตำรวจทุกสายงาน โดยมุ่งเน้นการฝึกอบรมทบทวนยุทธวิธีอย่างต่อเนื่อง, พัฒนาระบบฐานข้อมูลและนำเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยมาใช้, ปรับปรุงระเบียบกฎหมายให้สอดคล้องกับการทำงานของตำรวจให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเสริมสร้างระเบียบวินัย ควบคุมดูแลความประพฤติ และป้องกันมิให้ข้าราชการตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทุจริต

บิ๊กเด่น เตรียมปัดฝุ่นระเบียบปืนสวัสดิการ ตั้ง”รองต่อ”เป็นหัวหน้าคณะทำงาน เตรียมพิจารณาขยายเวลาครอบครองปืน จาก5 ปี เป็น 10-15 ปี

หลังพบช่องโหว่ข้าราชการบางหน่วยใช้สิทธินำใบ ป.3 วนซื้อปืนมาจำหน่ายนอกระบบ และทางออนไลน์ ก่อนเซ็นสลักหลังรอวันโอน เตรียมนำเทคโนโลยี ติด QR Code มาใช้เพื่อตรวจสอบและติดตามปืนหลวง

เมื่อวันที่ 30 ต.ค.พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีที่ก่อนหน้านี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติเตรียมพิจารณาระงับ “โครงการปืนสวัสดิการตำรวจ” อย่างไม่มีกำหนด หลังพบข้าราชการบางหน่วยนำใบ ป.3 ไปวนซื้อปืนมาจำหน่ายนอกระบบ และทางออนไลน์ จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในกลุ่มตำรวจชั้นผู้น้อย ว่า
ทางพล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้แต่งตั้งตนเป็นหัวหน้าคณะทำงานแก้ไขเรื่องอาวุธปืนของหลวงเนื่องจากพบปัญหามีอาวุธปืนถูกขโมยไปและนำไปจำหน่าย โดยแนวทางเบื้องต้นได้นำต้นแบบการตรวจเชคสต็อคหรือเชคจำนวนอาวุธปืนของหน่วยปฎิบัติการพิเศษหรือคอมมานโดมาใช้ ซึ่งใช้คิวอาร์โค๊ดหรือบาร์โค๊ดที่ติดไว้ที่อาวุธปืนมาใช้ในการนับจำนวน เพราะจะง่ายต่อการตรวจสอบ และง่ายต่อเจ้าหน้าที่งานธุรการถึงเวลาก็นำอุปกรณ์หรือมือถือมาสแกรนก็จะเข้าไปที่แอพพลิเคชั้นที่ได้จัดทำไว้ โดยตรงนี้จะเป็นหน้าที่ของทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ จะต้องเร่งดำเนินการ อย่างไรก็ตามระบบนี้ในกองทัพสหรัฐอเมริกาก็ได้มีการนำมาใช้เรียกว่าสติกเกอร์มิลิเทอรรี่เกรด หรือแม้แต่การเชคสต็อคอะไหล่เครื่องบินก็ใช้ระบบนี้

โดยในคิวอาร์โค๊ดดังกล่าว จะระบุรุ่น,ซีรีย์อะไร เข้ามาประจำการณ์ในสารระบบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อไหร่ ใครเบิกใช้-คืนเมื่อไหร่ ซึ่งในส่วนนี้จะมีระบุง่ายต่อการติดตาม อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งจากการที่ตนไปตรวจราชการในพื้นที่ต่างๆและพบคืออาวุธปืนค่อนข้างเก่า และเป็นภาระให้จ่ากองที่คุมอาวุธเต็มคลังไปหมด ขณะเดียวกันอาวุธปืนใหม่ก็ไม่ได้เบิกอาทิ ปืนเอ็มโฟร์ยังอยู่ในถุงในกล่องอยู่ อย่างไรก็ดีอยากให้เข้าใจว่าการจัดทำโครงการปืนสวัสดิการตำรวจ เพราะตอนนั้นเราไม่มีปืนให้ตำรวจชั้นผู้น้อยได้ใช้ ไม่สามารถที่จะแจกจ่าย ให้กับตำรวจมาที่ปฎิบัติหน้าที่ได้ แต่จากดำเนินโครงการมา 2-3 ปี มีการจัดหาปืนมาให้ตำรวจมาใช้ในการปฎิบัติงาน

สิ่งสำคัญ จะทำอย่างไรให้ข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อยเบิกปืนหลวงมาใช้ในการปฏิบัติงาน ส่วนตัวตนนั้นใช้ปืนหลวงในการปฏิบัติงาน ทั้งการซ้อมการยิง ตลอดจนการถวายอารักขา ถวายความปลอดภัย โดยเหตุที่ปืนผ่านการทดสอบมาทดสอบมาแล้ว ก่อนที่จะมีการจัดซื้อ ซึ่งปัจจุบันมีสองยี่ห้อขนาด 9 มม.เหมือนกัน ถามว่าทำไมต้องเป็นขนาด9มม. เพราะในต่างประเทศมีการทำวิจัยเวลาสายตรวจออกปฎิบัติหน้าที่หากประสบเหตุแล้วกระสุนหมดสามารถที่จะหยิบยืมจากคู่บัดดี้ได้ ง่ายต่อการช่วยเหลือกัน ซึ่งในสหรัฐอเมริกาใช้ปินชนิดเดียวกันยี่ห้อเดียวกัน ผ่านการคัดเลือกโดยคณะกรรมการระดับชาติและส่งผ่านมายังกองทัพหรือหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย อย่างไรก็ตามส่วนตัวเข้าใจว่าสิ่งที่ตำรวจไม่อยากเบิกปินหลวงมาใช้เพราะระเบียบต่างๆค่อนข้างยุ่งยาก ทำให้ตัวตำรวจก็ไม่อยากนำมาใช้ เกิดช่องว่างปืนอยู่ในคลังถูกนำไปขายแปรสภาพ ซึ่งเรื่องนี้ทางผบ.ตร.ตั้งตนขึ้นมาเพื่อที่แก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทาง รวมทั้งระเบียบต่างๆ เพื่อที่ให้เด็กกล้าใช้ปืนหลวงมากขึ้น

แนวทางใหม่ในอนาคตตำรวจชั้นผู้น้อยสามารถเบิกปินจากคลังได้เลย โดยที่ระเบียบไม่ยุ่งยาก แค่สแกรนคิวอาร์โค๊ดลงในระบบ จากนั้นก็นำมาคืนตามกรอบเวลาอาจจะ 15 วันหรือ30 วัน แต่อาวุธปืนคุณต้องอยู่ นอกจากนี้ในรูปแบบของการให้ยืม อาวุธปืนแต่ละประเภทมีอายุการใช้งาน แต่ละปีมีรุ่นใหม่ๆเข้ามา โดยในกรณีที่ปืนหลวงหมดสภาพตามเวลาทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็จะทำจำหน่ายในราคาที่ถูก ตามค่าเสื่อมสภาพ ตามความเหมาะสม และเอารุ่นใหม่เข้ามา ซึ่งใครจะมีสิทธิซื้อก็ตำรวจได้มีโอกาสซื้อในราคาสวัสดิการ แต่ไม่ทำโครงการปืนสวัสดิการ เพราะปัญหาที่ผ่านมาคือข้าราชการบางหน่วยนำใบ ป.3 ไปวนซื้อปืนมาจำหน่ายนอกระบบ และทางออนไลน์ โดยไม่ไปออกใบป.4 ซึ่งตรงนี้เรากำลังตรวจสอบ โดยข้อมูลตรงนี้ต้องขอบคุณทางพล.ต.อ.สุชาติ ธีรสวัสดิ์ อดีตรองผบ.ตร. ได้ให้ข้อมูลไว้ถึงทราบแผนประทุษกรรมนี้ โดยหลังจากนี้ทางคณะกรรมการจะต้องมาพิจารณาและปิดช่องโหว่ของปืนสวัสดิการทั้งหมด โดยอาจจะขยายเวลาการครอบครองจาก 5 ปีโอนได้ เป็น 15 ปีโอนได้ หรืออาจจะไม่ให้โอนตลอดชีวิต เพื่อที่กันเอาปืนสวัสดิการไปขาย ทำนองซื้อถูกขายแพง รวมทั้งเรื่องของการปรับระเบียบการเบิกอาวุธปืน,การชดใช้สิ่งของหลวง,การตั้งกรรมการเวลาปืนชำรุดเสียหาย ทั้งหมดนี้เพื่อให้ข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อยมีโอกาสและได้ใช้ปืนที่ดี เพราะปืนในคลังของเราดีมีคุณภาพไม่อยากให้ปืนคงคลัง รวมทั้งมีการสร้างเครื่องโหลดกระสุนไว้ อีกหน่อยตำรวจทุกคนสามารถซ้อมปืนได้เพื่อให้เกิดความคุ้นชิน

ในส่วนกรณีที่หลายคนเป็นห่วงว่าหากยกเลิกโครงการปืนสวัสดิการตำรวจ จะกระทบกับตำรวจที่จบใหม่ ในการจัดหาอาวุธปืน ต้องซื้อปืนในราคาแพงขึ้น ในส่วนนี้ชี้แจงตั้งคำถามว่า ตำรวจชั้นผู้น้อยจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อปืนในราคาที่แพง ปืนสวัสดิการที่จัดเตรียมมาให้ถือเป็นสิ่งดีที่ไม่ผลักภาระ ซึ่งการจัดระบบครั้วนี้ไม่เป็นการสร้างภาระให้ตำรวจชั้นผู้น้อย เวลาปฎิบัติหน้าที่ก็มาเบิกปืนหลวงไปใช้ก็เหมือนเบิกไปประจำกาย เพราะตำรวจบ้านเราทำงาน 24 ชม. แต่ทุกๆ15 วันเวลานับจำนวนต้องมีมาแสดง อย่างไรก็ตามหากโครงการนี้เป็นรูปร่างอนาคตหากมีการจัดซื้อปืนจะมีการยิงเลเซอร์ในตัวปืนจากโรงงานเลยเพื่อป้องกันการขูดลบ และเวลาปืนตกไปอยู่นอกระบบก็จะได้ทราบ และผู้ที่ได้ครอบครองก็อาจจะเข้าข่ายรับของโจรทำให้ไม่มีใครอยากได้

จากนี้การครอบครองปืนที่เป็นปืนส่วนตัวในโครงการปืนสวัสดิการต้องทำให้รัดกุม ปัญหาตอนนี้ที่พบคือการเวียนใบป3 และการครอบครองอาวุธปืน 5 ปีแล้วขายเลย เช่นซื้อปืนสวัสดิการ 2 หมื่น แต่ปืนอยู่กับบุคคลอื่นแต่คุณสลักหลังทิ้งไว้พอ5 ปีถึงโอน ซึ่งตรงนี้ต้องมา กำหนดแนวทางการครอบครอง อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่าแนวทางนี้จะไม่กระทบในส่วนขวัญกำลังใจของผู้ใต้บังคับบัญชารวมถึงผู้ปฏิบัติงาน ที่ผ่านมา ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการจัดหาอาวุธปืนยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมาให้กับกำลังพล ซึ่งแนวทางนี้จะเป็นการป้องปรามตัดช่องโอกาสไม่ให้มีผู้แสวงหาประโยชน์จากปืนสวัสดิการ และตัดช่องโอกาสไม่ให้เกิดปัญหาปืนหลวงหาย

ไฟลุกทั้งโรงพัก ตำรวจลาดยาวร้อง บิ๊กต่อ ตร. ติดยาคลั่งปืนลั่น ปาร์ตี้คา สภ อมเงินตู้แดง ปล่อยค้าประเวณีซ้ำ

นครสวรรค์ ผู้กำกับการลาดยาว ภูธรจังหวัดนครสวรรค์ยันเสียงแข็งไม่มี ตร เสพยา คุ้มคลั่งเหนี่ยวไกปืนเล่นจนปืนลั่นบ่อยบ่อย หลังตำรวจร้องถึง บิ๊กต่อ รองผบ. ตร แถมระบุจัดปาร์ตี้คาห้องสายตรวจทุกค่ำ แก้มิเตอร์โกงค่าไฟโอมเงินตู้แดง ปล่อยค้าประเวณีซ้ำ

วันนี้ 29 ต.ค 65 ตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ได้เผยแพร่เอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ ระบุเนื้อหาว่า ตามที่ปรากฏตามสื่อสังคมออนไลน์ตำรวจโวย เพื่อนตำรวจติดยา แฉซ้ำจัดปาร์ตี้บนโรงพัก พันตำรวจโทโกงมิเตอร์ไฟนั้นตำรวจสอบเบื้องต้นแล้วพบว่ากรณีนี้เกิดขึ้น สภ ลาดยาว จ นครสวรรค์

ตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ขอชี้แจง ประเด็นกรณีพาดพิงมีข่าวข้าราชการตำรวจ ทำหน้าที่สายตรวจติดยาเสพติดนั้น ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด ทั้งนี้เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2565 ทางสถานีตำรวจภูธรรลาดยาวได้ทำการตรวจปัสสาวะข้าราชการตำรวจในสังกัดทุกนายตามนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แล้วไม่พบข้าราชการตำรวจนายใดมีผลเป็นบวก

ส่วนประเด็นอื่นๆ พล ต.ต ชาญวิทย์ กนกนาก ผบก ภ นครสวรรค์ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วรายงานผลภายใน 5 วันซึ่งผลการตรวจสอบจะได้แจ้งในลำดับต่อไป

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 12 ต.ค 65 ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ ลาดยาวหลายนาย ได้ทำบันทึกข้อความส่วนราชการ กรณีข้าราชการตำรวจติดยาเสพติดและทุจริตต่อการปฏิบัติหน้าที่ ร้องเรียนต่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์สุวิมล รองผบ. ตรระบุเนื้อหาว่า ด้วยตำรวจ สภ ลาดยาวปฏิบัติหน้าที่ในสายงานป้องกันปราบปรามมีเรื่องร้องเรียนและร้องขอความเป็นธรรม
เนื่องจากมีข้าราชการตำรวจในสังกัดติดยาเสพติด ยาบ้า แล้วปฏิบัติหน้าที่สายตรวจ เวลาเกิดอาการคุ้มคลั่งยาจะเอาปืนออกมาเหนี่ยวไกเล่น เกิดปืนลั่นบ่อยครั้ง อันตรายมาก ที่ห้องปฏิบัติการสายตรวจ สภ ลาดยาว เกิดเหตุแบบนี้บ่อยครั้ง โดยเฉพาะช่วงเย็นที่ผู้บังคับบัญชา นาย กลับบ้านแล้ว

บันทึกข้อความดังกล่าวระบุอีกว่า ห้อง ปฏิบัติการสายตรวจเหมือนไม่ใช่ที่ทำงาน เป็นห้องเฮฮาปาร์ตี้ มีการเอาสุรามาดื่มทุกเย็นค่ำ ใครไม่ดื่มต้องไปหาที่อื่นอยู่ เมาแล้วเสียงดัง ที่ห้องติดเครื่องปรับอากาศ 2 ตัวเปิด 24 ชั่วโมง แต่มีการสั่งให้แก้ไขมิเตอร์ไฟฟ้า ให้จ่ายไม่เกิน 1,000 บาท มีนายตำรวจทุจริตมาเกิน 4 ปี สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ว่าโกงค่าไฟฟ้ามาตลอด

นอกจากนี้ เงินค่าตรวจตู้แดงจำนวนหลายหมื่นบาท ข้าราชการตำรวจชั้นประทวนออกตรวจทั้งคืนจำนวนหลาย 10 ตู้ แต่จ่ายให้ผู้ปฏิบัติแค่ 500 ที่เหลือนายเอาไปหมด นายบางคนเอาตู้แดงส่วนตัวมาติดแล้วให้สายตรวจไปเซ็นแล้วก็เก็บตังค์เข้ากระเป๋า ทั้งยังไปเก็บเงินตามตู้ยามสายตรวจอีกเดือนละ 2,000 บาทต่อ 1 ตู้ยามสายตรวจตำบล

ขณะที่การตรวจสแกน QR code co de ตาม application police 4.0 ระดับสารวัตร ขึ้นไปไม่ค่อยออกตรวจ แต่ซื้อโทรศัพท์ใหม่คนละ 1 เครื่อง แล้วฝากให้สายตรวจจักรยานยนต์ไปสแกนแทนความยากลำบากตกที่ผู้ปฏิบัติ ต้องไปสแกนแทนนายแล้วมันจะได้ผลจากการปฏิบัติอะไร
รวมทั้งมีการปล่อยให้ร้านอาหารและสถานบริการค้าประเวณีและมีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีมาขายบริการ จ่ายให้ สภ 3,000 บาท โดยเฉพาะร้าน ที่เดิม หรือร้านเพื่อน ห้ามสายตรวจไปยุ่ง เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 ได้มีฝ่ายปกครอง จากส่วนกลางมาทำการจับกุมข้อหาท้ามนุษย์และมีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีขายบริการ แต่ตำรวจท้องที่มาขอเพิ่มชื่อในบันทึกจับกุมได้แค่ 4 นาย มากกว่านั้นฝ่ายปกครองไม่ยอมให้เพิ่มชื่อ เจ้าของร้านวิ่งเต้นไม่ให้เป็นคดีค้ามนุษย์

ด้าน พ.ต.อ วัฒนกิจ เฉลาประโคน ผกก สภ ลาดยาว จ นครสวรรค์ บอกว่าขณะนี้ได้ทราบเรื่องร้องเรียนดังกล่าวแล้วแต่ยังไม่สะดวกให้สัมภาษณ์แก่ แก่สื่อมวลชน
แต่เบื้องต้นจากการรับตำแหน่งที่ สภ ลาดยาวมาเกือบปี ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2564 ยังไม่เคยทราบข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงปืนหรือพบเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจของ สภ ลาดยาว ที่ติดยาเสพติดหรือยาบ้าตามที่ได้ร้องเรียน และเมื่อล่าสุดวันที่ 12 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมาตนได้ทำการตรวจหาสารเสพติดเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งโรงพัก ผลออกมาไม่พบสารเสพติดแต่อย่างใด

ส่วนในข้อร้องเรียนอื่นๆอีก 5 ข้อนั้น ในเบื้องต้นกำลังเร่งทำการดำเนินการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงทั้งเรื่องของห้องพักสายตรวจ เรื่องของปัญหาเงินตู้แดง และเรื่องอื่นๆตามข้อร้องเรียน ซึ่งน่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วันจะทราบผลและจะได้แถลงข่าวให้สื่อมวลชนและสังคมทราบต่อไป

ผู้สื่อข่าวยังได้ลงพื้นที่สอบถามชาวบ้านที่อยู่ในละแวก สภ ลาดยาว รวมทั้ง อาสากู้ภัยอำเภอลาดยาว บอกว่าเท่าที่ตนเองอยู่ในพื้นที่ยังไม่พบ หรือได้ยินเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงปืน ส่วนเรื่องข้อร้องเรียนอื่นตนเองไม่ทราบและคงปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบกันเอง

พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น. พร้อมด้วย พ.ต.อ.เจษฎา สวยสม รอง ผบก.น.7 แถลงเรื่อง ตร.กก.สส.น 7 ล้อมจับขบวนการค้ายาย่าน เดอะมอลล์บางแค

พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น./รอง โฆษก บช.น. เผยว่ากรณีเพจ Facebook ต่างๆ มีการปรากฏข้อความเกี่ยวกับ การได้ยินเสียงเหตุใช้อาวุธปืนที่บริเวณแยกเดอะมอลล์บางแค เมื่อเวลา 17.20น. ของวันที่ 28 ต.ค.65 นั้น

กองบัญชาการตำรวจนครบาลขอชี้แจงว่าเป็นเหตุสืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่จับกุมและได้ขออนุมัติศาลจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
– เดือน มิ.ย.65 จับคดีจำหน่าย ส่ง สน.ศาลาแดง และขยายผลเครือข่ายเรื่อยมา
– ศาลอนุมัติหมายจับ คดีสมคบฯ 3 ราย ได้แก่ นายชนทัตฯ นายวินิตฯ นายประพัฒน์ฯ
– เข้าตรวจค้น 4 จุด
  1. คอนโดพาร์คแลนด์ (ที่พักชนทัตฯ)
  2. บ้านพุทธมณฑลสาย 1 (ที่พักวินิตฯ)
  3. หมู่บ้านพฤกษา 112 (ที่พักประพัฒน์ฯ)
4. 123/19 หมู่ 5 ซอยทานตะวัน ตำบลมหาสวัสดิ์ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี
– จับกุม ผตห.ตามหมายจับได้ 2 ราย ได้แก่ วินิตฯ และ ประพัฒน์ฯ
– จับกุม ผตห.ขณะตรวจค้นได้ 1 ราย ได้แก่ ปวีณาฯ  (เมียประพัฒน์)
เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.7 ได้ทำการปิดล้อมตรวจค้นแหล่งซุกซ่อนยาเสพติดจำนวน 4 จุด จับกุมผู้ต้องหา 3 คน พร้อมของกลาง   
         1. ยาไอซ์ 17.1 kg.
         2. ยาอีผง 18.3 g.
         3. ยาอีเม็ด 235 เม็ด
         4. ยาไฟฟ์ไฟฟ์ 14 แผง รวม 140 เม็ด
         5. ยา Happy Water 6 ซอง

โดยขณะปิดล้อมตรวจค้นจุดที่ 1 ผู้ต้องหา 1 คน ได้พยายามขับขี่รถยนต์ฮอนด้า HRV สีขาว ทะเบียน 8กส 8407 กทม หลบหนีไปบน ถ.เพชรเกษม เมื่อถึงบริเวณแยกเดอะมอลบางแค แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กทม. ชุดจับกุมเรียกให้รถยนต์คันดังกล่าวหยุด แต่ผู้ต้องหาได้ขับรถพุ่งชนเพื่อเปิดทาง ชนรถประชาชนเสียหาย 5 คัน โดยชุดจับกุมทราบว่าผู้ต้องหามีอาวุธปืน จึงได้พยายามยิงสกัด จากนั้นผู้ต้องหาได้หลบหนีไปทาง ถ.กาญจนาภิเษก จอดทิ้งไว้อยู่บริเวณลานจอด
รถสรีเวช เขตภาษีเจริญ กทม. จึงทำการตรวจยึดรถยนต์คันดังกล่าว ขณะนี้อยู่ระหว่างติดตามเพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พล.ต.ท.ธิติ  แสงสว่าง ผบช.น. ได้เน้นย้ำเพื่อให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนว่า จะมุ่งเน้น การป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ให้กับพี่น้องประชาชน และเมื่อเกิดเหตุแล้วจะเร่งทำการ สืบสวน ติดตามจับกุม คนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็วทุกคดี บช.น. ขอเรียนพี่น้องประชาชนว่า ตำรวจจะคอยดูแลป้องกันปราบปรามเพื่อความสงบสุขของพี่น้องประชาชน พบเห็นหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิด โปรดแจ้งสายด่วน 191 หรือสถานีตำรวจท้องที่

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นำทีมพิสูจน์ทราบเหตุพบศพชายถูกเผาเสียชีวิตพบมีอาการซึมเศร้าสะสมเป็นเวลานาน

จากกรณีเมื่อวันที่ 10 ต.ค.65 ที่ผ่านมา ในพื้นที่ สภ.ประโคนชัย ภ.จว.บุรีรัมย์ ได้รับแจ้งเหตุกรณีพบศพ นายธนทัต จันทร์แก อายุ 23 ปี สภาพศพนอนคว่ำ ถูกไฟเผาไหม้ทั้งตัว บริเวณที่เกิดเหตุไม่พบร่องรอยการต่อสู้ เบื้องต้นไม่ทราบสาเหตุการเสียชีวิต เหตุเกิดที่บริเวณหลังโรงเรียนบ้านแสลงโทน ต.แสลงโทน อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ รายละเอียดปรากฏตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอไปแล้วนั้น

จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.3 พล.ต.ต.รุทธพล เนาวรัตน์ ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ พ.ต.อ.เจตน์สฤษฎิ์ แพ่งศรีสาร ผกก.สภ.ประโคนชัย เร่งดำเนินการตรวจสอบพิสูจน์ทราบสาเหตุการเสียชีวิตจากกรณีดังกล่าวโดยด่วน โดยให้สืบสวนในช่วงเวลาเกิดเหตุโดยละเอียด เนื่องจากเป็นการเสียชีวิตโดยผิดธรรมชาติ จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบรายละเอียดดังนี้
ก่อนเกิดเหตุ ผู้เสียชีวิตเพิ่งเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยพร้อมมารดาเมื่อวันที่ 7 ต.ค.65 หลังจากที่ย้ายไปอยู่ที่ประเทศเยอรมันกว่า 3 ปี จากนั้นได้เดินทางไปเที่ยวที่ เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ก่อนจะกลับบ้านที่ อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 9 ต.ค.65 ที่ผ่านมา ต่อมาในวันเกิดเหตุ ช่วงเย็นได้มีพยานพบเห็นผู้เสียชีวิตมีอาการเหม่อลอย และเห็นผู้ตายถือขวดเครื่องดื่มซึ่งคาดว่าบรรจุน้ำมันที่ผู้เสียชีวิตไปซื้อมาจากปั๊มน้ำมันแบบหยอดเหรียญซึ่งอยู่ใกล้บ้านของผู้เสียชีวิต จากนั้นผู้เสียชีวิตได้เดินไปที่โรงเรียนที่เกิดเหตุเพียงลำพัง ก่อนจะเกิดเหตุพบศพถูกเผาดังกล่าว
เบื้องต้นผลการชันสูตรพลิกศพของผู้ตาย แพทย์ระบุว่า มีร่องรอยถูกไฟไหม้ตลอดช่วงลำตัว และด้านล่างของศพ ไม่พบร่องรอยบาดแผลอื่นใดจากการถูกทำร้ายหรือถูกกระแทกจากของแข็งมีคมและไม่มีคมแต่อย่างใด สาเหตุการตาย เกิดจากไฟไหม้หลอดลมจนขาดอากาศหายใจ คาดว่าผู้ตายจะใช้น้ำมันราดตัวเองในท่านั่ง ก่อนจุดไฟเผาตัวเองจนเสียชีวิต
จากการสืบสวนเพิ่มเติมของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า ผู้เสียชีวิตมีปัญหาการป่วยด้วยอาการซึมเศร้ามาเป็นเวลานาน รวมถึงมีอาการทางจิตเนื่องจากผลข้างเคียงจากการใช้ยาเสพติด ต้องมีการไปปรึกษาแพทย์และทานยารักษาอาการ นอกจากนี้ยังมีปัญหากับภรรยาซึ่งเกิดอาการหึงหวงระหว่างคู่รัก และมีความขัดแย้งในครอบครัวเป็นประจำ เนื่องจากถูกพูดถึงเกี่ยวกับอาการป่วย และถูกตักเตือนในเรื่องของการใช้เงินเป็นจำนวนมาก ประกอบกับผู้เสียชีวิตได้มีการโพสต์ข้อความตัดพ้อเกี่ยวกับชีวิตของตนผ่านเฟซบุ๊ก คาดว่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้เสียชีวิตตัดสินใจกระทำอัตวินิบาตกรรมดังกล่าว
ในวันที่ 28 ต.ค.65 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้เดินทางมายัง สภ.ประโคนชัย ภ.จว.บุรีรัมย์ เพื่อประชุมสรุปผลการสืบสวนกรณีดังกล่าว พร้อมกันนี้ได้เชิญแพทย์ชันสูตร และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน รวมถึงญาติของผู้เสียชีวิตมาร่วมเฝ้าฟังสรุปดังกล่าว เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการสืบสวนหาสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้สิ้นสงสัย และเพื่อให้ญาติของผู้เสียชีวิตได้เกิดความเข้าใจ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเป็นกรณีการเสียชีวิตโดยผิดธรรมชาติ ซึ่งสภาพศพผู้เสียชีวิตถูกเผา ซึ่งจากพฤติการณ์ดังกล่าวมีความจำเป็นจะต้องทำการสืบสวนหาสาเหตุการเสียชีวิตเพื่อทำข้อเท็จจริงให้กระจ่าง จากผลการชันสูตรพลิกศพระบุว่าไม่พบร่องรอยการทำร้ายร่างกาย สภาพสถานที่เกิดเหตุไม่พบร่องรอยการต่อสู้หรือทำร้าย ประกอบกับผลการสืบสวนของเจ้าหน้าที่พบว่า ผู้เสียชีวิตมีอาการซึมเศร้า และมีปัญหาทะเลาะกับภรรยา ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับบุคคลอื่นแต่อย่างใด เนื่องจากเพิ่งเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ จึงสามารถสรุปสาเหตุได้ว่า เป็นการฆ่าตัวตาย วันนี้ต้องทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถทำความจริงให้กระจ่างและสิ้นสงสัยให้ได้ เพื่อให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ และมีความอุ่นใจในการใช้ชีวิตอย่างปกติสุข

จนท.กรมป่าไม้ ออกล่าตะเวน เชิงป้องกันและปราบปราม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 26 ต.ค.2565 เวลา 12:00 น.จนท.กรมป่าไม้ อด.2(หนองวัวชอ อุดรธานี) หน.พัชรพล ชาหว้า พร้อม จนท.หน่วย อด.2 จนท.กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช (สปป.2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) หน.สมบูรณ์ พุทธวงศ์ พร้อมด้วย จนท.สปป.2 ได้ร่วมกันเข้าตรวจสอบ และออกล่าตะเวน เชิงป้องกันและปราบปราม พื้นที่ อ.หนองวัวชอ อ.กุดจับ จ.อุดรธานี และ อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู พบพื้นที่บุกรุก และพื้นที่ตัดไม้ ทำเตาถ่านของชาวบ้าน เป็นจำนวนมาก และได้พบหลักฐาน และข้อมูล และได้ทำการเป็นข้อมูลเอาไว้เพื่อนำไป ปรับปรุงและพัฒนาในภาระกิจต่อๆไป ถึงภาระกิจครั้งนี้ จะไม่พบผู้กระทำผิด แต่ จนท.ได้เก็บข้อมูลและหลักฐาน เพื่อติดตามตัวผู้กระทำผิด มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และทำให้ได้รู้ว่า จนท.ที่เขาทำงานจริงจัง และเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ ยังมีอยู่ จบภาระกิจเวลา 18:00น.
รายงานจาก surasak008 ผอ.ข่าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

พล.ต.ต.นิธิธร รอง ผบช.น./รอง โฆษก บช.น. ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้ากรณีการบุกทลายปาร์ตี้ยาเค

วันนี้(พุธที่ 26 ต.ค.65) เวลา 13.15 น. พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น./รอง โฆษก บช.น. ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้ากรณีการบุกทลายปาร์ตี้ยาเค ณ อาคารแห่งหนึ่ง พื้นที่ยานนาวา ผลงานการจับกุมของ บก.สส.บช.น. และ กก.สส.บก.น.6 ณ ลานอเนกประสงค์ บช.น. /ทีมงานประชาสัมพันธ์

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นำทีมพิสูจน์ทราบเหตุหญิงชาวจีนเสียชีวิตหลังเที่ยวผับพร้อมเพื่อนและใช้ยาเสพติด

จากกรณีเมื่อวันที่ 17 ก.ย.65 ที่ผ่านมา ได้มีข่าวปรากฏในสื่อมวลชนของประเทศจีนว่า หญิงชาวจีนเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยแล้วหายตัวไป คาดว่าถูกหลอกมาทำงานเป็นคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน ต่อมากลับพบว่าได้เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ ทราบภายหลังว่า ผู้เสียชีวิตดังกล่าวคือ น.ส.โย่วซื่อหัว อายุ 32 ปี สัญชาติจีน เสียชีวิตหลังจากไปเที่ยวผับท็อปวัน ถ.รัชดาภิเษก แขวง/เขตห้วยขวาง กทม. ทางญาติของผู้เสียชีวิตติดใจสาเหตุการเสียชีวิต จึงได้ประสานผ่านสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ขอให้ตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว ต่อมาทางสถานทูตได้ประสานข้อมูล ขอความช่วยเหลือมายัง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เพื่อให้ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตในกรณีนี้
จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ ผบก.น.2 พ.ต.อ.สุธิศักดิ์ พิริยะภิญโญ ผกก.สน.สุทธิสาร ดำเนินการตรวจสอบพิสูจน์ทราบสาเหตุการเสียชีวิตจากกรณีดังกล่าวโดยด่วน จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบรายละเอียดดังนี้
ผู้เสียชีวิตได้เดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย.65 กับเพื่อนผู้หญิงอีก 3 คน ต่อมาคืนวันที่ 16 ก.ย.65 ทั้งหมดได้ไปเที่ยวที่ร้านท็อปวัน ถ.รัชดาภิเษก โดยได้ชักชวนเพื่อนผู้ชายมาเพิ่มอีก 3 คน จากนั้นเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 17 ก.ย.65 ผู้เสียชีวิตได้มีการอาเจียนและช็อคหมดสติ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำร้านจึงได้นำตัวส่งโรงพยาบาลพระรามเก้า และเสียชีวิตในเวลาต่อมา หลังจากนั้นภายในวันเดียวกัน ได้มีชายชาวจีนจำนวน 3 คนพร้อมคนขับรถคนไทยอีก 1 คน ได้ไปที่ห้องพักของผู้ตาย นำเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวของผู้ตายไปเผาทำลายทิ้งทั้งหมดที่ร้านท็อปวัน
ผลการชันสูตรศพเบื้องต้น แพทย์ลงความเห็นว่าสาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากพิษของสารเสพติด โดยมีการตรวจพบสารแอมเฟตามีนภายในร่างกายของผู้เสียชีวิต คาดว่าจะเป็นสาเหตุที่ส่งผลให้เสียชีวิตดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เรียกตัวเพื่อนผู้ชายทั้ง 3 คนที่มาเที่ยวคืนดังกล่าวมาสอบปากคำ ทั้งสามยังให้การปฏิเสธในเรื่องการใช้ยาเสพติด และจากการตรวจสารเสพติดเบื้องต้นผลไม่พบสารเสพติด โดยทั้งสามคนประกอบด้วย

  1. นายจาง เหมิง โจว อายุ 26 ปี สัญชาติจีน
  2. นายหยู ชุน จุ้ย อายุ 30 ปี สัญชาติจีน
  3. นายหลี่ เจิ้ง เสียน อายุ 30 ปี สัญชาติจีน
    เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการเพิกถอนการอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรและผลักดันออกนอกประเทศแล้ว
    นอกจากนี้ ในส่วนของผู้ต้องหาอีก 4 รายที่นำทรัพย์สินของผู้ตายนำไปเผาทำลายทิ้ง เบื้องต้นได้สั่งการให้ สน.ลุมพินี ซึ่งเป็นท้องที่ของที่พักของผู้เสียชีวิต ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ประกอบด้วย
  4. นายไอแดน ฟาน อายุ 40 ปี สัญชาติวานูอาตู
  5. นายจาง เจียน ฟู่ อายุ 42 ปี สัญชาติจีน
  6. นายเฉิน เซียน ปิง อายุ 40 ปี สัญชาติจีน
  7. นายชัชพิสิฐ แซ่หลี่ อายุ 29 ปี สัญชาติไทย
    ทั้ง 4 ราย จะถูกดำเนินคดีในฐานความผิด ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน และทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำผิด
    ในวันนี้ (26 ต.ค.65) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้มีการประชุมสรุปผลการสืบสวนกรณีดังกล่าว พร้อมกันนี้ได้เชิญผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยมาร่วมเฝ้าฟังสรุปดังกล่าว รวมทั้งชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการสืบสวนหาสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้สิ้นสงสัย และเพื่อให้ญาติของผู้เสียชีวิตได้เกิดความเข้าใจ
    พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเป็นกรณีนักท่องเที่ยวชาวจีนได้เดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยและเสียชีวิตผิดธรรมชาติ ญาติของผู้เสียชีวิตติดใจในสาเหตุการเสียชีวิตจึงได้ประสานขอความช่วยเหลือ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ผู้ตายมีการใช้สารเสพติดก่อนเสียชีวิต จึงคาดว่าเพื่อนที่ไปเที่ยวด้วยกันในคืนวันดังกล่าวน่าจะมีการใช้ยาเสพติด จนทำให้ผู้ตายเกิดอาการอาเจียนก่อนเสียชีวิต หลังจากนั้นมีคนตามไปเก็บข้าวของของผู้ตายไปเผาเพื่ออำพรางคดี ดังนั้นจึงได้สั่งการให้มีการดำเนินการตามกฎหมายเพื่อให้ความจริงกระจ่างสิ้นสงสัย รวมทั้งดำเนินคดีกับ ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อให้ภาพลักษณ์เรื่องการท่องเที่ยวของไทยดีขึ้น และทำให้นักท่องเที่ยวที่จะมาท่องเที่ยวในประเทศไทยรู้สึกปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีความมั่นใจในการเดินทางมาเที่ยวไทยกันมากขึ้น

ตร.สภ.ควนโด ตรวจยึดและส่งมอบปืน M4 3 กระบอกให้ รอง ผบ.หลังพบปืนที่ชายป่าพื้นที่ ควนโดน จ.สตูล

ผู้หวังดีในอำเภอควนโดน จังหวัดสตูล หอบปืน M4 ของ สภ.ปากเกร็ด ที่ถูก ดาบตำรวจขโมยมาขาย อีก 3 กระบอก มาคืนตำรวจ หวังหนีความผิด ทำให้ยอดตามคืนอาวุธปืนที่ถูกขโมยออกมาขาย จนถึงขณะนี้ ได้กลับมา 53 กระบอกแล้ว

เมื่อวันที่ 25 ต.ค.65 เวลา 21.30 น. ตำรวจ สภ. ควนโดน จังหวัดสตูล นำอาวุธปืน M4 ตราโล่ ที่ถูกขโมยจาก สภ. ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี มาขายในพื้นที่ อำเภอควนโดน ส่งคืนให้กับพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หลังมีผู้หวังดีนำมาคืนไว้ที่สถานีตำรวจจำนวนสามกระบอก

จากการตรวจสอบเลขรหัสปืนเบื้องต้นพบว่าปืนดังกล่าวมีตราโล่จำนวนหนึ่งกระบอก ส่วนอีกสองกระบอกไม่มีตราแต่เลขรหัสประจำปืนตรงกับปืนที่ถูกขโมยออกมาจากสถานีตำรวจภูธรปากเกร็ด 159 กระบอก

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยอมรับว่ามีปืนจำนวนไม่น้อยถูกส่งลงมาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และบางส่วนก็ข้ามประเทศไปยังประเทศเพื่อนบ้านแล้ว แต่ไม่หนักใจเพราะขณะนี้ในด้านข้อมูลเชิงลึกพบว่ามีกลุ่มที่รับซื้อปืนที่ถูกขโมยจากสถานีตำรวจภูธรปากเกร็ดอยู่ประมาณเจ็ดกลุ่ม ซึ่งจากนี้ไปต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยสองถึงสามสัปดาห์ก็จะได้ปืนกลับมาครบตามจำนวน หรือใกล้ครบ

ทำให้ยอดอาวุธปืนที่ได้รับคืนจากผู้หวังดีขณะนี้เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 53 กระบอก เป็นปืนยาว 7 กระบอก และ ปืนสั้น 46 กระบอก โดยขณะนี้ได้แบ่งชุดทำงานในการติดตามออกเป็นสามถึงสี่ชุด เพื่อตามหาอาวุธปืนของหลวงทั้งหมดกลับคืนมาให้ได้โดยเร็วที่สุดเนื่องจากมีความเสี่ยงว่าปืนบางส่วนอาจจะถูกนำไปก่อเหตุความรุนแรงได้

Design a site like this with WordPress.com
Get started