รอง ผบ.ตร.เปิดอบรมการฝึกเอาตัวรอดในสถานการณ์ฉุกเฉิน ชมการสาธิตการรับมือเหตุกราดยิง (Active shooter ) ณ โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์ แผนกมัธยม

วันนี้​ (20 ต.ค.)​ เมื่อเวลา 13.00 น.​ ที่ โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์ แผนกมัธยม​ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผบ.ตร. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผบ.ตร. เดินทางไปรับชมการฝึกวิธีเอาตัวรอดในสถานการณ์ฉุกเฉิน ( กราดยิง )

โดยมรการฝึกอบรมเพื่อเตรียมความพร้อมเผชิญเหตุกรณีคนร้ายยิงกราด Active shooter นั้นได้แบ่งเป็น สองส่วนคือการอบรมภาคทฤษฎี โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ และการฝึกอบรมภาคปฏิบัติซึ่วแบ่งเป็น 3 ฐาน และจะแบ่งบุคลากรในการฝึกซ้อม 3 กลุ่มซึ่งมีทั้งนักเรียน ครู และบุคลากรอื่นๆให้ฝึกซ้อมร่วมกัน โดยจะสลับหมุนเวียนกันไปในแต่ละฐาน ได้แก่ ฐานที่ 1 การหนี ซ่อน สู้ ซึ่งจะมีการสาธิตเหตุการณ์จริงว่าเมื่อมีคนร้ายก่อเหตุยิงกราดจะมีวิธีการในการเอาตัวรอดอย่างไร ฐานที่ 2 การปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อสร้างความรู้เบื้องต้นในการรักษาบาดแผลและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบเหตุร้าย เพื่อลดการสูญเสีย และฐานที่ 3 คือการปฏิบัติเพื่อพบ IED ระเบิด ทำให้รู้ว่าเมื่อพบวัตถุเข้าข่ายที่จะเป็นระเบิดควรปฏิบัติตัวอย่างไร

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผบ.ตร. ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า วันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มาให้ความรู้เรื่องการรับมือเหตุกราดยิงในสถานศึกษา ซึ่งเราทำเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ยังไม่ทั่วถึง พอมีเหตุเกิดที่จังหวัดหนองบัวลำภู ก็ได้มีการถอดบทเรียนแล้วว่าการลดความสูญเสียได้มากที่สุดคือการให้ความรู้กับเหยื่อ เพราะเหตุการณ์แบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ถ้าหากเหตุเกิดในโรงเรียนเด็กเล็กต้องทำอย่างไร หากเกิดเหตุในห้างสรรพสินค้าต้องทำอย่างไร ซึ่ง รปภ.ต้องรู้วิธีการับมือ ซึ่งก็ได้ประสานการดำเนินงานกับบริษัท รปภ. ให้มีการฝึกอบรมและออกใบอนุญาตเกี่ยวกับกิจการรักษาความปลอดภัยโดยตำรวจ

ส่วนปัจจัยที่จะทำให้เกิดเหตุการฆาตกรรมหมู่ หรือกราดยิงนั้น(Active shooter)
มีสามอย่างคือ 1.ตัวร้ายเอง 2.สภาพสังคมที่กดดันผู้ก่อเหตุจนเกิดความเครียด และ 3.เมื่อเกิดความกดดันมากจึงทำให้เกิดความต้องการตอบโต้แบบเฉียบพลันซึ่งเป็นได้สองลักษณะคือการยิงตัวตายและการฆาตกรรม แต่ถ้าสังคมกดดันจนตัวผู้ก่อเหตุควบคุมตัวเองไม่ได้ก็จะเลือกเป้าหมายที่เป็นกลุ่มเปราะบาง อย่างเช่นโรงเรียนหรือห้างสรรพสินค้าที่ผู้คนไม่ทันระวังตั้งตัว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้มีการถอดบทเรียนจากกรณีที่เกิดเหตุจากสหรัฐอเมริกกว่า 280 กรณีนำมาต่อยอดเพื่อให้ความรู้กับประชาชนต่อไป

และวันนี้จึงเดินทางมาฝึกซ้อมและให้ความรู้กันที่นี่ ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือกับทาง ผกก.สน.ปทุมวัน และ ทางโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ด้วย

ทั้งนี้การมาทำการสาธิตในครั้งนี้จะมีการบันทึกภาพและเสียงทำเป็นวิดีโอเผยแพร่ และผบ.ตร.กับ รมว.ศึกษาธิการกำลังทำข้อตกลงกันเพื่อที่จะส่งครูฝึกที่เป็นตำรวจที่ได้รับการฝึกมาแล้วทุก สน. ให้ไปสอนให้กับคุณครูตามโรงเรียน เนื่องจากโรงเรียนทั้งประเทศมีกว่า 20,000 กว่าโรงเรียน แต่มีโรงพักแค่เพียง 1,400 กว่าโรงพัก ดังนั้นจึงไม่สามารถเข้าไปฝึกได้ทุกโรงเรียนจึงจะจัดฝึกให้กับครูแล้วให้ครูไปถ่ายทอดกับเด็กนักเรียนต่อไป โดยเน้นความเข้าใจที่ง่ายอย่างเช่น Run /Hide/ Fight คือการหลีกเลี่ยง/ หลบซ่อน /การเข้าสู้ ซึ่งสำหรับการวัดผลไม่สามารถวัดเชิงปริมาณได้ แต่ต้องวัดผลเชิงคุณภาพ นั่นคือความพึงพอใจของประชาชนว่ามีความพึงพอใจหรือไม่ที่ทางตำรวจได้เข้ามาให้ความรู้ตรงนี้ ซึ่งทุกภาคส่วนต้องร่วมกันช่วยเฝ้าระวัง เพราะ “การลดอาชญากรรมได้ดีที่สุดคือ การมีพี่น้องประชาชนเป็นแนวร่วมของตำรวจ”

ทางด้าน นางพรพรหม ชัยฉัตรพรสุข ผอ.โรงเรียนสาธิตจุฬาฯฝ่ายมัธม กล่าวว่า
ก่อนหน้านี้ก็ได้ให้อาจารย์ในโรงเรียนให้ข้อมูลกับนักเรียนในโรงเรียน ซึ่งก่อนหน้านี้อาจจะมีการอบรมแต่ไม่ได้ตรงกับเหตุการณ์นี้เท่าไหร่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีโอกาสซักซ้อมเหตุการณ์กราดยิงที่อาจจะเกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็ได้รับทราบว่าทางตำรวจสน.ปทุมวันจะมีการให้ความรู้โดยตรงในเรื่องนี้ ซึ่งก็ขอชื่นชมทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะเป็นการให้ความรู้ที่รวดเร็วซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมเนื่องจากพอมีเหตุการณ์กราดยิงเกิดขึ้นอาจมีการเลียนแบบ เพราะถ้าไม่มีการให้ความรู้ที่รวดเร็วถ้ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีกน่าจะทำให้มีการสูญเสียมากขึ้น

และถ้าพูดในมุมเด็กๆก็จะได้รับความรู้ในเบื้องต้น วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้เห็นภาพขั้นตอนที่ชัดเจน เมื่อเห็นแล้วก็จะได้รู้ว่าในอนาคตควรจะเตรียมตัวอย่างไร ส่วนผู้ปกครองก็น่าจะมีความสบายใจมากขึ้นเมื่อรู้ว่าลูกตนได้รับความรู้แล้ว

ทางด้านพ.ต.อ.พันษา อมราพิทักษ์ ผกก.สน.ปทุมวัน กล่าวว่า ในส่วนของตำรวจส่วนหนึ่ง แบะภาคประชาชนอีกส่วนหนึ่ง วันนี้อยากจะทำให้ภาคประชาชนแข็งแรง คือต้องรู้วิธีการแก้ปัญหาเบื้องต้นก่อนที่เหตุจะไปถึงเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่จะมาถึง ซึ่งเป็นช่วงเวลาไม่นานแต่สำคัญที่สุด ซึ่งถ้าสามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ และสามารถช่วยเหลือด้วยกันเองได้ก็จะช่วยลดการสูญเสียได้มากขึ้น ซึ่งนอกจากโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์ก็ได้มีการสาธิตอีกหลายที่ อย่างที่ห้างสยามพารากอน ซึ่งจะเป็นแม่แบบของห้างใหญ่เมื่อเกิดเหตุว่าต้องทำอย่างไร

ส่วนวันนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ นำชุดใหญ่มาเพื่อที่จะให้เห็นว่าทั้ง ม.ต้น ม.ปลาย ครู รปภ.เมื่อเกิดเหตุขึ้นต้องทำอย่างไรถึงจะปลอดภัย

มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี นำผู้เสียหายจากลัทธิล้างสมองเข้าพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ คุมคดีค้ามนุษย์

จากกรณี เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 65 เวลา 10.00 น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ บก.สส.บช.น. เข้าตรวจสอบ ห้องพักเลขที่ 95 ตึก A คอนโดศุภาลัยซิตี้รีสอร์ท พระราม8 ถ.อรุณอมรินทร์ แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด จ.กรุงเทพฯ สามารถช่วยเหลืออดีตพยาบาล และเด็ก รวม5 คน ที่ถูกกักขังอยู่ในห้องพัก ภายในคอนโดหรูแห่งหนึ่ง ถ.อรุณอมรินทร์ แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพฯ โดยมีสภาพถูกกักขัง ถูกทำร้ายร่างกาย และกระทำทารุณกรรมอย่างหนัก

ความคืบหน้าล่าสุด วันนี้ (20 ต.ค.65) เวลาประมาณ 15.30 น. มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี โดย คุณปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิ นำผู้เสียหาย เข้าร้องเรียนต่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร./ผอ.ศพดส.ตร. เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการสืบสวนและสอบสวนขยายผล ติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นความผิดในคดีค้ามนุษย์ โดยจากการสืบสวน ทราบว่ายังมีผู้เสียหายจากการถูกหลอกลวงอีกหลายราย โดยจะขยายผล ตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาให้ถึงที่สุด

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งขยายผลดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐ 6 รายเอื้อประโยชน์เอเย่นหลอกผู้หญิงไปบังคับค้าประเวณีดูไบ

จากกรณีเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.64 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล (ยศขณะดำรงตำแหน่ง รอง ผอ.ศพดส.ตร.) ได้เดินทางไปประสานการปฏิบัติร่วมกับ กองบัญชาการตำรวจเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เข้าช่วยเหลือคนไทยที่ถูกหลอกไปบังคับค้าประเวณี ซึ่งต่อมาได้ทำการขยายผลจนสามารถจับกุมดำเนินคดีกับเครือข่ายขบวนการค้ามนุษย์ ตั้งแต่เอเย่นที่ทำหน้าที่หลอกเหยื่อไปทำงาน และส่งตัวเหยื่อบินไปยังดูไบ ดังที่ปรากฏตามข่าวและสื่อโซเชียลมีเดียแล้ว นั้น

จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร./ผอ.ศพดส.ตร. ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการ ศพดส.ตร. ดำเนินการสืบสวนขยายผลจับกุมผู้เกี่ยวข้องรายอื่นๆ เพิ่มเติม รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเอื้อประโยชน์ในการกระทำผิดของเครือข่ายค้ามนุษย์เหล่านี้ และดำเนินคดีตามกฎหมายถึงที่สุดทุกราย
จากการสืบสวนของชุดปฏิบัติการ ศพดส.ตร. ซึ่งได้ดำเนินการจับกุมและดำเนินคดีกับ นางสาวเอ (นามสมมติ) เอเย่นที่ทำหน้าอำนวยความสะดวกในการส่งเหยื่อเพื่อหลีกเลี่ยงจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ภายในสนามบิน และ ส.ต.ท.มงคล ต้นงอ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งช่วยรับตัวเหยื่อผ่านด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางาน โดยจากการขยายผลจากผู้ต้องหาทั้งสองพบว่า ยังมีเอเย่นที่ทำหน้าที่ในลักษณะเดียวกันอยู่อีก โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถออกหมายจับผู้ต้องหาได้เพิ่มเติมอีก 4 ราย ประกอบด้วย

  1. น.ส.ภัทรินทร์ (ขอสงวนนามสกุล) ทำหน้าที่เป็นเอเย่นหลอกเหยื่อไปทำงาน (จับกุมได้)
  2. น.ส.สรินยา (ขอสงวนนามสกุล) ทำหน้าที่เป็นเอเย่นหลอกเหยื่อไปทำงาน (จับกุมได้)
  3. น.ส.แสงดาว (ขอสงวนนามสกุล) ทำหน้าที่เป็นเอเย่นรอรับตัวเหยื่อที่ดูไบ (หลบหนีอยู่ ตปท.)
  4. นายโฮ จุน ฮาว สัญชาติมาเลเซีย ทำหน้าที่เป็นเอเย่นรอรับตัวเหยื่อที่ดูไบ (หลบหนีอยู่ ตปท.)
    โดยผู้ต้องหาทั้ง 4 รายจะถูกดำเนินคดีในความผิดฐานค้ามนุษย์
    นอกจากนี้ จากการขยายผลจากเส้นทางการเงินของ นางสาวเอ (นามสมมติ) พบว่า มีการประสานงานอำนวยความสะดวกในการผ่านด่านตรวจคนหางาน โดยมีการจ่ายเงินให้หัวละ 4,000 บาท ซึ่งตัวเอเย่นจะได้ส่วนแบ่งจำนวน 1,000 บาท และอีก 3,000 บาท แบ่งให้กับตัวแทนของด่านตรวจคนหางาน จากการสืบสวนทราบว่า บุคคลดังกล่าวคือ นายสัมพันธุ์ (ขอสงวนนามสกุล) อดีตเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางาน ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้เครือข่ายค้ามนุษย์โดยทำหน้าที่เป็นตัวการหลักในการประสานงานส่งต่อรายชื่อของเหยื่อที่จะเดินทางไปต่างประเทศและรับเงินค่าดำเนินการจากเอเย่น แล้วนำมาแบ่งจ่ายต่อให้กับเจ้าหน้าที่รายอื่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบบุลคลนั้นๆ ซึ่งมีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าถูกหลอกลวงหรือลักลอบไปทำงานที่ต่างประเทศ โดยหากเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางานตรวจพบพฤติกรรมดังกล่าวจะต้องสั่งระงับการเดินทางของบุคคลนั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอหมายเข้าค้นบ้านของนายสัมพันธุ์ฯ เพื่อตรวจสอบเอกสารหลักฐาน รวมทั้งสมุดบัญชีเพื่อนำไปขยายผลต่อไป แต่ในระหว่างการสืบสวนเพื่อขออนุมัติหมายจับ นายสัมพันธุ์ฯ ได้กระทำอัตวินิบาตกรรมเพื่อหลบหนีความผิดไปเสียก่อน เมื่อวันที่ 11 ต.ค.65 ที่ผ่านมา
    จากนั้น เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงติดตามเส้นทางการเงินจากนายสัมพันธุ์ฯ พบว่ามียอดเงินการเรียกรับผลประโยชน์ผ่านนายสัมพันธุ์ฯ รวมหลักล้านบาทและมีความเกี่ยวพันกับเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนหางานซึ่งมีพฤติการณ์หลีกเลี่ยงการตรวจสอบการเดินทางของเหยื่อที่ถูกหลอกไปทำงานตามรายชื่อที่ นายสัมพันธุ์ฯ ส่งมาให้ โดยได้รับผลประโยชน์ตอบแทน อีกทั้งในทางกลับกันจะตรวจสอบและซักถามข้อมูลอย่างละเอียดกับหยื่อหรือผู้ลักลอบเดินทางรายอื่นที่ไม่จ่ายค่าตอบ นำไปสู่การระงับการเดินทางของบุคคลนั้นๆ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับ และติดตามจับกุมได้จำนวน 5 ราย ประกอบด้วย
  5. นายวัชระ (ขอสงวนนามสกุล)
  6. น.ส.ปิยวรรณ (ขอสงวนนามสกุล)
  7. น.ส.สุจิตรตา (ขอสงวนนามสกุล)
  8. นายธัญทัต (ขอสงวนนามสกุล)
  9. นายกฤษฏ์หิรัญ (ขอสงวนนามสกุล)
    โดยผู้ต้องหาทั้งหมดจะถูกดำเนินคดีในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น
    พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า หลังจากที่ได้มีการประสานงานเข้าช่วยเหลือเหยื่อการบังคับค้าประเวณีจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กลับมาแล้วนั้น ก็ได้มีนโยบายในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ตั้งแต่ต้นทาง คือขยายผลดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการหลอกคนส่งไปทำงานดังกล่าว ซึ่งได้มีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหามาอย่างต่อเนื่อง ในวันนี้ก็ได้ขยายผลออกหมายจับเอเย่นที่ทำหน้าหลอกลวงเหยื่อได้เพิ่มเติมอีก 4 ราย รวมทั้งขยายผลจับกุมเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งเอื้อประโยชน์ในการส่งตัวเหยื่อไปทำงานที่ต่างประเทศ ทำให้การหลอกส่งคนไปเป็นเหยื่อค้ามนุษย์สามารถเล็ดรอดการตรวจจากเจ้าหน้าที่ไปได้ ดังนั้นเมื่อมีการตรวจพบการกระทำผิดก็จะต้องดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างเด็ดขาดต่อไป

แปลงใต้กระบะไว้นอนซุก มุกใหม่ขนแรงต่างด้าว แต่ไม่พ้นสายตาเจ้าหน้าที่ !!!

สุดเนียนซุกต่างด้าวหญิงใต้ท้องรถยนต์กระบะ ตร.ได้รับแจ้งจากสายลับ รวบคาด่านชาย 2 คน

เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานจาก อ.แม่สอด จังหวัดตากว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดตาก ได้รับแจ้งจากสายลับว่า จะมีการลักลอบนำพาบุคคลต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง โดยใช้รถยนต์กระบะตอนเดียวอีซูซุ ขาว หมายเลขทะเบียน 3 ฒฒ3441 กทม.ผ่านทางสาย อ.แม่สอด – อ.เมืองตาก

จึงจัดกำลังตำรวจชุดพิเศษไปประจำอยู่ที่จุดตรวจห้วยยะอุ บ้านห้วยยะอุ ตำบลด่านแม่ละเมา อ.แม่สอด และในระหว่างรอตรวจรถยนต์เป้าหมายนั้น พบรถยนต์ดังกล่าวผ่านมาที่ด่าน พบชายหนุ่ม 2 คน เป็นคนขับรถยนต์ 1 คน อีกคนโดยสารรถมานั่งด้านหน้ามาด้วย จึงขอตรวจค้น ซึ่งในช่วงแรกตรวจค้นไม่มีอะไร และเกือบจะปล่อยรถยนต์ไปแล้ว

แต่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพบพิรุธตรงกระบะท้าย มีร่องรอยบริเวณพื้นที่รองท้าย จึงแกะดู จนพบแรงงานต่าง เป็นหญิง 2 คนไม่มีเอกสารการเข้าเมืองใดๆ และให้การสารภาพว่า ได้แอบโดยสารมาเพื่อจะไปทำงานต่างจังหวัด โดยมีชาย 2 คนนำพาไป โดยใช้รถยนต์ดัดแปลง แต่ถูกเจ้าหน้าที่จับได้ก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงใส่กุญแจมือชายทั้ง 2 คน และนำส่งตัวทั้งหมดให้กับสภ.พะวอดำเนินคดีตามกฎหมายพรบ.คนเข้าเมือง

โดยทีมข่าวอาชญากรรม​

กรมศุลกากรขานรับนโยบายรัฐบาลเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดโชว์จับยาอี น้ำหนัก 2.92 กิโลกรัมซุกซ่อนมากับสินค้าทางพัสดุไปรษณีย์ มูลค่ากว่า 6 ล้านบาท

กรมศุลกากรขานรับนโยบายรัฐบาลเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดเต็มกำลัง
ล่าสุด (17 ตุลาคม 2565) พบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ยาอี (ECSTASY) ซุกซ่อนมากับสินค้าทางพัสดุไปรษณีย์ระหว่างประเทศ ต้นทางจากประเทศเยอรมนี จำนวน 6,000 เม็ด มูลค่า 6 ล้านบาท
ณ ศูนย์ไปรษณีย์กรุงเทพฯ หัวลำโพง แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กทม.

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดทั้งการผลิต การนำเข้า การนำผ่าน และการลักลอบจำหน่าย โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการการทำงานร่วมกัน
เพื่อปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวด ด้านกระทรวงการคลังโดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง จึงสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง เพิ่มความเข้มงวดและเดินหน้าปราบปรามการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักรทุกเส้นทาง กรมศุลกากรจึงเพิ่มการเฝ้าระวังการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักร ทั้งทางบก ทางเรือและทางอากาศ โดยเฉพาะทางพัสดุไปรษณีย์ที่ต้องใช้ประสบการณ์และความระมัดระวังในการเปิดตรวจพัสดุต่าง ๆ เป็นอย่างมาก

โดยเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2565 เวลา 09.00 น. เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร ร่วมกับเจ้าหน้าที่
จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) พนักงานบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ทำการตรวจยึดพัสดุไปรษณีย์ระหว่างประเทศ จำนวน 2 หีบห่อ มาจากประเทศเยอรมนี ณ ศูนย์ไปรษณีย์กรุงเทพฯ หัวลำโพง แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ผลการเปิดตรวจ พบเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ยาอี (ECSTASY) ลักษณะเป็นเม็ดสีชมพู จำนวน 6,000 เม็ด น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้มประมาณ 2.92 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 6 ล้านบาท กรณีนี้เป็นความผิดฐานนำของต้องห้ามเข้ามา
ในราชอาณาจักร อันเป็นความผิดตาม ม.244 และ ม.252 แห่ง พรบ.ศุลกากร พ.ศ.2560 และ พรบ.ยาเสพติด
ให้โทษ พ.ศ.2564

ทั้งนี้ กรมศุลกากรได้ประสานเจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม
ยาเสพติด (ป.ป.ส.) และ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) เพื่อติดตามและขยายผลจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 1 ราย และได้นำผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อไป

อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2565 เวลาประมาณ 21.30 น. เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรพบพัสดุสำแดงชนิดสินค้าเป็น COSMETIC ปลายทางประเทศออสเตรเลีย ณ ศูนย์ไปรษณีย์สุวรรณภูมิ

จากการตรวจสอบด้วยการ X-RAY พบสิ่งบ่งชี้ความผิดปกติ จึงดำเนินการตรวจสอบทางกายภาพโดยละเอียด ผลการตรวจสอบพบ ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน (ไอซ์) ลักษณะเป็นของเหลวซุกซ่อนในขวดคอนแทคเลนส์ น้ำหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 4,440 กรัม มูลค่า 2.6 ล้านบาท จึงได้ทำการยึดและประสานศุลกากรประเทศออสเตรเลีย เพื่อสืบสวนเครือข่ายต่อไป

และเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2565 เวลาประมาณ 23.30 น. พบพัสดุสำแดงชนิดสินค้าเป็น Dry Food, Sock ปลายทางประเทศอิสราเอล ณ ศูนย์ไปรษณีย์สุวรรณภูมิ

จากการตรวจสอบด้วยการ X-RAY พบสิ่งบ่งชี้ความผิดปกติ จึงดำเนินการตรวจสอบทางกายภาพโดยละเอียด ผลการตรวจสอบพบ ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน (ไอซ์) น้ำหนัก 559 กรัม มูลค่า 3.3 แสนบาท ซุกซ่อนในซองน้ำตาลทราย จึงได้ทำการยึดและประสานศุลกากรประเทศอิสราเอล เพื่อสืบสวนเครือข่ายต่อไป

ทั้ง 2 กรณี เป็นความผิดฐานพยายามนำยาเสพติดประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน (ไอซ์) ออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 และ พรบ. ศุลกากร มาตรา 244 252 ประกอบมาตรา 166 และ167

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ รอง ผบ.ตร. (ปป) พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิวัฒน์ รอง ผบช.สอท. พร้อมคณะจิตอาสา 904 ร่วมเดินทางมาแจกจ่ายถุงยังชีพ

วันนี้ (19 ต.ค.65) เวลา 08.30 น.
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. มอบหมายให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. (ปป) พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. พร้อมคณะจิตอาสา 904 ร่วมเดินทางมาแจกจ่ายถุงยังชีพ ให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ สภ.ผักไห่ จว.พระนครศรีอยุธยา ทั้งนี้ได้ร่วมมอบถุงยังชีพ จำนวน 300 ถุง ,บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จำนวน 50 ลัง และสิ่งของบำรุงขวัญ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ข้าราชการตำรวจ ,ผู้ป่วยติดเตียง และประชาชนผู้ประสบปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ดังกล่าว การปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ณ วัดท่าดินแดง ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ จว.พระนครศรีอยุธยา

พล.ต.ท. เสนิต ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตรการฝึกอบรมผู้มีวุฒิทางด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และรัฐประศาสนศาสตร์

วันพุธที่ 19 ตุลาคม 2565 เวลา 10.00 น.

พลตำรวจโท เสนิต สำราญสำรวจกิจ ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตรการฝึกอบรมผู้มีวุฒิทางด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และรัฐประศาสนศาสตร์ เพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรหรือหลักสูตร กอต.(สอบสวน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 และหลักสูตรการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจชั้นประทวนผู้มีวุฒิปริญญาตรีขึ้นไป เพื่อแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร หรือหลักสูตร กอน.(ปราบปราม) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566

ณ ห้องเตมียเวส อาคารกองบัญชาการ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ

โดยได้กล่าวให้โอวาทแก่ นอร.ผู้เข้ารับการฝึกอบรมฯ มีใจความสำคัญว่า

“ตำรวจ” มีความหมายลึกซึ้ง และมีองค์ประกอบ ดังนี้
“ต” หมายถึง ตรากตรำ

” ำ” หมายถึง อำนวยความยุติธรรม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และความสะดวกให้กับประชาชน

“ร” หมายถึง รอบรู้ รอบคอบ รอบจัด(รู้จักเอาตัวรอด)

“ว” หมายถึง วิเคราะห์ วิจารณญาณ

“จ” หมายถึง จริยธรรม คุณธรรมประจำใจ และยึดหลักอุดมคติตำรวจ 9 ข้อ ในการปฏิบัติหน้าที่

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นำทีมพิสูจน์ทราบศพเหลือแต่โครงกระดูกพบเป็นนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย

จากกรณีเมื่อวันที่ 12 ต.ค.65 เวลาประมาณ 15.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เกาะพะงัน ภ.จว.สุราษฎร์ธานี ได้รับแจ้งเหตุพบศพไม่ทราบชื่อ ที่บริเวณป่าละเมาะเนินเขาขี้แรด อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี สภาพศพเหลือแต่โครงกระดูก บริเวณรอบๆ ไม่พบร่องรอยการต่อสู้ พบกระเป๋าคาดเอว ภายในพบหนังสือเดินทางระบุชื่อ นายนิกิต้า เกรกอเยฟ อายุ 30 ปี สัญชาติรัสเซีย นั้น
จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ดำเนินการตรวจสอบพิสูจน์ทราบสาเหตุการเสียชีวิต รวมทั้งประสานญาติของผู้เสียชีวิตรวมทั้งหน่วยงานและสถานทูตรัสเซียประจำประเทศไทย ทราบรายละเอียดการเสียชีวิต ของนายนิกิต้า ฯ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8, พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท.,พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.วันไชย เอกพรพิชญ์ รอง ผบช.ภ.8, พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย รอง ผบช.ทท., พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท.,พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผบก.สส.ภ.8, พล.ต.ต.ศรัญญู ชำนาญราช ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี, พล.ต.ต.กฤษณ์ วาฤทธิ์ ผบก.ทท.3, พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.ตม.6 , ชุดปฏิบัติการสืบสวน ภ.8 ร่วมกับ ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ตำรวจท่องเที่ยว เร่งพิสูจน์ทราบสาเหตุการเสียชีวิต และรวบรวมพยานหลักฐาน เรียบเรียงช่วงเวลาที่ผู้เสียชีวิตอยู่ในประเทศไทยทั้งหมด

จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ พบรายละเอียดดังนี้ เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.65 นายนิกิต้า ผู้ตาย ได้เดินทางเข้ามายังประเทศไทยผ่านทางสนามบินนานาชาติภูเก็ต โดยเดินทางมากับ นายอีกอ พันฟีลอฟ อายุ 36 ปี สัญชาติรัสเซีย จากนั้นได้ท่องเที่ยวและเข้าพักอยู่ภายในจังหวัดภูเก็ต และมีการขอต่อวีซ่าอีก 60 วัน จากกรณีโรคระบาดโควิด จะครบกำหนดวันที่ 30 ต.ค.65 แต่นายอีกอฯ ได้เดินทางกลับประเทศรัสเซียเมื่อวันที่ 7 ส.ค.65 นายนิกิต้าฯ จึงพักอาศัยอยู่เพียงลำพัง

ต่อมาเมื่อวันที่ 30 ส.ค.65 นายพาเวล เชตเวอตินอฟสกี้ อายุ 35 ปี สัญชาติรัสเซีย เดินทางจากรัสเซีย มาเที่ยวและพักผ่อนเป็นเพื่อนนายนิกิต้าฯ โดยเมื่อวันที่ 9 ก.ย.65 นายพาเวลฯ ได้ชวนนายนิกิต้าฯ มาเที่ยวงานเทศกาลฟูลมูนที่เกาะพะงัน จึงได้เช่ารถยนต์ขับกันมา ตั้งใจจะมาเที่ยวประมาณ 3-4 วัน ระหว่างนั้น นายนิกิต้าฯ มีอาการป่วย อาเจียน ทานอาหารไม่ได้ นอนไม่หลับ ต่อมาวันที่ 13 ก.ย.65 เวลา 08.00 น. นายพาเวลฯ จึงพานายนิกิต้าฯ ไปพบแพทย์ที่ รพ.เกาะพะงัน เบื้องต้นแพทย์ต้องการให้นายนิกิต้าฯ เข้าพักที่ รพ. เพื่อดูอาการ แต่นายนิกิต้าฯ ไม่ยินยอม และเดินออกจาก รพ. ไปทางเชิงเขาขี้แรด และหายตัวไป จนต่อมาวันที่ 15 ก.ย.65 นายพาเวลฯ เห็นว่านายนิกิต้าฯ ยังไม่กลับมาจึงได้แจ้งความที่ สภ.เกาะพะงัน เพื่อให้ช่วยติดตามหาตัว
หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้ง ก็ได้ออกตามหาโดยตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดโดยรอบ และสอบถามจากชาวบ้านบริเวณใกล้เคียง เนื่องจากบริเวณเชิงเขาขี้แรดเป็นพื้นที่ป่าและสวนมะพร้าว จึงได้มีการเดินสำรวจพื้นที่เพื่อติดตามหาร่องรอยของนายนิกิต้าฯ จนเมื่อวันที่ 12 ต.ค.65 ได้มีการพบโครงกระดูกของนายนิกิต้าฯ ผู้ตาย
และในวันนี้ (19 ต.ค.65) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. จึงได้เชิญผู้แทนเจ้าหน้าที่ตำรวจรัสเซีย เพื่อนของผู้ตายร่วมรับฟังรายงานการสืบสวน สาเหตุการเสียชีวิตของนายนิกิต้าฯ รวมทั้งชี้แจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการสืบสวนการติดตามของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยเพื่อให้สิ้นข้อสงสัย รวมทั้งเพื่อประสานติดต่อญาติของผู้เสียชีวิตเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เมื่อนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยมีเหตุเสียชีวิตโดยผิดธรรมชาติ จึงจะต้องมีการสืบสวนสอบสวนตามขั้นตอนของกฎหมาย เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต หลังจากที่มีการแจ้งความหายและการพบศพ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บูรณาการกำลังทุกภาคส่วนในการติดตามหาเบาะแสของผู้ตาย โดยขณะนี้รอผลการตรวจพิสูจน์จากสถาบันนิติเวช เพื่อทราบสาเหตุการตายที่ชัดเจน ในส่วนของการสืบสวนทราบว่า นายนิกิต้าฯ ได้มีอาการป่วยและเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเกาะพะงัน แต่ไม่ยินยอมนอนพักรักษาตัว โดยหนีออกมาจากโรงพยาบาล ก่อนจะพบเป็นศพเสียชีวิตดังกล่าว เบื้องต้นยังไม่พบร่องรอยบาดแผลทำให้เสียชีวิต และหลังจากนี้จะมีการสรุปผลการสืบสวนสาเหตุการเสียชีวิตที่ชัดเจนต่อไป และขอฝากไปยังพี่น้องประชาชน รวมถึงนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาพักผ่อนที่ประเทศไทย ขอให้เชื่อมั่นว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยทุกหน่วย ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และตำรวจท่องเที่ยว มีความพร้อมที่จะดูแลความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวที่เข้ามาพักผ่อนได้อย่างปลอดภัยแน่นอน

ผบ.ตร. มอบรางวัลคลิป ฝรั่งเล่นโรลเลอร์เบลด และคลิปอื่นๆใน “โครงการอาสาตาจราจร”


รวมเงินรางวัลกว่า 60,000 บาท เร่งประชาสัมพันธ์การใช้โทรศัพท์ ขณะขับรถอย่างถูกกฎหมาย

วันนี้ (19 ต.ค. 65) เวลา 10.00 น.ณ ห้องศรียานนท์ โซนซี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร., พล.ต.ท.วีระ จิรวีระ รอง จตช. , พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น., พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.เอกราช ลิ้มสังกาศ ผบก.ทล. พร้อมด้วย นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ, คุณกานดา วัฒนายิ่งสมสุข ที่ปรึกษา ฝ่ายการตลาด บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ผู้แทนสถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.91 และ สถานีวิทยุ จส.100
ร่วมแถลงผลการมอบรางวัล และเกียรติบัตร โครงการอาสาตาจราจร โดยมอบรางวัลให้กับประชาชนเจ้าของคลิปที่บันทึกเหตุการณ์ฝรั่งเล่นโรลเลอร์เบลด ที่ถนนสุขุมวิท และคลิปกล้องหน้ารถอื่นๆ อีก 10 รางวัล (คลิปประจำเดือน ส.ค.2565) รวมเงินรางวัล จำนวน 60,000 บาท โดยมีบริษัท วิริยะฯ สนับสนุนเงินรางวัลในกิจกรรมดังกล่าว
ผบ.ตร.กล่าวว่า โครงการนี้ เป็นการรณรงค์เพื่อร่วมกันสร้างจิตสำนึกในการขับรถตามกฎจราจร เพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน โดยผู้ที่พบเห็นการทำผิดกฎจราจร หรือพบเห็นอุบัติเหตุจราจรสำคัญ ให้บันทึกเหตุการณ์จากคลิปกล้องหน้ารถ หรือกล้องโทรศัพท์มือถือ แล้วส่งมาให้ในเพจตำรวจทางหลวง หรือเพจกองบังคับการตำรวจจราจร รวมถึงเพจเครือข่ายที่ร่วมโครงการ ทั้งเพจมูลนิธิเมาไม่ขับ สวพ.91 และ จส.100
นอกจากนั้น จะขยายช่องทางการตรวจสอบคลิปที่แชร์การทำผิดกฎจราจร ใน Platform ที่หลากหลายมากขึ้น เช่น Twitter หรือ Tiktok ตัวอย่างเช่น คลิปฝรั่งเล่นโรลเลอร์เบลด ที่ถนนสุขุมวิท เมื่อวันที่ 14 ต.ค.65 ได้มาจาก TIKTOK ซึ่งประชาชนที่พบเหตุการณ์ดังกล่าว ได้บันทึกจากโทรศัพท์มือถือ โดยผู้โดยสารที่ซ้อนท้ายเป็นผู้ถ่ายคลิป และหลักฐานจากคลิปดังกล่าว สามารถเป็นข้อมูลให้ตำรวจ สน.ลุมพินี สามารถติดตามผู้กระทำผิด ซึ่งเป็นชาวต่างชาติมาดำเนินคดีตามกฎหมายในข้อหา “กีดขวางทางสาธารณะจนอาจเป็นอุปสรรคต่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจร โดยวางหรือทอดทิ้งสิ่งของหรือกระทำด้วยประการอื่นใด” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385 ปรับเป็นเงิน 1,000 บาท ซึ่งคลิปเหตุการณ์สำคัญต่างๆ เช่น คลิปที่สามารถเป็นอุทาหรณ์แสดงถึงอันตรายที่เกิดจาก ฝ่าฝืนกฎหมายจราจร หรือคลิปที่สามารถเป็นพยานหลักฐานในการติดตามผู้กระทำผิดมารับโทษ จะได้รับการพิจารณาคัดเลือกจากมูลนิธิเมาไม่ขับและบริษัท วิริยะประกันภัยฯ เดือนละ 10 รางวัล โดยคลิปที่ได้ลำดับ 1 จะได้รับรางวัลสูงสุดถึง 20,000 บาท
นอกจากนั้น ผบ.ตร. ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เพื่อให้เกิดความปลอดภัยของผู้ขับขี่ที่จำเป็นต้องใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะขับรถ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้ออกประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ขับขี่ขณะขับรถ พ.ศ.2565 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค.2565 เป็นต้นมา เพื่อกำหนดข้อยกเว้นให้ผู้ขับขี่รถสามารถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในขณะขับรถได้ โดยต้องปฏิบัติตามวิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในประกาศดังกล่าว

ทั้งนี้ สำหรับประกาศดังกล่าวนั้น ทางโฆษก ตร. ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ได้กำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้ขับขี่สามารถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะขับรถได้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ คือ
1) ใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อแบบไร้สาย /อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนา / ระบบกระจายเสียง โดยผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่
2) ใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับยึดหรือติดโทรศัพท์เคลื่อนที่ไว้กับส่วนหน้าของตัวรถทุกครั้งก่อนการขับรถ โดยต้องไม่บดบังทัศนวิสัยหรือเสียความสามารถในการขับรถ
กรณีมีความจำเป็นต้องถือ จับ สัมผัสโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อใช้งาน ให้หยุดหรือจอดในสถานที่สำหรับจอดรถอย่างปลอดภัย หากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 4,000 บาท จึงฝากประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนร่วมกันปฏิบัติตามกฎหมายจราจร เพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน สร้างความปลอดภัยในการขับขี่ และขอให้ร่วมกันเป็นอาสา ตาจราจรตรวจตราการทำผิดบนท้องถนน ด้วยการส่งคลิปกล้องหน้ารถที่บันทึกเหตุการณ์การทำผิดกฎจราจรหรืออุบัติเหตุจราจรที่สำคัญ มาทางช่องทางที่กำหนดในโครงการ ต่อไป

กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวจัดกิจกรรม “วันตำรวจ” ประจำปี พ.ศ.2565


วันนี้ (17 ต.ค.65) เวลา 08.00 น. พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท. เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตร พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชา และข้าราชการในสังกัด บช.ทท. ในการนี้ คุณวิรญา พรหมายน ประธานชมรมแม่บ้านตำรวจท่องเที่ยวและคณะฯ รวมไปถึงคณะที่ปรึกษา บช.ทท. เข้าร่วมพิธีฯ ในครั้งนี้ โดยจัดขึ้น ณ บริเวณลานหน้าอาคารที่ทำการ บช.ทท.
จากนั้นเวลา 09.00 น. ผบช.ทท. พร้อมคณะฯ ได้ทำการมอบเงินและบริจาคสิ่งของเครื่องใช้อุปโภคบริโภคให้กับสถานสงเคราะห์เด็กบ้านคามิลเลียนเพื่อเด็กพิการ เขตลาดกระบัง กทม. โดยมีผู้แทนจากสถานสงเคราะห์ฯ เป็นผู้รับมอบ
จากนั้นเวลา 09.30 น. คณะที่ปรึกษา บช.ทท. ได้ทำพิธีมอบจักรยานพร้อมอุปกรณ์ จำนวน 68 คัน เพื่อใช้เป็นสายตรวจรถจักรยาน บช.ทท.ใช้เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการออกตรวจตรา ป้องกัน ปราบปราม ให้บริการ ช่วยเหลืออำนวยความสะดวก ดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่นักท่องเที่ยว โดย ผบช.ทท. พร้อมคณะฯ เป็นผู้รับมอบ สำหรับรถจักรยานที่ได้รับมอบในครั้งนี้ จะนำไปใช้สนับสนุนภารกิจการออกตรวจรักษาความปลอดภัยสำหรับการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ที่กำลังจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-20 พ.ย.65 นี้

Design a site like this with WordPress.com
Get started