พล.ต.ท.สำราญ ผบช.น. ได้กรุณาเดินทางมาตรวจเยี่ยมการฝึก ตามโครงการฝึกอบรมยิงปืนเจ้าหน้าที่ตำรวจงานป้องกันปราบปราม

วันนี้(19 ก.ย.65) เวลา 09.30 น.
ท่าน พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น. ได้กรุณาเดินทางมาตรวจเยี่ยมการฝึก ตามโครงการฝึกอบรมยิงปืนเจ้าหน้าที่ตำรวจงานป้องกันปราบปราม บช.น. ประจำปีงบประมาณ 2565 จำนวน 5,079 นาย ณ สนามยิงปืน บช.ศ.
ทำการฝึกอบรมระหว่างวันที่ 5-26 ก.ย.2565

ได้กรุณาให้โอวาทและแนวทางในการปฏิบัติงานแก่กำลังพลผู้รับการฝึกดังนี้

  • การฝึกฝนท่าทางการใช้อาวุธปืนนั้น เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบส่วนตัวของผู้ปฏิบัติ ที่จะต้องขวนขวายฝึกฝนให้มีความชำนาญ ส่วนการหากระสุนสนับสนุนในการฝึกให้นั้นเป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชา
  • การเลือกใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ให้มีความเหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่ เช่น อาวุธปืน Backup ที่มีขนาดลำกล้องสั้นก็ไม่เหมาะสมต่องานป้องกันปราบปราม
  • หัวใจสำคัญของนักสืบ ในการสืบสวน นั้น คือการใช้ “จินตนาการ” ในการปะติดปะต่อเรื่องราวหลังเกิดเหตุ ส่วนหัวใจของงานป้องกันปราบปราม เมื่อเข้าเผชิญเหตุนั้น คือ ” การประเมินสถานการณ์” และนำยุทธวิธีมาปรับใช้ให้เหมาะสม
  • การทำงาน ในสายงานป้องกันปราบปรามนั้น ต้องประเมินตัวเองถึงความพร้อมของร่างกาย จิตใจ ความรู้และยุทธวิธี หากไม่พร้อมก็ควรที่จะเลือกปรับเปลี่ยนสายงานให้เหมาะสม

จากนั้นได้ทำการทดสอบยิงปืน ด้วยกระสุนจริง ในระบบเดียวกับที่ผู้รับการฝึกต้องทำการทดสอบ
ผลการปฏิบัติ ท่าน ผบช.น. ยิงได้คะแนน 300 คะแนนเต็ม 100%

โดยในการนี้ท่านได้สุ่ม ผู้รับการฝึกได้แก่ ส.ต.ท.พีรวัฒน์ ศรีจันทร์ ผบ.หมู่ ป.สน.สายไหม มาทำหน้าที่บัดดี้ และคอยบอกระบบและวิธีการปฏิบัติในแต่ละขั้นตอน

ผบ.ตร. ยืนยันความปลอดภัย ตำรวจพร้อมรับ “เอเปค 2565”นำศตก. – ผู้แทนสถานทูตฯ ชมซักช้อมแผนเผชิญเหตุ


จำลองสถานการณ์กราดยิง จับตัวประกันในห้าง
โชว์ศักยภาพ ตำรวจท้องที่ ชุดปฏิบัติการพิเศษ แก้ไขปัญหาสถานการณ์วิกฤต

เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 19 กันยายน 2565 ที่ศูนย์การค้าเดอะคริสตัล เอกมัย – รามอินทรา กรุงเทพฯ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ( ผบ.ตร. ) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ( ผบช.น.) ชมการฝึกซ้อมแผนแก้ไขปัญหาสถานการณ์วิกฤตและการเผชิญเหตุ รองรับการประชุมเอเปค 2565 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 18 – 19 พฤศจิกายน 2565 โดยมีคณะผู้แทนสำนักงานรักษาความมั่นคงทางการทูต สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ,สำนักงานรักษาความมั่นคง ทางการทูต สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ประจำประเทศไทย ,สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากล(ศตก.) กองทัพไทย ร่วมชมความฝึก ดูความพร้อมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

โครงการฝึกซ้อมแผนแก้ไขปัญหาสถานการณ์วิกฤตและการเผชิญเหตุ รองรับการประชุมเอเปค 2565 เป็นแนวคิดของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ ฯ ที่มีดำริให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลเตรียมความพร้อมให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และชุดปฏิบัติการพิเศษ ซักซ้อมยุทธวิธีการปฏิบัติต่างๆ ในกรุงเทพฯ รองรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น และสามารถปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำการฝึกซ้อมตั้งแต่วันที่ 16 – 20 กันยายน 256 ที่กองกำกับการต่อต้านการก่อการร้าย กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาล

สำหรับการสาธิตการปฏิบัติการ แผนเผชิญเหตุในสถานการณ์วิกฤตในวันนี้ เป็นการฝึกซ้อมเสมือนจริง ในสถานการณ์สมมติเกิดเหตุคนร้ายก่อเหตุกราดยิง ที่หน้าศูนย์การค้า และยกระดับเป็นจับตัวประกัน โดยถอดบทเรียนจากหลายเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น เช่น กรณีที่ศูนย์การค้าเทอมินอล 21 จังหวัดนครราชสีมา

การปฏิบัติการในสถานการณ์สมมติครั้งนี้ ลำดับเหตุการณ์เริ่มจากคนร้าย 3 คน ก่อเหตุกราดยิง หลบหนีการจับกุมมายังศูนย์การค้า โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.โชคชัย ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่เผชิญเหตุกลุ่มแรกเข้าระงับเหตุ คนร้ายหนีเข้าไปในศูนย์การค้า แล้วยกระดับสถานการณ์เป็นการจับตัวประกัน ตำรวจท้องที่จึง ประสานงานชุดปฏิบัติการพิเศษ ส่งต่อข้อมูลร่วมวางแผนปฏิบัติการก่อนถอนกำลัง เปลี่ยนให้ชุดปฏิบัติการพิเศษเข้าคลี่คลายสถานการณ์จนสามารถช่วยเหลือตัวประกันได้อย่างปลอดภัย โดยชุดปฏิบัติการพิเศษที่ใช้ในปฏิบัติการครั้งนี้ ประกอบด้วย ชุดอรินทราช 26 จากกองบัญชาการตำรวจนครบาล, นเรศวร 261 จากกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน , คอมมานโด จากกองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ, หนุมาน จากกองบังคับการปราบปราม, สยบไพรี จากกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และ ชุดครูฝึกหน่วยปฏิบัติการพิเศษต้นแบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และฝ่ายรักษาความปลอดภัยของศูนย์การค้าฯ

ในปฏิบัติการครั้งนี้ยังจำลองสถานการณ์ คนร้ายหลบซ่อนตัวในศูนย์การค้า หน่วยปฏิบัติการพิเศษเปิดปฏิบัติการค้นหา ใช้เครื่องมือโดรนตรวจสถานการณ์ โดรนจับความร้อน ใช้รถควบคุมสั่งการ หรือ Mobile CCOC การเชื่อมต่อข้อมูลกล้อง CCTV การอพยพช่วยเหลือประชาชน การยิงต่อสู้ การซุ่มยิงระยะไกล การควบคุมสถานการณ์บริเวณโดยรอบที่เกิดเหตุ การเคลื่อนย้ายผู้ได้รับบาดเจ็บในสถานการณ์ฉุกเฉิน การตรวจค้นรถคนร้าย การตรวจสอบและเก็บกู้วัตถุระเบิด ใช้หุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิด การใช้รถถังนิรภัยเก็บกู้ทำลายวัตถุระเบิด การตรวจที่เกิดเหตุโดยสุนัขตำรวจ

การซ้อมแผนฯ ครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากศูนย์การค้าเดอะคริสตัล เอกมัย – รามอินทรา กรุงเทพฯ โดยมีพนักงาน ผู้ค้าในศูนย์การค้าฯ รวมถึงประชาชนที่มาท่องเที่ยวในศูนย์การค้า

พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ กล่าวว่า การฝึกครั้งนี้น่าพอใจ จุดประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการรับการประชุมเอเปค 2565 เพิ่มขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ระดับสถานีตำรวจ และสร้างความมั่นใจต่อนานาชาติ ว่าตำรวจไทยเตรียมตัวอย่างดี และมีศักยภาพในการดูแลความสงบเรียบร้อย

ผบ.ตร. กล่าวด้วยว่า การฝึกซ้อมเพื่อสร้างความพร้อม สร้างทักษะให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยโดยเฉพาะระดับโรงพักที่ต้องเป็นตำรวจคนแรกที่ประสบเหตุ ต้องทำงานได้ภายใต้เครื่องมือที่มีอยู่จริง โดยการฝึกครั้งทำให้เห็นว่ายังมีช่องว่างเล็กน้อยในการปฏิบัติการสื่อสาร ซึ่งจะนำไปปรับปรุง แก้ปัญหาต่อไป โดยการเลือกฝึกซ้อมในสถานที่ศูนย์การค้า เพื่อให้เห็นสถานการณ์จริง เป็นพื้นที่ยากต่อการควบคุม มีประชาชนเดินจับจ่าย ต้องใช้คนจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้ตำรวจได้หลักคิด นำวิธีไปปรับใช้ในสถานการณ์จริง นอกจากเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติแล้ว ยังสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชน สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน เมื่อตกอยู่ ในสถานการณ์วิกฤตสามารถเข้าใจ เรียนรู้ ป้องกัน และเอาตัวรอด รวมทั้งให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่

“ยืนยันว่าในนามรัฐบาลไทย เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทุกฝ่าย ตำรวจ เหล่าทัพ ได้พยายามทำหน้าที่ของตัวเอง ในส่วนเรื่องความปลอดภัย เราพร้อม ขอให้มั่นใจ” ผบ.ตร. กล่าว

กรมศุลกากรจับกุมเนื้อสุกรแช่แข็งลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศน้ำหนักกว่า 35,000 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 7.34 ล้านบาท

วันนี้ (19 กันยายน 2565) เวลา 11.00 น. นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร แถลงข่าว การจับกุมเนื้อสุกรแช่แข็ง น้ำหนักกว่า 35,000 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 7.34 ล้านบาท ณ ห้องโถง อาคาร 1 กรมศุลกากร

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการลักลอบนำเนื้อสุกรและชิ้นส่วนสุกรที่มีถิ่นกำเนิดจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักรไทย กรมศุลกากรจึงให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ต่าง ๆ เข้มงวดในการตรวจค้นจุดที่มีความเสี่ยงในการลักลอบนำเนื้อสุกรและชิ้นส่วนสุกรเข้ามาในประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ASF ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของผู้บริโภค และปกป้องเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรในประเทศ และจากการดำเนินการฯ ในช่วงต้นเดือนกันยายน 2565 สามารถจับกุมการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรและชิ้นส่วนสุกรที่มีถิ่นกำเนิดจากต่างประเทศ ที่มีมูลค่าสูงได้ 3 คดี รวมน้ำหนักประมาณ 35,000 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 7,340,000 บาท มีรายละเอียด ดังนี้

  • เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2565 ช่วงเวลา 04.30 น. เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนปราบปราม
    เคลื่อนที่เร็ว กองสืบสวนและปราบปราม ได้ทำการตรวจสอบรถยนต์บรรทุกพ่วง จำนวน 2 คัน บริเวณ ถนนซอยกิ่งแก้ว 25/1 ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ผลการตรวจสอบพบเนื้อสุกรแช่แข็ง ซึ่งมีเมืองกำเนิดจากต่างประเทศ โดยไม่พบเอกสารเกี่ยวกับการผ่านพิธีการศุลกากร เอกสารใบอนุญาตนำเข้าหรือเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติพิธีการทางศุลกากร น้ำหนักประมาณ 23,000 กิโลกรัม รวมมูลค่าประมาณ 5,000,000 บาท
  • เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2565 เวลาประมาณ 20.00 น. เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนและปราบปราม ส่วนควบคุมทางศุลกากร สำนักงานศุลกากรภาคที่ 4 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรสงขลา ได้ทำการตรวจค้นยานพาหนะรถยนต์บรรทุก 12 ล้อ บริเวณริมถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 (เพชรเกษม) พบเนื้อสุกรแช่แข็ง มีถิ่นกำเนิดจากต่างประเทศ บรรจุอยู่ภายในถุงพลาสติกสีฟ้า โดยไม่พบเอกสารเกี่ยวกับการผ่านพิธีการศุลกากร เอกสารใบอนุญาตนำเข้าหรือเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติพิธีการทางศุลกากร จำนวนประมาณ 12,000 กิโลกรัม รวมมูลค่าประมาณ 2,340,000 บาท

อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวต่ออีกว่า จากสถิติการจับกุมการลักลอบนำเนื้อสุกรและชิ้นส่วนสุกรที่มีถิ่นกำเนิดจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม 2565 ถึงปัจจุบัน มีจำนวนทั้งหมด 5 คดี รวม 43,800 กิโลกรัม มูลค่า 8,940,000 บาท
ทั้งนี้ กรมศุลกากรจะเข้มงวดในการจับกุมผู้ที่ลักลอบนำเนื้อสุกรและชิ้นส่วนสุกรมีถิ่นกำเนิดจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักรไทยเพื่อให้ประชาชนปลอดภัยจากสารปนเปื้อนและเชื้อ ASF อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นให้เกษตรกรสามารถผลิตสุกรไทยออกจำหน่ายและผลักดันให้กลไกทางการตลาดกลับเข้าสู่ภาวะปกติ สำหรับเนื้อสุกรทั้งหมด กรมศุลกากรจะส่งมอบให้กรมปศุสัตว์เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

กรมศุลกากรส่งมอบของกลางสารทำความเย็น เพื่อนำไปทำลาย

วันนี้ (16 กันยายน 2565) เวลา 09.00 น. นายพงศ์เทพ บัวทรัพย์ รองอธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานพิธีเปิดโครงการทำลายของกลางสารทำความเย็นที่อยู่ในกำกับดูแลของกรมศุลกากร และได้ส่งมอบของกลางสารทำความเย็น จำนวน 10,080 ถัง (139.5 ตัน)ให้กับ บริษัท เวสท์ แมเนจเม้นท์ สยาม จำกัด (WMS) เพื่อนำไปทำลาย ที่บริษัท บางปู เอนไวรอนเมนทอล คอมเพล็กซ์ จำกัด โดยมีผู้แทนจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม เข้าร่วมพิธีด้วย

ณ ชั้น 1 อาคารสโมสรศุลกากร กรมศุลกากร

พล.ต.ท.สำราญ ผบช.น.พล.ต.ต.สรเสริญ ผบก.น.6 ร่วมลงนาม MOU กับสำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์

เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 65 เวลา 14.30 น.
พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น.
พล.ต.ต.สรเสริญ ใช้สถิตย์ ผบก.น.6
พ.ต.อ.พันษา อมราพิทักษ์ ผกก.สน.ปทุมวัน ร่วมลงนาม MOU กับสำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการสร้างอาคารที่พักสวัสดิการ 25 ชั้น ให้ตำรวจ สน.ปทุมวัน
ณ อาคาร ชั้น 2 อุทยาน 100 ปี

#สน.ปทุมวัน บก.น.6

#นครบาลใส่ใจเพื่อความปลอดภัยของประชาชน

พล.ต.ท.สำราญ ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อรรถพล ผบก.น.2 ร่วมแถลงข่าวความคืบหน้าในการตรวจค้นตามหมายค้น 20 จุด

วันนี้(ศุกร์ที่16ก.ย.65) เวลา 11.00น. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ ผบก.น.2 , พ.ต.อ.สุรพงค์ ธรรมพิทักษ์ รอง ผบก.น.2 , พ.ต.อ.สุธิศักดิ์ พิริยะภิญโญ ผกก.สน.สุทธิสาร ร่วมแถลงข่าวความคืบหน้าในการตรวจค้นตามหมายค้น 20 จุดและมีผู้ต้องหาตามหมายจับทั้งสิ้น 11 ราย ในคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่นและซ่องโจร สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 14 ส.ค.65 เกิดเหตุยิงปืนเข้าไปในงานแต่งงาน โดยเจ้าบ่าวเป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย จนทำให้มีผู้เสียชีวิต ณ สน.สุทธิสาร/ทีมงานประชาสัมพันธ์

ผบ.ตร. ร่วมวงปาฐกถาและมอบประกาศนียบัตรแก่นิสิตจุฬาฯ ในโครงการ Special LawLAB “การสืบสวนสอบสวนยุค 5G”

หรือ โครงการนำร่องศึกษาเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง(Young Lawyers – Police Engagement Pilot Project) ตามความร่วมมือของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2565 เวลา 13.30 น. ที่ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 ตร. พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ ผบก.สส.บช.น., ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปารีณา ศรีวนิชย์ คณบดี คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, นิสิตคณะนิติศาสตร์ฯ ที่ร่วมโครงการ และกลุ่มครูพี่เลี้ยงจากสถานีตำรวจนครบาล 5 สถานี ประกอบด้วย สน.พญาไท, สน.ห้วยขวาง, สน.บางเขน, สน.บางนา และ สน.พระโขนง ได้ร่วมวงปาฐกถาประสบการณ์ที่น้องๆนิสิตได้ไปดูการปฏิบัติหน้าที่ข้าราชการตำรวจ ร่วมถึงฝึกปฏิบัติงานจริงที่สถานีตำรวจ

โดยในช่วงแรกให้นิสิตฯ ที่ไปดูการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ และฝึกปฏิบัติงานจริง ตามสายงานต่างๆ เช่น งานสอบสวน งานป้องกันปราบปราม งานสืบสวนสอบสวน งานจราจร ได้เล่าถึงประสบการณ์การทำงาน ซึ่งน้องๆได้กล่าวถึงปัญหาปัญหา อุปสรรค และข้อขัดข้องที่เกิดขึ้นจริง ในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ เช่น ปัญหาด้านกำลังพลที่มีไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน ด้านการบังคับใช้กฎหมายต้องคำนึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแต่อาจไม่ตรงตามหลักทฤษฎี ประชาชนไม่ทราบเขตอำนาจสอบสวนของแต่ละ สน. รวมถึงขาดการพัฒนาทางเทคโนโลยี ซึ่งน้องๆที่เข้าร่วมโครงการกล่าวว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดี ทำให้ได้รับทราบถึงปัญหา ข้อขัดข้องการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ โดยอยากให้จัดโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง แต่อยากให้จัดในช่วงของการปิดภาคการศึกษา และเพิ่มระยะเวลาการฝึกให้มากกว่านี้ เพราะการฝึกแต่ละสายงานมีรายละเอียดค่อนข้างมาก พร้อมได้กล่าวขอบคุณคณะครูพี่เลี้ยง ที่ดูแลเรื่องความปลอดภัยให้เป็นอย่างดีขณะที่ฝึกปฏิบัติงาน

ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ ได้กล่าวปาฐกถาตอนท้ายว่า รู้สึกดีใจแทนข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ เพราะอยากให้พี่น้องประชาชน ซึ่งน้องๆนิสิตเสมือนเป็นตัวแทนประชาชนได้เข้าใจการปฏิบัติหน้าที่ว่าตำรวจทำอะไรบ้าง ในขณะเดียวกันก็ต้องการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน อยากให้น้องๆมีความทรงจำที่ดีจากการเข้าร่วมโครงการนี้ พร้อมยอมรับว่าตำรวจมีปัญหาจริง เช่น ด้านกำลังพล ก็ต้องมีการปรับแก้กันไป ยกตัวอย่างหากเกิดเหตุแล้วกำลังสายตรวจไประงับเหตุแต่ไม่เพียงพอ ฝ่ายสืบสวน ฝ่ายจราจร ก็ต้องไประงับเหตุด้วย รวมถึงการฝึกยุทธวิธีด้านต่างๆอย่างการใช้ไม้ง่ามในการระงับเหตุ ด้านการพัฒนาทางเทคโนโลยี เช่น การพิมพ์ลายนิ้วมือ กำลังมีโครงการติดตั้งเครื่องสแกนลายนิ้วมือซึ่งสามารถตรวจสอบประวัติได้ด้วย โดยเบื้องต้นจะเริ่มต้นที่ บช.น. ท้ายสุด พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ ได้กล่าวว่ายุคสมัยนี้ “ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ที่อยู่ในความรับผิดชอบ แล้วตำรวจไทยไม่มีความพยายามทำให้ได้” ก่อนขึ้นมอบประกาศนียบัตรให้แก่นิสิตฯ ที่เข้าร่วมโครงการฯ

บิ๊กปั๊ด สะบัดปากกาลงนามคืนตำแหน่งรองผบ. ตร.ให้ พล.ต.อ.วิระชัยกับตำแหน่งรองผบ.ตร.

คืนสู่ฐานะเดิมก่อนและให้ถือว่าไม่เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างถูกสอบสวนนับตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2565 เป็นต้นไป

วันที่ 15 ก.ย. มีรายงานว่าด้วย ตร. มีคำสั่ง 410/2565 ลง 14 ก.ย. 65 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจกลับคืนสู่ฐานะเดิมด้วย พลตำรวจเอก วิระชัย ทรงเมตตา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีกรณีถูกสอบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 383/2563 ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 222/2564 ลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 ลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2565 และคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 69/2565 ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565

โดยถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง กรณีบันทึกเสียงสนทนาทางโทรศัพท์ หลังจากนั้นได้มีการส่งต่อคลิป เสียงสนทนาดังกล่าวให้กับบุคคลที่ 3 และภายหลังปรากฏว่าได้มีผู้เผยแพร่คลิปเสียงสนทนาดังกล่าวต่อสื่อมวลชนหลายแขนงและกรณีให้ข่าวสัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนกับการสืบสวนสอบสวนคดีอาญา
เนื่องจากการพิจารณาสั่งการทางวินัยยังไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาตามมาตรา 87 วรรค 2 แห่งพระราชบัญญัติ ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2547 จึงให้ พลตำรวจเอก วีระชัย ทรงเมตตา กลับคืนสู่ฐานะเดิมก่อนและให้ถือว่าไม่เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างถูกสอบสวนนับตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2565 เป็นต้นไป จนกว่าการพิจารณาสั่งการจะเสร็จสิ้นและมีคำสั่งสั่งนะวันที่ 14 กันยายน 2565
พลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในขณะเดียวกันสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตสำนักงานอัยการสูงสุดมีหนังสือที่ อส0040/579 ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2565 แจ้งเรื่องผลคดี พลตำรวจเอก วีระชัย ทรงเมตตา ตามคดีอาญาที่ 53/2563 ของกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม คดีระหว่าง สำนักงานกฎหมายและคดีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กมค ผู้กล่าวหา กับพลตำรวจเอก วีระชัย ทรงเมตตา ผู้ถูกกล่าวหาในความผิดฐาน กระทำการใดๆ เพื่อดักรับไว้ใช้ประโยชน์หรือเปิดเผยข้อความข่าวสารหรือข้อมูลใดที่มีการสื่อสารทางคมนาคมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และดักฟังใช้ประโยชน์หรือเปิดเผยซึ่งข้อความที่มีการติดต่อทางโทรศัพท์หรือเครื่องมือสื่อสารใดโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นเจ้าพนักงานรู้หรืออาจรู้ความลับในราชการกระทำใดๆอันนี้ชอบด้วยหน้าที่ให้ผู้อื่นล่วง รู้ความลับนั้นสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตสำนักงานอัยการสูงสุดได้ดำเนินการตรวจสอบแล้วขอเรียนว่าอาทิตย์บดีอัยการสำนักงานคดีปราบปรามทุจริตได้มีคำสั่งไม่ฟ้อง พลตำรวจเอก วีระชัย ทรงเมตตา ผู้ต้องหาในความผิดฐานดังกล่าวข้างต้นแล้วคดีอยู่ระหว่างเสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 145/1

“พล.ต.ท.สุรเชษฐ์” และผอ.สนง.สลากฯนำทีมบุกรวบ แพลตฟอร์มไดมอนด์ ล็อตเตอรี่ 


จากกรณี พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ร่วมกับ พ.ท.หนุน ศันสนาคม ผอ.สนง.สลากกินแบ่งรัฐบาล นำทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ จนท.กองสลากฯ เปิดปฏิบัติการตรวจสอบ สืบสวน และดำเนินคดีกับบริษัทหรือผู้ประกอบการที่มีพฤติกรรมในการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลผ่านระบบแพลตฟอร์มของตนเองทางออนไลน์ในราคาสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือมีพฤติกรรมนำสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ตนเองไม่มีอยู่จริง (สลากทิพย์) มาจำหน่ายให้กับประชาชน

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมดำเนินคดีกับผู้บริหารหรือเจ้าของบริษัทที่มีพฤติกรรมดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องจำนวนหลายราย มีทั้งบุคคลที่มีชื่อเสียง ดารานักแสดง ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียนำเสนอแล้ว นั้น

ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า มีกลุ่มบุคคลหรือแพลตฟอร์มใช้ชื่อว่า “ไดมอนด์ล็อตเตอรี่” มีพฤติการณ์ในการจำหน่ายสลากเกินราคา และนำเอาภาพสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ไม่มีอยู่จริงมาจำหน่ายแก่ประชาชน  มีการนำโลโก้ของแพลทฟอร์มของตนเองมาปกปิดบาร์โค้ด และอัตลักษณ์ประจำของตัวสลากกินแบ่งรัฐบาล

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ฯ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7 , พล.ต.ต.ปรีดา อิ่มเจริญ ผบก.ศฝร.ภ.7,พล.ต.ต.วันชัย ธารณธรรม ผบก.ภ.จว.ประจวบคีรีขันธ์ และพ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย รอง ผบก.สส.ภ.4 พร้อมชุดปฏิบัติการปราบปรามฯ ร่วมกับ นายทวีป วุฒิบาทุกาจิตต์ รอง ผอ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เร่งทำการสืบสวน ตรวจสอบโดยเร่งด่วน

จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า แพลตฟอร์ม “ไดมอนด์ล็อตเตอรี่” มีนายวิชัย กุนโรมจันทร์ อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 17/4 หมู่ 8 ต.ช้างแรก อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นเจ้าของแพลทฟอร์ม มีพฤติกรรมในการนำเอาภาพสลากกินแบ่งรัฐบาลมาจำหน่ายภายในแพลตฟอร์มของตนเอง ผ่านระบบแอปพลิเคชั่น Line Official (OA) โดยจะนำโลโก้ของแพลทฟอร์มของตนเองมาปกปิดบาร์โค้ด และอัตลักษณ์ประจำของสลาก นำมาจำหน่ายในราคาฉบับละ 100 บาท และเมื่อมีผู้สั่งซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลใบที่ต้องการ ก็จะไม่มีสลากตัวจริงมอบให้กับผู้ซื้อ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้ตรวจพบว่า ภาพสลากที่ถูกจำหน่ายนี้มีบางฉบับมีการเสนอจำหน่ายอยู่ในอีกแพลตฟอร์มหนึ่ง โดยที่แพลตฟอร์มนั้นมีสลากกินแบ่งตัวจริงให้กับผู้ซื้อ พฤติการณ์ดังกล่าวจึงเข้าข่ายการหลอกลวงจำหน่ายสลากกินแบ่งให้กับประชาชนโดยไม่มีสลากจริง

ต่อมาเมื่อวันที่ 14 ก.ย.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการฯ สามารถจับกุม นายวิชัยฯ ผู้ต้องหา ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันลักลอบจัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินรวบโดยเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต  ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ดำเนินคดีตามกฎหมาย

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ฯ กล่าวว่า การดำเนินคดีกับผู้ค้าสลากในคราวนี้ เจ้าหน้าที่ตรวจพบการกระทำผิดในลักษณะที่มีการนำเอาภาพสลากกินแบ่งนำมาเสนอขายเกินราคาในแพลตฟอร์มของตัวเอง อีกทั้งยังเป็นภาพสลากที่ถูกปิดบังบาร์โค้ดเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบ ซึ่งเป็นการส่อเจตนาทุจริต และหลังจากการตรวจสอบเพิ่มเติมของเจ้าหน้าที่ สามารถยืนยันได้ว่า เป็นสลากที่มีการเสนอขายในแพลตฟอร์มอื่นอยู่แล้ว จึงต้องสั่งการให้มีการดำเนินคดีโดยเร่งด่วน เพื่อมิให้มีประชาชนตกเป็นเหยื่อและหลงเชื่อกลลวงเช่นนี้อีก และจะยังมีการตรวจสอบแพลตฟอร์มที่มีพฤติการณ์ลักษณะนี้เพื่อนำมาดำเนินคดีอย่างต่อเนื่องต่อไ

 นายทวีป วุฒิบาทุกาจิตต์ รองผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า  ปัจจุบัน สำนักงานสลากฯ ได้มีการจำหน่ายสลากในระบบดิจิทัล สามารถซื้อผ่านแอปฯเป๋าตังได้  โดยระบบจะบันทึกชื่อผู้ซื้อไว้อย่างชัดเจน เมื่อถูกรางวัล เงินรางวัลจะโอนเข้าบัญชีผู้ซื้อ หรือหากจะไปขึ้นเงินรางวัลเอง ก็มีขั้นตอนที่สะดวก ง่าย ไม่ยุ่งยาก  โดยในงวด 1 ตุลาคม 2565 จะเพิ่มสลากเข้าไปในระบบดิจิทัลเป็น 12,879,500 ฉบับ พร้อมกันนั้น ก็ได้เพิ่มจุดจำหน่ายสลาก 80 เป็น 1,076 จุด กระจายอยู่ทั่วประเทศและในระยะต่อไป จะมีการจำหน่ายที่จุดบริการน้ำมันทั่วประเทศด้วย

ส่วนจะมีการจำหน่ายสลากทิพย์ หรือ นำสลากจากที่จำหน่ายในระบบดิจิทัล ฯ ไปขายในแพลตฟอร์มอื่นนั้น ไม่สามารถทำได้ เพราะ เมื่อเจ้าหน้าที่นำสลากสแกนลงแพลตฟอร์ม และประชาชนกดซื้อผ่านแอปฯ เป๋าตัง ตัวสลากจะไปอยู่ในประวัติการซื้อในแอปฯ เป๋าตัง ของผู้ซื้อ ไม่สามารถโอนสิทธิเปลี่ยนมือการขึ้นรางวัลไปให้บุคคลอื่นได้  หรือกรณีหากจะมารับสลากฯ ที่สำนักงานฯ ก็จะต้องใช้ชื่อผู้ซื้อยืนยันตัวตนในการมารับสลากฯ  ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนซื้อสลากดิจิทัลโดยตรงผ่านแอปฯเป๋าตังเท่านั้น ซึ่งระบบมีความปลอดภัย และสามารถขึ้นเงินรางวัลได้อย่างแน่นอน

“ ตำรวจไซเบอร์ขยายผลทลายเครือข่ายคดีหลอกลงทุน Turtle Farmจับกุมผู้ต้องหาเพิ่มเติม ตรวจยึดของกลางกว่า 100 ล้านบาท ”

ตามนโยบายของรัฐบาล โดย ฯพณฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการชักชวนหลอกลวงให้ลงทุนออนไลน์ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าเป็นภัยออนไลน์ที่ได้สร้างความเสียหายมากที่สุดเป็นอันดับ 1 หรือคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของมูลค่าความเสียหายจากการถูกหลอกลวงทั้งหมด

วันนี้ (15 ก.ย.65) เวลา 11.00 น. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.มนเทียร พันธ์อิ่ม รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.รณชัย จินดามุข ผบก.สอท.1, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง ผบก.สอท.3, นายปิยะ ศรีวิกะ ผู้อำนวยการกองคดี 2 สำนักงาน ปปง. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงข่าวกรณีการขยายผลทลายเครือข่ายหลอกลงทุน Turtle Farm จับกุมผู้ต้องหา และตรวจยึดของกลางเป็นจำนวนมาก มีรายละเอียดดังนี้

ตามที่เมื่อวันที่ 5 ส.ค.65 กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้แถลงผลการทลายเครือข่ายหลอกลงทุน Turtle Farm จับกุมผู้ต้องหาที่ได้หลอกลวงชักชวนประชาชนให้ร่วมลงทุนปลูกเห็ด กัญชา พืชกระท่อม เลี้ยงผึ้ง ฯลฯ โฆษณาผ่านแพลตฟอร์มสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ โดยอ้างว่าผู้ที่เข้าร่วมลงทุนจะได้ผลตอบแทนเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ต่อมาผู้ต้องหากับพวกอ้างเหตุขัดข้องต่างๆ ไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนให้กับผู้เสียหายได้ ผู้เสียหายจึงแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตามกฎหมาย จากนั้นพนักงานสอบสวนปากคำผู้เสียหาย และรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขออนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 9 ราย

ผลการปฏิบัติสามารถทำการจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 4 ราย อยู่ระหว่างหลบหนี 5 ราย และสามารถอายัดเงินในบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องกว่า 72 บัญชี อายัดเงิน ได้กว่า 17.5 ล้านบาท นั้น
ต่อมาในระหว่างเดือน ส.ค.65 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. สามารถทำการจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับ ได้เพิ่มเติมอีก 2 ราย รวมจับกุมผู้ต้องหาได้ 6 ราย อยู่ระหว่างหลบหนี 3 ราย
กระทั่งจากการสืบสวนขยายผลพบว่า บริษัท พี เอ็น ดิจิทัล มาเก็ตติ้ง ออนไลน์ จำกัด มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับบริษัท ไมน์นิ่งมายน์ เอ็กซ์ จำกัด และ หจก. สถานีหลักสี่ ของกลุ่มผู้ต้องหา โดยถูกว่าจ้างให้ทำการโฆษณา สร้างภาพลักษณ์ สร้างความน่าเชื่อถือ หลอกลวงประชาชนให้มาร่วมลงทุน โดยได้รับเงินจากกลุ่มผู้ต้องหากว่า 72 ครั้ง รวมเป็นเงิน 134 ล้านบาท พงส. จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญามีนบุรีขออนุมัติศาลออกหมายค้นสถานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 2 จุด คือ
1.บ้านแห่งหนึ่งในพื้นที่ แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ ตรวจยึดของกลาง 57 รายการ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์, สมุดบัญชีธนาคาร, บัตรกดเงินอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องประดับทองคำ, นาฬิกา, โฉนดที่ดิน และเงินสด จำนวน 10.6 ล้านบาท
2.บ้านแห่งหนึ่งในพื้นที่ แขวงคลองสามวา เขตสามวาตะวันตก กรุงเทพฯ ตรวจยึดของกลาง ตู้นิรภัยบรรจุเงินสด จำนวน 88 ล้านบาท รถยนต์ ยี่ห้อ ปอร์เช่ (Porsche) สีส้ม รุ่น Boxster PDK 1 คัน
รวมผลการตรวจค้น ทั้ง 2 จุด ตรวจยึดของกลางกว่า 56 รายการ เงินสดรวม 98.6 ล้านบาท

ปัจจุบัน มีผู้เสียหายแจ้งความผ่านระบบรับแจ้งความออนไลน์ที่เว็บไซต์ thaipoliceonline.com กว่า 2,702 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 1,650 ล้านบาท

อนึ่งผู้ต้องหาที่หลบไปนอกราชอาณาจักร พงส.ได้ทำหนังสือติดตามแหล่งที่อยู่ของผู้ต้องหาเพื่อประกอบคำร้องขอเป็นผู้ร้ายข้ามแดน และคำร้องขอออกหมายตำรวจสากลสีแดง (INTERPOL Red Notice) ไปยังกองการต่างประเทศ แล้วส่วนหนึ่ง ซึ่งจะได้ติดตามประสานงานนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ การปฏิบัติการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ บช.สอท. ยังคงมุ่งเน้นที่จะสนองนโยบายของรัฐบาล เร่งดำเนินการปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง มีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรม คำนึงถึงความเดือดร้อน และอำนวยความยุติธรรมของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ

Design a site like this with WordPress.com
Get started