ฝ่ายความมั่นคงอำเภอดอนตาล จับกุมผู้ต้องหาเสพยาเสพติด เกินขนาด หลอนอาละวาดไล่ ทำร้ายร่างกายพ่อแม่พี่น้องประชาชน

น ส พ เบาะแสอาชญากรรม
ศูนย์ข่าวมุกดาหาร อำเภอดอนตาล


ภายใต้อำนวยการของนายชาคริต ชุมจันทร์ นายอำเภอดอนตาล เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2565 เวลา 14.00 น.นายชาคริต ชุมจันทร์ นายอำเภอดอนตาล มอบหมายให้นายเอกพงษ์ ขวานคร ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง นายศักดิ์สิทธิ์ วงค์ศรีทา ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง นำสมาชิก อส. ดอนตาลที่ 5 บูรณาการร่วมกับ ชุดทหารพรานที่ 2110 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ป่าไร่ ลงพื้นที่ตรวจสอบ กรณีมีประชาชนร้องเรียนว่าถูกทำร้ายร่างกาย จากผู้ป่วยจิตเวช ซึ่งมีอาการประสาทหลอนจากการเสพยาเสพติด จากการปฎิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 ราย ทราบชื่อ นายเชิดศักดิ์ โมลิพันธุ์ อายุประมาณ 30 ปี ที่อยู่เลขที่ 72 หมู่ที่ 6 บ้านโนนสวาท ต.ป่าไร่ อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร เบื้องต้นผลการตรวจปัสสาวะเป็นสีม่วง จึงได้แจ้งข้อหา ทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยเจตนา และเสพสารเสพติดให้โทษประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน จากนั้นจึงได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ป่าไร่ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ภาพ ข่าวโดย ณิชยา ช่วยตา

สุดารัตน์ คนไว ทีมงานเบาะแสอาชญากรรม
เหยี่ยวข่าวพญายม รายงาน

เมืองไม้ขมรายงานพิเศษเมื่อสภาพัฒน์ฯ ทำตัวแบบมีธงในการขับเคลื่อนโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ

นอกจาก”เอ็นจีโอ” แล้ว ใครคือ”ไอ้โม่ง” ที่อยู่ เบื้องหลัง และ รักษาการ”นายกรัฐมนตรี” จะ แก้ปัญหานี้อย่างไร
การลงพื้นที่ของ เจ้าหน้าที่จาก สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ( สศช.)โดยส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ เพื่อดำเนินการ”ขับเคลื่อน” โครงการ”เมืองต้นแบบที่ 4 “ หรือ “นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” ซึ่งเป็น โครงการการสร้างเมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่เป็นการลงทุนของ”เอกชน” โดยการ”สนับสนุน” ของ รัฐบาล ที่มี วัตถุประสงค์ เพื่อการ “พัฒนา” จังหวัดชายแดนภาคใต้ และที่สำคัญ เป็น”เกตเวย์” หรือ”ท่าเรือ” เพื่อการส่งออกที่เป็น”ประตู”ที่ 3 ของประทศสู่โลกภายนอก เพื่อการ “แข่งขัน” กับนานาประเทศ ที่เป็น”คู่แข่ง” ของประเทศไทย
ซึ่งการเริ่มเข้ามา”ขับเคลื่อน” โครงการ”นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” โดยการที่ “สสช. ส่ง เจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่ เพื่อจัดทำรายงานการศึกษาระดับยุทธศาสตร์ หรือ “SEA “ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564 ได้สร้างความ”ดีใจ” กับคนส่วนใหญ่ของ อ.จะนะ ไม่เฉพาะแต่คนในพื้นที่ 3 ตำบล คือ นาทับ,สะกอม,และ ตลิ่งชัน ที่เป็นพื้นที่ตั้งของโครงการ เพราะคนทั้ง อ.จะนะ เชื่อว่า ถ้าโครงการ”เมืองต้นแบบที่ 4 “หรือ”นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” เกิดขึ้นได้จริง ต้องส่งผลถึงผู้คนใน หลายสาขาอาชีพ ของคน”จะนะ”แ ละใกล้เคียงด้วย
แต่…ประชาชนที่ ต้องการเห็นการเกิดขึ้นของ”นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” เริ่มไม่แน่ใจว่าการลงพื้นที่ของ “เจ้าหน้าที่ชุดนี้จาก”สภาพัฒน์” เพื่อทำเรื่อง” SEA” จะเป็นการมาเพื่อการ”ขับเคลื่อน” ให้โครงการนี้เกิดขึ้น เพื่อการ พัฒนาภาคใต้ หรือมาเพื่อการทำ “SEA” เพื่อให้หยุดโครงการดังกล่าวกันแน่
เพราะกลุ่มประชาชนที่ สนับสนุนโครงการ “นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” พบความไม่”ชอบมาพากล”ที่เกิดขึ้นจาก เจ้าหน้าที่ ผู้ทำหน้าที่ จัดทำรายงานการศึกษาระดับยุทธศาสตร์ ที่มีความ”ไม่เป็นกลาง” ไม่ได้ให้ความสำคัญกับ ประชาชนฝ่ายที่สนับสนุนโครงการ ในการ พบปะ พูดคุย เพื่อรับฟัง ข้อมูล ความเห็น ของฝ่ายที่ สนับสนุน แต่ในขณะเดียวกัน ประชาชนที่สนับสนุนโครงการ พบว่า เจ้าหน้าที่ จาก “สภาพัฒน์” ให้ความสำคัญ กับ กลุ่มคน”ส่วนน้อย” ที่มี “เอ็นจีโอ” ทั้งที่อยู่ใน”เครื่องแบบ” ของ “ข้าราชการ”ที่เป็นฎ”เอ็นจีโอ” และ อื่นๆ ให้การ”หนุนหลัง” ในการ “คัดค้าน”โครงการดังกล่าว
มี”เอ็นจีโอ” และ “ข้าราชการ” ที่เป็น”เอ็นจีโอ” เป็นผู้จัดทำ แผน เพื่อให้ เจ้าหน้าที่จาก”สภาพัฒน์” ในการ พบกับกลุ่มผู้คัดค้าน เพื่อการให้ข้อมูลอย่างเป็นระบบ ซึ่งมี “เอ็นจีโอ” เป็นผู้ จัดทำให้ โดยอาศัย หลัก”วิชาการ” ซึ่ง ประชาชนที่ไม่อยู่ใน”เครือข่าย” ของ”เอ็นจีโอ” ทำไม่เป็น จนกลายเป็น”จุดได้เปรียบ” และ”เสียเปรียบ” ที่กำลังเกิดขึ้นจากการลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่”สภาพัฒน์ฯ” ในครั้งนี้
ล่าสุด ฝากฝั่ง ประชาชน ผู้ สนับสนุนโครงการ “นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” มีการ “เคลื่อนไหว” เพื่อ”ต่อต้าน” ความ”ไม่ชอบมาพากล” ของการจัดทำ SEA ในครั้งนี้ ด้วยการเดินทางมายื่นหนังสือกับ สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ต.เขารูปช้าง อ.เมือง จ.สงขลา และยื่นหนังสือกับ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เพื่อร้องเรียนถึง “พฤติกรรม” ของ เจ้าหน้าที่จาก”สภาพัฒนฯ” ไปยัง เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ และ นายกรัฐมนตรี เพราะ สิ่งที่เกิดขึ้น มีความไม่เป็นธรรมกับ ประชาชน กลุ่มที่ให้การ สนับสนุนโครงการ และต้องการเห็นการ พัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อแก้ปัญหา เศรษฐกิจตกต่ำ การว่างงานของคนในพื้นที่ และ บุตร หลาน ที่จบการศึกษาแล้ว “ตกงาน” เป็นจำนวนมาก เพราะในพื้นที่ของภาคใต้ตอนล่าง ไม่มีการพัฒนาในโครงการ”อุตสาหกรรม”ขนาดใหญ่ไว้รองรับ
นางมณี อนันทบริพงษ์ แกนนำประชาชน ที่สนับสนุน ให้เกิด”นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” กล่าวว่า พฤติกรรม” และ วิธีการของ เจ้าหน้าที่จาก “สภาพัฒนฯ” ที่ ลงมาเพื่อทำ “SEA “ครั้งนี้ ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ไม่ครอบคลุมกลุ่มคนในทุก สาขาอาชีพ มีการ เน้นใน กลุ่มอาชีพประมงพื้นบ้านที่เป็น”คัดค้าน โครงการนี้ตั้งแต่ต้น แต่ ละเลยกลุ่ม อื่นๆ ทั้งหมด การลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ มีผู้นำที่”คัดค้าน”โครงการเป็นผู้ กำหนด “เส้นทาง” กำหนดจุด”นัดหมาย” ที่ชัดเจน เพื่อ “ชี้นำ “ในการให้ ข้อมูล ซึ่ง ประชาชนส่วนใหญ่ใน 3 ตำบลรับไม่ได้ จึงต้องมาร้องเรียน ให้ ผู้บริการของ”สภาพัฒน์ฯ และ รัฐบาล ได้รับทราบ เพราะ พฤติกรรม ที่เกิดขึ้น เหมือน เจ้าหน้าที่”มีธง” ล่วงหน้า ว่าต้องการให้ ผลของรายงานออกมาในฝั่งไหน
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา สำหรับโครงการ “เมืองต้นแบบที่ 4” อ.จะนะ หรือ “นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” ที่ชักจะมองเห็นแล้วว่า นอกจากจะมี”แรงต้าน” จาก”เอ็นจีโอ” ที่ ต้านทุกเรื่องที่เกิดขึ้นใน จ.สงขลา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยังมี “กลุ่มทุน” นอกพื้นที่ อีก กลุ่มหนึ่ง ที่มี “อิทธิพล”ในวงการ”อุตสากรรม” ที่เข้ามา”ขัดขวาง” เพื่อมิให้ โครงการนี้ “เดินหน้า” เพราะหาก”นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” มีความ”สำเร็จ” อาจจะกระทบกับ โครงการของ กลุ่มทุน กลุ่มนี้นั่นเอง
รัฐบาล จะดำเนินการอย่างไรกับความ”ไม่ชอบมาพากล” ที่เกิดขึ้น ซึ่งถ้าเป็นไปตามที่ กลุ่มประชาชน ที่ออกมา กล่าวหา เจ้าหน้าที่จาก “สภาพัฒนฯ” รัฐบาล ต้องมีการสั่งให้ “สภาพัฒน์” หรือ “ผู้ว่าราชการจังหวัด” ตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะว่าการจัดทำ”SEA” เป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆของโครงการ ถ้ามีความ”ไม่ชอบมาพากล” มีความ”ลำเอียง” มี” เบื้องหน้าเบื้องหลัง”ตั้งแต่เริ่มต้น ก็เหมือกับการ”ใส่เสื้อ” ที่ “กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด” ผลการรายงานที่ออกมา ก็จะ”ผิดพลาด” ที่เป็นความเสียหายต่อการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และทำให้”เสียโอกาส” ของคนในพื้นที่
เรื่องนี้ รักษาการนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( กพต.) พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ ต้อง เร่งใช้โอกาสในการ “รักษาการ” นายกรัฐมนตรี สั่งให้มีการ ตรวจสอบข้อเท็จจริงของการทำหน้าที่ของ เจ้าหน้าที่ “สภาพัฒนฯ” ที่ลงพื้นที่ในการทำ SEA โดยเร็ว เพื่อให้มีความ”ถูกต้อง” และ”เป็นธรรม” กับ ทุกฝ่าย

ตำรวจ PCT ประสานกัมพูชา ล่าแก็งค์คอลเซ็นเตอร์เพิ่มอีก 59 ราย ส่งไทยดำเนินคดี

วันนี้ (2 ก.ย.65) เวลา 13.30 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT: Police Cyber Taskforce , พล.ต.อ.ปรีชา เจริญสหายนนท์ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร.,พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.ภ.8หน.ชุดปฏิบัติการPCT ชุดที่1 ,พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม. ร่วมแถลงจับกุมเครือข่ายแก็งค์คอลเซนเตอร์ในกัมพูชาเพิ่มอีก 59 ราย เตรียมส่งไทยดำเนินคดี
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 29 ก.ค. 65 ที่ผ่านมา ตำรวจ PCT เปิดปฏิบัติการร่วมกับตำรวจกัมพูชาทลายเครือข่ายแก็งค์คอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งฐานปฏิบัติการกลางเมืองพระสีหนุ ประเทศกัมพูชาจับกุมผู้ต้องหา 94 ราย และนำตัวกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น
ล่าสุดได้สั่งการให้ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.ภ.8 หน.ชุดปฏิบัติการ PCT ชุดที่ 1 ,พ.ต.อ.สถิตย์ พรหมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พาหะกิจ ผกก.(สอบสวน) บก.สส.สตม.พร้อมกำลังตำรวจ PCT สืบสวนขยายผลถอนรากถอนโคนขบวนการนี้ให้หมดไป จนได้พยานหลักฐานนำไปขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มได้อีก 59 ราย
รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า ได้ประสานงานตรงไปยัง ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของตำรวจกัมพูชา และส่งกำลังตำรวจ PCT เข้าร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ นำโดย พ.ต.อ.รัฐโชติ โชคิคุณ รอง ผบก.สส.สตม. นัดหมายในวันที่ 29 ส.ค.65 เข้าทำการตรวจค้นพร้อมกัน จำนวน 2 จุด ในเมืองพระสีหนุ และเมืองกันดาล ประเทศกัมพูชาดังนี้
จุดที่ 1 อาคารในเมืองพระสีหนุ ซึ่งเครือข่ายกลุ่มนี้มีแผนประทุษกรรมหลอกลวงคนไทยฝั่งประเทศไทยให้ทำการลงทุนตามภารกิจ ในเครือข่ายของแอพพลิเคชั่น tiktok มีประชาชนได้รับความเสียหายเป็นมูลค่ากว่า 50 ล้านบาท ที่เกิดเหตุพบคนไทย 19 ราย เป็นบุคคลตามหมายจับ 15 ราย และไม่มีหมายจับอีก 4 ราย ซึ่งทั้งหมดทำงานเป็นพนักงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การหลอกลงทุนโดยใช้แอพพลิเคชั่นชื่อว่า tt(tiktok ปลอม) โดยเป็นให้ทำภารกิจตามที่พนักงานคอลเซนเตอร์(admin) แนะนำ(เป็นภารกิจการกดหัวใจ ในแอพที่คนร้ายส่งมา, และภารกิจทายผลลูกเต๋าในแอพปลอม) โดยอ้างว่าจะได้ค่าตอบแทน ซึ่งในครั้งแรกๆ ก็จะได้รับผลตอบแทนจริง
แต่เมื่อลงทุนเยอะขึ้นปรากฎว่าไม่สามารถถอนเงินออกได้ โดยคนร้ายอ้างว่าต้องฝากเงินเพิ่มจึงจะถอนเงินได้ แต่เมื่อเหยื่อฝากเงินไปแล้ว ก็ไม่สามารถถอนเงินได้จริง

จุดที่ 2 อาคารในเมืองกันดาล ซึ่งเป็นจุดที่ตั้งของกลุ่มคนจีนร่วมกับคนไทย จัดตั้งศูนย์คอลเซ็นเตอร์ ในลักษณะแอบอ้างเป็นพนักงานไปรษณีย์ไทย ,บริษัท DHL และแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แหลมฉบัง มีประชาชนได้รับความเสียหายมูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท ผลการตรวจค้นพบคนไทยซึ่งเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ตามหมายจับกว่า 40 ราย
สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 59 รายนั้น อยู่ระหว่างรอการส่งกลับไทยมาดำเนินคดี ซึ่งตำรวจ PCT จะไปรอรับตัวที่ชายแดน จ.สระแก้ว เพื่อซักถามปากคำผู้ต้องหา และหลังจากเสร็จสิ้นการขยายผลแล้ว จะมีพนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่ตำรวจมารับตัวผู้ต้องหาไปดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป
ผอ.PCT กล่าวอีกว่า รัฐบาลมีความห่วงใยปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งปัจจุบันได้สร้างความเสียหายไปแล้วนับตั้งแต่ ต.ค.64 – ปัจจุบันคิดเป็นมูลค่ากว่า 1,136 ล้านบาท สร้างความเดือดให้กับประชาชนอย่างมาก สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งปราบปรามและหาทางป้องกันอย่างจริงจังและยั่งยืน จึงอยากฝากเตือนประชาชนให้มีสติคิดก่อนจะโอนเงินให้ใคร หากผู้เสียหายที่ยังไม่ได้ร้องทุกข์สามารถแจ้งความในระบบรับแจ้งความออนไลน์ได้ที่ http://www.thaipoliceonline.com หรือพบเบาะแสเกรงจะตกเป็นเหยื่อสามารถปรึกษาได้ที่ สายด่วน บช.สอท. 1441 หรือ ศูนย์ PCT 081-8663000 ผู้เสียหายสามารถ และสามารถติดตามรูปแบบการประชาสัมพันธ์กลโกงได้ที่ pctpr.police.go.th

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร (ศจร.ตร.) แถลงกฎหมายจราจรฉบับใหม่เริ่มใช้ 5 กันยายน 2565

ตำรวจแถลงกฎหมายจราจรฉบับใหม่เริ่มใช้ 5 กันยายน 2565
พร้อมมอบรางวัลประชาชนส่งคลิปกล้องหน้ารถ ในโครงการอาสาตาจราจร รวม 50,000 บาท

วันนี้ (2 ก.ย. 65) เวลา 10.30 น. ณ ห้องศรียานนท์ โซนซี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร (ศจร.ตร.) ,พล.ต.อ.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. , พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น., พร้อมด้วย นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ, คุณกานดา วัฒนายิ่งสมสุข ที่ปรึกษา ฝ่ายการตลาด บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ผู้แทนสถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.91 และ สถานีวิทยุ จส.100 ร่วมแถลงผลการมอบรางวัลและเกียรติบัตร โครงการอาสาตาจราจร ประจำเดือน ก.ค. 65 ให้แก่ เจ้าของคลิปกล้องหน้ารถที่บันทึกอุบัติเหตุและเหตุการณ์ขับขี่ฝ่าฝืนกฎหมายสำคัญ และส่งให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย รวมจำนวน 10 คลิป เงินรางวัลรวมจำนวน 50,000 บาท โดยมีบริษัท วิริยะฯ สนับสนุนเงินรางวัล โดยคลิปสำคัญ มีดังนี้

คลิปรางวัลที่ 1 เป็นคลิปอุบัติเหตุบนถนนพหลโยธิน กรณีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งขับขี่แทรกมาชนกับรถจักรยานยนต์ไรเดอร์ และไปชนรถยนต์อีก 2 คันด้วย ขณะเดียวกันผู้ขับขี่จักรยานยนต์คันที่ขี่แทรกมานั้น ได้จับรถจักรยานยนต์ของไรเดอร์ แต่มือไปโดนคันเร่ง ทำให้รถพุ่งไปชนกับรถยนต์คันอื่นได้รับความเสียหาย ผลทางคดี พนักงานสอบสวน สน.พลหโยธิน ได้แจ้งข้อหาแก่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์คันที่กระทำผิด ข้อหา ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ และชดใช้ค่าเสียหายให้กับรถคันอื่นๆ

คลิปรางวัลที่ 2 เป็นคลิปอุบัติเหตุ บริเวณแยกประชานุกูล ถ.รัชดาภิเษก เหตุการณ์รถยนต์ส่วนบุคคลสีขาวขับมาด้วยความเร็ว ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง เฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์กลางแยก ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ได้รับบาดเจ็บ ผลทางคดี พนักงานสอบสวน สน.ประชาชื่น ได้เรียกตัวผู้กระทำผิดมาตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ พบว่าไม่มีปริมาณแอลกอฮอล์ แต่มีความผิดฐานขับขี่ด้วยความเร็วเกินกฎหมายกำหนด ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร และขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ

คลิปรางวัลที่ 3 เป็นคลิปอุบัติเหตุ บริเวณกำแพงเพชร วัดเสมียนนารี รถแท็กซี่ได้สัญญาณไฟเขียวขับผ่านแยกไปตามเส้นทางปกติ แต่มีรถจักรยานยนต์ ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง พุ่งชนเข้ากลางลำของรถแท็กซี่ หมวกนิรภัยกระเด็นจากศีรษะ ได้รับบาดเจ็บ พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง ได้เปรียบเทียบปรับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ในข้อหา ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร และขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า จากการตรวจสอบคลิปอุบัติเหตุ มักจะเกิดจากการขับขี่ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร และขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยเร่งรัดกวดขันวินัยจราจรในข้อหาที่เป็นปัจจัยในการเกิดอุบัติเหตุอย่างเคร่งครัด และฝากประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 5 ก.ย.65 อัตราโทษปรับตามกฎหมายจจราจรจะมีอัตราโทษที่สูงขึ้น หากขับฝ่าฝืนกฎจราจรและเกิดอุบัติเหตุ อาจถูกปรับสูงสุดถึง 4,000 บาท

นอกจากนั้น พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ ยังได้ให้ข้อมูลกฎหมายจราจรทางบกฉบับใหม่ที่จะมีผลวันที่ 5 ก.ย.65 ที่ประชาชนต้องรู้เพื่อให้ปฏิบัติตามกฎจราจรได้อย่างถูกต้อง มีดังนี้
1) เพิ่มโทษผู้ขับขี่ที่กระทำผิดซ้ำข้อหาเมาแล้วขับ กระทำผิดครั้งแรกจะมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากทำผิดซ้ำภายใน 2 ปี นับแต่วันที่กระทำความผิดครั้งแรก เพิ่มอัตราโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับ 50,000 – 100,000 บาท และศาลจะลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอ (ม.160 ตรี/1 และ 160 ตรี/3)
​2) เพิ่มอัตราโทษที่เป็นปัจจัยต่อการเกิดอุบัติเหตุ เป็นปัจจัยเสี่ยง ในการสูญเสียของผู้ขับขี่และผู้ใช้ทาง
​ 2.1 เพิ่มอัตราโทษปรับ เช่น

  • ขับรถเร็วเกินกำหนด ปรับไม่เกิน 4,000 บาท (โทษเดิม ปรับไม่เกิน 1,000 บาท)
  • ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง ปรับไม่เกิน 4,000 บาท (โทษเดิม ปรับไม่เกิน 1,000 บาท)
  • ไม่หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย ปรับไม่เกิน 4,000 บาท (โทษเดิม ปรับไม่เกิน 1,000 บาท)
  • ขับรถย้อนศร ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (โทษเดิม ปรับไม่เกิน 500 บาท)
  • ไม่สวมหมวกนิรภัย ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (โทษเดิม ปรับไม่เกิน 500 บาท)
  • ไม่รัดเข็มขัดนิรภัย ปรับไม่เกิน 2,000 บาท (โทษเดิม ปรับไม่เกิน 500 บาท)
    ​ 2.2 เพิ่มโทษผู้ขับขี่ที่ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตหรือร่างกายของผู้อื่น
    ​​- อัตราโทษเดิมจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับตั้งแต่ 2,000 -10,000 บาท เพิ่มเป็น จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
    3) กำหนดความผิดเกี่ยวกับการแข่งรถในทาง เพิ่มเติม ดังนี้
    ​ 3.1 ความผิดฐานพยายามแข่งรถ กำหนดเพิ่มเติมว่า ผู้ที่ร่วมกลุ่มหรือมั่วสุมในทางหรือสาธารณสถานใกล้ทาง พร้อมด้วยรถตั้งแต่ 5 คันขึ้นไป หากมีเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่ง (ม.134) ดังนี้
    ​​- มีการนัดหมายเพื่อแข่งรถกันมาก่อน หรือ
    ​​- รถที่รวมกลุ่มมีการดัดแปลง/ปรับแต่งรถที่มีสภาพไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือ
    ​​- มีพฤติการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดอันแสดงให้เห็นว่าจะทำการแข่งรถในทาง
    ถือว่า “พยายามแข่งรถในทาง” ต้องระวางโทษ 2 ใน 3 ของความผิดฐานแข่งรถในทาง (การแข่งรถในทาง ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)
    3.2 เพิ่มโทษสำหรับผู้จัด และกำหนดโทษใหม่สำหรับผู้โฆษณา ประกาศ ชักชวน ให้มีการแข่งรถ
  • อัตราโทษเดิม จำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 2,000 – 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับเพิ่มเป็นโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 10,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ(ม.134/1)
    ​ 3.3 กำหนดโทษใหม่สำหรับร้านรับแต่งรถ เมื่อรถนั้นถูกนำไปใช้แข่งรถในทาง ต้องรับโทษในฐานะผู้สนับสนุน คือ ต้องระวางโทษ 2 ใน 3 ของความผิดฐานแข่งรถในทาง (การแข่งรถในทางระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ) (ม.134/2)
    4) กำหนดเรื่องการรัดเข็มขัดนิรภัย
    ​ 4.1 รถที่ติดตั้งเข็มขัดนิรภัยได้ ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ต้องรัดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง เช่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถตู้
    ​ 4.2 สำหรับรถกระบะ ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ต้องรัดเข็มขัดนิรภัยในที่นั่งตอนหน้า กรณีเป็นรถกระบะสองตอนผู้โดยสารตอนหลัง ต้องรัดเข็มขัดนิรภัย ด้วย
    หากฝ่าฝืนไม่รัดเข็มขัด ตามข้อ 4.1 และ 4.2 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

สำหรับการนั่งบริเวณแคป หรือนั่งท้ายกระบะ สามารถนั่งได้โดยไม่ต้องรัดเข็มขัดนิรภัย แต่ต้องนั่งไม่เกินจำนวนที่กำหนดในลักษณะที่ปลอดภัย และผู้ขับขี่ต้องขับขี่ด้วยความเร็วตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติประกาศกำหนด ** ส่วนประกาศกำหนดอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะแล้วเสร็จภายใน 4 ธันวาคม 2565 **

​ สำหรับเรื่องที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับ กรมการขนส่ง
ทางบก สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคีเครือข่ายด้านความปลอดภัยทางถนนประชุมเพื่อกำหนดมาตรฐาน/ลดอัตราภาษีของที่นั่งนิรภัย และวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่ไม่สามารถใช้ที่นั่งนิรภัยได้ เพื่อจัดทำประกาศเรื่องการใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กให้แล้วเสร็จภายใน 4 ธันวาคม 2565 เรื่องที่นั่งนิรภัยนี้ยังไม่เริ่มบังคับใช้ในวันที่ 5 กันยายน 2565 แต่จะบังคับใช้เมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดทำประกาศและลงประกาศให้ประชาชนทราบในราชกิจจานุเบกษา ต่อไป

ผลการพิจารณาการคัดเลือกคลิปจากกล้องหน้ารถประจำเดือน กรกฎาคม 2565
รางวัลที่ 1 รางวัลละ 20,000 บาท
ชื่อคลิป ขี่แทรกมาแบบนี้ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่!
https://www.youtube.com/watch?v=lS7MT23EXzg

รางวัลที่ 2 รางวัลละ 10,000 บาท
ชื่อคลิป ชนกลางแยกประชานุกูล 7กค65
https://www.youtube.com/watch?v=6EOR64i3U54

รางวัลที่ 3 รางวัลละ 6,000 บาท
ชื่อคลิป จยย.ฝ่าไฟแดงชนแท็กซี่
https://www.youtube.com/watch?v=eUcFH3PWcBg

รางวัลชมเชย จำนวน 7 รางวัล รางวัลละ 2,000 บาท

  1. อย่าหาทำ! จยย.ขี่ลอดใต้ท้องรถบรรทุกน้ำมัน
    https://www.youtube.com/watch?v=F2OVhTG7S2s
  2. จยย.ไรเดอร์ขี่ลักไก่ย้อนศร เฉี่ยวชนจยย.อีกคัน
    https://www.youtube.com/watch?v=ZpDzJjZI8v0
  3. สุดสะเพร่า! รถบรรทุกทำเหล็กเส้นร่วงบนถ.พระราม2
    https://www.youtube.com/watch?v=PwCyuhBZITU
  4. เหล็กก่อสร้างทางด่วนร่วงทับปิคอัพจนรถลอย
    https://www.youtube.com/watch?v=02jN-iVoK3A
  5. เปิดไฟเลี้ยวขวา แต่จู่ๆ เปลี่ยนใจอยากเลี้ยวซ้าย
    https://www.youtube.com/watch?v=2xV0iE7r1nc
  6. ถอยรถไม่ระวังข้างหลังแบบนี้ ชนรถคันหลังเข้าเต็มๆ เลย
    https://www.youtube.com/watch?v=9GhPj88wy90
  7. ระทึก! คานปูนสะพานกลับรถ ถ.พระราม2 ร่วงทับรถยนต์
    https://www.youtube.com/watch?v=4CsGokpon7s

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. แถลงจับกุมผู้ต้องหาสำคัญเครือข่ายค้ามนุษย์ชาวโรฮินจา ปี 2558 ได้เพิ่มเติม 2 ราย

จากกรณีเมื่อประมาณเดือน พฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารพบศพผู้เสียชีวิตและศพที่ถูกฝังไว้รวมกันกว่า 30 ศพ บริเวณแคมป์คนงานกลางป่าบนเขาแก้ว ในพื้นที่หมู่ 8 บ้านตะโล๊ะ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา จากการสืบสวนทราบว่า ทั้งหมดเป็นศพของชาวโรฮินจา ที่ลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักร และหลบซ่อนบริเวณค่ายกักกันดังกล่าว เพื่อรอส่งต่อไปยังประเทศที่สาม ต่อมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกคำสั่งแต่งตั้งพนักงานสืบสวนสอบสวน เพื่อติดตามและจับกุมผู้ต้องหาซึ่งมีผู้ร่วมขบวนการทั้งทหาร ตำรวจ และนักการเมืองท้องถิ่นจำนวนมาก ตามที่สื่อมวลชนและสื่อโซเชียลนำเสนออย่างต่อเนื่องนั้น

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศพดส.ตร. และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศพดส.ตร. เร่งติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับที่ยังหลบหนีอยู่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาเพิ่มเติมได้จำนวนหลายราย ความคืบหน้าล่าสุด พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศพดส.ตร. ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการ ศพดส.ตร. ออกติดตามจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ คือ นายหม่อง ถ่าน ทุน สัญชาติเมียนมา อายุ 55 ปี และนางราฮานา เจ๊ะสะมะแอ สัญชาติไทย คู่สามีภรรยา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่า ได้หลบหนีหมายจับโดยการเปลี่ยนชื่อ นามสกุล และใช้หนังสือเดินทางประเทศมาเลเซีย เดินทางเข้ามายังประเทศไทยอีกครั้ง จนเมื่อวันที่ 1 ก.ย.65 ชุดปฏิบัติการ ศพดส.ตร.สามารถยืนยันตัวตนของผู้ต้องหาทั้งสองได้อย่างแน่นอนแล้ว จึงแสดงตัวเข้าจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองตามหมายจับศาลจังหวัดนาทวี มีรายละเอียดดังนี้

  1. นายหม่อง ถ่าน ทุน สัญชาติเมียนมา หรือ นายซุลกิฟลี บิน อับดุลลาห์ (Zulkifli Bin Abdullah) สัญชาติมาเลเซีย ถูกจับกุมตามหมายจับศาลจังหวัดนาทวี ที่ 308/2558 ลง 22 มิ.ย.58 ความผิดฐาน สมคบและร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป กระทำการอันเป็นการค้ามนุษย์โดยกระทำต่อบุคคลอายุไม่เกินสิบห้าปี ร่วมกันช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว กักขัง ผู้อื่นโดยทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และร่วมกันเรียกค่าไถ่ และหมายจับศาลจังหวัดนาทวี ที่ 477/2558 ลง 27 ส.ค.58 ความผิดฐาน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน
  2. นางราฮานา เจ๊ะสะมะแอ อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 39/12 ซ.สุมาลี ต.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา หรือ นาง Rohano Binti Mat said (โรฮานา บินติ มาต ซาอิด) ตามหมายจับของศาลจังหวัดนาทวี ที่ 307/2558 ลง 22 มิ.ย.58 โดยกล่าวหาว่า สมคบและร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป กระทำการอันเป็นการค้ามนุษย์โดยกระทำต่อบุคคลอายุไม่เกินสิบห้าปี ร่วมกันช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว กักขัง ผู้อื่นโดยทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และร่วมกันเรียกค่าไถ่ และ หมายจับศาลจังหวัดนาทวี ที่ 476/2558 ลง 27 ส.ค.58 โดยกล่าวหาว่า สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน
    ผู้ต้องหาทั้งสองถูกจับกุมตัวได้ที่บริเวณร้านอาหารแห่งหนึ่ง ริมถนนพระรามเก้า แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร

สำหรับผู้ต้องหาสามีภรรยาทั้งสองรายนี้ ได้มีการเปลี่ยนชื่อ นามสกุล และใช้สัญชาติมาเลเซีย พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักภายในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ร่วมกับบุตรชายและบุตรสาว โดยประกอบอาชีพค้าขาย ทำธุรกิจออนไลน์ และทำธุรกิจทัวร์นำเที่ยวอยู่ในประเทศมาเลเซีย โดยถือว่าผู้ต้องหาทั้งสองเป็นผู้ต้องหารายสำคัญที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องการตัวเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นผู้กระทำผิดระดับหัวหน้าขบวนการในการควบคุมสั่งการ ในการนำชาวโรฮินจา จากรัฐยะไข่ ประเทศเมียนมา ผ่านมายังประเทศไทย และส่งต่อไปยังประเทศมาเลเซีย โดยเปิดบริษัทรถทัวร์โดยสารบังหน้า แล้วแอบขนชาวโรฮินจาจำนวนมากมาอย่างต่อเนื่องจนมีฐานะร่ำรวย ซึ่งภายหลังเมื่อทราบว่าตนเองถูกออกหมายจับ จึงเดินทางหลบหนีไปยังประเทศมาเลเซีย จนมาถูกจับกุมหลังเดินทางเข้ามาในประเทศไทยอีกครั้ง

สรุปภาพรวมในคดีนี้ คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ได้ดำเนินการออกหมายจับผู้ต้องหารวมทั้งสิ้น 153 ราย จับกุมแล้ว 124 ราย เสียชีวิต 3 ราย หลบหนี 26 ราย (แบ่งเป็นหมายจับมีคุณภาพ 17 ราย และไม่มีคุณภาพ 9 ราย)
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีค้ามนุษย์คดีนี้ถือเป็นคดีที่มีความสำคัญ มีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาเป็นจำนวนมากกว่า 150 ราย เครือข่ายผู้กระทำผิดในคดีนี้มีความเชื่อมโยงกันระหว่าง บุคคลในแวดวงข้าราชการ ตำรวจ ทหาร นักการเมือง ซึ่งใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาประโยชน์กับขบวนการค้ามนุษย์และแรงงานเถื่อน โดยการดำเนินคดีในครั้งนี้ ได้มีการกำชับคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนให้กระทำอย่างรอบคอบ รวบรวมพยานหลักฐานให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด รวมทั้งให้ติดตามจับกุมผู้ต้องหาในเครือข่ายดังกล่าวทั้งที่อยู่ในประเทศ และหลบหนีออกไปยังต่างประเทศ ดังนั้น ผู้กระทำผิดเกี่ยวกับคดีค้ามนุษย์ เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ เครือข่ายลักลอบขนแรงงานต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร กลุ่มผู้กระทำผิดเหล่านี้จะต้องถูกดำเนินคดีโดยเด็ดขาดทั้งหมด ไม่มีข้อยกเว้น รวมทั้งจะมีการตรวจค้นเพื่อยึดอายัดทรัพย์ เพื่อไม่ให้สามารถกลับมากระทำผิดซ้ำได้อีก

พล.ต.อ.ดำรงค์ศักดิ์ รอง ผบ.ตร. ประธานในพิธี พร้อม พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท. ร่วมทำบุญเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว

กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้จัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวในวันที่ 1 กันยายน 2565 ณ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ถนนสุวรรณภูมิ 4 อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ นับเป็นปีที่ 5 ของการก่อตั้งกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวภายหลังได้รับการยกฐานะจากกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยวขึ้นเป็นกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2560 ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงการก่อตั้งหน่วยและเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล โดยพิธีในช่วงเช้าเริ่มตั้งแต่เวลา 06.30 น. พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผบช.ทท. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ชัยน์วัฒน์ อรัญวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ตร. รรท.รอง ผบช.ทท., พล.ต.ท.สมบัติ หวังดี ทรงคุณวุฒิพิเศษ ตร. ปฏิบัติราชการ บช.ทท., พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย และพล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา รอง ผบช.ทท., พล.ต.ต ปิยะวัฒน์ บุญยืนอนนท์ ผบก.อก.บช.ทท., สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณโดยรอบที่ตั้ง บช.ทท. รวมทั้งสิ้น 4 จุด ได้แก่ ศาลพญาอนันตนาคราชเจ้าวิสุทธิเทวา (ศาลตายาย) ศาลพญามุจลินท์นาคราช ศาลท้าววิรุปักเขมหานาคราชเจ้า ศาลองค์นาคาธิบดี ศรีสุทโธ วิสุทธิเทวา
จากนั้นในเวลา 8.30 น. พล.ต.อ.ดำรงค์ศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ประธานในพิธี,
คณะผู้บังคับบัญชาร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ทำบุญเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา ทั้งนี้เพื่อความเป็นสิริมงคล ความรักความสามัคคีของข้าราชการตำรวจในสังกัดและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง พร้อมนี้ประธานในพิธีได้มอบของที่ระลึกแสดงความยินดีเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวให้แก่ ผบช.ทท. และเมื่อเวลา 10.00 น. ประธานในพิธี ผบช.ทท. พร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชา และข้าราชการตำรวจในสังกัด บช.ทท.รับชมพิพิธภัณฑ์เสมือนจริง (Digital Museum) ณ ห้องประชุมแจ้งยอดสุข ชั้น 6 บช.ทท. ในการนี้ทางกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวได้เปิดตัวพิพิธภัณฑ์ตำรวจท่องเที่ยวเสมือนจริง (Digital Museum) เฟสที่ 1 แห่งแรกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเป็นแห่งแรกๆ ของหน่วยราชการไทย ต่อจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีการจัดแสดงผ่าน Metavers ซึ่งผู้เยี่ยมชมสามารถชมผ่านเว็บไซต์กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวได้ และหากมีอุปกรณ์แว่น Oculus
ก็สามารถเข้าชมแบบเสมือนจริงได้ แสดงถึงวิสัยทัศน์ในการนำใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ เพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับการท่องเที่ยวไทย โดยในเฟสถัดไป จะเพิ่มรายละเอียดให้มีส่วนจัดแสดงจาก 4 ส่วน เป็น 8 ส่วน และปรับปรุงการจัดแสดงให้ทันสมัยอยู่เสมอ พร้อมทั้งมีการจัดแสดงในส่วนนิทรรศการหมุนเวียนตามสถานการณ์โลกและสถานการณ์ของประเทศไทยอีกด้วย ในการนี้มีพิธีมอบโล่รางวัลการประกวดสถานีตำรวจท่องเที่ยวดีเด่น, ประกาศเกียรติคุณอาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยว และประชาชนที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่ บช.ทท. พร้อมนี้ประธานในพิธีให้โอวาทแก่ข้าราชการตำรวจในสังกัด บช.ทท. ทั่วประเทศเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา บช.ทท. ผ่านระบบออนไลน์ทั้งนี้ เพื่อให้ข้าราชการตำรวจและเจ้าหน้าที่ในสังกัด บช.ทท.
ได้ร่วมกิจกรรมอย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ในปัจจุบัน

“ผู้ช่วยฯสุรเชษฐ์”นำทีมแถลงผลการปิดล้อมปูพรมตรวจค้นกว่า 400 จุด กวาดล้างอาวุธปืนและยาเสพติดในพื้นที่ ภ. 8

เมื่อวันที่ 31 ส.ค.2565 ที่ ภ.จว.พังงา พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร.ได้แถลงว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมากว่า 8 เดือนแล้วนั้น ในพื้นที่ ภ.8 มีเหตุอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญที่คนร้ายมีการใช้อาวุธปืนในการก่อเหตุเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งล้วนเป็นเหตุที่ทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภาค 8 เกิดความกังวลต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตน และมีความเชื่อมั่นในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ลดลง จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องมีแผนในการป้องกันอาชญากรรมที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

ในการนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. ให้ตนดำเนินการเพิ่มมาตรการในการลดปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาค 8 เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีความเชื่อมั่นในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจมากยิ่งขึ้น มีความมั่นใจในการใช้ชีวิตอย่างปกติสุข จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผบช.ภ.8, พล.ต.ต.วันไชย     เอกพรพิชญ์ รอง ผบช.ภ.8 และ พล.ต.ต.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผบก.สส.ภ.8 ดำเนินการตามข้อสั่งการอย่างเร่งด่วน จึงได้มีการวางแผนในการดำเนินการปิดล้อมตรวจค้นเพื่อลดเหตุอาชญากรรม ผู้มีอิทธิพล อาวุธปืน ยาเสพติด วัตถุระเบิด ค้าประเวณี โจรกรรมรถ โดยให้ทุกหน่วยในสังกัด ภ.8 รวบรวมพยานหลักฐานในการขออนุมัติหมายค้นต่อศาลเข้าทำการตรวจค้นเป้าหมายทั้งห้องเช่า เกสต์เฮ้าส์ บ้านพัก รีสอร์ท แหล่งมั่วสุมอาชญากรรมทุกรูปแบบ ระหว่างวันที่ 22-26 ส.ค.65 โดยมีจุดเข้าตรวจค้นรวมกว่า 400 เป้าหมายในพื้นที่ 7 จังหวัด ประกอบด้วย- ภ.จว.กระบี่ จำนวน 68 เป้าหมาย- ภ.จว.ชุมพร   จำนวน 52 เป้าหมาย-ภ.จว.นครศรีธรรมราช   จำนวน 71 เป้าหมาย- ภ.จว. พังงา   จำนวน 40 เป้าหมาย- ภ.จว.ภูเก็ต จำนวน 49 เป้าหมาย- ภ.จว.ระนอง จำนวน 43 เป้าหมาย- ภ.จว.สุราษฎร์ธานี   จำนวน 82 เป้าหมาย  
ผลการปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นในห้วงเวลาดังกล่าว สามารถตรวจเก็บ DNA บุคคลตามจุดที่เข้าค้นจำนวน 382 ราย จับกุมอาวุธปืน 85 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน 859 นัด ผู้ต้องหาเกี่ยวกับยาเสพติด 270 ราย ยึดยาบ้า 69,182เม็ด และยาไอซ์ 1,083.29 กรัม จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับค้างเก่าได้ 54 ราย โดยจังหวัดที่มีการจับกุมอาวุธปืนมากที่สุดคือ ภ.จว.สุราษฎร์ธานี จำนวน 22 กระบอก ตามมาด้วย ภ.จว.กระบี่และพังงา หน่วยละ  14 กระบอก

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมายในพื้นที่ ภ.8 เป็นนโยบายที่ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการป้องกันอาชญากรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สร้างความอุ่นใจให้กับพี่น้องประชาชน ให้มีความรู้สึกปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยตั้งแต่ต้นปี 2565 ที่ผ่านมามีการระดมปิดล้อมตรวจค้นในพื้นที่ ภ.8 อย่างจริงจังมาโดยตลอด รวมเป้าหมายตรวจค้นมากกว่า 2,000.จุด จับกุมอาวุธปืนรวมมากกว่า 300 กระบอก จับผู้ต้องหาที่หลบหนีหมายจับอยู่ในพื้นที่ได้อีกกว่า 200 ราย ซึ่งผลจากการปิดล้อมตรวจค้นเหล่านี้ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า สามารถลดอาชญากรรมในภาพรวมลงไปได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งนโยบายนี้ก็จะยังคงปฏิบัติให้เป็นมาตรฐานต่อไป เพื่อลดโอกาสในการเกิดอาชญากรรมในพื้นที่ให้ได้มากที่สุด ซึ่งถือเป็นวิธีการในการป้องกันอาชญากรรมที่มีประสิทธิภาพอย่างเป็นรูปธรรม

เกจิดังภาคใต้ เททองหล่อ ท้าวเวสสุวรรณ วัดโคกพะยอมสุการาม

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

วันที่ 28 สิงหาคม 2565 ที่วัดโคกพยามสุการม ต.พิจิตร อ.นาหม่อม จ.สงขลา ได้จัดให้มีพิธีเททองหล่อองค์ท้าวเวสสุวรรณ โดยมี พลเรือโทสุนทร คำคล้าย ผู้บัญชาการทัพเรือ ภาคที่ 2 เป็นประธาน ในพิธีเททองฯได้นิมนต์ พระครูสังวรธรรมจารี” หรือ “หลวงพ่อผล อิสฺสโร เกจิดังภาคใต้แห่งวัดทุ่งนารี จ.พัทลุง ทำพิธีเททองฯ
โดยในวันที่ 26 สิงหาคม พราหมณ์ทำพิธี เริ่มทำบุญแท่งทอง เขียนแผ่นทอง วันที่ 27 สิงหาคม เริ่มเททองท้างเวสสุวรรณ จำนวน 1,000 องค์ (หล่อดินไทย) และพิธีเททองพระพุทธรูปอู่ทอง 10 องค์ ส่วนในวันนี้ฯ เวลาประมาณ 17.19 น.เริ่มพิธีเททองหล่อพระพุทธเจ้าห้ามสมุทร และพิธีเททองสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปางเปิดโลก
รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่พระปลัดสุริยเมธี ปิยธมฺโม ดร.เจ้าอาวาสวัดโคกพะยอมสุการาม โทร 089-0290438

มูลนิธิท่งเซียเซี่ยงตึ้ง สนับสนุนทุนการศึกษา 230 ทุน แก่ นักเรียนสังกัด สพป.สงขลา เขต 2

นายปรีชา สถิตเรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

วันที่ 27 สิงหาคม 2565 ที่ โรงเรียนบ้านหน้าควนลัง (ราษฎร์สามัคคี) หมู่ที่ 1 บ้านหน้าควน ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
นางเรวดี เชาวนาสัย ผอ.โรงเรียน จัดพิธีมอบทุนการศึกษาจากการสนับสนุนของมูลนิธิท่งเซียเซี่ยงตึ้ง ให้นักเรียนในโรงเรียน สังกัด สพป.สงขลา เขต 2 จำนวน 230 ทุน ๆละ 1000 บาท
เป็นเงินทั้งสิ้น 230,000 บาท โดยมีนายนิพนธ์ พรหมเมศร์ รองศึกษาธิการจังหวัดสงขลา ประธานในพิธี
โดยนางเรวดี กล่าวขอบคุณ มูลนิธิ ที่ให้ความสำคัญด้านการศึกษาสนับสนุนแก่นักเรียน ลดภาระผู้ปกครอง และสร้างโอกาสทางการศึกษา ให้ได้เรียนรู้ต่อไป

พัฒนาอาสาสมัครแรงงานข้ามชาติ เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจด้านโรคระบาด

น ส พ เบาะแสอาชญากรรม
ศูนย์ข่าวมุกดาหาร
เมื่อวันที่ 24.26 สิงหาคม 2565
เวลา.09.30.น กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จัดโครงการฝึกอบรมหลักสูตรพัฒนาอาสาสมัครแรงงานข้ามชาติ ด้านระบาดวิทยาในการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคและการติดตามสอบสวนโรคของอาสาสมัครแรงงานข้ามชาติ ปี 2565 ณ โรงแรมพลอยพาเลซ จังหวัดมุกดาหาร โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ อาสาสมัครสาธารณสุข อสม.และอาสาสมัครแรงงานต่างชาติ อสต ในพื้นที่ อำเภอหว้านใหญ่,อำเภอเมือง,อำเภอดอนตาล ทั้ง 3 อำเภอที่มีพื้นที่ติดชายแดน เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจด้านโรคระบาด การเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรค การติดตามสอบสวนโรค และการสื่อสารความเสี่ยงส่งต่อข้อมูลในพื้นที่ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขดำเนินการต่อไป โดยมี นายแพทย์ประวิตร ศรีบุญรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดมุกดาหาร กล่าวต้อนรับ นายแพทย์ จรุง เมืองชนะ ผู้จัดการโครงการบริหารจัดการร่วมมูลนิธิและสมาคมระบาดวิทยาภาคสนามและทีมวิทยากร ภาพ ข่าวโดย CHOPETCH
ช่อเพชร ทองผา เหยี่ยวข่าวพญายม หน
เบาะแสอาชญากรรม มห รายงาน

Design a site like this with WordPress.com
Get started