” ตำรวจภูธรภาค 1 แถลงข่าวผลการปฏิบัติระดมกวาดล้างอาชญากรรม “ระหว่างวันที่ 22 ก.ค. – 5 ส.ค.65 (รวม 15 วัน)

ในวันอังคารที่ 9 สิงหาคม 2565 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมอมรวิวัฒน์ อาคารอเนกประสงค์ ภ.1
ตามนโยบายของรัฐบาล ที่ให้ความสำคัญในการป้องกัน และควบคุม อาชญากรรมซึ่งเป็นภัยคุกคาม ต่อชีวิต
และทรัพย์สินของประชาชน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สนองนยบายในด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม
ดังกล่าว โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , พล.ต. อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการ
ตำรวจแห่งชาติ , พล.ต. ท.ธนา ชูวงศ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้สั่งการให้มีการบูรณาการแก้ปัญหาอาซญากรรมประเภทต่างๆที่เกี่ยวกับชีวิต
ร่างกาย เพศ ทรัพย์สิน อาซญากรรมทางเทคโนโลยี โดยได้กำหนดให้ดำเนินการขับเคลื่อนการดำเนินการตาม
มาตรการและนโยบายอย่างป็นระบบ เพื่อให้การป้องกันปราบปราบอาชญากรรม การรักษาความสงบเรียบร้อย
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความสงบเรียบร้อยในทุกพื้นที่

ตำรวจภูธรภาค 1 นำโดย พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิต ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 , พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม
รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 และ พล.ต.ต.พีระพงศ์ วงษ์สมาน รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้สั่งการ
ให้กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ตำรวจภูธรจังหวัดในสังกัด ปฏิบัติตามการสั่งการ สำนักงาน
ตำรวจแห่งชาติ ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด โดยให้มีการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทุกประเภทความผิดในห้วง
ระหว่างวันที่ 22 กรกฎาคม 2565 ถึง วันที่ 5 สิงหาคม 2565 เน้นความผิดเกี่ยวกับ อาวุธปืนและเครื่องกระสุน
ปืน วัตถุระเบิด สถานบริการ การสืบสวนบุคคลตามหมายจับ การพนัน และยาเสพติด ที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหา
ยาเสพติดอย่างครบวงจร ให้ความสำคัญกับ “หมู่บ้าน – ชุมชน” ตั้งเป้าลดจำนวนนักเสพหน้าใหม่ โดยนำไปบำบัด
ฟื้นฟู ทำลายเครือข่ายการค้า ตัดท่อน้ำเลี้ยงขบวนการ พร้อมสร้างแรงจูงใจให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน มุ่งหวังให้
ยาเสพติดหายไปจากสังคมไทย โดยได้เปิด ยุทธการปราบไพรี ประกาศสงครามกับยาเสพติด ตำรวจภูธร

ภาค 1 และมีพิธีปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรมไปเมื่อ วันที่ 22 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมานั้น ผลการ
ปฏิบัติในการระดมกวาดล้างอาชญากรรมดังกล่าว สามารถจับกุมผู้กระทำผิดจำแนกเป็นความผิดประเภทต่างๆ
ดังนี้

  • คดีอาวุธปืน มีผลการจับกุม 571 ราย ผู้ต้องหา 568 คน รวมอาวุธปืน จำนวน 518 กระบอก
    แยกเป็น ปืนมีทะเบียน 315 กระบอก ปืนไม่มีทะเบียน 203 กระบอก เครื่องกระสุนปืน จำนวน 711 นัด
    -คดีการพนัน จับกุม 737 ราย ผู้ต้องหา 922 คน
  • คดียาเสพติด จับกุม 1580 ราย ผู้ต้องหา 1593 คน
    แบ่งเป็นยาบ้า จำนวน 439,389 เม็ด , ยาไอซ์ 151.890 กรัม , เคตามีน 35.190 กรัม และยาอี จำนวน 5.08 เม็ด
    -ความผิดเกี่ยวกับสถานบริการ จับกุม 104 ราย ผู้ต้องหา 103 คน
    -คดีประเภทตามความผิด พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 (แรงงานต่างด้าว) จับกุม 501ราย
    ผู้ต้องหา 502 คน
    -คดีค้างเก่าบุคคลตามหมายจับ จับกุม 1138 ราย ผู้ต้องหา 1,094 คน
    -คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จับกุม 666 ราย ผู้ต้องหา 662 คน
    ตำรวจภูธรภาค 1 ได้สนองนโยบายรัฐบาล และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการดูแลพี่น้องประซาชน
    โดยการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ระดมกวาดล้างอาชญากรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัย
    ของประชาชน ลดปัญหาความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และการก่อความไม่สงบเรียบร้อย
    ที่อาจเกิดขึ้น และขอความร่วมมือจาก ภาคประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถมีส่วนร่วมในการช่วยสังคม
    แจ้งเบาะแสการกระทำความผิดตามกฎหมายผ่านทางสถานีตำรวจทุกแห่ง และหมายเลขโทรศัพท์สายด่วน 191
    ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยข้อมูลของผู้แจ้งจะถูกเก็บไว้เป็นความลับ

งานไหว้ครูหนังลุงมโนราห์ตาพรานบุญ ประจำปี 2565

โดยมีลูกศิษย์ลูกหาจากทั่วสารทิศ มาร่วมงานและรำมโนราห์ถวาย ที่ลูกศิษย์ขนานนาม ความเชื่อว่า มีโชคลาภ, ค้าขาย , มหาเสน่ห์ เมตตามหานิยม มีดารา นักแสดง นักร้อง อาทิเช่น เอ๋ อัจฉรา ทองเทพ, บดินทร์ ดุ๊ก , วาสนา วรรณวงศ์, นุจรี ศรีราชา, ดีเจนุชซ่า และบุคคลจากหลากวงการ มาร่วมพิธีครูครอบหน้าพรานตาพรานบุญ สายมโนราห์ ด้วยความเคารพและศรัทธา เลื่อมใส

การบูชาครู ถือเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที น้อมระลึกถึงบุญคุณของบูรพาจารย์ คณาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ วิชาไสยเวท คาถาอาคม คัมภีร์ต่างๆ ให้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ ตั้งมั่นทำความดี

ไฟไหม้วอดวายมูลค่า ความเสียหาย 500,000 บาท

น ส พ เบาะแสอาชญากรรม
ศูนย์ข่าวมุกดาหาร

เมื่อวันที่ 7 สิงหา คม 2565
เวลา.13.00.น
สภ. นิคมคำสร้อยได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ ด้านร้อยเวร พ ต ท โทโชติวิทย์ เกตุดิษฐ์ ร้อยเวรได้รับแจ้งจากชาวบ้านจึงรีบประสานเรียนผู้บังคับบัญชาให้รับทราบ จึงได้ประสารรถดับเพลิงตำบลร่มเกล้า และอบต หนองแวง อบตโชคชัย อบต กกแดง จำนวนรถดับเพลิง 4 คันและหน่วยกู้ชีพกู้ภัย จึงได้ หลุดไปยังที่ที่เกิดเหตุ เมื่อมาถึง ที่เกิดเหตุพบเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น เป็นบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ เพลงกำลังลุกไหม้ชั้นที่ 2 อย่างรุนแรง เจ้าหน้าที่จึงได้ระดมฉีดน้ำสกัดไฟไม่ให้ลุกลามไปมากกว่านี้ ระดมฉีดน้ำไม่ให้ลุกลามไปพื้นที่ใกล้เคียงใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ ต่อมาเพลิงจึงได้สงบลง เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าตรวจสอบบ้านหลังดังกล่าว ตรวจสอบบริเวณชั้น 2 ไฟได้ลุกลามวอดจนไม่เหลือซาก ส่วนบริเวณชั้นล่างของบ้านหลังดังกล่าว ไหได้ลุกไหม้จนเข้าของเสียหายหมดเหลือเพียงแต่เศษเสื้อผ้า ซึ่งบ้านหลังดังกล่าวที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ เป็นบ้านของ นางรุ่งทิวา บุญเติม บ้านเลขที่ 73
หมู่ 11 บ้านสุขสำราญ ตำบลนิคมคำสร้อย อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร ไฟได้ไหม้บ้านเรือนดังกล่าวเสียหายหมดทั้งหลัง จากการสอบถามทางเจ้าของบ้าน ตัวเจ้าของบ้านได้ปลูกต้นไม้อยู่หลังบ้าน ได้มีชาวบ้านเรือน ข้างเคียงพากันวิ่งมาบอกว่าพบเห็นควันไฟได้ลุกโชย ออกมาจากชั้น 2 ของตัวบ้าน จึงได้เรียกร้องให้ชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงมาช่วยกันตักน้ำดับไฟ แต่ก็ ไม่สามารถที่จะดับไฟลงได้ เนื่องจากไฟได้ลุกไหม้อยากรุนแรงรวดเร็ว เพื่อนบ้านจึงได้โทรประสานแจ้งไปยังสถานีตำรวจภูธรนิคมคำสร้อย เพื่อที่จะได้ให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจประสานหน่วยรถดับเพลิง แต่ยังโชคดีที่สามารถนำเอารถยนต์ 2 คันออกมาจากใต้ถุนบ้านได้ และส่วนสาเหตุของเพลิงไหม้บ้านเรือนหลังดังกล่าว คาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร มูลค่าความเสียหายประมาณ 500,000 บาท ยังต้องรอทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน เข้าตรวจสอบหาสาเหตุ เหตุของเพลิงไหม้ดังกล่าวต่อไป
ภาพ ข่าวโดย นายวิเศษ วัยวัฒน์
สุดารัตน์ คนไว
เหยี่ยวข่าวพญายม หน เบาะแสอาชญากรรม มห รายงาน

งานวันเกิดพี่ศรเทพศรทอง #วังนารายณ์ทอง

ภารกิจวันที่7สิงหาคม2565 เวลา12.00น. ผมมาร่วมงานอวยพรวันเกิด อ.ศรเทพ ศรทอง ที่วังนารายณ์ บางบัวทอง จ.นนทบุรี
พบคุณจงรักษ์ คงเพ๊ชรศักดิ์,คุณบิคประธานท่องเที่ยวแก่งคอย,น้องตี๊ ท่องเที่ยว พร้อมแขกผู้มีเกียรติหลายท่าน อาทิ อ.ไพฑูรย์ ขันทอง,อ.เปี๊ยก นารายณ์ทอง ,อ.มะลิ ,พี่สุพรรณ สันติชัยฯลฯ ทุกท่านต่างมาร่วมอวยพร อ.ศรเทพ และพี่น้องประชาชนที่มาร่วมทำบุญ..ขอให้มีความสูขความเจริญตลอดกาลนานเทอญ

ดร.เชวงศักดิ์ แสงจันทร์
#7สิงหาคม2565

“กระทรวงเกษตรฯ.”เร่งขับเคลื่อน”สภาเกษตรอินทรีย์พีจีเอส.”ผนึกทุกเครือข่ายเดินหน้าเกษตรออร์กานิคดันไทยขึ้นแท่นฮับอาเซียน

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนเป็นประธานพิธีเปิดและปาถกฐาพิเศษ เรื่อง “เกษตรอินทรีย์และเกษตรอินทรีย์พีจีเอส.”ที่รร.อมารี ดอนเมือง ผ่านระบบออนไลน์โดยนายอลงกรณ์กล่าวว่า รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้ความสำคัญและสนับสนุนเกษตรอินทรีย์อย่างเต็มที่ เป็นอาหารแห่งอนาคต (Future Food)ที่มีโอกาสเติบโตในตลาดโลกได้อย่างมากจึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในระดับภูมิภาค ด้านการผลิต การแปรรูป การบริโภค การค้าสินค้า และ การบริการเกษตรอินทรีย์ ที่มีความยั่งยืน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากลภายใต้”ยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ.2560-2564” โดยมีคณะกรรมการเกษตรอินทรีย์แห่งชาติและคณะกรรมบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนที่มีดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานเป็นกลไกระดับนโยบายและมีคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนเป็นกลไกในการขับเคลื่อนภายใต้3คณะทำงานได้แก่คณะกรรมการด้านเกษตรอินทรีย์ คณะทำงานด้านเกษตรทฤษฎีใหม่และเกษตรผสมผสานและคณะทำงานด้านวนเกษตรและเกษตรธรรมชาติ ได้เร่งขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการปี 2564-2565เดินหน้าจัดทำร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ 2566-2570 และร่างพรบ.เกษตรกรรมยั่งยืนพร้อมกับเห็นชอบให้มีการจัดตั้งสถาบันเกษตรอินทรีย์แห่งชาติรวมทั้งการจัดทำโครงการเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง(Urban Farming)และโครงการธนาคารสีเขียว(Green Bank) ประการสำคัญคือการจัดตั้งสภาเกษตรอินทรีย์พีจีเอส.แห่งประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ19สิงหาคม2564 โดยมอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.)จัดทำหลักเกณฑ์การรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (PGS)หรือเกษตรอินทรีย์วิถีชุมชน
วันนี้ถือเป็นวันสำคัญที่สภาเกษตรอินทรีย์ พีจีเอส.แห่งประเทศไทยได้เห็นชอบธรรมนูญของสภาฯ.และคณะกรรมการบริหารอย่างเป็นทางการชุดแรกแทนคณะกรรมการบริหารชุดเฉพาะกิจด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วนโดยเฉพาะเครือข่ายองค์กรเกษตรอินทรีย์หลักๆเช่น มูลนิธิเกษตรอินทรีย์ไทย มูลนิธิ เกษตรกรรมยั่งยืน สมาพันธ์เกษตรอินทรีย์ไทย พี จี เอส สหพันธ์เกษตรกรรมยั่งยืนแห่ง ประเทศไทย ยังมีกลุ่มเกษตรกรเกษตรอินทรีย์ พี จี เอส ในเครือข่ายอื่นๆ อีกเป็นจํานวนมากที่พร้อมจะร่วมกันขับเคลื่อนสภาเกษตรอินทรีย์ พี จี เอส และแผนดําเนินงานขับเคลื่อนระบบ พี จี เอส ของประเทศให้พัฒนาก้าวหน้าต่อไป เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ (1) เพิ่มพื้นที่และปริมาณการผลิตเกษตรอินทรีย์ (2) เพิ่มการค้าและการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ (3) เพื่อให้สินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ (4) เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลาง (Hub) ของสินค้าและบริการด้านเกษตรอินทรีย์ในระดับภูมิภาคอาเซียน
การจะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวต้องให้้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตรอินทรีย์โดยเชื่อมโยงการทำงานกับศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) ทั้ง77จังหวัดและศูนย์ความเป็นเลิศ(AIC-Center of Excellence)อย่างใกล้ชิดด้านการวิจัยพัฒนา การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการอบรมบ่มเพาะเกษตรกรและผู้ประกอบการเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งการพัฒนาตลาดกลางสินค้าเกษตรอินทรีย์แบบออนไลน์และออฟไลน์เป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค การสร้างแบรนด์ของสินค้าเกษตรอินทรีย์ในระบบทรัพย์สินทางปัญญาและการเชื่อมโยงการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรอินทรีย์จากผลผลิตทั้งพืชและสัตว์กับโครงการ1กลุ่มจังหวัด1นิคมเกษตรอุตสาหกรรม ตาม5ยุทธศาสตร์ของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้แก่ตลาดนำการผลิต,เทคโนโลยีเกษตร4.0,3S(safety-security-sustainability เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคง เกษตรยั่งยืน,ศาสตร์พระราชาและบูรณาการเชิงรุกทุกภาคส่วน เพื่อบรรลุเป้าหมาย 4 ประการ (1) เพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ไม่น้อยกว่า 1.3 ล้านไร่ (2) เพิ่มจำนวนเกษตรกรเกษตรอินทรีย์ไม่น้อยกว่า 30,000 ราย (3) เพิ่มสัดส่วนตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศต่อตลาดส่งออกโดยให้มีสัดส่วนตลาดในประเทศร้อยละ 40 ต่อตลาดส่งออกร้อยละ 60 (4) ยกระดับกลุ่มเกษตรอินทรีย์วิถีชุมชนเพิ่มขึ้น “สภาเกษตรอินทรีย์ พี จี เอส ต้องเปิดกว้างสร้างพันธมิตรทำงานเชิงโครงสร้างและระบบ เปรียบเสมือนคานงัดที่จะสร้างจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญต่ออนาคตของเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทยของเรา.

รองหน.ประชาธิปัตย์ ประกาศผลักดันจังหวัดหวัดชายแดนใต้ เป็นพื้นที่ความมั่นคงทางอาหาร ภายใต้ยุทธศาสตร์ เกษตรผลิต-พาณิชย์ตลาด สร้างรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิต ปชช.ในพื้นที่ ก้าวข้ามความขัดแย้ง

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

วันที่ 6 สิงหาคม 2565 ที่จ.ปัตตานี นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แถลงว่า ประชาธิปัตย์พร้อมที่จะประกาศผลักดันจังหวัดหวัดชายแดนใต้ให้เป็นพื้นที่ความมั่นคงทางอาหาร ภายใต้ยุทธศาสตร์ เกษตรผลิต-พาณิชย์ตลาด โดยตั้งใจจะให้ทุกจังหวัดของชายแดนใต้เป็นพื้นที่ความมั่นคงทางอาหาร เพื่อการบริโภคในพื้นที่บริโภคภายในประเทศ และเป็นครัวของโลก โดยเฉพาะประชากรมุสลิมกว่า 2,000 ล้านคนทั่วโลกนายนิพนธ์ฯ กล่าวว่า จากการศึกษาและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับประชาชนในหลายพื้นที่พบว่าความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้เป็นพื้นที่ที่สามารถสร้างผลผลิตทางการเกษตรได้ จึงต้องส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนา ผลผลิตที่สอดคล้องความต้องการของตลาด อย่างหลากหลาย รวมทั้งด้านปศุสัตว์ พร้อมทั้งการจะพลิกนาร้างให้เป็นนาข้าว ร่วมสามแสนไร่ให้เป็นนาข้าวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เราจะจัดระบบชลประทานให้เข้าไปถึงที่นาแห่งนี้ และสร้างผล ตอบแทนทางการเกษตรที่เรียกว่านาข้าวเลี้ยงคนในพื้นที่ได้ นอกจากนั้นพื้นที่ที่เป็นประมงพื้นบ้าน หรือประมงชายฝั่งในลุ่มน้ำต่างๆ จะมีการส่งเสริมด้านการเพาะเลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นปลากระพง ปลากุเลา หรือปลาสายพันธุ์ต่างๆที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมงได้พัฒนาสายพันธุ์ในหลายชนิด ซึ่งเราสามารถเพาะเลี้ยงเป็นพาณิชย์ได้ สิ่งเหล่านี้จะนำมาสู่การสร้างเศรษฐกิจมูลค่าเพิ่มให้กับพี่น้องชาวประมง รวมถึงปูม้า ปูทะเลและปูดำ เป็นต้น พร้อมกับให้มีการอนุรักษ์ประมงชายฝั่ง นอกจากนั้นเรายังมีพื้นที่สวนโดยส่งเสริมให้พื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่ไม้ผล จนเป็นที่ยอมรับของทั้งประเทศ อาทิ ทุเรียน ลองกอง มังคุดหรือจำปาดะ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะบอกว่าเราจะนำพื้นที่ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปสู่ พื้นที่ความมั่นคงทางด้านอาหาร เลี้ยงคนในประเทศไทย ตลอดจนสามารถเลี้ยงคนได้ทั่วโลกต่อไปในอนาคต ที่ต้องส่งเสริมตั้งแต่ต้นน้ำคือการอบรมให้ความรู้ สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อประกอบอาชีพ ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลและพัฒนาในด้านต่างๆ ที่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นผลผลิตเพื่อการยังชีพ และแปรรูปเพื่อสนับสนุนการบริโภคทั้งในพื้นที่และในประเทศได้อย่างเพียงพอรวมทั้งจะสามารถเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญให้กับหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศมุสลิมที่จะเชื่อมั่นต่ออาหารที่ผลิตจากแหล่งผลิตที่ผู้ประกอบการเป็นมุสลิม หรืออาหารที่ฮาลาล ซึ่งปัจจุบันผลผลิต ทั้งเพื่อการบริโภคและการส่งออกจากพื้นที่จังหวัดชายแดนมีมูลค่านับแสนล้านบาท และยังสามารถสร้างการเติบโตทั้งด้านการผลิต และการส่งออกได้อีกเป็นจำนวนมาก

“ได้หารือท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และท่านเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งทั้งสองท่านต่างเห็นตรงกัน พร้อมให้การสนับสนุนและเสริมทั้งด้านการผลิตและการตลาด ภายใต้ยุทธศาสตร์ เกษตรผลิต-พาณิชย์ตลาด ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้กับประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ให้ดียิ่งขึ้น และพร้อมผลักดันในทุกช่องทางเพื่อให้นโยบายนี้ประสบความสำเร็จเพื่อนำไปสู่การสร้างรายได้และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ก้าวข้ามความขัดแย้งเปลี่ยนพื้นที่ความไม่สงบเป็นพื้นที่ความมั่นคงด้านอาหารของประเทศไทย” นายนิพนธ์ฯ กล่าวให้ความเชื่อมั่น ///

พรรคชาติพัฒนารุกเปิดสาขาพรรค อ.แกลง จ.ระยอง พร้อมเปิดตัว ‘ลูกชาย’ อดีตมือปราบคนดัง ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ระยอง เขต 3 จ.ระยอง


เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 6 สิงหาคม นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประธานพรรคชาติพัฒนา เป็นประธานเปิดศูนย์ประสานงานพรรคชาติพัฒนา จังหวัดระยอง พร้อมเปิดตัว นายพลช กฤษณะราช ว่าที่ผู้มาสมัคร ส.ส.ระยองเขต 3 พรรคชาติพัฒนา บุตรชายของ ร.ศ.ดร.พ.ต.อ.พณาเจือเพ็ชร์ กฤษณะราช รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา อดีต ส.ว.จังหวัดระยอง และ อดีตนายตำรวจมือปราบดัง รุ่น 29 โดยมี นายเทวัญ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะทีมผู้บริหารพรรคชาติพัฒนา สื่อมวลชนรวมถึงประชาชนร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก

นายสุวัจน์ กล่าวว่า วันนี้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีทำบุญเลี้ยงพระเพล เนื่องในวันเกิดของ ร.ศ.ดร.พ.ต.อ.พณาเจือเพ็ชร์ และ เปิดสำนักงานสาขาพรรคชาติพัฒนา อ.แกลง จ.ระยอง พร้อมเปิดตัว นาย พลช กฤษณะราช อายุ 29 ปี ว่าที่ผู้สมัครส.ส.ระยอง เขต 3 พรรคชาติพัฒนา ซึ่งมีความรู้ความสามารถจบถึง วิศวจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ เป็นคนหนุ่มไฟแรง นาย พลช กฤษณะราช เป็นนักการเมืองคนรุ่นใหม่ซึ่งจะนำการเมืองยุคใหม่มาผสมผสานกันได้ระหว่างนักการเมืองรุ่นเก่ากับนักการเมืองรุ่นใหม่ มาผสมผสานกันอย่างลงตัว โดยขณะนี้พรรคชาติพัฒนาเริ่มมีการเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งที่จะมาถึงในราวต้นปีหน้า นายสุวัจน์กล่าว ในอดีต พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายกรัฐมนตรี ได้มีการวางพื้นฐานในการพัฒนาจังหวัดในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก โครงการอิสเทิร์นซีบอร์ด เป็นเขตอุตสาหกรรมภาคตะวันออก สร้างงานสร้างรายได้ให้กับประเทศ และในวันนี้มีการต่อยอดโครงการพัฒนาพื้นที่พิเศษภาคตะวันออกหรือEEC ก็อยากที่จะได้มีโอกาสในการมาต่อยอดในด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้เราก็มีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องน้ำมันแพง เรื่องสภาวะเงินเฟื้อ เรื่องการลงทุน ซึ่งเราจะต้องกระตุ้นจีดีพีของเราให้กลับมา เราก็มองว่า จ.ระยอง เป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ มีพื้นฐานความเข้มแข็งที่จะสามารถมาต่อยอดได้

“ความเข้มแข็งที่ผมว่าเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ ความเข้มแข็งของประเทศไทย หลังโควิด-19 ผมคิดว่า ก็คือในเรื่องของการเป็นเมืองเกษตรของโลก เมืองอาหารของโลก เมืองท่องเที่ยวของโลก เพราะฉะนั้น จ.ระยองเองถือว่าเป็นจังหวัดที่มีชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยว มีชายฝั่งทะเลที่สวยงาม มีพื้นที่การเกษตร สวนผลไม้ และมีพื้นฐานของอุตสาหกรรมอยู่แล้ว ด้วยวัตถุดิบทางธรรมชาติ ด้วยโครงการอุตสาหกรรมเก่าที่มีอยู่ คิดว่าจะเป็นพื้นฐานในการที่จะไปต่อยอดสู่เศรษฐกิจใหม่ที่จะนำไปสู่จุดแข็ง ถ้าเราสามารถเอาพื้นฐานทางการเกษตรมาสร้าง จ.ระยองให้เป็นจังหวัดที่ต่อยอดทางด้านอุตสาหกรรมการเกษตรเพิ่มมูลค่าในการส่งออก ก็จะสามารถสร้างงานสร้างรายได้ สร้างเมืองไทยให้เป็นเมืองอาหารของโลกและต่อยอดด้วยการเป็นเมืองท่องเที่ยว” นายสุวัจน์ กล่าว ทีมงานอี๊ดกระแสข่าว (ผู้สื่อข่าวส่วนกลาง) รายงาน

งานประกาศความสำเร็จ และพิธีมอบรางวัลสถานีชนะเลิศตามโครงการ Smart Safety Zone 4.0

ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดย สํานักงานตํารวจแห่งชาติ วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม 2565 เวลา 16.00 – 18.30 น. ณ สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม 2565 เวลา 16.00 – 18.30 น. พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข
ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ เป็นประธานในงานประกาศความสำเร็จ และพิธีมอบรางวัลสถานีชนะเลิศตามโครงการ Smart Safety Zone 4.0 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 พร้อมกับ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย, นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร , พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พลเอก ธิติชัย เทียนทอง รองเสนาธิการทหารสูงสุด , ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน
ณ สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี
ตามวิสัยทัศน์ของรัฐบาลที่กล่าวว่า “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศ
ที่พัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” จึงมีนโยบายในการใช้นวัตกรรมมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้สอดรับกับบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลง อีกทั้ง เพื่อยกระดับการให้บริการตอบสนอง
ความต้องการ และอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ปฏิรูประบบการทำงานให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล
ในเรื่องดังกล่าวที่คำนึงถึงพันธกิจหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในด้านการรักษากฎหมายการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน ด้วยการขับเคลื่อนโครงการสมาร์ทเซฟตี้โซน 4.0 (Smart Safety Zone) มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่
ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมกับบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และระบบราชการส่วนท้องถิ่น เพื่อยกระดับการป้องกันอาชญากรรมในพื้นที่สาธารณะ และสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้แก่ประชาชน
ในการนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขับเคลื่อนโครงการสมาร์ทเซฟตี้โซน 4.0
ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน 2564 ในพื้นที่ 15 สถานีตำรวจนำร่องทั่วประเทศ มีการวัดผลที่
เป็นสากลผ่านตัวชี้วัดตำรวจโลก (WISPI : World Internal Security & Police Index) ซึ่งผลจากการดำเนินโครงการในระยะแรกมีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อสิ้นสุดโครงการ อีกทั้งประชาชนได้สะท้อนความต้องการให้ดำเนินโครงการต่อ จึงได้ขยายพื้นที่สู่ 100 สถานีตำรวจทั่วประเทศในระยะที่ 2 เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 ถึงปัจจุบัน โดยผลการประเมินของสถานีตำรวจทั้ง 100 สถานี ออกมาเป็นที่น่าพอใจ กล่าวคือ
ความหวาดกลัวภัยอาชญากรรมของประชาชนในพื้นที่ลดลง ความเชื่อมั่นของประชาชนในพื้นที่ต่อประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจสูงขึ้น และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำนวัตกรรมต่างๆ มาใช้ในงานป้องกันอาชญากรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงทำให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับรางวัลระดับโลกประเภทการป้องกันอาชญากรรม ด้านการปฏิบัติการชุมชนสัมพันธ์ยอดเยี่ยม จากเวทีประชุมสุดยอดตำรวจโลก หรือ World Police Summit ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรต เมื่อเดือนมีนาคม 2565 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ข้อเสนอแนะจากประชาชนได้ถูกนำมาเป็นแนวทางในการพัฒนาการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ตรงกับสภาพปัญหา และความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี้

  1. สำรวจกล้อง CCTV ในพื้นที่ ปรับมุมกล้อง และบูรณาการการใช้งานกล้องร่วมกันพร้อมติดตั้งเพิ่มเติม
  2. นำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันอาชญากรรม เช่น มีการติดตั้งกล้อง AI ตรวจจับใบหน้า และกล้อง AI ตรวจจับป้ายทะเบียนรถยนต์ เป็นต้น
  3. ติดตั้งเสาสัญญาณ SOS เพื่อประชาชนสามารถแจ้งเหตุด่วนได้ทันที
  4. จัดทำห้องปฏิบัติการ CCOC โดยเชื่อมสัญญาณจากกล้องของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานราชการ และเอกชนมายังห้องปฏิบัติการและนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์เพื่อคอยควบคุมสั่งการได้ตลอด 24 ชั่วโมง
  5. ใช้แอพพลิเคชั่นต่าง ๆ เพื่อความรวดเร็วในการสื่อสาร เช่น POLICE 4.0 , POLICE I LERT U , Line OA , แจ้งความออนไลน์ รวมถึงการสร้าง Cyber Village เป็นต้น
  6. ร่วมกับหน่วยงานในท้องที่ปรับภูมิทัศน์ของพื้นที่เสี่ยงให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย
  7. สร้างกลไกการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายประชาชนในการช่วยป้องกันอาชญากรรม
  8. ประชาสัมพันธ์โครงการ เพื่อสร้างการรับรู้ และการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายโครงการ สมาร์ทเซฟตี้โซน 4.0 ช่วงระยะที่สองใน 100 สถานีนำร่อง ได้ดำเนินการไปได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการสนับสนุนของทุกภาคส่วนที่ช่วยกันสร้างมิติใหม่แห่งความปลอดภัย “เปลี่ยนพื้นที่สายเปลี่ยวให้เกิดเป็นพื้นที่ปลอดภัย” เพื่อสร้างความเชื่อมั่น อุ่นใจ ปลอดภัย ในชุมชน ซึ่ง ในระยะที่สาม พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. มีนโยบายให้ขยายโครงการเข้าสู่ 1,484 สถานีตำรวจครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย ในลำดับต่อไป

กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว จัดพิธีพุทธาภิเษก พระพุทธนรนาถศาสดา (ออป.)พระพุทธปฏิมาประจำ กองบัญชาการ ณ พระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามฯ

กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว จัดพิธีพุทธาภิเษก พระพุทธนรนาถศาสดา (ออป.) พระพุทธปฏิมาประจำ กองบัญชาการตำรวจท่องเหี่ยว ในวันเสาร์ที่ 6 ส.ค. 2565 (ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ปีขาล) ตั้งแต่เวลา14.09 – 17.09 น. ณ พระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ
โดยมี พล.ต.อ.ดำรงค์ศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ประธานในพิธี
เนื่องด้วย เมื่อวันที่ 1 ก.ย.2560 กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว ได้ยกฐานะขึ้นเป็น “กองบัญชาการ
ตำรวจท่องเที่ยว” เพื่อเป็นการรำลึกถึงการก่อตั้งหน่วยและเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล ความรักความสามัคคีของข้าราชการตำรวจและเจ้าหน้าที่ในสังกัด รวมถึงการที่กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 พร้อมทั้งเปิดที่ทำการแห่งใหม่ เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2565 ที่ผ่านมา พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผู้บัญชาการ
ตำรวจท่องเที่ยว พร้อมด้วยข้าราชการในสังกัด และคณะที่ปรึกษากองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้ร่วมกันจัดสร้างพระพุทธนรนาถศาสดา พระพุทธปฏิมาประจำหน่วย พร้อมด้วยหอพระ ณ ที่ทำการใหม่ของ
กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและเคารพสักการะของข้าราชการตำรวจและเจ้าหน้าในสังกัด กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวรวมถึง ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้กราบไหว้สักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลสืบไป ซึ่งในการดำเนินการจัดสร้างหอพระและพระพุทธรูปประจำหน่วย ในวาระอันเป็นมหามงคลครั้งนี้ เจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ  สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายกได้ประทานนามพระพุทธรูปว่า “พระพุทธนรนาถศาสดา” พร้อมด้วยตราสัญลักษณ์ ออป. สลักไว้ที่ฐานองค์พระ โดยเมื่อวันจันทร์ที่ 16 พ.ค. 2565 เวลา 09.09 น. กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้จัดพิธีเททองนำฤกษ์หล่อพระพุทธนรนาถศาสดา พระพุทธรูปประจำหน่วย (ปางมารวิชัย) ขึ้น โดยมีพระภาวนาวิสุทธิโสภณเจ้าอาวาสวัดประดู่พระอารามหลวง เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และ พล.ต.ท.สุคุณ
พรหมายน ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ณ บริษัท ทำไทย สคัลพ์เจอร์สตูดีโอ จว.นครปฐม เป็นที่เรียบร้อยแล้วซึ่งในวันนี้กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวได้จัดพิธีพุทธาภิเษกพระพุทธนรนาถศาสดา (ออป.)
พระพุทธปฏิมาประจำกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวขึ้น ณ พระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
ราชวรมหาวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ
เริ่มจากพิธีบวงสรวง เวลา14.09 น.โดยพระครูอาคมสุนทร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระเชตุพนฯ ประกอบพิธีการบวงสรวง ซึ่ง ผบช.ทท.เป็นประธานในพิธีฯ หลังจากนั้น มีพิธีเจริญพุทธมนต์
โดยพระเกจิอาจารย์ที่เข้าร่วมในพิธีพุทธาภิเษก ประกอบด้วย สมเด็จ
พระมหาธีราจารย์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, พระธรรมวชิรเมธี (เจ้าคุณมีชัย) วัดหงส์รัตนาราม,
พระราชพัฒนาการ วัดปริวาสราชสงคราม, พระภาวนาวิสุทธิโสภณ (พระมหาสุรศักฏ์ วัดประดู่ (พระอาราม
หลวง) จว.สมุทรสงคราม, พระภาวนารัตนญาณ (ครูบาอริยชาติ) วัดแสงแก้ว โพธิญาณ จว.เชียงราย,
พระประชาธรรมนาถ (ไพรัตน์ ปญญาธโร วัดสมานรัตนาราม จว.ฉะเชิงเทรา, พระครูยติธรรมานุยุต
(หลวงพ่อเป๊ะ วัดสว่างอารมณ์ จว.นครปฐม, พระครูปฐมวราจารย์ (หลวงพ่ออวยพร ฐิติญโณ) วัดดอนยายหอม
จว.นครปฐม และพระครูวิศิษฎ์วิทยาคม (หลวงพ่อวราห์ ปุญญวโร) วัดโพธิ์ทอง กรุงเทพฯ โดยมีแขกผู้มีเกียรติ พุทธศาสนิกชน ข้าราชการตำรวจและเจ้าหน้าที่ในสังกัด เข้าร่วมพิธีฯ อย่างพร้อมเพรียงซึ่งนับเป็น
พิธีอันเป็นสิริมงคลยิ่งใหญ่ร่วมกันในครั้งนี้

ตำรวจ PCT เปิดปฏิบัติการ ปราบบัญชีม้าทั่วประเทศ ตัดตอนเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์

น ส พ เบาะแสอาชญากรรม
ศูนย์ข่าวจังหวัดมุกดาหาร
เมื่อวันนี้ 5 สิงหาคม 2565

เวลา 13.00 น.
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตร พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ศปอส.ตร หรือ PCT เปิดเผยผลการระดมจับกุม ผู้ที่ยินยอมให้คนร้ายใช้บัญชีธนาคารตน เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงประชาชน หรือ บัญชีม้า ที่ถูกออกหมายจับไว้แล้วพร้อมกันทั่วประเทศ กว่า 453 หมายจับ สามารถจับกุมได้ทั้งสิ้น 193 ราย
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สั่งการให้เร่งระดมจับกุมบัญชีม้า เนื่องจากเป็นส่วนประกอบหนึ่ง ที่มิจฉาชีพนำไปใช้ในการหลอกลวง และไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงประเภทใด ล้วนแล้วแต่อาศัยบัญชีม้าในการโอนเงินทั้งสิ้น
ปฏิบัติการครั้งนี้ สั่งการให้ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.ภ.8 หัวหน้าชุดปฏิบัติการ PCT ชุดที่ 1 พร้อมด้วย พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว ผกก.3 บก.สส.สตม. ,พ.ต.อ.ชินวุฒิ ตั้งวงศ์เลิศ ผกก.สภ.ฉิมพลี, พ.ต.ท.รัชพล รุ่งกิตติวรกุล รอง ผกก.คธม.บช.ทท. จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมกับ บช.น.,ภ.1-9 ติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับบัญชีม้า จำนวน 453 ราย ครั้งที่ 1 ช่วงวันที่ 27-30 มิ.ย.65 จับกุมได้ 75 ราย ครั้งที่ 2 25 – 27 ก.ค.2565 จับกุมได้เพิ่มอีก 118 ราย รวมทั้งสิ้น 193 ราย ซึ่งรวมถึงผู้ต้องหาบัญชีม้า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่หลอก พิธีกรสาว “ต้นอ้อ ภัทธีมา” สูญเงินกว่า 1 ล้านบาทด้วย
ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้นั้น เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ขบวนการหลอกลวงทางออนไลน์รูปแบบต่างๆ ยังคงใช้เป็นเครื่องมือหลอกลวงประชาชนให้สูญเสียทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก โดยต่อจากนี้จะมีการเร่งรัดติดตามจับกุมกลุ่มบัญชีม้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่สังคม พร้อมทั้งได้ประสานความร่วมมือไปยังธนาคารพานิชย์ ให้มีการประกาศเตือน บทลงโทษตามกฎหมาย ให้ลูกค้าทราบว่าหากยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคารตนเองไปกระทำความผิด ก่อนทำการเปิดบัญชีกับทางธนาคารทุกครั้ง
รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยเกรงประชาชนจะตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางออนไลน์ กำชับให้ ตร. เร่งปราบปรามและหาแนวทางประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ จึงขอเตือนว่า การเปิดบัญชีธนาคารควรเปิดเท่าที่จำเป็นและ ไม่ยินยอมให้ผู้อื่นนำไปใช้ไม่ว่าในกรณีใดๆ โดยหวังแก่ประโยชน์เล็กๆน้อยๆ หรือการให้ผู้อื่นใช้บัญชีตนเพราะความเชื่อใจไว้ใจก็ตาม ท่านไม่สามาถปฏิเสธความรับผิด อาจตกเป็นผู้ต้องหาในคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชน มีอัตราโทษจำคุกสูงถึง 5 ปี หากสงสัยจะตกเป็นเหยื่อสามารถโทรปรึกษาได้ที่ สายด่วน บช.สอท.1441 หรือ ศูนย์ PCT 081-8663000
ภาพ ข่าวโดย สุวิทย์ โพธิรัชต์
เหยี่ยวข่าวพญายม หน
เบาะแสอาชญากรรม มห รายงาน

Design a site like this with WordPress.com
Get started