ช่วงเช้าวันนี้เกิดอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ชนกันได้รับบาดเจ็บสาหัส

เบาะแสอาชญากรรม
ศูนย์ข่าวจังหวัดมุกดาหาร

วันที่ 22 กรกฎาคม 65
เวลา.08.00. น

เกิดอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ชนกัน บริเวณสามแยก ตำบลบ้านโคก อำเภอเมืองจังหวัดมุกดาหาร ทราบจากคำให้การของชาวบ้านในละแวกดังกล่าวว่า มอเตอร์ไซค์ที่ออกมาจากแยกและมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งทางตรง
ชนกันอย่างรุนแรง เบื้องต้นทราบว่ามอเตอร์ไซค์ของอีกคันหนึ่ง ที่ฝ่ายชายเป็นคนขับขี่ วิ่งมาจากทางตรงด้วยความเร็วสูง อุปกรณ์ในการเบรคบกพร่องชำรุดใช้งานไม่ได้ และมีลักษณะเป็นรถแต่งซิ่งจึงทำให้การขับขี่ด้วย ความปลอดภัยรถน้อยลง ปัญหามาจากในการแต่งรถที่ใช้แต่เบรคหน้าเบรคหลังไม่มีซึ่งช่วงนี้วัยรุ่นนิยมกันมาก จึงทำใหเกิดอุบัติเหตุ ได้อย่างง่ายดายเนื่องจากศักยภาพของรถไม่สามารถที่จะมีเบรคหลังช่วยได้จึงทำให้ ้หญิงสาวเคราะห์ร้าย คู่กรณีดังกล่าว ได้รับบาดเจ็บสาหัสขณะนกู้ภัยตำบลบ้านโคก ได้นำตัวส่งโรงพยาบาลจังหวัดมุกดาหารเป็นที่เรียบร้อยแต่ยังไม่ทราบชะตากรรมว่าเป็นเช่นไร
ด้านพนักงานสอบสวน

มาถึงเกิดเหตุ พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ชีพ ตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ
ส่วนในชั้นคดีรอการแจ้งความของคู่กรณีเพื่อความ คืบหน้าต่อไป ภาพ ข่าวโดย อานุภาพ อาจหาญ สุวิทย์ โพธินัร้ชต์ เหยี่ยวข่าวพญายม บาะแสอาชญากรรม รายงาน

ขนมทองพับ อร่อย หอม กรอบ นักเรียนทำขายเสริมรายได้

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

ที่ โรงเรียนวัดหูแร่ ต.ทุ่งตำเสา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งโรงเรียนแห่งนี้ ได้สอนทักษะในการทำขนมทองพับ ให้กับเด็กนักเรียนระดับประถมศึกษา เพื่อหารายได้เสริม ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ปกครอง หลังจากที่ทางคุณครูของโรงเรียนได้สอนวิธีทำขนมทองพับ แล้ว ก็ได้สูตรเด็ดจาก นางประภา อัครพงศ์พันธุ์ ผอ.โรงเรียนวัดหูแร่ ในการทำขนมทองพับ โดยจะใช้วัตถุดิบที่คัดสรร และมีคุณภาพดี เช่น แป้งสาลี แป้งมัน กะทิสด ไข่ไก่ งาดำ น้ำตาลมะพร้าว เกลือป่น และน้ำมันพืชอีกเล็กน้อย ซึ่งวัตถุดิบที่นำมาใช้จะต้องเลือกสรรมาอย่างดี ที่มีอยู่ในชุมชนของเรา หลังนำมาทำขนมทองพับแล้วรสชาต อร่อย มีกลิ่นหอม กรอบ ชวนรับประทานจากงา
ทางด้านนางประภา อัครพงศ์พันธุ์ ผอ.โรงเรียนวัดหูแร่ กล่าวว่า ขนมทองพับของเรา วัสดุทุกวัสดุ เราเลือกสรรมาเป็นอย่างดี ที่มีอยู่ในชุมชนของเรา จะมีกลิ่นหอม กรอบ ชวนรับประทานจากงา เราจะมีการวางจำหน่าย”ร้านหูแร่คาเฟ่”ของเรา ซึ่งวันนี้เราจะเปิดร้านเป็นวันแรก และจะมีจำหน่ายทุกๆวัน ที่โรงเรียนวัดหูแร่ ตรงกันข้ามกับโรงเรียนเทศบาลทุ่งตำเสา สามารถติดต่อสั่งซื้อได้ที่หมายเลขมือถือ 081 – 9576396 เพียงห่อละ 20 บาท

กรมศุลกากรจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ยุทธการกำแพงพระนคร ปิดเส้นทางลักลอบขนยาเสพติดข้ามแดน” ครั้งที่ 3

วันนี้ (21 กรกฎาคม 2565) กรมศุลกากรเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ยุทธการกำแพงพระนคร” (Narcotics Operation Guardian) ปิดเส้นทางลักลอบขนยาเสพติดข้ามแดน ครั้งที่ 3 ระหว่างไทยกับกัมพูชา เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร พร้อมสร้างเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ ในการสกัดกั้นการลักลอบขนส่งยาเสพติดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ณ ห้องประชุมด่านพรมแดนคลองลึก ด่านศุลกากรอรัญประเทศ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากรในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าส่งออกยาเสพติด อีกทั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ได้มีคำสั่งแต่งตั้ง ที่ 11/2564 ลงวันที่ 3 ธันวาคม 2564 ให้อธิบดีกรมศุลกากรเป็นประธานคณะอนุกรรมการสกัดกั้นการลักลอบส่งออกและนำเข้ายาเสพติดผ่านช่องทางศุลกากร เพื่อบูรณาการการสกัดกั้นการขนส่งยาเสพติด วัตถุออกฤทธิ์ ตลอดจนสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติดผ่านช่องทางศุลกากร กรมศุลกากรจึงได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อสกัดกั้นการลักลอบขนส่งยาเสพติดข้ามชาติให้ได้ผลอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ โดยได้มอบหมายให้นายพงศ์เทพ บัวทรัพย์ รองอธิบดีกรมศุลกากร และ นายถวัลย์ รอดจิตต์ ผู้อำนวยการกองสืบสวนและปราบปราม ดำเนินการจัดทำปฏิบัติการ “ยุทธการกำแพงพระนคร” (Narcotics Operation Guardian) เพื่อสกัดกั้นการลักลอบขนส่งยาเสพติดตามแนวชายแดน โดยได้ร่วมมือกับศุลกากรมาเลเซีย สปป.ลาว กัมพูชา และเมียนมา รวมถึงหน่วยงานความมั่นคง ตลอดจนหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการจัดตั้งเครือข่ายประสานงาน แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับยาเสพติด ตลอดจนการแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวอีกว่า การประชุมเชิงปฏิบัติการ “ยุทธการกำแพงพระนคร” ปิดเส้นทางลักลอบขนยาเสพติดข้ามแดนครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 3 ซึ่งครั้งที่ 1 เป็นการประชุมระหว่างไทย-มาเลเซีย และครั้งที่ 2 ไทย-สปป. ลาว ซึ่งการประชุมครั้งนี้ นายถวัลย์ รอดจิตต์ ผู้อำนวยการกองสืบสวนและปราบปราม เป็นหัวหน้าคณะ ผู้แทนกรมศุลกากร พร้อมด้วย นายประพันธ์ จันทร์ไทยศรี นายด่านศุลกากรอรัญประเทศ และคณะ ร่วมประชุมหารือกับ นายดารา เรี๊ยะสะไม รองผู้ว่าการกรุงปอยเปต หัวหน้าคณะผู้แทนกัมพูชา และคณะ พร้อมกับตัวแทนหน่วยงานที่ปฏิบัติงานสกัดกั้นการลักลอบขนส่งยาเสพติดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ในประเด็นสถานการณ์การลักลอบขนส่งยาเสพติดในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและสร้างเครือข่ายการประสานงานร่วมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบขนส่งยาเสพติดในพื้นที่ชายแดนทางภาคตะวันออกของประเทศไทย

สำหรับกำหนดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ยุทธการกำแพงพระนคร ปิดเส้นทางลักลอบขนยาเสพติดข้ามแดน” ครั้งที่ 4 จะจัดขึ้นในวันที่ 3 สิงหาคม 2565 โดยเป็นการประชุมหารือร่วมระหว่างศุลกากรไทยกับศุลกากรเมียนมา ณ ด่านศุลกากรแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ผู้ช่วยผบ.ตร.ตรวจประเมินการจัดฝึกอบรมโครงการพัฒนาประสิทธิภาพผู้ปฏิบัติงานสายงานป้องกันปราบปราม

วันนี้ (21 ก.ค. 65) เวลา 11.00 น.

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร.
พร้อมด้วยคณะ

เดินทางมาตรวจประเมินการจัดฝึกอบรมโครงการพัฒนาประสิทธิภาพผู้ปฏิบัติงานสายงานป้องกันปราบปราม ประจำปีงบประมาณ 2565 ของตำรวจภูธรภาค 9 พร้อมชมการสาธิตการฝึกตามเหตุการณ์จำลอง จำนวน 4 เหตุการณ์ ประกอบด้วย

  1. การระงับเหตุคนคลุ้มคลั่งโดยชุดไม้ง่ามปืนไฟฟ้า โดย สภ.นาหม่อม ภ.จว.สงขลา
  2. กรณีมีเหตุยกพวกทำร้ายร่างกายในงานคอนเสิร์ตหรือหมอลำหรือนักเรียนยกพวกตีกัน โดย สภ.เมืองสงขลา ภ.จว.สงขลา
  3. กรณีหตุทำร้ายร่างกายและมีผู้บาดเจ็บนำส่ง รพ. และมีเหตุทะเลาะวิวาทต่อเนื่อง ณ ห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาล โดย สภ.คอหงส์ ภ.จว.สงขลา
    4.กรณีพบบุคคลต้องสงสัยและใช้อาวุธปืนต่อสู้เจ้าหน้าที่ตำรวจ โดย สภ.หาดใหญ่ ภ.จว.สงขลา

โดยมี
พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี รอง ผบช.ภ.9
พล.ต.ต.ธเรศ แก้วละเอียด ผบก.อก.ภ.9
พร้อมด้วย ผบก./รอง ผบก.ภ.จว.สงขลา ตรัง สตูล และ พัทลุง พร้อมฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับและร่วมชมสาธิตการฝึก

ณ ลานฝึก ภ.9 อ.หาดใหญ่

กรมศุลกากร เตือน “การนำเข้ากัญชาต้องผ่านพิธีการศุลกากร”หากลักลอบนำเข้าหรือนำเข้ามาโดยไม่มีใบอนุญาต อาจได้รับโทษทั้งจำทั้งปรับ

กรมศุลกากรเตือนประชาชนที่มีความประสงค์จะนำเข้ากัญชา จะต้องผ่านพิธีการศุลกากรให้ถูกต้อง หากลักลอบนำเข้า หรือ การนำเข้ามาโดยผ่านพิธีการศุลกากรแต่ไม่มีใบอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นความผิดตามกฎหมายศุลกากร ซึ่งมีโทษทั้งจำทั้งปรับ

นายชัยยุทธ คำคุณ ที่ปรึกษาด้านระบบควบคุมทางศุลกาการ ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกประกาศเรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2565 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2565 โดยมีสาระสำคัญให้ กัญชา กัญชงไม่เป็นยาเสพติด ยกเว้นสารสกัดที่มีสาร THC เกิน 0.2% โดยน้ำหนัก ยังคงเป็นยาเสพติด นั้น แม้ว่า กัญชา กัญชง จะไม่เป็นยาเสพติดดังกล่าวข้างต้น แต่หากมีการนำเข้า ผู้นำเข้าจะต้องผ่านพิธีการทางศุลกากรและปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงประกาศของกรมวิชาการเกษตรที่ได้ออกประกาศควบคุมนำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชาและควบคุมป้องกันโรคและแมลงศัตรูพืชที่ติดมากับเมล็ดพันธุ์อย่างเข้มงวด

ที่ผ่านมาพบว่ายังมีการลักลอบนำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชา และต้นกล้ากัญชาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะตามตะเข็บชายแดนไทย ซึ่งหากนำเข้ามาโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร หรือนำเข้ามาโดยผ่านพิธีการศุลกากร
แต่ไม่มีใบอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้นำเข้าอาจได้รับโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 กล่าวคือ

กรณีแรก หากเป็นการนำเข้ามาในประเทศไทยโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากร ถือเป็นความผิดฐานลักลอบหนีศุลกากร ตามพระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา 242 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกินสี่เท่าของราคาของรวมอากร
กรณีที่สอง หากนำเข้ามาโดยผ่านช่องทางศุลกากร แม้ปัจจุบันกัญชาจะถูกปลดจากการเป็นยาเสพติดประเภท 5 ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 แล้ว แต่การนำเข้ายังต้องคำนึงถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง คือ พระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518 และพระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507 ดังนั้น กัญชายังถือเป็นสินค้าควบคุมการนำเข้า ซึ่งหากไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือได้รับอนุญาตก่อนที่จะนำเข้ามาในประเทศไทย อาจเป็นความผิดฐานหลีกเลี่ยงข้อห้าม ข้อกำกัด ตามพระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา 244 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท (ห้าแสนบาท)

โฆษกกรมศุลกากร กล่าวว่า สำหรับประชาชนที่มีความประสงค์จะนำเข้ากัญชา จะต้องผ่านพิธีการศุลกากรและปฎิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากลักลอบนำเข้า หรือ นำเข้ามาโดยผ่านพิธีการศุลกากรแต่ไม่มีใบอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มีโทษทั้งจำทั้งปรับ และหากนำกัญชาออกนอกประเทศซึ่งประเทศเหล่านั้นยังกำหนดให้กัญชายังเป็นพืชที่ผิดกฎหมาย อาทิ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เวียดนาม อินโดนีเซีย สิงค์โปร์ มาเลเซีย อาจมีโทษทั้งจำทั้งปรับ หรือโทษสูงสุดคือประหารชีวิต จึงขอให้ศึกษากฎหมายของต่างประเทศให้ดีก่อนจะนำติดตัวออกหรือส่งออกไปต่างประเทศ

“ฝ่ายสืบสวน สน.ลุมพินี จับกุมคนร้ายจำนวน 8 คนก่อเหตุร่วมกันฆ่าผู้อื่นฯ

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2565 สถานที่เกิดเหตุ แฟลต 4 ชุมชนเทพประทาน”

กองบัญชาการตำรวจนครบาล ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น.พล.ต.ต.จิรสันต์  แก้วแสงเอก, พล.ต.ต.ไตรรงค์ ผิวพรรณ, พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์, พล.ต.ต.โชคชัย
งามวงศ์, พล.ต.ต.สำเริง สวนทอง รอง ผบช.น. และ พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ ผบก.น.5 สั่งการให้ พ.ต.อ.นิมิตร นูโพนทอง ผกก.สน.ลุมพินี, พ.ต.ท.นฤวัต พุทธวิโร รอง ผกก.สส.สน.ลุมพินี, พ.ต.ท.ภราดร สุวรรณรัตน์ สว.สส.สน.ลุมพินี, พ.ต.ต.ปกป้อง อุไรพันธ์ สว.สส.สน.ลุมพินี และเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี สืบสวนติดตามกรณี เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2565 เวลาประมาณ 20.30 น. ได้เกิดเหตุกลุ่มคนร้ายใช้อาวุธปืน ยิงนายชาย หรือบาส อายุ 29 ปี เสียชีวิต เหตุเกิดบริเวณทางเดินรถภายในชุมชนเทพประทาน แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร นั้น

เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนสถานีตำรวจนครบาลลุมพินีจึงได้ออกสืบสวนหาข่าวและตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โครงการ Smart Safety Zone) ประกอบกับกล้องวงจรปิดของกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานเอกชนตามเส้นทางที่คนร้ายก่อเหตุ จนทราบว่ากลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุมีจำนวน 8 คน ดังนี้
1.นายสนธยาฯ อายุ 27 ปี
2.นายกิตติวัฒน์ฯ อายุ 28 ปี
3.นายวีระพงษ์ฯ อายุ 28 ปี
4.นายยิ่งใหญ่ฯ อายุ 28 ปี
5.นายกฤษดาฯ อายุ 30 ปี
6.นายขวัญฯ อายุ 30 ปี
7.นายณัฐพลฯ อายุ 28 ปี
8.นายธนวัฒน์ฯ อายุ 28 ปี

จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานส่งมอบให้พนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ขอหมายจับต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ และได้ทำการติดตามความเคลื่อนไหวของผู้ต้องหาทั้งแปดมาโดยตลอด

จนกระทั่งวันที่ 20 กรกฎาคม 2565 เวลาประมาณ 20.15 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหาจำนวน 3 คน คือ 1.นายสนธยาฯ อายุ 27 ปี 2.นายกิตติวัฒน์ฯ อายุ 28 ปี
3.นายณัฐพลฯ อายุ 28 ปี ได้ที่บริเวณเดอะ ทรัสต์ คอนโด แอท บีทีเอส เอราวัณ ถ.สุขุมวิท ต.ปากน้ำ อ.เมือง
จ.สมุทรปราการ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี ได้สืบสวนหาข่าว ทำการกดดัน จนกระทั่งผู้ต้องหาจำนวน
5 คน ที่หลบหนีอยู่นั้นติดต่อขอเข้ามอบตัวที่ สน.ลุมพินี ในเวลาต่อมา โดยผู้ต้องหาทั้งหมดยอมรับว่าเป็นบุคคล

ตามหมายจับจริงและยังไม่เคยถูกจับกุมตามหมายจับนี้มาก่อน จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และรวมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร” ตามกฎหมาย
ในเวลาต่อมา

จากการซักถาม กลุ่มผู้ต้องหารับว่าได้มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตายมาก่อน โดยผู้ตายมักมาทำร้ายชกต่อยพรรคพวกของตนเองก่อน จึงได้พากันมาที่เกิดเหตุเพื่อพูดคุยกับผู้ตาย แต่เหตุการณ์ปานปลายจนเกิดการใช้อาวุธปืนยิงจนมีผู้เสียชีวิตดังกล่าว
พล.ต.ท.สำราญ  นวลมา  ผบช.น. ได้เน้นย้ำเพื่อให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนว่า จะมุ่งเน้น การป้องกันอาชญากรรม ให้กับพี่น้องประชาชน และเมื่อเกิดเหตุแล้วจะเร่งทำการ สืบสวน ติดตามจับกุม คนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็วทุกคดีและจะดำเนินการกวาดล้างอาชญากรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครมีความปลอดภัยมากที่สุด

บช.น. ขอเรียนพี่น้องประชาชนว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความใส่ใจในความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และยังคงยึดมั่นในการปฏิบัติหน้าที่บำบัดทุกข์และบำรุงสุขให้แก่พี่น้องประชาชน หากพบเห็นหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิด โปรดแจ้งสายด่วน 191 หรือสถานีตำรวจท้องที่

ประธานชมรมแม่บ้านตำรวจนครบาล จัดกิจกรรมให้ความช่วยเหลือข้าราชการตำรวจและครอบครัวที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง

วันพฤหัสบดีที่ 20 ก.ค. 65 เวลา 15.00 น.
คุณศิริเพ็ญ ตั้งทวีสุโขนวลมา ประธานชมรมแม่บ้านตำรวจนครบาล, คุณฐาณิญา ผิวพรรณ รองประธานชมรมแม่บ้านตำรวจนครบาล, คุณลภัทธิตา จินตกานนท์ รองประธานชมรมแม่บ้านตำรวจนครบาล, คุณชลดา อนุสิทธิ์ ประธานแม่บ้านตำรวจนครบาล 2,
คุณเพ็ญผกา ใช้สถิตย์ ประธานแม่บ้านตำรวจนครบาล 6 และคณะแม่บ้านตำรวจนครบาล ร่วมกิจกรรมให้ความช่วยเหลือข้าราชการตำรวจและครอบครัวที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง ตามโครงการครอบครัวตำรวจเราไม่ทิ้งกัน ดังนี้

1. ร.ต.ท.ประสิทธิ คำปาบัว รอง สว.จร.สน.สุทธิสาร
(ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่)
และนายกฤษฏิ์สรัช คำปาบัว (บุตร) ณ อาคารบ้านพักอิสระ สน.วิภาวดี

2. ร.ต.ท.จักรวาล วงศ์ชัย รอง สว.จร.
สน.วังทองหลาง และด.ญ.ธนิดาพร วงศ์ชัย (บุตร) ณ อาคารบ้านพักอิสระ สน.วังทองหลาง

3. ส.ต.ท.กฤษดา การุณ
ผบ.หมู่ ปฏิบัติงานสังกัดกองร้อยปฏิบัติการพิเศษที่ 2 กก.ต่อต้านการก่อการร้าย บก.สปพ. ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ผู้ก่อเกตุยิงประชาชนและเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตที่บริเวณห้างสรรพสินค้าเทอมินอล 21 จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 8 ก.พ.63 และขณะนี้อยู่ระหว่างพักฟื้นรักษาตัว ณ อาคารบ้านพักอิสระกองบินตำรวจ

วุฒิสภา-สสส.-ภาคีเครือข่าย เดินหน้ารณรงค์-ผนึกกำลัง ตร. สร้างความปลอดภัยทางม้าลาย

หลังพบคดีอุบัติเหตุคนเดินเท้าเฉลี่ย 2,500 รายต่อปี จับมือตำรวจไทย สร้างมาตรการควบคุม-บังคับใช้กฎหมาย ด้านไรเดอร์-ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ ร่วมขับเคลื่อนขับขี่ปลอดภัยลดอุบัติเหตุ

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนน วุฒิสภา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภากาชาดไทย สำนักงานเขตปทุมวัน และภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรม หยุดสูญเสีย หยุดรถ ให้คนข้ามทางม้าลาย #ความดีที่คุณทำได้ ครั้งที่ 6 “ก้าวเดินอย่างปลอดภัยบนทางม้าลาย ตำรวจจราจรไทยร่วมดูแล” พร้อมมอบสื่อให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อนำไปใช้ในการรณรงค์สื่อสารสร้างความเข้าใจกับประชาชนและบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ต่างๆ เพื่อสร้างความปลอดภัยบนทางม้าลาย ด้วยการลดความเร็วเขตชุมชนและชะลอก่อนถึงทางแยกทางข้าม
นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย สมาชิกวุฒิสภา และประธานคณะกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนน วุฒิสภา กล่าวว่า “รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนลงให้เหลือไม่เกิน 12 คนต่อประชากรแสนคน ภายในปี 2570 โดยใช้แนวคิดเน้นการจัดการเชิงระบบวิถีแห่งความปลอดภัย (Safe System Approach) โดยระบบที่ปลอดภัยจะช่วยป้องกัน และลดความสูญเสีย ซึ่งกว่า 6 เดือนที่ผ่านมา กิจกรรม หยุดสูญเสีย หยุดรถ ให้คนข้ามทางม้าลาย ขับเคลื่อนทำงานรณรงค์ปลูกจิตสำนึกอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างวินัยจราจร วันนี้เรายังเดินหน้ารณรงค์อย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นใจให้คนข้ามทางม้าลาย การจัดกิจกรรมครั้งนี้ ได้ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญยิ่งที่มีหน้าที่กำกับดูแล บังคับใช้กฎหมาย จึงมีข้อเสนอเชิงนโยบายเสนอต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้เกิดความปลอดภัย 3 ด้าน คือ 1. การบริหารจัดการ การบังคับใช้กฎหมายและการกำกับติดตาม โดยเฉพาะการบังคับใช้และมีมาตรการดูแล ณ ทางแยก-ทางข้าม โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ที่ยังมีทั้งการจอดรถทับทางม้าลาย-ไม่หยุดให้คนข้าม 2. มาตรการและมาตรฐานความปลอดภัย เช่น มาตรฐานสัญลักษณ์จราจรทางถนน และการกำหนด Speed Zone จำกัดความเร็วในเขตชุมชน 3. การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย เช่น นำเทคโนโลยีเสริมการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่ฝ่าฝืน การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับกรมการขนส่งทางบกและกรุงเทพมหานคร วางแนวทางควบคุม/บังคับใช้กฎหมาย และสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้านความปลอดภัย
พล.ต.อ. ปรีชา เจริญสหายานนท์ ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาอุบัติเหตุทางถนนและคำนึงถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน และในฐานะที่ ตร. เป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลกับกำความปลอดภัยด้านการจราจรก็จะเร่งรัดดูแลให้เกิดความปลอดภัยเพิ่มขึ้น โดยกำชับให้ บช.น.หารือกับ กทม./ บก.ทล. หารือร่วมกับ กรมทางหลวง เพื่อกำหนดจุดติดตั้งกล้อง และการรับส่งข้อมูลภาพถ่าย เพื่อนำมาใช้ออกใบสั่งกับผู้ฝ่าฝืนตามกฎหมาย ผ่านการใช้งานระบบ PTM (Police Ticket Management) และจะบังคับใช้กฎหมายในจุดที่มีการติดตั้งกล้องอย่างต่อเนื่อง ซึ่งใน กทม. มีพื้นที่ตรวจจับความผิดฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดงจำนวน 33 จุด และส่วนมาตรการป้องกันลดอุบัติเหตุโดยเฉพาะทางม้าลาย ได้มีการเร่งบังคับใช้กฎหมาย อาทิ การฝ่าฝืนจอดรถบนทางม้าลาย ไม่จอดให้คนข้ามทางม้าลาย เพิ่มโทษ หรือแม้กระทั่งคนเดินเท้าหากไม่ข้ามบริเวณทางม้าลายก็มีความผิดเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคน
นางสาวรุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม สสส. กล่าวว่า จากรายงานสถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนของไทยปี 2561-2564 พบว่า “คนเดินเท้า” เป็นกลุ่มผู้ใช้ถนนที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ และเสียชีวิตมากกว่ากลุ่มอื่น สอดคล้องกับสถิติคดีอุบัติเหตุจราจรปี 2554 – 2563 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า มีคนเดินเท้าได้รับอุบัติเหตุเฉลี่ยปีละ 2,500 ราย หรือเฉลี่ยวันละ 7 ราย ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่ กทม. และอุบัติเหตุชนคนเดินเท้าบนทางหลวง เฉลี่ยเกินครึ่งมีผู้เสียชีวิต ข้อมูลปี 2564 ยังพบว่า มีสัดส่วนที่เพิ่มสูงขึ้นเป็น 65% โดยมีสาเหตุจากการขับรถเร็วเกินอัตราที่กำหนด จึงอยากเน้นย้ำว่าการใช้ความเร็วที่ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเขตเมือง-เขตชุมชน เช่น หน้าโรงเรียน หน้าโรงพยาบาล หน้าตลาด หรือหน้าสถานที่ราชการเป็นความเร็วที่ทางองค์การอนามัยโลกแนะนำว่าหากเกิดการชนที่ความเร็วระดับนี้ จะช่วยลดโอกาสเสียชีวิตได้ถึง 90% จึงขอเชิญชวนลดความเร็วก่อนถึงบริเวณทางข้าม เพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนและสร้างวัฒนธรรมของการขับขี่ที่ปลอดภัย
โดยครั้งนี้ได้จัดขบวนรณรงค์ สร้างจิตนึกผู้ขับขี่รถให้หยุดรถตรงทางม้าลาย ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ใช้รถใช้ถนน พร้อมมอบหมวกนิรภัยให้กับไรเดอร์ และผู้ขับขี่จักรยานยนต์ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนขับขี่ปลอดภัยร่วมลดอุบัติเหตุ” “คณะกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนน วุฒิสภา สสส. และภาคี ได้ร่วมมือกับ ตร. เพื่อส่งมอบข้อเสนอในการลดอุบัติเหตุถึงผู้บังคับใช้กฎหมายโดยตรง ในการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ขับขี่ที่ฝ่าฝืนจราจร ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการเคารพกฎจราจรอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ได้มีการขอความร่วมมือลดพฤติกรรมเสี่ยงการขับขี่ที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ กลุ่มของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ โดยเฉพาะกลุ่มไรเดอร์ในเขต กทม.ในการเข้าร่วมการรณรงค์ เพื่อร่วมสร้างวัฒนธรรม หยุดสูญเสีย หยุดรถ ให้คนข้ามทางม้าลาย ในครั้งนี้” นางสาวรุ่งอรุณ กล่าว

#หมอกระต่ายต้องไม่ตายฟรี

#หยุดอุบัติเหตุ=หยุดสูญเสีย

#หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย

#ความดีที่คุณทำได้

ประชุมคณะกรรมการเครือข่าย เพื่อป้องกันอาชญากรรมในเชิงรุกภูธรเมืองมุกดาหาร เพื่อขับเคลื่อนโครงการSmart Safety Zone 4.0

เบาะแสอาชญากรรม
ศูนย์ข่าวจังหวัดมุกดาหาร


เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2565
เวลา.09.00.น
พลตำรวจตรี ชัชชัย วงศ์สุนะ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จังหวัดมุกดาหาร เป็นประธานเข้าประชุมคณะกรรมการเครือข่ายป้องกันอาชญากรรม เชิงรุกประจำสถานีตำรวจภูธรเมืองมุกดาหาร ตามแนวทางการสร้างเครือข่าย ร่วมกับพันธมิตรตามแนวทางหลักของชุมชน เพื่อขับเคลื่อนโครงการเครือข่ายในระยะที่ 2 โดยมีคณะกรรมการ เครือข่ายป้องกันอาชญากรรม ในเชิงรุกประจำสถานี ตำรวจ 6 คณะประกอบด้วย คณะกรรมการที่ปรึกษา เจ้าหน้าที่ตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคธุรกิจ และหน่วยงาน ภาครัฐหรือหน่วยงานที่ไม่หวังผลกำไร อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับปัญหาชุมชน ผู้อาศัยในชุมชนและสื่อมวลชน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมแสงสิงห์แก้วชั้น 5 อาคารที่ทำการตำรวจภูธรเมืองมุกดาหาร อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ตามแนวทางโครงการ Smart Safety Zone 4.0 ในระยะที่ 2 ในครั้งนี้ เพื่อเป็นการรายงานความคืบหน้า ในการดำเนินโครงการ Smart Safey Zone 4.0 ในพื้นที่ดำเนินโครงการ พร้อมทั้งภาพรวมในการดำเนินงาน ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของภาคีเครือข่าย เพื่อนำไปประกอบการดำเนินงานด้านกิจกรรม ในโครงการดังกล่าวทั้งนี้ ของโครงการ Smart Safety Zone 4.0 ระยะที่ 2 เป็นการ นำนวัตกรรมและเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร มาใช้ในการป้องกันอาชญากรรม แบบเชิงรุก เช่นการสร้างเครือข่ายกล้อง CCTV พร้อมกับให้มีเจ้าหน้าที่และเครื่องมือสื่อสาร คอยตรวจสอบตลอดเวลา การใช้งานโดรนบินตรวจ การณ์ในพื้นที่ โครงการการติดตั้งระบบ แจ้งเหตุฉุกเฉินไว้ตามจุดต่างๆ รวมถึง การสร้างกลุ่มเครือข่าย ทางสังคม เพื่อเฝ้าระวังและแจ้งเหตุ กลุ่มเครือข่ายตาสับปะรด และกลุ่มเครือข่ายอื่นๆเพื่อร่วมบูรณาการ ในการทำงานด้านการป้องกันอาชญากรรม เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน
ต่อไป ภาพข่าว
โดย สุระณรงค์ อ่อนสนิท
ณัฐรัชต์ หงษ์คำ
สุวิทย์ โพธิรัชต์ เหยี่ยวข่าวพญายม หน เบาะแสอาชญากรรม และทีมงาน รายงาน

ตำรวจนครบาล เผยผลการปฏิบัติที่น่าสนใจ”ความผิดต่อชีวิต/ร่างกายและความผิดเกี่ยวกับทรัพย์

กองบัญชาการตำรวจนครบาล เผยข้อมูลข่าวสารเพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบ กรณีวันที่ 20 ก.ค.65 เวลา 11.30 น., พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น., พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. พล.ต.ต.นิตินันท์ เพชรบรม รอง ผบช.น., พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.โชคชัย งามวงศ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.สำเริง สวนทอง รอง ผบช.น. พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ รอง ผบช.น. ได้แถลงผลการปฏิบัติที่น่าสนใจ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

พื้นที่สน.คลองตัน

คดีที่ 1 จับกุมคนร้ายประสบปัญหาทางการเงิน ใช้อาวุธปืนปลอมชิงทรัพย์ร้านทอง ในห้างสรรพสินค้าย่านพัฒนาการ สน.คลองตัน บก.น.๕
วันที่ 19 ก.ค.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมตัว นายประภากร หรือ กร อายุ 42 ปี ที่ห้องพักเลขที่ 210 ชั้น 2 ฝันดีแมนชั่น ซอยชยางกูร 38 ถนนชยางกูร อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี
พร้อมได้ตรวจยึดของกลาง
1.สร้อยข้อมือทองคำจี้ รูปหัวใจ พบในขวดโลชั่นทาผิว NIVEA จำนวน 1 เส้น
2.สร้อยข้อมือทองคำจี้ รูปปี่เชี้ยะ พบในขวดโลชั่นทาผิว NIVEA จำนวน 1 เส้น
3.สร้อยข้อมือทองคำลายลูกคิดพลอย พบในขวดโลชั่นทาผิว NIVEA จำนวน 1 เส้น
4.สร้อยข้อมือทองคำจี้เลข 8 พบในขวดโลออนครีม NIVEA จำนวน 1 เส้น
5.สร้อยข้อมือทองคำจี้กุหลาบหัวใจเลข 9 พบในขวดโลออนครีม NIVEA จำนวน 1 เส้น
6.สร้อยข้อมือทองคำลายดอกพิกุล พบในขวดแป้ง POND’S จำนวน 1 เส้น
7.ตะขอทองคำรูปตัว S พบในขวดแป้ง POND’S จำนวน 1 ชิ้น
8.ธนบัตรรัฐบาลไทย ฉบับ 500 บาท พบในกระเป๋ากางเกงข้างหน้าซ้าย ตัวที่ผู้ต้องหาสวมใส่อยู่ จำนวน 1 ฉบับ

  1. ธนบัตรรัฐบาลไทย ฉบับ 50 บาท พบในกระเป๋ากางเกงข้างหน้าช้ายที่ผู้ต้องหาสวมใส่อยู่ จำนวน 1 ฉบับ
  2. ธนบัตรรัฐบาลไทย ฉบับ 1,000 บาท จำนวน 12 ฉบับ
  3. โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Realme จำนวน 1 เครื่อง
  4. โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Redmi จำนวน 1 เครื่อง
  5. ชิมโทรศัพท์ AIS พบในกระเป๋ากางเกงข้างหน้าด้านขวา จำนวน 1 เบอร์

โดยกล่าวหาว่า “ชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยทำด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหรือจำหน้าได้โดยมีอาวุธโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อพ้นการจับกุม และพาอาวุธเข้าไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร”

จากการตรวจสอบประวัติ นายประภากร เคยมีประวัติการต้องโทษ คดีฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน โดยประสบปัญหาการขาดทุนจากร้านที่เปิดและถูกดำเนินคดี กรณีไม่ปิดจุดเสี่ยง สถานบันเทิง ห้าง คลินิก บ่อน อาบ อบนวด

พื้นที่สน.บุคคโล

คดีที่ 2 กรณีผู้ก่อเหตุขับรถยนต์ชนเด็กแล้วอุ้มขึ้นรถไปวางทิ้งไว้หน้าโรงพยาบาลสุขสวัสดิ์ สน.บุคคโล บก.น.8
เมื่อวันที่ 19 ก.ค.65 เวลาประมาณ 16.00 น. เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.บุคคโล ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ราษฎร์บูรณะ ว่ามีชาย อายุประมาณ 50 ปี สวมเสื้อยืดสีฟ้า ได้อุ้มเด็กซึ่งได้รับบาดเจ็บมาวางทิ้งไว้หน้า โรงพยาบาลสุขสวัสดิ์ แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ราษฎร์บูรณะ ได้รับข้อมูลจากเด็กที่ถูกวางทิ้งไว้หน้าโรงพยาบาล อายุประมาณ 4 ปี และถูกรถชนบริเวณลานจอดรถห้างบิ้กซี
สาขาดาวคะนองแล้วถูกอุ้มขึ้นรถแล้วนำมาวางทิ้งไว้หน้าโรงพยาบาลดังกล่าว
เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.บุคคโล ได้ออกตรวจที่เกิดเหตุและตรวจสอบกล้องวงจรปิดของห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาดาวคะนอง บริเวณทางเข้า – ออก และภายในบริเวณลานจอดรถของห้างฯ พบว่ารถยนต์ที่ขับมาชนเด็กเป็นรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด กะบะด้านหลังติดตั้งตู้ทึบ สีขาว หมายเลขทะเบียน 2 ฒฒ 348 กรุงเทพมหานคร โดยขับรถเข้ามาภายในห้างฯ เวลาประมาณ 12.45 น. จากนั้นได้จอดเพื่อนำของมาส่งที่ห้างๆ ต่อมาได้ขับรถเลี้ยวเข้ามาภายในลานจอดรถเพื่อที่จะเดินทางกลับ และเมื่อเวลาประมาณ 13.15 น. ได้ขับรถชนเด็ก (ตามคำบอกเล่าพยานที่เห็นเหตุการณ์) จากนั้นเวลาประมาณ 13.19 น. ได้ขับรถออกจากห้างฯ เมื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่าเมื่อเวลาประมาณ 13.21 น. รถยนต์คันดังกล่าวขับมุ่งหน้าผ่านบริเวณแยกดาวคะนอง แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี กรุงเทพฯ และได้ขับมุ่งหน้าไปทางแยกพระรามที่ 2 ไปตามถนนสุขสวัสดิ์ จากนั้นเวลาประมาณ 13.25 น. ได้ขับผ่านบริเวณห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาบางปะกอก และได้กลับรถบริเวณแยกราษฎร์พัฒนา แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ ต่อมาเวลาประมาณ 13.28 น. ได้เลี้ยวรถจอดบริเวณหน้า โรงพยาบาลสุขสวัสดิ์แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ จากนั้นคนขับรถได้อุ้มเด็กลงมาวางทิ้งไว้ที่หน้าโรงพยาบาลดังกล่าว แล้วขับรถหลบหนีไป มุ่งหน้าแยกพระรามที่ 2

เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนได้สอบข้อมูลจากทะเบียนรถคันดังกล่าว จึงได้ทราบว่ามีนายอานนท์ฯ อายุ 52 ปี เป็นผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าว และนำตัวเด็กไปวางทิ้งไว้ที่หน้าโรงพยาบาลสุขสวัสดิ์ จึงได้ติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาพบพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
จากการตรวจสอบประวัติ นายอานนท์ ไม่มีประวัติการต้องโทษ ผลการตรวจวัดไม่มีแอลกอฮอล์ในร่างกาย ไม่มียาเสพติดในร่างกาย

เคส บก.สปพ.

คดีที่ 3 191 เปิดแผนวิเคราะห์อาชญากรรมสยบโจรลอบตัดสายไฟเมืองกรุง
วันที่ 15 ก.ค.65เวลา 00.45 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย บริเวณริมถนนราษฎร์รัฐพัฒนา แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร ดังนี้
1.นายอณุ (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี
2.น.ส.ปารวตรี (สงวนนามสกุล) อายุ 45 ปี

พร้อมด้วยของกลาง
1.สายเคเบิ้ล น้ำหนัก 16 กิโลกรัม
2.สายเคเบิ้ล อยู่ภายในท่อพลาสติกสีดำ เส้นผ่านศูนย์กลาง 3 ซม. ยาว 6 เมตร จำนวน 1 เส้น
3.สายเคเบิ้ล อยู่ภายในท่อพลาสติกสีดำ เส้นผ่านศูนย์กลาง 4 ซม. ยาว 6.5 เมตร จำนวน 1 เส้น
4.คีมตัดสายไฟ สีเขียว – ดำ จำนวน 1 อัน
5.ปลอกหุ้มสายเคเบิ้ลเปล่า จำนวน 13 อัน
6.รถกระบะอีซูซุ รุ่นดีแม็ก สีขาว หมายเลขทะเบียน XXX-8982 กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 คัน
โดยแจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดหรือ การพาทรัพย์นั้นไป”
สืบเนื่องจากในห้วงเดือนมีนาคม – กรกฎาคม 2565 มีผู้เสียหายและประชาชนพลเมืองดี ได้แจ้งเหตุผ่านโทรศัพท์สายด่วน 191 เกี่ยวกับเหตุลักสายไฟในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ต่อเนื่องจำนวนหลายเหตุ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ในวงกว้าง ตามดำริของผู้บัญชาการตำรวจนครบาล “นครบาลใส่ใจ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน” กองกำกับการสายตรวจ กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ ได้รวบรวมสถิติ วิเคราะห์ข้อมูลอาชญากรรมและพฤติกรรมของกลุ่มคนร้าย เพื่อเฝ้าระวังติดตามป้องกันมิให้คนร้ายสามารถก่อเหตุอาชญากรรมซ้ำ ตลอดจนสืบสวนติดตามพฤติกรรมกลุ่มบุคคลต้องสงสัยที่น่าเชื่อได้ว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุมาอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งในวันที่ 15 ก.ค.65 เวลา 00.45 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจงานสายตรวจ 2 กองกำกับการสายตรวจได้ออกตรวจพื้นที่ตามแผนวิเคราะห์อาชญากรรม ซึ่งมีการวางแผนวิเคราะห์และประเมินพื้นที่กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสในการเกิดอาชญากรรม โดยขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจตราไปตามเส้นทางที่กำหนดได้พบรถกระบะต้องสงสัยจอดอยู่ในบริเวณ ซอยเคหะร่มเกล้า 78 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร และเมื่อเฝ้าสังเกตการณ์จึงพบว่ารถกระบะคันดังกล่าวเป็นรถที่อยู่ในกลุ่มต้องสงสัยในการก่อเหตุลักลอบตัดสายไฟสายเคเบิ้ล โดยมีชายเป็นผู้ขับขี่ ทราบชื่อต่อมาในภายหลังว่า นายอณุ ได้ลงมาจากรถ จากนั้นได้ปีนขึ้นไปบนสายเคเบิ้ลในบริเวณดังกล่าว และมีผู้หญิงคนหนี่งคอยให้ความช่วยเหลือ ซึ่งทราบชื่อต่อมาในภายหลังว่า น.ส.ปารวตรี เป็นผู้ที่นั่งรถมาด้วยกัน ได้ขนสายเคเบิ้ลที่ถูกตัดกองทิ้งลงมาขึ้นไปที่บริเวณท้ายรถกระบะ และทั้งสองได้ขับรถออกจากบริเวณดังกล่าวไป
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ติดตามรถกระบะต้องสงสัย จนกระทั่งพบว่ารถกระบะได้ถูกนำไปจอดที่บริเวณริมถนนราษฎร์รัฐพัฒนา แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร และเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบพบว่าบุคคลทั้งสองกำลังช่วยกันปลอกสายเคเบิ้ลที่เพิ่งจะลักลอบตัดมา และพบสายเคเบิ้ลจำนวนมากอยู่ในบริเวณท้ายรถกระบะ ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองให้การ “รับสารภาพ” ว่า ได้นำสายเคเบิ้ลที่ลักลอบตัดมาจากสถานที่ต่างๆมาปลอกเพื่อเอาทองแดงข้างในไปขายต่อในราคากิโลกรัมละ 180-190 บาท โดยก่อนหน้านี้ได้เคยก่อเหตุลักลอบตัดสายไฟและสายเคเบิ้ลในพื้นที่กรุงเทพมหานครมาแล้วจำนวนหลายครั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสอง พร้อมด้วยของกลางนำส่ง พนักงานสอบสวน สน.บางชัน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

จากการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหาทั้งสองราย ผลปรากฏดังนี้
1.นายอณุ เคยต้องโทษ คดียาเสพติดเมื่อ ปี 2554 สภ.ห้วยยาง จว.ประจวบคีรีขันธ์
2.น.ส.ปารวตรี มีประวัติ ข้อหาจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา

พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น. ได้เน้นย้ำเพื่อให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนว่า จะมุ่งเน้น
การป้องกันอาชญากรรม ให้กับพี่น้องประชาชน และเมื่อเกิดเหตุแล้วจะเร่งทำการ สืบสวน ติดตามจับกุม คนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็วทุกคดีและจะดำเนินการกวาดล้างอาชญากรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครมีความปลอดภัยมากที่สุด

บช.น. ขอเรียนพี่น้องประชาชนว่า ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19
แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและยาเสพติดอย่างเคร่งครัด พบเห็นหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิด โปรดแจ้งสายด่วน ๑๙๑ หรือสถานีตำรวจท้องที่

Design a site like this with WordPress.com
Get started