นักเรียน คลองหอยโข่ง อัปเดต แปรรูปอาหาร สู่แพ็คเกจ สร้างอาชีพ มีรายได้ตามรอยพระราชดำริ

ที่โรงเรียนบ้านคลองหอยโข่ง 78/1 หมู่ที่ 3 ถนนพระราชดำริ บ้านเหนือ ต.คลองหอยโข่ง อ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 2
นาย อำนวย สุวรรณชาตรี ผอ.รร. ที่น้อมนำ พระราชดำริ จัดกิจกรรมการเรียนรู้แก่ผู้เรียนมาตลอด สร้างคุณภาพการศึกษาสร้างทักษะอาชีพ แก่ผู้เรียน ซึ่งได้รีบการส่งเสริมจาก จากหน่วยงานต้นสังกัด ที่สำคัญมีเกษตรอำเภอคลองหอยโข่ง ให้การสนับสนุนแก่ผู้เรียน ล่าสุด ส่งนักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ และเจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรอำเภอคลองหอยโข่ง จัดฝึกอบรมการถนอม แปรรูปผลผลิตทางการเกษตรและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ภายใต้โครงการส่งเสริมการดำเนินงานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กิจกรรมฝึกปฏิบัติการถนอมแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรและพัฒนาผลิตภัณฑ์ แก่กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร บุคลากรทางการศึกษา ครูและตัวแทนนักเรียนโรงเรียนบ้านคลองหอยโข่งและเจ้าหน้าที่โครงการฟาร์มตัวอย่างฯ และเกษตรกรทั่วไป โดยมีวิทยากรจากสถาบันการศึกษา วิทยาลัยประมงติณสูลานนท์ อาจารย์กนิษฐา สัมมุชา และอาจารย์ธนกร ห้วยห้อง ร่วมเป็นวิทยากรให้ความรู้ในเรื่องของการแปรรูปปลา(ต่อ) (ปลาส้ม ปลาแดดเดียว ปลาสวรรค์ ปลาหยอง) สาธิตและฝึกปฎิบัติการผลิตขนมทองม้วนทองพับ โดยคุณอิสรีย์ สุวรรณรัตน์ ขนมบ้าบิ่น โดย #คุณโอ๋ขนมไทย ณ อาคารแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร โครงการฟาร์มตัวอย่างฯ อำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา ที่นี่น้อมนำพระราชดำริ เข้ามาดำเนินการกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ มีประสบการณ์มีทักอาชีพ มีรายได้ สร้างความสุขแก่ผู้เรียน อย่างไรก็ตาม คณะครู นักเรียนขอบคุณทุกองค์กรที่สนับสนุน ร่วมกันพัฒนาการศึกษามาตลอด

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

“กองบัญชาการตำรวจนครบาล” นำโดย ผบช.น.และรองผบช.น. แถลงผลการปฏิบัติที่น่าสนใจ”…ความผิดต่อชีวิต/ร่างกาย ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ และความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด…

วันที่ 9 ก.ค.65 เวลา 10.00 น., พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น., พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. พล.ต.ต.นิตินันท์
เพชรบรม รอง ผบช.น., พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.โชคชัย งามวงศ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.สำเริง
สวนทอง รอง ผบช.น. พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ รอง ผบช.น. แถลงผลการปฏิบัติที่น่าสนใจ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

คดีที่ 1 กรณีจับกุมคนร้ายก่อเหตุยิงผู้อื่นเสียชีวิต ผลงาน สน.คันนายาว บก.น.2
วันที่ 7 ก.ค.65 เวลา 21.30 น. ฝ่ายสืบสวน สน.คันนายาว ได้รับแจ้ง เหตุชายถูกทำร้ายเสียชีวิต
บริเวณข้างถนนหน้าหอพักไม่มีชื่อ ภายในซอยสุเหร่าคลองหนึ่ง 13 แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ
เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจสอบพบ นายสามพรานฯ อายุ 34 ปี นอนเสียชีวิตบริเวณสถานที่เกิดเหตุ จากการสอบถามพยานผู้พบเห็นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุนายสามพรานฯ พร้อมพยานนั่งดื่มสุราภายในร้านค้าตรงสถานที่เกิดเหตุ ได้มีกลุ่มชาย 3 คน ได้แก่นายรัฐธิชัย หรือเมฆ, นายณรงค์ฤทธิ์ หรือโอปอ และนายโชคชัย หรือป๊อด ขับขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาหากลุ่มนายสามพรานฯ จากนั้นได้มีปากเสียงกัน ต่อมา นายณรงค์ฤทธิ์ หรือโอปอ ได้ใช้อาวุธมีดแทง
นายสามพรานฯ จนล้มลง จากนั้นนายโชคชัย หรือป๊อด ได้ใช้ขวดแก้วปาใส่นายสามพรานฯ จากนั้นผู้ก่อเหตุทั้งสาม
ได้หลบหนีไป ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้ นายสามพรานฯ เสียชีวิต
ต่อมาวันที่ 8 ก.ค.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันฆ่าผู้อื่น และร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร” จากนั้นนำส่งพนักงานสอบสวน สน.คันนายาว เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

คดีที่ 2 กรณีจับกุมผู้ต้องหา “ปล้นทรัพย์โดยมีหรือใช้อาวุธปืน” ผลงาน สน.โคกคราม บก.น.2
วันที่ 6 ก.ค.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.โคกคราม ได้ทำการจับกุมผู้ต้องหา 3 ราย ดังนี้
1.น.ส.ธนภร อายุ 31 ปี
2.นายดนุสรณ์ อายุ 23 ปี
3.นายณัฐพล อายุ 19 ปี
พร้อมของกลาง
1.อาวุธปืนพกสั้นแบบกึ่งอัติโนมัติ ยี่ห้อ SIG SAUER สีดำ ขนาด 9 มม.จำนวน 1 กระบอก
2.ซองบรรจุกระสุนปืน (แม็กกาซีน) ขนาด 9 มม.จำนวน 1 อัน
3.รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นคลิ๊ก จำนวน 1 คัน (ของผู้เสียหาย)
4. กระเป๋าสตางค์ (ของผู้เสียหาย) จำนวน 1 ใบ

โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน,ปล้นทรัพย์โดยมีหรือใช้อาวุธปืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม,ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมชน,มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครองครองโดยไม่ได้รับอนุญาต,พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว,พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร”
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4 ก.ค.๖๕ เวลาประมาณ 05.30 น. ได้มีผู้เสียหายแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.โคกคราม ว่า เมื่อเวลาประมาณ 02.30 น. ผู้เสียหายได้ขับขี่รถจักรยานยนต์มาจอดตรงบริเวณจุดกลับรถใต้สะพานข้ามมอเตอร์เวย์ ถ.รัชดา-รามอินทรา แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว กรุงเทพฯ จากนั้นได้มี น.ส.ธนภร อายุ 31 ปี ได้ดึงกุญแจรถแล้วชักอาวุธปืนออกจากเอว แล้วใช้อาวุธปืนยิงใส่ จากนั้นผู้เสียหายจึงวิ่งหลบหนีไปพบกับนายดนุสรณ์ อายุ 23 ปี และนายณัฐพล อายุ 19 ปี (ทราบชื่อต่อมาภายหลัง) วิ่งเข้ามารุมทำร้ายร่างกายโดยใช้ไม้และเหล็กทุบตี เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ จากนั้นกลุ่มผู้ก่อเหตุทั้งสามคน ได้ทำการลักทรัพย์สินของผู้เสียหายจำนวน 4 รายการ คือ 1.รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นคลิก สีฟ้า ไม่ทราบทะเบียน ราคาประมาณ 19,000 บาท 2. สร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท ราคาประมาณ 90,000 บาท 3. กระเป๋าเงินไม่ทราบยี่ห้อ ราคาประมาณ 4,000 บาท 4. เงินสด 5,000 บาท แล้วได้ขับรถหลบหนีไป
ต่อมาวันที่ 6 ก.ค.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.โคกคราม ได้ติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสามคนได้ และได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ จากการสอบถามเบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งสามให้การว่าได้ร่วมกันก่อเหตุจริง จึงได้นำส่งพนักงานสอบสวน สน.โคกคราม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

คดีที่ 3 กรณีจับกุมคนร้ายลักทรัพย์รถจักรยานยนต์ ผลงาน สน.สายไหม บก.น.2
เมื่อวันที่ 7 ก.ค.65 เวลาประมาณ 17.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.สายไหม ได้ทำการจับกุมตัวนายปรมินทร์ หรือ บิ๊ก อายุ 38 ปี ที่หน้าห้องพักเลขที่ A4-13 ชั้น 4 อาคารไพรินทร์ อพาร์ทเม้นท์ ซอยพหลโยธิน 52 แขวงคลองถนน เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดธัญบุรี
โดยกล่าวหาว่า “ลักทรัพย์ของผู้อื่นในเวลากลางคืน โดยใช้ยานพาหนะ เพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม”
พร้อมยึดของกลาง ภายในห้องพักของนายปรมินทร์ฯ ดังนี้
1. เสื้อแขนยาว สีน้ำเงินเข้มลายขาว จำนวน 1 ตัว
2. กระเป๋าสะพายข้าง สีน้ำตาล จำนวน 1 ใบ
3. หมวกแก็ป สีขาว ลายสีดำตัวอักษร Supreme จำนวน 1 ใบ
4. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อซัมซุง รุ่นกาแล็กซี่ A 520 5G จำนวน 1 เครื่อง
สืบเนื่องจากมีผู้เสียหาย แจ้งความที่ สน.สายไหมว่า เมื่อวันที่ 5 ก.ค.65 เวลาประมาณ 06.40 น. รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า สกู๊ปปี้ไอ สีขาวแดง ทะเบียน 1 กส 4336 สกลนคร ได้หายจากหอพักบ้านบารมี อพาร์ทเม้นท์ เลขที่ 47/32 ระหว่าง ซอยสายไหม 34-36 ถ.สายไหม แขวง-เขตสายไหม กรุงเทพฯ

ต่อมา เมื่อวันที่ 7 ก.ค.65 เวลา 17.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.สายไหม เข้าทำการจับกุม นายปรมินทร์ฯ โดยจากการซักถาม นายปรมินทร์ฯ รับว่าได้ทำการก่อเหตุลักทรัพย์รถจักรยานยนต์ ในพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งเขตนครบาลและเขตภูธรภาค 1 ตั้งแต่เมื่อประมาณเดือน พ.ค.2564 – ปัจจุบัน รวมทั้งสิ้น จำนวน 23 คัน
ทั้งนี้หลังจากลักรถจักรยานยนต์แล้ว นายปรมินทร์ฯ จะนำไปขายให้กับผู้รับซื้อ ที่บ้านไม่มีเลขที่กลางซอยรามคำแหง 68 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานครโดยติดต่อทางเฟสบุ๊ค
ชื่อ “ตี๋หิด รับรถหลุด” ราคาที่ขาย รถจักรยานยนต์ ฮอนด้า รุ่น PCX ประมาณ 20,000 – 30,000 บาท
ส่วนรถจักรยานยนต์รุ่นอื่นราคาประมาณ 10,000 – 20,000 บาท
จากนั้น วันที่ 8 ก.ค.65 เวลาประมาณ 14.30 น. ฝ่ายสืบสวน สน.สายไหม นำหมายค้นศาลอาญา เข้าทำการตรวจค้น เพื่อขยายผลหาเครือข่ายแก็งลักรถจักรยานยนต์ บริเวณเพิงพักไม่เลขที่ ซอยรามคำแหง 68 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร พบรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่น เวฟ 125 สีเทา ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จอดอยู่บริเวณลานหน้าชุมชนไม่มีชื่อ ซอยรามคำแหง 68 ไม่ทราบว่าผู้ใดนำมาจอดไว้ จากการตรวจสอบรถคันดังกล่าวได้แจ้งความร้องทุกข์รถหายไว้ที่ สภ.ปากน้ำ จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 8 ก.ค.65 จึงประสานพนักงานสอบสวน
สภ.ปากน้ำ เพื่อดำเนินการต่อไป

คดีที่ 4 ภาพรวมผลการจับกุม ของ สน.แสมดำ บก.น.9
4.1 วันที่ 8 ก.ค.65 เวลา 12.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.แสมดำ ได้รับแจ้งว่าพบกลุ่มวัยรุ่นรวมตัวกันเกรงจะก่อเหตุทะเลาะวิวาท บริเวณสถานีรถไฟพรมแดน (หลังโรงเรียนฐานเทคโนฯ) แขวงบางบอนใต้ เขตบางบอน กรุงเทพฯ จึงรีบเดินทางไปตรวจสอบพบของกลางที่สามารถตรวจยึดได้ ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นของผู้ใดอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ ดังนี้
1. วัดถุระเบิด (แบบลูกกระทบ) จำนวน 9 ลูก
2. วัดถุระเบิด (แบบจุด) จำนวน 1 ลูก
3. วัตถุระเบิด (แบบลูกปิงปองขนาดใหญ่) จำนวน 3 ถูก
4. วัตถุระเบิด (แบบลูกปิงปองขนาดเล็ก) จำนวน 14 ลูก
5. กระเป๋าสะพายข้าง ชนิคผ้าสีดำ จำนวน 1 ไบ
นอกจากนี้ยังพบกลุ่มวัยรุ่นซึ่งบางส่วนได้หลบหนีไป เหลือเพียง 3 รายจึงได้ทำการจับกุม ดังนี้
1.นายสุรยุทธิ์ อายุ 19 ปี
พร้อมของกลาง
– วัตถุระเบิด (แบบจุด) จำนวน 1 ลูก
– วัตถุระเบิด (แบบลูกระทบ) จำนวน 1 ลูก
โดยกล่าวหาว่า “มีวัตถุระเบิดไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย”
2. เยาวชนชาย อายุ 17 ปี พร้อมของกลาง มีดปลายแหลม 1 ด้าม โดยกล่าวหาว่า “พกพาอาวุธมีด
ไปในเมืองหรือทางสาธารณะ”

จากการสอบถามผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย รับว่าของกลางดังกล่าวเป็นของตนจริง จึงนำผู้ต้องหาและของกลางที่ตรวจยึดได้ส่งพนักงานสอบสวน สน.แสมดำ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
4.2 เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.65 เวลาประมาณ 02.30 น. ได้เกิดเหตุเยาวชนชายอายุ 16 ปี และ 17 ปี ถูกกลุ่มวัยรุ่นจำนวนประมาณ 7 คน ร่วมกันทำร้ายร่างกาย เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส บริเวณหน้าร้านโรงรับจำนำสะแกงาม ซ.สะแกงาม 25 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร แล้วกลุ่มคนร้ายได้หลบหนีไป
หลังเกิดฝ่าย สืบสวนสน.แสมดำ และ กก.สส.บก.น.9 สืบสวนหาเบาะแสคนร้าย โดยการลงพื้นที่เกิดเหตุตรวจสอบกล้องวงจรปิดตั้งแต่สามแยกบางบอนจุดเกิดเหตุ ต่อมาวันที่ 6 ก.ค.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 7 ราย โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส ,ร่วมกันทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับอันตรายแก่กาย หรือจิตใจ ,ร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร ,ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์” จากนั้นนำตัวผู้ต้องหาที่ 1 ไปขออำนาจศาลอาญาธนบุรีฝากขัง ในวันที่ 6 ก.ค.65 ในส่วนผู้ต้องหาที่ 2-7 เป็นเยาวชนได้นำส่งศาลเยาวชนและครอบครัวตามกฎหมาย
ทั้งนี้สามารถยึดของกลางที่ใช้ก่อเหตุ เป็นอาวุธมีดจำนวน 3 เล่ม เสื้อผ้าอุปกรณ์แต่งกายของ
ผู้ก่อเหตุ จำนวน 15 รายการ รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นพีซีเอ็กซ์ ทะเบียน 4ขอ4358 กรุงเทพฯ จำนวน 1 คัน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

คดีที่ 5 กรณีจับกุมยาเสพติดรายสำคัญ ผลงาน กก.2 บก.สส.
เมื่อวันที่ 6 ก.ค.65 เวลาประมาณ 22.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.บช.น. ได้ทำการตรวจค้นจับกุมห้องเช่าเปิดเป็นร้านเสริมสวยและรับต่อขนตา (Angle Eyelash) อาคารคิงวันอพาร์ทเม้นต์ เลขที่ 789 ซอยลาดกระบัง 14/1 (ซอยย่อย ราชา 1) ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 3 ราย คือ
1.นายเอกชัยฯ อายุ 26 ปี
2.นายชินกรฯ อายุ 22 ปี
3.นายนัฐพงษ์ฯ อายุ 27 ปี
พร้อมด้วยของกลาง
1.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวนประมาณ 188,000 เม็ด
2.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) น้ำหนักรวมประมาณ 980 กรัม
3.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน ) น้ำหนักรวมประมาณ 380 กรัม
4.ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) แบบผงบรรจุซองสีทอง จำนวน 26 ถุง น้ำหนักรวมประมาณ 54 กรัม
5.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 4 เครื่อง ,ตรวจยึดรถยนต์ 1 คัน รถจักรยานยนต์ 2 คัน
โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1(เมทแอมเฟตามีน) อันเป็นการมีไว้เพื่อจำหน่ายอันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป”
สืบเนื่องจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.บช.น.ได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายใหญ่ จำนวนหลายคดีอย่างต่อเนื่อง ในพื้นที่กรุงเทพมหานครตลอดจนพื้นที่ใกล้เคียง และสืบสวนขยายผลเรื่อยมา

จนทราบว่ามีกลุ่มผู้ลักลอบจำหน่ายยาเสพติดย่านลาดกระบัง-ราชาเทวะ ซึ่งใช้รถยนต์ฟอร์ดโฟกัส สีขาว ติดแผ่นป้ายทะเบียน 4กษ-3563 กรุงเทพมหานคร และอาศัยภายในห้องเช่า ซึ่งด้านหน้าเปิดเป็นร้านเสริมสวยและรับต่อขนตา (Angle Eyelash) อาคารคิงวัน อพาร์ทเม้นต์ เลขที่ 789 ท้ายซอยลาดกระบัง 14/1 (ซอยย่อย ราชา 1) ต.ราชาเทวะ
อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ซึ่งมีพฤติกรรมไปรับยาเสพติดย่านจังหวัดนนทบุรี จังหวัดนครปฐม เพื่อนำมาพักไว้ในห้องพักด้านหลังร้านเสริมสวย ก่อนที่ส่งให้กับลูกค้าในหลายพื้นที่

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2565 เวลาประมาณ 18.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่ารถยนต์ของกลุ่มดังกล่าวเดินทางออกจากบ้านพักในซอยลาดกระบัง 14/1 ขึ้นด่วนพระราม9 มุ่งหน้าจังหวัดนนทบุรี ซึ่งเชื่อว่าน่าจะไปรับยาเสพติด ซึ่งกลุ่มดังกล่าวจะทำเช่นนี้เป็นประจำ จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและได้สั่งการให้นำกำลังไปเฝ้าสังเกตุการณ์บริเวณห้องพักภายในซอยลาดกระบัง 14/1 จนกระทั่งเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2565 เวลาประมาณ 22.00 น.พบรถยนต์ฟอร์ดโฟกัส สีขาว ติดแผ่นป้ายทะเบียน 4กษ-3563 กรุงเทพมหานคร ขับรถเข้ามาวนบริเวณลานจอดรถอาคารคิงค์วัน และกลับมาจอดบริเวณหน้าร้านเสริมสวย ซึ่งเจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์โดยตลอด พบชายวัยรุ่น
2 คน ช่วยกันยกกระสอบกระสอบปุ๋ยสีขาว ลักษณะมีน้ำหนัก ซึ่งเชื่อว่าเป็นยาเสพติดอย่างแน่นอน เข้าไปในร้านและปิดประตูรูดม่านหน้าร้าน จนกระทั่งเวลาประมาณ 22.30 น. พบชายวัยรุ่นอีก 1 คน ขับรถจักรยานยนต์มาจอดหน้าร้านและเปิดประตูเดินเข้าไปในร้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าแสดงตัวตรวจค้นจับกุมพบของกลางดังกล่าว จากการสอบถามผู้ต้องหาทั้ง 3 รายให้การรับสารภาพ โดยนายเอกชัยฯ และนายชินกรฯ ซึ่งเป็นพี่น้องกันรับว่าพึ่งไปรับยาเสพติดจากย่านจังหวัดนนทบุรี ส่วนนายนัฐพงษ์ฯรับว่ากำลังจะมารับยาเสพติดที่สั่งซื้อจากนายเอกชัยฯ ซึ่งนายเอกชัยฯ รับว่าตนเองทำมาแล้ว 7-8 เดือน ได้ค่าจ้าง ลูกละ 1500 บาท(1ลูก/20,000 เม็ด) จึงได้จับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส.เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
จากการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหา
– นายเอกชัยฯ ข้อหา ลักลอบเล่นการพนัน พื้นที่ สน.อุดมสุข โทษปรับ
– นายชินกรฯ ข้อหา ครอบครองยาเสพติด พื้นที่ สน.อุดมสุข ปี 2563
– นายนัฐพงษ์ฯ ข้อหา ทำให้เสียทรัพย์ , พ.ร.บอาวุธปืน สภ.สมุทรปราการ ปล่อยตัว ปี 2561
พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผบช.น. ได้เน้นย้ำเพื่อให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนว่า จะมุ่งเน้น
การป้องกันอาชญากรรม ให้กับพี่น้องประชาชน และเมื่อเกิดเหตุแล้วจะเร่งทำการ สืบสวน ติดตามจับกุม คนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็วทุกคดีและจะดำเนินการกวาดล้างอาชญากรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครมีความปลอดภัยมากที่สุด
บช.น. ขอเรียนพี่น้องประชาชนว่า ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19
แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและยาเสพติดอย่างเคร่งครัด พบเห็นหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิด โปรดแจ้งสายด่วน 191 หรือสถานีตำรวจท้องที่

คืบหน้ากรณีผู้สื่อข่าวโดนครูและคณะกรรมการสถานศึกษาควบคุมตัวไว้ในโรงเรียนและยึดโทรศัพท์

ไปหลังไปติดต่อขอทำข่าวเรื่องครูตัดผมเด็กนักเรียนผู้สื่อข่าวได้เข้าไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนที่ สภ.ทุ่งลุง 3 ข้อหาหนัก
ล่าสุดวันนี้ ผู้สื่อข่าว ได้ติดตามความคืบหน้า และสอบถามไปยัง ร.ต.อ.ปิยะพงษ์ สังข์ทอง รองสารวัตร สอบสวน สภ.ทุ่งลุง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เจ้าของคดี เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนแจ้ง ว่าจะเชิญผู้สื่อข่าวที่ได้รับความเสียหาย ไปสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อใช้ประกอบในสำนวนคดี
ส่วนทางผู้สื่อข่าวที่ได้รับความเสียหาย ได้แจ้งความ ใน 3 ข้อหาหนัก 1 .กักขังหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย 2. ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด 3.ชิงทรัพย์
ส่วนครูและคณะกรรมการสถานศึกษาคู่กรณีนั้น เบื้องต้นทราบเพียงว่าได้มีการติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกนายหนึ่ง แต่ไม่ทราบว่าติดต่อไปเรื่องอะไรบ้าง
ผู้สื่อข่าวยังได้ติดต่อไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 16 ต้นสัดกัดโรงเรียนที่เกิดเหตุ เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าผู้อำนวยการไม่อยู่ แต่จะนำเรียนให้ผู้อำนวยการฯทราบและจะให้ติดต่อกลับอีกครั้งหนึ่ง

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

กรมศุลกากรประชุมเชิงปฏิบัติการ “ยุทธการกำแพงพระนคร” ปิดเส้นทางลักลอบขนยาเสพติดข้ามแดน ครั้งที่ 2

วันนี้ (8 กรกฎาคม 2565) กรมศุลกากรเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ยุทธการกำแพงพระนคร” (Narcotics Operation “Guardian”) ปิดเส้นทางลักลอบขนยาเสพติดข้ามแดน ครั้งที่ 2 ระหว่างศุลกากรไทยกับพาสีลาว เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารพร้อมสร้างเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ เป็นการปิดกั้นเส้นทางการลักลอบขนยาเสพติดบริเวณชายแดนไทย – ลาว ณ ห้องประชุมด่านศุลกากรมุกดาหาร อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า การประชุมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งครั้งที่ 1 เป็นการประชุมระหว่างไทย-มาเลเซีย และการประชุมครั้งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการ “ยุทธการกำแพงพระนคร” ซึ่งเป็นมาตรการของกรมศุลกากรในการปกป้องสังคม อีกทั้ง ศอ.ปส. มีคำสั่งแต่งตั้ง ที่ 11/2564 ลงวันที่ 3 ธันวาคม 2564 ให้อธิบดีกรมศุลกากรเป็นประธานคณะอนุกรรมการสกัดกั้นการลักลอบส่งออกและนำเข้ายาเสพติดผ่านช่องทางศุลกากร กรมศุลกากรจึงได้ดำเนินการโดยมอบหมายให้นายพงศ์เทพ บัวทรัพย์ รองอธิบดีกรมศุลกากร และนายถวัลย์ รอดจิตต์ ผู้อำนวยการกองสืบสวนและปราบปราม ดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการ “ยุทธการกำแพงพระนคร” และได้ความร่วมมือจากศุลกากรมาเลเซีย สปป. ลาว กัมพูชา และเมียนมา รวมถึงหน่วยงานความมั่นคงตลอดจนหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการจัดตั้งเครือข่ายประสานงาน แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับยาเสพติด ตลอดจนการแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เพื่อเป็นการสกัดกั้นการลักลอบขนส่งยาเสพติดตามแนวชายแดนไทยอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

การประชุมเชิงปฏิบัติการ “ยุทธการกำแพงพระนคร” ปิดเส้นทางลักลอบขนยาเสพติดข้ามแดน ครั้งที่ 2 นายอภิชาติ ใจงาม รักษาการผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบสวนและปราบปราม กองสืบสวนและปราบปราม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนกรมศุลกากร พร้อมทั้งนายปิติณัช ศรีธรา นายด่านศุลกากรมุกดาหาร และคณะ ประชุมหารือร่วมกับ Mr. Lamphong Xaythong, Head of International Friendship Bridge Laos-Thailand 2 Commander Police of Savanna Khet Province หัวหน้าคณะผู้แทน สปป. ลาว พร้อมคณะ และหน่วยงานที่ปฏิบัติงานสกัดกั้นการลักลอบขนส่งยาเสพติดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ในประเด็นสถานการณ์การลักลอบขนส่งยาเสพติดในพื้นที่ชายแดนไทย-ลาว กรณีศึกษาการลักลอบขนส่งยาเสพติด ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและสร้างเครือข่ายการประสานงานร่วมกัน

อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งต่อไป จะจัดขึ้นในวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 โดยเป็นการประชุมหารือร่วมระหว่างศุลกากรไทยกับศุลกากรกัมพูชา ณ ด่านศุลกากรอรัญประเทศ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบขนส่งยาเสพติดในพื้นที่ชายแดนไทยและประเทศเพื่อนบ้านต่อไป

สน.มีนบุรี ดำเนินการพิธีส่งต่อความยั่งยืนและความสำเร็จโครงการดำเนินงานชุมชนการเคหะยั่งยืนเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจร ตามยุทธศาสตร์ชาติ ประจำปีงบประมาณ 2565



( โครงการชุมชนเคหะรามคำแหง )
วันที่ 6 ก.ค. 65 เวลา 13.30 น. พล.ต.ต.นพดล ศรสำราญ รองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ตัวแทนสำนักงานตำรวจแห่ง ประธานพิธี นายเทพฤทธิ์ ฤทธิณรงค์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ การเคหะแห่งชาติ พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล   พล.ต.ต.พลฑิต  ไชยรส ผู้บังคับการตำรวจนครบาล3 ได้เดินทางไปเป็นประธานในปิดโครงการชุมชนการยั่งยืนและมอบธงสีขาวปลอดยาเสพติดให้กับประธานชุมชนเคหะรามคำแหงและมอบป้ายคุ้มสีขาวปลอดยาเสพติดตึก 1- 11 ให้กับประธานแต่ละตึก ในพื้นที่ ชุมชนการเคหะรามคำแหง แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพ โดยมี พ.ต.อ.กฤษ  ก้อมน้อย ผกก.สน.มีนบุรี, นายไพโรจน์  จันทรอด ผอ.เขตมีนบุรี, คุณบัญชา รัชตวุฒิมงคล ประธาน กต.ตร.สน.มีนบุรี,นายแพทย์บุญธรรม  ทุมพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์สาธารณสุข 43 มีนบุรี,นางสาวจินตนา อยู่สินธุ์ ครูชำนาญการพิเศษ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการการศึกษานอกระบบและศึกษาตามอัธยาศัย เขตมีนบุรี,นายจักราวุธ  ศิริฟองนุกูล ผู้อำนวยการคุมประพฤติ กรุงเทพมหานคร4 นายอนุชา อัครพิศาล ผู้อำนวยการส่วนยุทธศาสตร์และอำนวยการ (หัวหน้ากลุ่มโซนกรุงเทพตะวันออก) สำนักงานปปส.,นายธนนนท์ ไชยจักร ตัวแทนบริษัท รอยัลเฟม เมเนจเม้นท์ จำกัด, ตัวแทนผู้นำชุมชนในพื้นที่สน.มีนบุรี และประชาชนในชุมชนเคหะรามคำแหงเข้าร่วมพิธีพิธีส่งต่อความยั่งยืนและความสำเร็จโครงการฯ จากการดำเนินการห้วง 3 เดือนที่ผ่านมาให้การต้อนรับ
“พล.ต.ต.นพดล ศรสำราญ รองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดประธานพิธี ปลื้มความสำเร็จปิดโครงการชุมชนการเคหะแก้ปัญหายาเสพติดชุมชนการเคหะรามคำแหง สำเร็จตามเป้าหมาย ช่วยสร้างอาชีพให้ผู้รับบำบัดสารเสพติด พร้อมได้ใจชุมชนร่วมมือดียิ่งขึ้นตามนโยบาย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มุ่งเน้นการแก่ไขปัญหายาเสพติด ในด้านการปาบัดรักษา “ผู้เสพ” คือ “ผู้ป่วย” ที่จะต้องเข้ารับการบำบัดรักษา โดยนำชุมชน เข้ามามีส่วนร่วม โดยให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือและเข้าไปสำรวจในทุกพื้นที่ ตำบล หมู่บ้าน ชุมชน คนที่ติดยาเสพติด ต้องได้รับการขึ้นทะเบียน เพื่อนำไปสู่การบำบัดรักษา รวมถึงการฝึกอาชีพ ให้ผู้ผ่าน การบำปัดรักษาที่มีความสนใจได้มีอาชีพ สมารถดูแลตนเองต่อไปได้ และมีการติดตามผู้ผ่านการบำบัดรักษาอย่างเป็นระบบ จึงได้มีคำสั่ง สำนักนายกรัฐมนตรีที่ 20/2565 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการประสานงาน เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานการณ์โควิด – 19 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการในการตำเนินการ โดยยึดถือหลักการทำงาน 3 ประการ คือ
1.ประชาชนต้องได้รับการช่วยเหลือเป็นอย่างดี
2.บุรณาการการทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน
3.นำผู้เสพยาเสพติด ไปเข้ารับการบำบัดรักษา เพื่อเป็นการคืนคนดีสู่สังคม ให้เกียรติในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยจะต้อง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้ปัญชาการตำรวจแห่งชาติ / ผอ.ศอ.ปส.ตร. เป็นผู้แทน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในการตำเนินโครงกรชุมชนการเคหะยั่งยืนแบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อแก้ปัญหายาเสพติดในชุมชน ร่วมกับ นายทวีพงษ์ วิชัยติษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เมื่อวันที่ 4 เม.ย.65 ที่ผ่านมา โดยมี ผู้ช่วยผู้ว่าการการคหะแห่งชาติ , ผู้แทนจากอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, ผู้แทนปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, ผู้แทนปลัดกระทรวงมหาดไทย, ผู้แทนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, ผู้แทนผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข, ผู้แทนผู้อำนวยการโรงพยาบาลธนบุรีบูรณ า, พล.ต.ท.บุญจันทร์ นวลสาย ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุมศรียานนท์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย มอบหมายให้ พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ รอง จตช. (ช่วยเหลืองาน ปป.) / รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. ขับเคลื่อนโครงการฯ ตั้งกล่าว เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจร ตามยุทธศาสตร์ชาติ มุ่งมั่นในการพัฒนาชุมชน ให้มีความเข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้ ให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินตลอดจนป้องกันและปราบปรามปัญหายาเสพติดในชุมชนให้หมดไป ทั้งนี้ ได้ตัดเลือกชุมชนการเคหะแห่งชาติเข้าร่วมโครงการฯนำร่อง จำนวน 20 ชุมชน ใน 18 จังหวัด ทั่วประเทศ ซึ่งมีจำนวนชุชนเคหะจำนวน 826 แห่ง กำหนดระยะเวลาดำเนินการ 3 เตือน (เม.ย.- มิ.ย. 65) โดยมีขั้นนตอนในการปฏิบัติ
ขั้นตอนที่ 1
เตรียมการ ประชุมวางแผน สืบสภาพชุมชน โดยได้เลือกชุมขนเป้าหมายที่มีปัญหา ยาเสพติดแพร่ระบาดรุนแรงหรือพื้นที่สีแดง แต่งตั้งชุดปฏิบัติการ จัดประชุมร่วมกับผู้นำชุมชน กำหนดวันเริ่มต้นโครงการ พบผู้นำชุมชน/แกนนำชุมชนและแสวงหาความร่วมมือจากประชาชน
ขั้นตอนที่ 2
ประชุมวางแผนการทำงานและ ละการทำกิจกรรม ตลอดระยะเวลา 3 เดือน สร้างแนวร่วม โดยเน้นให้ชุมชนมีส่วนร่วมในทุกกระบ่วนการและหลังจากโครงการสิ้นสุด ชุมชนต้องสามารถดูแลชุมชนต่อไปได้อย่างยั่งยืน ค้นหาผู้เสพโดยการเอกซเรย์ 100% คือบุคคลทุกคนในชุมชนเป้าหมายนั้นจะต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ติดตามช่วยเหลือ เยี่ยมบ้าน สร้างกฎชุมชน ฟื้นฟูสังคม เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจคณะกรรมการหมู่บ้าน/ชุมชน/อาคารชุด ในบทบาทภารกิจในการแก่ไขปัญหายาเสพติด ด้วยการแต่งตั้งชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน เพื่อดูแลตรวจตรา ป้องกันแจ้งข่าว อย่างต่อเนื่องโดยมีการทำงานต่อจากชุดปฏิบัติการหลังเสร็จสิ้นภารกิจ
ขั้นตอนที่ 3
ขั้นส่งต่อความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนและความสำเร็จโครงการชุมชนเคหะยั่งยืน ทำให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้และเป็นสถานที่ศึกษาดูงานให้กับชุมชนอื่นๆ รวมถึงการระวังป้องกันชุมชนกลับสู่สภาพเดิม โดยความร่วมมือของภาคีเครือข่ายจัดตั้งกลุ่ม รวมถึงมีช่องทางในการติดต่อสื่อสาร ประชุม และติดตามผลในการทำงานเป็นประจำ และท้ายสุดคือการติดตามประเมินผล นอกเหนือปัญหาสั่งเสพติดแล้วยังพบปัญหา ต่างๆ เช่น การแข่งรถในทางสาธารณะ ส่งเสียงดังรบกวนประชาชนในพื้นที่ มั่วสุม ทะเลาวิวาท และปัญหาพื้นที่จอดรถ ซึ่งปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจเข้าตรวจตราให้ถี่ขึ้น เข้าระงับเหตุรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรเข้าแก่ไขปัญหาการจอดรถ รวมทั้งประสานหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการแก่ไขปัญหาเช่น ติดตั้งกล้องวงจรปิด CCTV เพิ่มเติม และขอความร่วมมือผู้นำชมชนเพิ่มวงรอบในการพบปะลูกบ้านให้มากขึ้นกว่าเดิมผลที่ได้รับ คือ มีมวลชนเพิ่มเติมสำหรับ
สำหรับโครงการชุมชนเคหะยั่งยืน เคหะรามคำแหง ผลการปฏิบัติ หลังตำเนินการ 3 เตือน พบประชากรจำนวนทั้งสิ้น 2,354 คน มีกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด 98 คน สมัครใจตรวจปัสสาวะ 1,918 คน ไม่สมัครใจตรวจ 436 คน พบผู้เสพ 10 คน พบผู้ติดหรือผู้ที่มีอาการทางจิต – คน สมัครใจเข้ารับการบำบัด 10 คน และไม่สมัครใจ – คน ได้มีการส่งเสริมอาชีพแก่ผู้เข้ารับการบำบัดสารเสพติด อาทิ อบรมการทำ หมูกรอบ, หนังหมูกรอบ, ทำสบู่, เจลล้างมือ, ซึ่งทุกอาชีพ ผู้บำบัดสามารถนำไป ต่อยอดทางธุรกิจให้เกิดประสิทธิภาพได้ ภายหลังจากการตำเนินการตามโครงการฯ พบผู้เสพ หรีอผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ให้ความไว้วางใจเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ลงไปทำกิจกรรมในพื้นที่ ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และร่วมทำกิจกรรมของชุมชนโดยการอาสาช่วยเหลือมากขึ้น

นายกอบจ. สงขลา ประธานโครงการ จัดงานหล่อเทียนพรรษา ประจำปี 2565

“นายไพเจน มากสุวรรณ ” นายกอบจ. สงขลา (นั่งกลาง) เป็นประธานโครงการ จัดงานหล่อเทียนพรรษา ประจำปี 2565 ระหว่างวันที่ 5-6 กรกฏาคม 2565 ณ.วัดนาสีทอง ต.เขาพระ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา โดยมี นายยุทธวีร์ สุนทราภรณ์ นายกเทศมนตรีตำบลนาสีทอง ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ผ่านมาเมื่อเร็วๆ นี้
ภาพ-ข่าว สิงห์จุก ม.อ. ทีมข่าว ปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ หาดใหญ่ จ.สงขลา

นายกสมาคมกีฬาจังหวัดสงขลา ได้รับเกียรติขึ้น คาดเข็มขัดแชมป์เปี้ยน รุ่น 43 กก.

“นายประสงค์ บริรักษ์ “นายกสมาคมกีฬาจังหวัดสงขลา ได้รับเกียรติขึ้น คาดเข็มขัดแชมป์เปี้ยน รุ่น 43 กก.ของชมรมจังหวัดสงขลา ให้กับ ขุนพันธ์ กุศลสามัญสตูล เมื่อกรรมการ อ.กระจ่าง ศิริกาศ ชูมือหลังชนะคะแนน จิงโจ้ทอง แสงบารมี ในศึกรวมพลคนรักเพื่อน + จ่ายุทธ กองสืบ ณ.สนามมวยนานาชาติหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา
ภาพ – ข่าว สิงห์จุก ม.อ. ทีมข่าว ปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ หาดใหญ่ จ.สงขลา

” โครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงและฟาร์มตัวอย่าง บ้านรอตันบาตู หมู่ที่ ๗ ตำบลกะลุวอ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส “

คลิป..รายการคืนคุณให้แผ่นดิน

รายการคืนคุณให้แผ่นดิน สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ออกอากาศวันศุกร์ที่ 8 กรกฏาคม 2565 เวลา 15.05 น. – 15.30 น. สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก

โครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง และฟาร์มตัวอย่างในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ บ้านรอตันบาตู โครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงห่วงใยในพสกนิกร จึงมีพระราชเสาวนีย์ “เพื่อช่วยเหลือครอบครัวของประชาชน ข้าราชการ พลเรือน ทหาร ตำรวจ ทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมที่สูญเสียหัวหน้าครอบครัว เนื่องจากเหตุความไม่สงบในพื้นที่ สามจังหวัดชายภาคใต้ ” จึงทำให้เกิดโครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงขึ้นเพื่อให้ประชาชน ผู้ได้รับผล
กระทบ ได้อยู่อาศัยอย่างปลอดภัยไม่ละทิ้งถิ่นฐานพร้อมสัมภาษณ์พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สัมภาษณ์ภาพรวมโครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง และฟาร์มตัวอย่างในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ บ้านรอตันบาตู
จังหวัดนราธิวาส

อย่าพลาดติดตามชมรายการคืนคุณให้แผ่นดิน ออกอากาศวันศุกร์ที่ 8 กรกฏาคม พ.ศ. 2565
เวลา 15.05 น. – 15.30 น. สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ( กดหมายเลข 5 )
คุณอภิคม แก้วละเอียด (ตูมตาม ) พิธีกรภาคสนามดำเนินรายการคืนคุณให้แผ่นดิน

CR : ศิริพร จงศิริ ผู้อำนวยการใหญ่ผลิตรายการคืนคุณให้แผ่นดิน สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก

แจ้งความเอาผิดกับครูและคณะกรรมการ โรงเรียนพะตงประธานคีรีวัฒน์ ข้อหา กักขังหน่วยเหนี่ยว ชิงทรัพย์ และ หมิ่นประมาท


จากกรณีที่ ได้มีข่าวในโซเชียล “นักเรียนเลว” ได้นำภาพข่าว ของนักเรียนมัธยมโรงเรียนพะตงประธานคีรีวัฒน์ ตั้งอยู่ในเขตเทศบาล ต.พะตง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ถูกครูผู้ปกครอง ทำการกล้อนผม ที่หน้าเสาธงของโรงเรียน และมีการนำภาพที่เกิดขึ้นมาแชร์และมีคอมเม้นท์ของผู้ติดตามจำนวนมากจนสนั่นทั้งโซเชียล จนเป็นที่สนใจของประชาชน เป็นเหตุให้ นายสมเพชร เสาร์คำ ผู้สื่อข่าว หนังสือพิมพ์ และ ทีวี หลายช่อง ประจำศูนย์ข่าวภาคใต้ ได้เดินทางไปเพื่อขอสัมภาษณ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนดังกล่าวถึงข้อเท็จจริง เพื่อเป็นการเสนอข่าว 2 ด้านตามหน้าที่ของ สื่อมวลชน
แต่ปรากฏว่า ได้มีครูและคณะกรรมการโรงเรียนจำนวน 6-7 คน ได้ทำการ ยึดโทรศัพท์ของนายสมเพชร ทั้ง 2 เครื่อง เพื่อไปตรวจสอบ และกักขังหน่วยเหนี่ยวในพื้นที่ของโรงเรียนกว่า 2 ชั่วโมง และมีการ ประจานกล่าวหาว่านายสมเพชร เป็นผู้สื่อข่าวปลอมต่อหน้านักเรียน พร้อมแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ทุ่งลุง เอาตัวไปดำเนินคดี ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั่น
ต่อมาเมื่อเวลา 16.30 น วันที่ 7 มิ.ย. นายสมเพชร เสาร์คำ พร้อมเพื่อนผู้สื่อข่าว ได้เดินทางพบกับ ร.ต.อ.ปิยะพงษ์ สังข์ทอง พนักงานสอบสวน ( ร้อยเวร ) สภ.ทุ่งลุง เพื่อดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ เพื่อเอาผิดกับครูและกรรมการโรงเรียน ในข้อหา ชิงทรัพย์ ( โทรศัพท์มือถือ) กักขังหน่วงเหนี่ยว และ หมิ่นประมาท โดยได้ให้ปากคำรายละเอียดทั้งหมดต่อพนักงานสอบสวน เพื่อให้เรียกครูและกรรมการโรงเรียนมาสอบสวนข้อเท็จจริงต่อไป

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

แจ้งข้อหาโรงเรียนดัง กักขังหน่วงเหนี่ยว ชิงทรัพย์ ผู้สื่อข่าว หลังขออนุญาตเข้าไปทำข่าวแล้ว กลับถูกควบคุมตัวส่งโรงพัก ในข้อหานักข่าวปลอม และ บุกรุก


แต่ตำรวจปล่อยตัว เพราะไม่มีความผิด
จากกรณี เพจ นักเรียนเลว ได้โพสภาพเด็กนักเรียนถูกตัดผม พร้อมข้อความ ครูฝ่ายปกครองของโรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ได้เรียกนักเรียนที่ไว้ผมยาวออกมากล้อนผมในระหว่างกำลังเข้าแถวหน้าเสาธง โดยใช้ปัตตาเลี่ยนไถเส้นผมบริเวณท้ายทอยถึงกลางศรีษะของนักเรียนจนแหว่งเป็นทางยาว และมีการแชร์ข่าวในโลกโซเชียล พร้อมทั้งมีคอมเมนท์เป็นจำนวนมาก
ดังนั้นเมื่อเวลาประมาณ 09.30 น.วันนี้ 7 ก.ค. 65 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังโรงเรียนที่เกิดเหตุ เพื่อติดตามข่าวโดยขอทราบรายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นจากผู้เกี่ยวข้องที่ โรงเรียนพะตงประธานคีรีวัฒน์ ต.พะตง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อไปถึงได้ขับรถ จยย.เข้าไปในโรงเรียน และได้แจ้งกับ รปภ.หน้าโรงเรียน ว่าเป็น ผู้สื่อข่าวและขอพบผู้อำนวยการเพื่อสัมภาษณ์เรื่อง เด็กถูกตัดผมหน้าเสาธง และเป็นข่าวดังในโซเชียล หลังจากนั้น รปภ.ก็ได้ติดต่อไปยังครูในโรงเรียน และให้ผู้สื่อข่าวนำรถจักรยานยนต์ออกจากโรงเรียน ผู้สื่อข่าวได้นำรถจักรยานยนต์มาจอดหน้าประตูโรงเรียน หลังจากนั้นสักพัก รปภ.ของโรงเรียน ก็ได้มาบอกกับผู้สื่อข่าวว่าให้ขับรถจักรยานยนต์กลับเข้าไปในโรงเรียนได้ และให้ไปนั่งรอครูที่ ม้าหินอ่อนหลังป้อม รปภ.ของโรงเรียน
ต่อจากนั้น ก็มีครูผู้หนึ่งเดินมาหา และได้เรียกคณะกรรมการโรงเรียน 5-6 คนมาพบ และถามหาบัตรผู้สื่อข่าว ผู้สื่อข่าวบอกว่าบัตรลืมไว้ที่บ้าน ไม่ได้นำติดตัวมาแต่มีบัตรในโทรศัพท์มือถือ พร้อมทั้งเปิดโทรศัพท์ให้ตรวจสอบ แต่ครูกับคณะกรรมการโรงเรียนไม่ยอมดูพร้อมทั้งทำการยึดโทรศัพท์ของผู้สื่อข่าวไปทั้งสองเครื่อง และได้นำผู้สื่อข่าวในลักษณะควบคุมตัวเดินเข้าไปในโรงเรียนประมาณ 400 เมตรโดยมีคณะกรรมการโรงเรียนยืนล้อมรอบ ระหว่างทางได้เจอกลุ่มนักเรียนกลุ่มหนึ่ง ครูคนดังกล่าวก็ยังบอกกับเด็กนักเรียนว่าเป็นนักข่าวปลอมแอบอ้างมาทำข่าว และได้บังคับให้นั่งโดยได้มีการพูดคุยกันแล้วมีการเอาชื่อกับเบอร์โทรศัพท์ของผู้สื่อข่าวไปตรวจสอบ โดยใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง แต่ก็ยังไม่ยอมให้โทรศัพท์ คืนกับผู้สื่อข่าว หลังจากนั้นได้ควบคุมตัวผู้สื่อข่าวไปยัง สภ.ทุ่งลุง อ.หาดใหญ่ ส่งให้กับ พนักงานสอบสวน

ทางครูคนดังกล่าวได้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมายังโรงเรียน มีการพูดคุยกันสักพักครูเลยให้เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวผู้สื่อข่าวไปยังโรงพัก สภ.ทุ่งลุง เพื่อแจ้งความว่าเป็นผู้สื่อข่าวปลอม แต่ เจ้าหน้าที่รู้ว่าเป็นผู้สื่อข่าวจริง จึงไม่รับดำเนินคดี และได้ทำความเข้าใจกับกลุ่มครูพร้อมทั้งขอโทรศัพท์คืนให้กับนักข่าว
จากพฤติกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผู้สื่อข่าว ที่ถูกกระทำเห็นว่า เป็นการทำเกินเหตุ ที่สร้างความเสียหายให้กับตนเอง ทั้งการชิงทรัพย์ การประจานว่าเป็นผู้สื่อข่าวปลอม และกักขังหน่วงเหนี่ยวควบคุมตัวนำส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งที่ไม่มีความผิด และการเข้าไปในโรงเรียนมีการขออนุญาตจาก รปภ.ถูกต้อง ไม่ได้มีการบุกรุกแต่อย่างใด จึงได้รวบรวมหลักฐานทั้งหมด เพื่อเข้าแจ้งความเอาผิดกับกลุ่มครูของ โรงเรียนพะตงประธานคีรีวัฒน์ในครั้งนี้

นายปรีชา สถิตเรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

Design a site like this with WordPress.com
Get started