3Plus ขยายกำลัง เปิดความบันเทิงเต็มรูปแบบที่มากกว่าในทีวี อัดแน่นตลอดปี 2565

จากความสำเร็จที่ได้รับการยอมรับจากเหล่าสมาชิกทั่วประเทศของ 3Plus (สามพลัส) เอนเตอร์เทนเมนต์ แพลตฟอร์มดิจิทัลออนไลน์ของช่อง 3 ตลอดระยะเวลาหลา ยปีที่ผ่านมา และได้รับการสนับสนุนจนเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลบันเทิงชั้นนำของประเทศไทย ที่รวบรวมคอนเทนต์ความบันเทิงทุกรูปแบบของช่อง 3 และพาร์ตเนอร์ ไม่ว่าจะเป็นละคร ซีรีส์นานาชาติ ออริจินอลคอนเทนต์ เพลงประกอบละคร และคอนเทนต์วาไรตี้เนื้อหาสนุก ๆ รวมถึงบริการ 3Plus Premium ที่มอบประสบการณ์ความบันเทิงที่ยิ่งพิเศษมากขึ้นให้กับสมาชิก อีกทั้งยังมีกิจกรรมหลากหลาย จากศิลปินนักแสดง และฟีเจอร์สุดล้ำเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพให้เข้าถึงอีกมากมาย จึงเกิดความพึงพอใจเกิดการยอมรับอย่างต่อเนื่อง

เพื่อตอกย้ำถึงความสำเร็จดังกล่าวของ 3Plus จึงขยายกำลังการให้บริการแบบครบวงจรเพิ่มขึ้น ด้วยการประกาศ Line Up รายการครึ่งปีหลัง 2565 ด้วยกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ฉลองความสำเร็จและตอบแทนสมาชิก 3Plus ที่ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ในงาน “3Plus Line Up 2022” We Belong Together เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 บนช่องทางการไลฟ์ผ่าน http://www.ch3plus.com และ Facebook 3Plus โดย นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจทีวี และ นายวรุตม์ ลีเรืองสกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ สำนักดิจิทัลและกลยุทธ์สื่อใหม่ แม่ทัพใหญ่ของ 3Plus นำทีมเปิดตัวงาน 3Plus Line Up 2022 บอกกล่าวถึงการเติบโตของจำนวนสมาชิก ยอดเข้ารับชม และผู้ติดตามที่เติบโตขึ้นในทุกปี ที่สำคัญคือการปรับโฉมใหม่ ทั้งรายการข่าวและความบันเทิงทุกรูปแบบบน 3Plus ให้มีความเอ็กซ์คลูซีฟมากกว่าเดิม รวมถึงอัปเดตการพัฒนาแพลตฟอร์มและฟีเจอร์ใหม่ของ 3Plus เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับสมาชิกเพิ่มขึ้น

โดย นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ ได้กล่าวขอบคุณแฟนคลับและสมาชิก 3Plus ที่ให้การสนับสนุนมาตลอดระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่เปิดตัว 3Plus จนถึงปัจจุบันว่า “ผมเชื่อว่าหลายท่านก็พอจะได้ยินประโยคที่ฮิตติดปากในเวลานี้กันแล้วว่า ดูทีวี กด 33 ดูมือถือ กด 3Plus ซึ่งเรามีเจตนาชัดเจนที่จะอยู่กับผู้ชมของเราตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าผู้ชมจะรับชมรายการผ่านทางทีวีช่อง 3 หรือผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ โดย 3 Plus เป็นความพยายามของช่อง 3 ที่จะตอบโจทย์ผู้ชมตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนท่านผู้ชมที่ต้องการรับชมเอ็กซ์คลูซีฟคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็นวีดีโอคลิปหรือรายการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Fandom เราก็มี 3Plus Premium เป็นช่องทางที่ทำให้สมาชิกมีโอกาสพบและใกล้ชิดกับดารานักแสดงที่ชื่นชอบในโอกาสพิเศษมากขึ้น”
ส่วนทางด้านนายวรุตม์ ลีเรืองสกุล ได้กล่าวเพิ่มเติมในด้านการให้บริการของ 3Plus Premium และความเป็นเอ็กซ์คลูซีฟ ว่า “การเป็นสมาชิก 3Plus Premium นั้น นอกจากจะชมคอนเทนต์ของที่อออากาศทางทีวีแล้ว ยังมีเวอร์ชั่นที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Uncut Version แบบเอ็กซ์คลูซีฟเพิ่มและ Special Scene สิ่งเหล่านี้จะรับชมได้ทันทีใน 3Plus Premium ด้วยความละเอียดระดับ HD ทุกเรื่อง และเราจะมีซีรีส์ต่างประเทศทั้งเกาหลีและจีนที่หารับชมที่อื่นไม่ได้พร้อมทั้งเสียงพากย์ที่ทุกคนคุ้นเคยมาบริการด้วยครับ ดูได้ชัดไม่สะดุดทุกอารมณ์ทุกคอนเท็นต์พิเศษบน 3Plus Premium เราจะไม่หยุดพัฒนาคอนเทนต์ดี ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ชมและแฟนคลับของ 3Plus ต่อไปครับ”

สำหรับการพลิกโฉมคอนเท็นต์ต่าง ๆ ของ 3Plus ครั้งนี้ มีทั้งรายการข่าวอย่าง “3Plus News” ที่รับรองว่า “ครบทุกโต๊ะ จบทุกข่าว ปรับให้เพิ่มขึ้น เปลี่ยนให้มากขึ้น” ต่อด้วยรายการวาไรตี้ “3Plus รับแขก” และ “ซุปตาร์เวลานอก” ที่จะมาช่วยขยายความเป็นเอ็กซ์คลูซีฟอีกด้วย พร้อมทั้งยังมีการ์ตูนคุณภาพจาก TOONEE มาตอบโจทย์การใช้เวลาร่วมกันในครอบครัวให้มากขึ้น และรายการใหม่แกะกล่อง “หิวกระแส” ที่ได้นักแสดงสาวสายตลก “แจ็คกี้ ชาเคอลีน มึ้นช์” นั่งแท่นพิธีกร และยังมีคอนเทนต์ใหม่ ๆ จากผู้ผลิตคุณภาพเยี่ยมที่พร้อมมอบความสนุกคู่ความบันเทิงให้กับสมาชิกแบบจบครบในที่เดียวอีกมากมาย
ส่วนทางด้านกิจกรรม Fandom ที่จะสานต่อทุกความใกล้ชิดระหว่างแฟนคลับและศิลปินนักแสดงให้ได้ใกล้ชิดในแบบเอ็กซ์คลูซีพเหนือใคร เป็นการตอบโจทย์ความรู้สึกให้ถูกใจแฟนคลับที่เป็นสมาชิก 3Plus โดยเฉพาะ ซึ่งล่าสุดได้จัดกิจกรรม Fandom โหวตหัวใจให้ศิลปินนักแสดงที่ชื่นชอบรับรางวัล Star of the Year 2021 และในปีนี้ “กลัฟ คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงศ์” นักแสดงดาวรุ่งจากช่อง 3 ได้รับการโหวตเป็นคนแรกประจำปี 2021

มาถึงช่วงท้ายของงาน “3Plus Line Up 2022” We Belong Together ยังมีการเปิดตัวทีมนักแสดงซีรีส์เรื่องใหม่ถึง 3 เรื่อง ได้แก่ “ความรักเขียนด้วยความรัก” Remember Me, “สายรหัสสัตว์โลก” และ “เพลงที่รัก” Coffee Melody และมาอัปเดตพูดคุยถึงกิจกรรมดี ๆ 3Plus The Moment : Happy Love Day ที่ถูกจัดขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 1 ปีของ 3Plus โดย 2 ดาวรุ่งของช่อง 3 ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง “มีน พีรวิชญ์” และ “กลัฟ คณาวุฒิ” ดำเนินรายการโดยพิธีกรสาวมากความสามารถ “บูม สุภาพร วงษ์ถ้วยทอง”

ติดตามดูย้อนหลังงาน “3Plus Line Up 2022 : We Belong Together” ได้ที่ http://www.ch3plus.com แอปพลิเคชัน 3Plus และ http://www.facebook.com/CH3Plus

งูเห่า แผ่แม่เบี้ย ชูคอสู้ตลอด แต่ก็ถูกจับใส่กระสอบจนได้


ที่ อ.นาทวี จ.สงขลา นายศุภชัย กีรติมากุล เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยอริโยสามัคคีนาทวี กำลังเข้าทำการจับงูเห่าที่เลื้อยเข้าไปในห้องครัวของบ้านเลขที่ 55 ม.1 ต.สะท้อน อ.นาทวี จ.สงขลา หลังได้รับแจ้งจากนายกระจาย จันทร์ทะเสน จึงพร้อมด้วย นางสาวเสาวลักษณ์ ทักคำแหง ,นางสาวอธิตา ไชยมงคล และนายเอ มุกเนียม นำอุปกรณ์ในการจับงูเข้าตรวจสอบที่ห้องครัวของบ้านเลขที่ดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่กู้ภัยอริโยสามัคคีนาทวีเข้าตรวจสอบและพบว่าเป็นงูเห่าที่เลื้อยเข้าไปซุกซ่อนในห้องครัว จึงนำอุปกรณ์ในการจับงูเข้าจับโดยใช้เวลาไม่นานก็สามารถจับงูเห่าไว้ได้ ขณะนำออกจากห้องครัวออกมา งูเห่า ก็แผ่แม่เบี้ยชูคอสู้อยู่ตลอดเวลา แต่ก็จนสุดท้ายก็ถูกจับใส่กระสอบปุ๋ย เพื่อนำไปปล่อยคืนสู่ป่าธรรมชาติที่อยู่ห่างไกลบ้านเรือนผู้คนต่อไป
ซึ่งงูเห่าตัวนี้นำมาวัดได้ความยาว 1.50 เมตร มีน้ำหนักประมาณ 2 กก.

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

“เฉลิมชัย”เร่งแก้ปัญหาปุ๋ยแพงปุ๋ยขาดแคลน“อลงกรณ์”เจรจารัสเซียซื้อปุ๋ยราคามิตรภาพคืบหน้าพร้อมดึง”ธกส.-อตก.”ร่วมโครงการ

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยวันนี้ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบนโยบายให้เร่งช่วยเหลือเกษตรกรเพื่อแก้ไขปัญหาปุ๋ยแพงและปุ๋ยขาดแคลนจากผลกระทบของสงครามรัสเซีย-ยูเครนและปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด19จึงได้พบหารือกับ นิโคไล เชอร์เยฟ ที่ปรึกษาสำนักงานผู้แทนการค้ารัสเซียประจำประเทศไทย วิตาลี คิสเซเรฟประธานหอการค้าไทย-รัสเซีย ดร.ยงยุทธ สาระสมบัติ นายกสมาคมส่งเสริมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทย-รัสเซีย ดร.อาณัติชัย รัตตกุล คณะทำงานที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ.และดร. วนิดา กำเนิดเพ็ชร์ ผู้อำนวยการสำนักการเกษตรต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับการนำเข้าปุ๋ยเคมีจากรัสเซียเพิ่มขึ้นในราคามิตรภาพซึ่งจากการหารือรอบแรกผู้แทนการค้ารัสเซียยืนยันว่ารัสเซียกับไทยมีความสัมพันธ์กันมากว่าร้อยปีจึงเห็นด้วยในหลักการที่จะขายปุ๋ยให้ไทยในราคาพิเศษ
“ยังมีเรื่องต้องหารือเกี่ยวกับรูปแบบการนำเข้าจะใช้โมเดลการนำเข้าปุ๋ยจากรัสเซียในราคามิตรภาพโดยสถาบันเกษตรกรหรืออตก.และจำหน่ายสู่เกษตรกรโดยตรงหรือจะเป็นแบบซาอุดีอาระเบียโมเดล
คือ ภาครัฐตกลงกันเรื่องราคามิตรภาพและมอบหมายเอกชนผู้ส่งออกนำเข้าของ2ประเทศไปเจรจากัน
อย่างไรก็ตามยังมีประเด็นต้นทุนการขนส่งและเรื่องระวางที่เพิ่มขึ้นจากการขนส่งปุ๋ยทางรถไฟมาลงเรือที่เมืองท่าวลาดิวอสต็อกทางฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกหรือขนส่งด้วยรถไฟจีน-ลาว และประเด็นเรื่องสกุลเงินในการชำระค่าปุ๋ย”
ทั้งนี้ในการประชุมครั้งหน้าจะเชิญผู้แทนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธกส.) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ตัวแทนสถาบันเกษตรกรสมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์และสมาคมผู้ค้าปุ๋ยร่วมหารือด้วย
ประเทศไทยนำเข้าปุ๋ยเคมีจากต่างประเทศเกือบ100% กว่า 5 ล้านตัน เป็นมูลค่ากว่า 73,430 ล้านบาทในปี2564 มากกว่าปี 2563ถึง 54.1%
ส่วนรัสเซีย เป็นประเทศที่ส่งออกปุ๋ยเคมี คิดเป็นมูลค่ามากที่สุดในโลกปีละกว่า 2 แสนล้านบาทคิดเป็นสัดส่วน 12.7% ของมูลค่าการส่งออกทั้งโลก โดยไทยนำเข้าจากรัสเซียเป็นมูลค่า 5,670 ล้านบาทในปี ที่แล้วคิดเป็นสัดส่วนราว 7.7% ของการนำเข้าปุ๋ยเคมีทั้งหมด
ช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโควิด19 ราคาปุ๋ยเคมีทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นและเมื่อเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครนยิ่งทำให้ปุ๋ยเคมีมีราคาสูงยิ่งขึ้นไปอีกกระทบต่อต้นทุนของเกษตรโดยตรง
ก่อนหน้านี้กระทรวงเกษตรฯ. กระทรวงการต่างประเทศและหอการค้าไทยได้เจรจาขอซื้อปุ๋ยเคมีราคามิตรภาพจากซาอุดีอาระเบียจนสามารถตกลงในหลักการและขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจานำเข้าส่งออกของภาคเอกชนของ2ประเทศ.

กรมประมง…ชี้แจง !การดำเนินการตามมาตรา 57 แห่ง พ.ร.ก. การประมง พ.ศ. 2558และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม

จากกรณีสมาคมรักษ์ทะเลไทย และสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย เรียกร้องให้ภาครัฐเร่งรัดกระบวนการคุ้มครองสัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อน และขนาดเล็ก เพื่อแก้วิกฤตทรัพยากรประมง นั้น นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง ชี้แจงว่า การดำเนินการแก้ไขปัญหาการจับสัตว์น้ำวัยอ่อนในช่วงที่ผ่านมานั้น กรมประมง ได้ดำเนินการในหลายวิธี เช่น การประกาศปิดอ่าว ในช่วงฤดูกาลสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ และเลี้ยงตัววัยอ่อน การกำหนดห้ามมิให้อวนล้อมจับที่มีขนาดตาอวนเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร ทำการประมงในเวลากลางคืน การกำหนดขนาดตาอวนก้นถุงของเรืออวนลาก ไม่น้อยกว่า 4 เซนติเมตร การกำหนดขนาดตาอวนครอบหมึก ไม่น้อยกว่า 3.2 เซนติเมตร การกำหนดขนาดตาอวนครอบปลากะตัก ไม่น้อยกว่า 0.6 เซนติเมตร และการกำหนดตาอวนของลอบปู ไม่น้อยกว่า 2.5 นิ้ว เป็นต้น เพื่อให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ ภายใต้การมีส่วนร่วมของพี่น้องชาวประมง ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่มีการบังคับใช้ พ.ร.ก. การประมง พ.ศ. 2558 สำหรับการประกาศตามมาตรา 57 ห้ามมิให้ผู้ใดจับสัตว์น้ำหรือนำสัตว์น้ำที่มีขนาดเล็กกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดขึ้นเรือประมงนั้น ต้องคำนึงถึงสภาพธรรมชาติและความหลากหลายของสัตว์น้ำ เพราะในประเทศไทยเครื่องมือประมงที่ใช้ไม่สามารถเลือกจับสัตว์น้ำเป็นรายชนิดได้อย่างชัดเจน เนื่องจากตั้งอยู่ในเขตร้อน มีความหลากหลายของชนิดสัตว์น้ำมาก ส่งผลให้การทำประมงในแต่ละครั้งสามารถจับสัตว์น้ำได้มีความหลากหลายทั้งชนิดและขนาด ซึ่งแตกต่างจากการทำประมงในเขตอบอุ่นที่มีความหลากหลายของสัตว์น้ำน้อยกว่า จึงสามารถเลือกจับสัตว์น้ำเป็นรายชนิดในการทำประมงแต่ละครั้งได้ ขณะที่ข้อกำหนดของมาตรา 57 หากพบสัตว์น้ำขนาดเล็กบนเรือประมงแม้เพียงตัวเดียวหรือชนิดเดียวก็มีความผิด จึงต้องใช้บทบัญญัติตามมาตรา 71(2) ประกอบด้วย เพื่อให้สามารถออกข้อกำหนดที่ต้องปฏิบัติเกี่ยวกับสัตว์น้ำที่ถูกจับได้โดยบังเอิญ จึงจะสามารถนำไปสู่การควบคุมตามกฎหมายได้ ในปี พ.ศ 2563 กรมประมงจึงได้แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาการกำหนดมาตรการควบคุมการจับสัตว์น้ำขนาดเล็ก เพื่อกำหนดให้ชนิดและขนาดที่เหมาะสมของสัตว์น้ำเศรษฐกิจ ที่จะใช้กำหนดมาตรการอนุรักษ์และบริหารจัดการ ตามมาตรา 57 และ 71(2) พร้อมทั้งเสนอหลักเกณฑ์ในการกำหนดร้อยละของสัตว์น้ำขนาดเล็ก สำหรับเป็นแนวทางในการประกาศกำหนดการจับ หรือการนำสัตว์น้ำขนาดเล็กขึ้นเรือประมง ซึ่งได้ผลการศึกษาที่นำมากำหนดได้ คือ 1. กำหนดชนิดสัตว์น้ำเพื่อนำร่องกำหนดมาตรการ ได้แก่ ปลาทู - ลัง และปูม้า 2. กำหนดความยาวขนาดเล็กที่ห้ามจับปลาทู - ลัง เท่ากับ 15 เซนติเมตร ปูม้า 8.5 เซนติเมตร 3. กำหนดร้อยละสัตว์น้ำขนาดเล็กที่ห้ามจับ ทั้งนี้ กรมประมงได้เคยจัดประชุมนำเสนอผลการศึกษาและรับฟังความคิดเห็น การกำหนดมาตรการควบคุมการจับสัตว์น้ำขนาดเล็ก ต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงพาณิชย์และการประมงนอกน่านน้ำไทย คณะอนุกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงพื้นบ้าน ซึ่งที่ประชุมประกอบด้วยผู้แทนจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย สมาคมการประมงระดับท้องถิ่นต่าง ๆ อาจารย์คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเจ้าหน้าที่ของกรมประมง ไปแล้วจำนวน 4 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2564 - 2565 แต่ยังไม่ได้ข้อยุติที่เหมาะสมที่จะนำไปปฏิบัติได้จริง อธิบดีกรมประมง กล่าวในตอนท้ายว่า การปฏิบัติการควบคุมการทำประมง โดยการใช้กฎหมายนั้น จะต้องสามารถทำได้ทั้งผู้ที่กฎหมายบังคับ และเจ้าหน้าที่จะต้องทำหน้าที่ควบคุมให้เป็นไปตามแนวทางนั้นด้วย ซึ่งกรมประมงจะเร่งดำเนินการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย และสมาคมสมาพันธ์ประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อให้ได้แนวทางในการกำหนดมาตรการที่เป็นที่ยอมรับ ของผู้เกี่ยวข้องต่อไป โดยหลังจากนี้ขอความร่วมมือให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว

สุดทึ่ง! นร.ขี่หมาไปกลับโรงเรียน เปิดชีวิตยอดกตัญญู-ดูแลแม่ป่วยติดเตียง ทั้งป้อนข้าวป้อนน้ำ และเช็ดตัวให้ทุกวันทั้งก่อนมาโรงเรียน

จากกรณีเพจ Phanu CR โพสต์คลิปเด็กนักเรียนชายคนหนึ่งขี่หลังสุนัขไปกลับโรงเรียน สร้างความฮือฮาในโลกออนไลน์อย่างมาก เนื่องจากปกติสุนัขจะไม่ยอมให้ใครขี่หลัง

สำหรับความคืบหน้า เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.65 นายภาณุพงศ์ อัครเสถียรพงศ์ หรือ Phanu CR ผอ.โรงเรียนบ้านแก่นวิทยา ต.ห้วยซ้อ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ซึ่งเป็นผู้โพสต์เรื่องดังกล่าว เปิดเผยว่า เด็กนักเรียนคนนี้ชื่อ น้องหย่ง อายุ 9 ขวบ อยู่ชั้น ป.3 โรงเรียนบ้านแก่นวิทยา อาศัยอยู่บ้านแก่นสลองคำ หมู่ 23 ต.ห้วยซ้อ อ.เชียงของ ส่วนสุนัขชื่อเจ้าโบ้ หรือไอ้ดำ เป็นสุนัขพลัดหลงที่คนนำมาเลี้ยงไว้ ตลอดระยะเวลาเจ้าโบ้ กับน้องหย่ง มีความรักและผูกพันกันมามาก ตั้งแต่น้องหย่งยังเด็กอยู่มาโรงเรียน เจ้าโบ้ก็จะมานอนเฝ้าหน้าห้องเรียนเป็นประจำ ซึ่งเจ้าโบ้เป็นสุนัขที่เชื่อง เด็กนักเรียนทุกคนเล่นได้ บางครั้งเมื่อน้องหย่งเลิกเรียนก็จะขี่หลังเจ้าโบ้กลับบ้าน

นายภาณุพงศ์ กล่าวอีกว่า น้องหย่งมีพี่ชายอีกคนชื่อน้องภูชิต อายุ 12 ปี อยู่ชั้นป.6 อาศัยอยู่ที่บ้านกับแม่อุ้ย วัย 70 กว่าปี เป็นผู้ป่วยติดเตียง ครอบครัวน้องหย่งมีฐานะยากจน น้องหย่งกับพี่ชายจะเป็นผู้ดูแลแม่อุ้ย ทั้งป้อนข้าวป้อนน้ำ และเช็ดตัวให้ทุกวันทั้งก่อนมาโรงเรียน และหลังกลับจากโรงเรียน นอกจากนี้น้องหย่งยังเป็นเด็กที่ขยัน ทำกิจกรรมทุกอย่างในโรงเรียนด้วย

QUEEN OF FITNESS MODEL 2022 เวทีนางงามมีกล้าม มิติใหม่ของวงการนางงาม!!!

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน 2565 เวที QUEEN OF FITNESS MODEL 2022 จัดโดยคุณวิลาสินี โฆษิตชัยวัฒน์ (MRS.THAILAND WORLD 2017) ณ โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ
เวทีประกวดเพื่อเฟ้นหาสาวสุขภาพดี หุ่นฟิต แอนด์ เฟิร์ม มีพลังคิดบวก และรักการออกกำลังกาย ในการชิงมงกุฎและสายสะพาย เพื่อเป็นตัวแทนแห่งพลังศักยภาพ และสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการออกกำลังกายอย่างแพร่หลายในกลุ่มบุคคลทั่วไป โดยจะเป็นเวทีนางงามมิติใหม่ ที่สร้างต้นแบบของผู้หญิงรักสุขภาพอย่างลงตัวในความเป็นนางงามผสานกับความเป็นนักกีฬา จนได้ผลลัพธ์คือการมีรูปร่างที่ดี สมส่วน และฟิต แอนด์ เฟิร์ม

โดยผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้แก่ กุศณี ใบเต้ รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่1 ได้แก่ กวีรัฏฐ์ ธนาภรณ์ และ รองชนะเลิศอันดับที่2 ได้แก่ Marie Pinnell ส่วนรางวัล Best of model physique ตกเป็นของ กุลวรินทร์ เมธินสุนทรรุจน์

ติดตามข่าวสารอัพเดตได้ที่เพจ Queen Of Fitness Model

Line ID : queen_of_galaxy
https://lin.ee/BxYzKmK

#QFM2022

#queenoffitnessmodel2022

มวลชนตบเท้าให้กำลังใจ”นิพนธ์”ยันไม่กระทบตำแหน่ง


พลังมวลชนประชาชนแห่ให้กำลังใจ รมช.นิพนธ์ หลัง อบจ.สงขลาแพ้คดี ยันปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาและระเบียบกระทรวงมหาดไทย ไม่มีผลต่อตำแหน่งรัฐมนตรีฯ เพราะ ปปช.ไม่ชี้ทุจริต
วันที่ 11 มิถุนายน 65 เวลาประมาณ 8.30 น. ที่บ้านพักนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ต.เกาะแต้ว อ.เมือง จ. สงขลา กลุ่มพลังมวลชนกว่า 200 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้นำท้องถิ่น ผู้นำชุมช รวมทั้งประชาชน ได้มาร่วมให้กำลังใจ นายนิพนธ์ หลังศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่ง ให้อบจ.สงขลา จ่ายเงินจำนวนกว่า 80 ล้านบาท กรณีข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ระหว่างบริษัท พลวิศว์ เทคพลัส จำกัด ฟ้องคดี องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สงขลา ไม่เบิกจ่ายเงินให้บริษัทฯ เป็นค่ารถซ่อมบำรุงทางเอนกประสงค์ 2 คัน ในสมัยที่นายนิพนธ์ บุญญามณี ดำรงตำแหน่งนายกอบจ.สงขลา ซึ่งขณะนี้คดีอาญากำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ เพื่อส่งฟ้งศาลคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 9 ต่อไป
โดยบรรยากาศภายในบ้านพักเป็นไปด้วยความคักคักมีประชาชนมอบดอกกุหลาบ กระเช้าดอกไม้ พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่นายนิพนธ์ นอกจากนี้ ยังมีบุคคลสำคัญมาร่วมให้กำลังใจ อาทิ พล.ต.ต.สุรินทร์ปาลาเร่ ส.ส.เขต 8 สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ นายไพเจน มากสุวรรณ์ นายกอบจ.สงขลา นายชัยวุฒิ ผ่องแผ้ว รองนายกอบจ.สงขลา และสมาชิกสภาอบจ.สงขลา มาร่วมให้กำลังใจ
ขณะที่นายนิพนธ์ ยืนยันว่า ไม่หนักใจต่อคดีโดยเฉพาะ กรณี ปปช.เตรียมที่จะส่งฟ้องคดีที่ได้ชี้มูลความฺผิดนายนิพนธ์ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่กรณีไม่จ่ายเงินค่ารถซ่อมบำรุงทางดังกล่าว และไม่กังวลว่าจะกระทบกับตำแหน่งรัซมนตรี เนื่องจากตนเองได้ปฎิบัติตามระเบียบกฎหมายทุกขั้นตอน โดยได้ดำเนินการในกรณีตามคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ที่ให้มีการตรวจสอบหลังได้รับการร้องเรียนว่ามีการฮั้วประมูลเกิดขึ้น และเมื่อมีการฟ้องร้องก็ปฏิบัติตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ต้องรอให้คำสั่งศาลถึงที่สุดเสียก่อน ทำให้กรณีนี้ไม่มีผลต่อคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของตนเอง เพราะ ปปช.ไม่ได้ชี้มูลในเรื่องของการทุจริต
“เบื้องต้นที่ไปแจ้งความเป็นเพราะว่ามีหนังสือของรองผู้ว่าราชการจังหวัด ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัด มีหนังสือมาถึงนายก อบจ.ว่ามีคนร้องเรียนในเรื่องนี้ จึงขอให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรายงานให้จังหวัดทราบ พร้อมกันนั้นในข้อ 4 ยังมีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเงินไว้ก่อน ฉะนั้นผมจึงต้องทำตามที่จังหวัดสั่งมา เมื่อสอบข้อเท็จจริงได้ความว่าฮั้วและผลสรุปของคณะกรรมการที่มีรองปลัดอบจ.เป็นประธานสอบ สรุปสำนวนบอกว่ามีการฮั้วกันจริง ดังนั้นผมจึงไม่กล้าจ่ายเงิน และบัดนี้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อศาลอนุมัติหมายจับแล้วว่ามีความผิดพ.ร.บ.ฮั้ว ปลอมแปลงเอกสาร ใช้เอกสาปลอม เท่ากับคนกลุ่มนี้มีส่วนกระทำความผิดกฎหมายเกี่ยวกับการฮั้วประมูล”
“ผมในฐานะคนของรัฐผมจึงต้องใช้วินิจฉัยในการตัดสินใจว่า การรักษาผลประโยชน์ของเอกชนกับการรักษาผลประโยชน์ของรัฐ ผมควรรักษาผลประโยชน์ของใคร ซึ่งผมก็ตัดสินใจว่าผมต้องรักษาผลประโยชน์ของรัฐ เพราะนี่คือภาษีอากรของเอกชน และบัดนี้สิ่งที่คณะกรรมการตรวจสอบมาแล้วว่าฮั้วมันมีพยานหลักฐานไปถึงศาลแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ผมจึงสามารถอธิบายได้ว่า ที่ทำไปไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งใคร ทำไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน” นายนิพนธ์ กล่าว พร้อมกับขอบคุณทุกคนที่มาให้กำลังใจ

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

งูเหลือมยาวเกือบ 4 เมตร โซหนัก บุกโรงเรียนชื่อดังสะเดาจับแมวกินแก้หิว


ที่ อ.สะเดา หน่วยกู้ชีพไม้ขม นำโดยนายทวีศักดิ์ บุญเศษ เจ้าหน้าที่กู้ภัย พร้อมด้วยนายสาธิต ธรรมสุวรรณ เจ้าหน้าที่ของศูนย์กู้ชีพไม้ขมเทศบาลเมืองสะเดา นำอุปกรณ์ในการจับสัตว์เลื้อยคลานขึ้นรถกู้ชีพฯรุดไปยังโรงเรียนอนุบาลเสนพงศ์ เลขที่ 161/1 ถนนปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา หลังจากที่ได้รับแจ้งจากสมพงษ์ หลวงชัย ซึ่งเป็นครูของโรงเรียนเสนพงศ์ ว่าที่ห้องครัวมีงูขนาดใหญ่กำลังรัดแมวและกินแมวอยู่ หวั่นงูจะไปกัดเด็กนักเรียนด้วย
ต่อจากนั้นนายทวีศักดิ์ ฯและนายสาธิตฯเจ้าหน้าที่กู้ชีพไม้ขมรีบนำอุปกรณ์ในการจับสัตว์เลื้อยคลานรุดไปยังโรงเรียนดังกล่าว
เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่กู้ชีพฯก็รีบเดินตรงไปยังห้องครัวของโรงเรียน โดยในโรงเรียนยังมีเด็กเดินไปเดินมาอยู่ภายในโรงเรียน(เนื่องจากโรงเรียนยังไม่เลิก) เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงห้องครัวก็พบงูเหลือมตัวใหญ่มากแอบอยู่ใต้ชั้นวางของหลังโรงครัว กำลังรัดและกินแมวอยู่ จึงได้เข้าทำการจับงูเหลือมทันที โดยใช้เวลาไม่นานก็สามารถจับงูเหลือมตัวใหญ่ นำมาวัดได้ความยาวประมาณ 3.50 เมตร ชั่งได้น้ำหนัก 6 กิโลกรัม จึงนำใส่กระสอบเพื่อนำไปปล่อยคืนสู่ป่าธรรมชาติที่อยู่ห่างไกลบ้านเรือนของประชาชนต่อไปเพื่อความปลอดภัย

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

หรือจะต้อง”ปิดป้ายประกาศ”ให้รับรู้ทั้งประเทศว่า”ด่านนอก” เป็นเมืองที่ไม่อยู่ภายใต้”กฎหมาย”ของ”รัฐบาลไทย”

เมือง ไม้ขม
รายงานพิเศษ
หรือจะต้อง”ปิดป้ายประกาศ”ให้รับรู้ทั้งประเทศว่า”ด่านนอก” เป็นเมืองที่ไม่อยู่ภายใต้”กฎหมาย”ของ”รัฐบาลไทย”
การที่ กลุ่มคนผู้อยู่ใน”ธุรกิจบันเทิง” 20 กว่าคน ที่”ด่านนอก” เมืองชายแดนในพื้นที่ เทศบาลตำบลสำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา ได้ร้องเรียน กับ นายเดชอิศม์ ขาวทอง(นายกชาย ) รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ สส.เขต 5 จ.สงขลา ให้ดำเนินการกับ กลุ่ม”ตำรวจ” จำนวน 20 นาย ที่เข้าไป”เก็บส่วย” จาก สถานบันเทิง ในพื้นที่”ด่านนอก” ซึ่ง หลังจากที่รับเรื่องมาแล้ว “นายกชาย” ได้มอบให้ 2 ผู้ช่วย สส. ยื่นเรื่องถึง ผวจ.สงขลา, ผบก.ภ.จว.สงขลา และ ผบช.ภ.9 . เพื่อให้ดำเนินการ”เอาผิด” กับ ตำรวจกลุ่มนั้นที่มีการ ระบุจำนวนชัดเจนว่า “20 “ นาย
ซึ่ง”แหล่งข่าว” มีการระบุก่อนหน้านั้น เจ้าหน้าที่ทั้ง 20 มาจาก ตำรวจใน”พื้นที่ อ.สะเดา และ จาก ภ.จว.สงขลา และ เจ้าหน้าที่ฝ่าย”ปกครอง ซึ่งเป็นที่”คุ้นหน้า” กันดี สำหรับผู้ประกอบ”ธุรกิจบันเทิง” ในพื้นที่”ด่านนอก” โดยเฉพาะ”ธุรกิจบันเทิง” ที่เป็น”สีเทา” และเป็น”สีดำ” รวมถึงธุรกิจที่”หมิ่นเหม่” กับการทำผิด”กฎหมาย” เพราะก่อนหน้าที่จะเกิดการระบาดของ”โควิด 19 “ เกิดขึ้น สถาน”อโคจร” ใน”ด่านนอก” ก็มีการ”จ่ายส่วย” ให้กับ “เจ้าหน้าที่”กลุ่มนี้เป็น”ประจำ” อยู่แล้ว นั่นเอง
สำหรับ”ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ,ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะมองเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเรื่อง”ใหญ่” หรือเรื่อง”เล็ก” หรือเรื่อง”จิ๊บจ้อย” ที่แสนธรรมดา หรือไม่อย่างไรไม่รู้ แต่สำหรับ”ผู้เขียน” เรื่องนี้เป็น”เรื่องใหญ่” การที่ “นักธุรกิจ” ออกมา “กล่าวหา” ว่ามี “ตำรวจ”ถึง 20 คน รวมตัวกันเป็น”แก็งค์” เพื่อทำการเรียก”เก็บส่วย” จาก “นักธุรกิจ” เป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่อง” สำคัญ” ที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น”ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ในฐานะที่เป็น “เจ้าของพื้นที่” จะต้อง”เร่งสะสาง” เรื่องที่ถูก”ร้องเรียน” โดยเร็ว ถ้า”จริง” ก็ต้องลงโทษผู้ที่”ทำผิด” ถ้า”ไม่จริง” ก็ต้อง”เอาผิด” กับผู้ที่”ให้ร้ายป้ายสี” ให้เกิดความ”เสื่อมเสีย” กับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เพราะเรื่องที่”ตำรวจ” 20 คน”ตั้งแก๊งค์เพื่อ”เก็บส่วย” เป็นการสร้างความ”เสียหาย”และ”เสื่อมเสีย” อย่างมาก กับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเป็นการทำให้”ต้นทุนทางสังคม”ของ”ตำรวจ” ที่”ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน”อยู่แล้ว ให้”ตกต่ำ” ยิ่งขึ้นในสายตาของ”ประชาชน”
แต่…แปลก ที่เรื่องที่”ตำรวจ 20 คน “ถูกกว่าหาว่า “ตั้งแก๊ง” เพื่อ”รีดไถ”ด้วยการ”เก็บส่วย” จาก”นักธุรกิจบันเทิง” กลับ”เงียบฉี่” ทั้งจาก”ฝ่ายปกครอง” และจากฝ่ายของ”ตำรวจ” เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือกับว่า วันนี้ไม่มี”กรมการปกครอง” และไม่มี”สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” อยู่ในประเทศนี้
และที่สำคัญ หลังจากที่มีการ”ยื่นเรื่อง” ถึง “ผู้ว่าราชการจังหวัด “ และถึง”ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด” แล้ว กลุ่มผู้”เสียหาย” ที่ถูกเรียกร้องให้”จ่ายส่วย” ก็ไม่ได้ติดตามความคืบหน้าของการร้องเรียน ว่ามีการ”สืบสวนสอบสวน”กันไปถึงไหนแล้ว จึงทำให้หลายคนกำลังสงสัยว่า เรื่องการ”ร้องเรียน” ครั้งนี้กำลังเป็นเรื่อง”มวยล้มต้มคนดู” ที่ พอทั้ง 2 ฝ่าย ต่าง”สมประโยชน์” โดยมี”คนกลาง” เข้าทำการ”เกี๊ยเซี๊ยะ” เพื่อให้”ผลประโยชน์” ลงตัว ทุกอย่างก็เป็นเรื่อง”แฮ้ปปี้เอนดิ้ง” ของทั้ง 2 ฝ่ายเหมือน”ไม่มีอะไรในกอไผ่”
เพราะอะไร ก็เพราะว่า”ด่านนอน” ตั้งแต่เริ่ม”ตั้งเมือง” จนมาถึง”ปัจจุบัน” ตั้งแต่เป็น”ชุมชน”เล็กๆ” จนยกฐานะเป็น”เทศบาลตำบล” เมืองนี้เป็นเมืองที่อยู่ได้ด้วย”ธุรกิจที่ผิดกฎหมาย” และที่”หมิ่นเหม่” ต่อการทำผิดกฎหมาย เกือบร้อยเปอร์เซ็น
เป็นเมืองที่”เติบโต” จากการ”ค้ากาม” ที่”ส่วนใหญ่” เป็นคน”ต่างด้าว”ลาว,พม่า” จากใน”ซ่อง” จนมาอยู่ในรูปของ”คาราโอเกะ” แต่เป็น”คาราโอเกะ” ที่ใช้ชื่อบังหน้า ส่วนเบื้องหลังก็คือ”ซ่องโสเภณี” ดีๆ ที่นี้
เช่นเดียวกับ “สถานบันเทิง” ไม่ว่าอยู่ใน”ชื่อ”แบบไหน แต่ “พฤติกรรม” ก็คือเป็น”แหล่งค้ากาม” ที่มีการ”ปรุงแต่ง” เพื่อเป็นการ”ยกระดับ” ให้”หรูหรา” ขึ้นมาหน่อย เพื่อการ “หลีกเลี่ยง” ข้อ”กฎหมาย” เพื่อเพื่อให้”ดูดี” ว่านี้คือ สถานบันเทิง เพื่อการ”อินเตอร์เทน” สำหรับ”เมืองท่องเที่ยว” ชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่ มีไว้เพื่อการรับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ
ที่ สำคัญ นอกจาก ธุรกิจที่”ขึ้นชื่อ” คือเรื่องของ”การค้ากาม” ซึ่งเป็นเรื่องที่”แยกไม่ออก” ระหว่าง”การค้ามนุษย์” เมืองแห่งนี้ ยังเป็น”แหล่ง” ของการ “ค้ายาเสพติด” และ “ผู้เสพ” ส่วนหนึ่งเป็น”ชาวมาเลเซีย” ที่เดินทางเข้ามา เพื่อทำใน 2 อย่าง .คือ1”เที่ยวผู้หญิง” และ 2 คือ”เสพยาเสพติด” ที่สำคัญมี”ชาวมาเลเซีย” จำนวนไม่น้อย ที่เดินทาง”ข้ามพรมแดน” เข้ามา “เที่ยวผู้หญิง” และ”เสพยาเสพติด” โดยไม่มีการใช้”หนังสือเดินทาง” แต่เป็นการ”เข้าเมือง”แบบ”ผิดกฎหมาย” หรือแบบ”เถื่อนๆ” ด้วยการ”จ่ายเงิน” ให้กับ เจ้าหน้าที่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ “กฎหมายเข้าเมือง” ที่ทำกันมาตั้งแต่เริ่ม”ตั้งเมือง” จนถึง”ปัจจุบัน”
ดังนั้น ธุรกิจของ”ด่านนอน” จึง เป็นการ”เปิดช่อง” ให้ เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ”กฎหมาย” ของ”เมืองท่องเที่ยว” ตั้งแต่ ตำรวจท้องที่,ปกครอง,สาธารณสุข, ตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจจาก “ส่วนอื่นๆ” ตั้งแต่ “สืบจังหวัด”สืบภาค” กองปราบ ทั้งที่เป็นหน่วยที่รับผิดชอบในพื้นที่และจาก”ส่วนกลาง” ซึ่งเจ้าหน้าที่เคยจับกุม”สถานที่”ค้ากาม”ขึ้นในพื้นที่”ด่านนอก” เคยยึดได้”บัญชีการจ่ายส่วย” ที่มีรายชื่อของ “หน่วยงาน”ต่างๆ ใน”บัญชี”ของการ”จ่ายส่วย” รายเดือนถึง 19 หน่วย และ “ปัจจุบัน” ยังมี “บุคคล” ที่อ้างว่ามาจาก “ดีเอสไอ” เพิ่มขึ้นเป็น 20 หน่วย นี่ยังไม่รวม”นักบิน” จาก”ส่วนกลาง” ที่บินโฉบไปโฉมมา” เพื่อมา”เก็บส่วย” อีกพวกหนึ่ง มีผู้กล่าวกันแบบ”ตลกๆ” ว่า เหลือเพียงหน่วยงานเดียวเท่านั้น ที่ไม่อยู่ใน”บัญชี”ของการ”เก็บส่วย” นั้นก็คือ”ลูกเสือชาวบ้าน”
และที่ สำคัญ “ด่านนอก” สถานที่ประกอบธุรกิจจำนวนไม่น้อย เช่น โรงแรม ที่ไม่มีใบอนุญาต สถานบันเทิง ไม่มีใบอนุญาต อาคาร ร้านค้า ก่อสร้างผิดแบบ และอีก “มากมาย” ที่ก่อสร้าง อยู่ในเขตเทศบาลตำบลสำนักขาม ถ้าเอากันตาม”กฎหมาย” เจ้าของอาจจะถูก”จับกุม” และสุดท้ายอาคาร ร้านค้า ต้องถูก”ทุบทิ้ง” เป็น เป็นการก่อสร้างที่ไม่ถูกต้อง ผิดแบบ ผิด แปลน และเป็น”อันตราย” และผู้ทำความผิด อาจจะไม่ใช่ เจ้าของ อาคาร สถานที่ แต่เป็น เจ้าหน้าที่”ท้องถิ่น” และ”นักการเมือง” ซึ่งเป็นผู้”เซ็นอนุญาต” รวมอยู่ด้วย
ทั้งหมด จึงเป็น”ช่องทาง” ให้ “เจ้าหน้าที่รัฐ” สามารถเข้าไป”เก็บภาษีเถื่อน” หรือ”ส่วย” จาก เจ้าของสถานที่ เจ้าของธุรกิจ ถ้า”ไม่จ่าย” ก็จะถูกดำเนินคดีตาม”กฎหมาย” เช่น”ถูกปิด” สถานบริการ, สถานบันเทิง ดังนั้น ผู้ที่ทำธุรกิจที่ผิด”กฎหมาย” และที่”หมิ่นเหม่” ต่อการผิด”กฎหมาย” จึง”จำใจ” ในการ”จ่ายส่วย” เพื่อให้สามารถ ที่จะดำเนินธุรกิจต่อไปได้
และ นี่อาจจะเป็น”ที่มาของ” 20 ตำรวจ” ที่ถูก กล่าวหาว่าไป”เก็บส่วย” ซึ่งอาจจะไปเก็บแบบไม่ดู”กาลเทศะ” เพราะไปเก็บขณะที่ ผู้ประกอบการซึ่ง”เดือดร้อน” มา 2 ปีเต็ม ด้วยการต้อง”ปิดสถานบันเทิง” เพราะการระบาดของ”โควิด 19 “ หลังการมีการเปิดประเทศ เมื่อวันที่ 1 พ.ค. ได้เพียงไม่กี่วัน ก็มีการ”เดินสาย” เพื่อ”เก็บส่วย” จึงเกิดอาการ”สุดจะทน” จนต้องมีการ”ร้องเรียน” เกิดขึ้น เพราะโดย”ปกติ” คนที่ทำธุรกิจ”สีเทา”และ”สีดำ” ถ้าไม่ถึงจุด”สุดจะทน” ก็จะไม่”ร้องเรียน” เพื่อ”เอาผิด” เจ้าหน้าที่รัฐด้วยเฉพาะกับ”ตำรวจ” ที่เป็น หน่วยงานที่ถือ”กฎหมาย” แบบ”ครอบจักรวาล” เพราะหากมีการ”เอาคืน” เกิดขึ้น นักธุรกิจที่ทำในสิ่งที่”ผิดกฎหมาย” จะได้ไม่คุ้มเสีย” นั้นเอง
แต่…ไม่ว่าอย่างไร คำถามคือ เรื่อง”20 ตำรวจ” ที่ถูก ร้องเรียนว่าเป็น”แก๊งค์เก็บส่วย” ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ,ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะดำเนินการอย่างไร และนอกจาก ดำเนินการกับ”ตำรวจ” ที่ถูก”ร้องเรียน”แล้ว ฝ่ายปกครอง และ ตำรวจ ทั้งใน”ท้องที่” อ.สะเดา จ.สงขลา และ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา และ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา จะดำเนินการอย่างไร กับ สถานบันเทิง ที่มีการ”ค้ามนุษย์” และมีการ”ค้ายาเสพติด” และ”คนเถื่อน” ทั้งระดับที่เป็น”ห้องแถว,ตึกแถว” จนถึง “โรงแรมหรูหรา” ของนักลงทุนจาก”ต่างชาติ” ซึ่งถ้าจะมีการ”เอาผิด” เชื่อ ขนมกิน”ได้ล่วงหน้าว่า “จับได้ทุกวัน” และ”ทุกคืน” ตำรวจ และ ปกครอง จะ ดำเนินการอย่างไร กับผู้ทำผิดกฎหมายในพื้นที่แห่งนี้
หรือจะปล่อยให้”ด่านนอก” เป็น”เมืองเถื่อน” ต่อไป และเป็นที่”เก็บส่วย” ของ หน่วยงานต่างๆต่อไปแบบ”ไม่มีอะไรในกอไผ่” ก็ตอบประชาชนมาให้ชัดๆ จะได้”ขึ้นป้าย” ให้รับรู้กันทั้งประเทศว่า”เมืองนี้ คือเมืองที่ ทุกคนสามารถทำในสิ่งที่ผิด”กฎหมาย”ได้อย่างเสรี โดยที่ไม่อยู่ใต้”กฎหมาย” ของ “รัฐบาลไทย”

ผอ.สพป.สงขลา เขต2 ส่งต่อจุดเน้น ครูเครือข่ายสถานศึกษาคลองหอยโข่งก้าวหน้า สู่นวัตกรรมการศึกษา 4.0 Plus


วันนี้ 10 มิถุนายน 2565 ที่ โรงเรียนเซาท์เทอร์นแอร์พอร์ท อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นายอุทัย กาญจนะ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 2 เป็นประธาน การประชุม โครงการประชุมพัฒนาศักยภาพ ผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษา เครือข่ายสถานศึกษาคลองหอยโข่งก้าวหน้า สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 2 โดยเครือข่ายได้ดำเนินการโครงการฯต่อเนื่อง มีผู้เข้าประชุม จำนวน 139 คน จาก 12 โรง คือ โรงเรียนวัดบางศาลา ,วัดปรางแก้ว,บ้านโคกพยอม,วัดโคกม่วง,วัดโคกเหรียง,บ้านปลักคล้า,บ้านวัดหน้าโพธิ์,บ้านคลองหอยโข่ง,บ้านควนกบ,บ้านเก่าร้าง,บ้านต้นส้านและโรงเรียนบ้านวัดเลียบ
เพื่อให้บุคลากรในเครือข่ายได้รับรู้แนวทางในการพัฒนาสถานศึกษาขยายผลต่อและใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนาผู้เรียนเป็นขวัญกำลังใจ แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันพัฒนาในแนวทางเดียวกันให้คุณภาพการศึกษามีการพัฒนาทั้งระบบทั้งเครือข่าย พร้อมขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาต่อเนื่อง มีผู้เข้าประชุมได้นำแนวทางในการพัฒนาในทิศทางเดียวกันเพื่อให้ขับเคลื่อนนโยบาย กระทรวง สพฐ.และจุดเน้นเขตพื้นที่ฯ
สงขลา เขต 2
โดยมีนางกาญดาร์ สงดวง รักษาการโรงเรียนบ้านหน้าวัดโพธิ์ ประธานเครือสถานศึกษาคลองหอยโข่งก้าวหน้า

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

Design a site like this with WordPress.com
Get started