นครบาล แถลงผลการปฏิบัติระดมกวาดล้างอาชญากรรม ห้วงวันที่ 9 -20 พ.ค.65 ก่อนการเลือกตั้ง

กรณีวันที่
21 พ.ค.65 เวลา 11.00 น. พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.สำราญ  นวลมา ผบช.น.
พล.ต.ต.จิรสันต์  แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. พล.ต.ต.นิตินันท์ เพชรบรม รอง ผบช.น. พล.ต.ต.นิธิธร  จินตกานนท์
รอง ผบช.น. พล.ต.ต.โชคชัย  งามวงศ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.สำเริง สวนทอง รอง ผบช.น. พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ
รอง ผบช.น. ได้แถลงผลการปฏิบัติระดมกวาดล้างอาชญากรรมก่อนการเลือกตั้ง ในห้วงวันที่ 9 -20 พ.ค.65
มีรายละเอียด ดังนี้
1. จับกุมบุคคลตามหมายจับ 409 คดี 400 คน
2. ความผิดเกี่ยวกับการพนัน 544 คดี 571 คน
3. ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดรวมทั้งสิ้น       
3.1 ผลิต    –  คดี –   คน
3.2 นำเข้า    –  คดี   –  คน
3.3 ส่งออก     – คดี    – คน
3.4 จำหน่าย   12 คดี 12 คน
3.5 ครอบครองเพื่อจำหน่าย   13 คดี 19 คน
3.6 ครอบครอง 105 คดี 107 คน
3.7 เสพยาเสพติด 154 คดี 148 คน
รวมทั้งสิ้น 284 คดี 286 คน
4. ความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 รวมทั้งสิ้น        
4.1 นำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร    11 คดี    11 คน
4.2 ช่วยเหลือซ่อนเร้นคนต่างด้าวให้พ้นจากการจับกุม      – คดี        – คน
4.3 หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย 2594 คดี 2616 คน
รวมทั้งสิ้น 2605 คดี         2627 คน
5. ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน
5.1 อาวุธปืนสงคราม       – คดี      –  คน
5.2 อาวุธปืนธรรมดา (ไม่มีทะเบียน)     19 คดี       20 คน
5.3 อาวุธปืนธรรมดา (มีทะเบียน)       4 คดี      5 คน
5.4 วัตถุระเบิด       3 คดี      9 คน
5.5 เครื่องกระสุนปืน       8 คดี        8 คน
รวมทั้งสิ้น     34 คดี      42 คน


              6. ความผิดเกี่ยวกับสถานบริการ 419  คดี 419 คน
   7. ความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง      16 คดี       – คน
8. ความผิดเกี่ยวกับการปลอมแปลงเอกสาร 1 คดี 2 คน
รวมทั้งสิ้น 4312 คดี 4347 คน
ซึ่งได้ทำการตรวจยึดของกลาง ดังนี้
พ.ร.บ.อารุธปืน
– อาวุธปืน 26 กระบอก
– เครื่องกระสุนปืน 583 นัด
– วัตถุระเบิด 3 ลูก
– พลุ/ประทัด 3 นัด
พ.ร.บ.ยาเสพติด
– ยาบ้า   438,961 เม็ด
– ยาไอซ์ 1139.698 กรัม
– เคตามีน 95.89 กรัม
– เฮโรอีน 11.04 กรัม
ความผิดเกี่ยวกับการปลอมแปลงเอกสาร
– แผ่นป้ายทะเบียนปลอม 177 แผ่น
– สมุดคุมป้ายแดง 107 เล่ม
– แผ่นอลูมิเนียมสำหรับทำป้ายทะเบียนปลอม 116 แผ่น
– เครื่องปั๊มและอุปกรณ์อื่นๆ 196 รายการ

คดีที่ 1 คนร้ายลักทรัพย์โรงเรียนได้เงินไปมูลค่ากว่า 170,000 บาท ผลงาน สน.บางเขน บก.น.2
วันที่ 14 พ.ค.65 เวลา 06.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมนายคำณพฯ ตามหมายจับศาลอาญา ลง 12 พ.ค.65 ในความผิดฐาน “ บุกรุก ลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นโดยเข้าในช่องทางซึ่งได้ทำขึ้น โดยไม่ได้จำนงให้เป็นทางคนเข้า และทำให้เสียทรัพย์ ” 
จากกรณี น.ส.อมรศรี ศิริสุข ได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางเขน ว่าเมื่อวันที่ 29-30
เม.ย. 2565 เวลาประมาณ 00.30 น. ได้มีคนร้ายงัดหน้าต่างเหล็กดัด บุกรุกเข้ามาในห้องธุรการของโรงเรียนวัดไตรรัตนาภิรักษ์ และงัดโต๊ะทำงาน และตู้เหล็กใส่เงินแล้วลักเอาเงินของโรงเรียน จำนวน 170,000 บาท และกระเป๋าสะพายโลโก้โรงเรียน จำนวน 1 ใบ และยังทำลายทรัพย์สินเสียหาย เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.บางเขน จึงสืบสวนติดตามตัวคนร้าย และตรวจสอบกล้องวงจรปิด จนกระทั่งทราบว่า นาย คำณพฯ เป็นคนร้ายที่ก่อเหตุลักทรัพย์ จึงได้ทำการจับกุม และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.บางเขนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

คดีที่ 2 ชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทําความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป” พื้นที่ สน.บางเขน
วันที่ 19 พ.ค.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายสืบสวน สน.บางเขน ได้จับกุม นายอาทิตย์ฯ อายุ 38 ปี หน้าห้องเลขที่ 313 พรชัยแมนชั่น เลขที่ 146/30 ซอยรามอินทรา 21  แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน   กรุงเทพฯ
พร้อมด้วยของกลาง  1.รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า คลิ๊กสีเทา หมายเลขทะเบียน วพม 334 กทม.จำนวน 1 คัน
                            2.ธนบัตรฉบับละ 100 บาท จำนวน  1 ฉบับ
                            3.สิ่งเทียมอาวุธปืน จำนวน  1  กระบอก
                            4.โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อออฟโป้ สีแดง เบอร์โทร 084-0565473 จำนวน 1 เครื่อง
                            5.เสื้อคอปกแขนสั้นสีแดง จำนวน 1 ตัว
                            6.หมวดนิรภัยสีดำ คาดแดง จำนวน 1 ใบ
                            7.รองเท้าแตะ จำนวน  1 คู่        
โดยกล่าวหาว่า “ชิงทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป”
วันที่ 19.พ.ค.65  เวลาประมาณ 10.45 น. นายอาทิตย์ฯ ใช้จักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าทะเบียน วพม 334 กทม. เป็นพาหนะ เข้าไปทำการชิงทรัพย์ ในร้านค้าย่านบางเขน เขตบางเขน กรุงเทพฯ โดยทำทีเข้ามาซื้อน้ำแข็ง
เมื่อสบโอกาสได้ใช้อาวุธปืน ไม่ทราบชนิด (ไม่ทราบว่าจริงหรือปลอม) ข่มขู่ผู้แจ้งหลังจากนั้นได้หยิบเงินจำนวน 1,800 บาท ของผู้แจ้งที่อยู่ในกระป๋องเงินไป และขับรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวหลบหนี  ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนโดย
ได้ทราบทะเบียนรถคนร้ายจากกล้องวงจรปิด และไล่กล้องวงจรปิดเส้นทางขามาก่อเหตุ และ เส้นทางหนี จนสามารถจับกุมตัวคนร้ายได้พร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดี

คดีที่ 3 จับกุมขบวนการลักลอบซุกยาบ้าในรถยนต์ลำเลียงยาเสพติดสู่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ผลงาน
สน.บางชัน บก.น.4
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 15 พ.ค. 65 เวลาประมาณ 18.40 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.บางชัน ได้รับแจ้งจากพลเมืองดี ว่าได้รับการว่าจ้างจากนายซาการียาฯ (ทราบชื่อภายหลัง) ให้ไปรับรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้ารุ่นยาริส สีขาว หมายเลขทะเบียน 3กร-7284 กรุงเทพมหานคร ที่อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี และนำรถยนต์คันดังกล่าวไปส่งที่จังหวัดนราธิวาส แต่จากการตรวจสอบรถยนต์คันดังกล่าว พบสิ่งของต้องสงสัย คาดว่าน่าจะเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ถูกซุกซ่อนอยู่ภายในรถยนต์คันดังกล่าว จึงได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.บางชัน ดำเนินการการตรวจสอบรถยนต์คันดังกล่าวโดยละเอียดอีกครั้ง และจากการตรวจสอบโดยละเอียดพบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ทั้งหมด 67
ห่อ ประมาณ 396,000 เม็ด ถูกซุกซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆ ของรถยนต์คันดังกล่าว
จากนั้นวันที่ 16 พ.ค.65 เวลาประมาณ 17.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.บางชัน
ได้สืบสวนจนกระทั่งสามารถทำการจับกุมตัวนายซาการียาฯ อายุ 29 ปี และนายอับดุลเล๊าะฯ อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญามีนบุรี ลงวันที่ 16 พ.ค. 65 
ในความผิดฐาน “ร่วมกันจำหน่ายโดยเป็นการมีไว้เพื่อจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือ
เมทแอมเฟตามีน) เป็นการกระทำเพื่อการค้า การก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และเป็นการทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป โดยไม่ได้รับอนุญาต”
จากนั้นจึง นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สน.บางชัน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนผู้ต้องหาที่หลบหนีเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการติดตามจับกุมตัวมาเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
คดีที่ 4 จับกุมคนร้ายก่อเหตุยิงผู้อื่นเสียชีวิต ผลงาน สน.ประเวศ บก.น.4
สืบเนื่องจากวันที่ 16 พ.ค.65 เวลาประมาณ 10.00 น.  เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ประเวศ ได้รับแจ้งว่าพบศพผู้เสียชีวิตภายในคลองวังใหญ่ จึงแจ้งแพทย์นิติเวช และ พฐ. เข้าร่วมตรวจพิสูจน์ พบศพนายมนัสฯ อายุ 37 ปี (ทราบชื่อภายหลัง) เสียชีวิตบริเวณในคลองที่เกิดเหตุ สภาพศพสวมเสื้อลายสก็อตแขนยาวพับแขน สวมกางเกงยีนส์ขาวยาวสีเข้มคาดเข็มขัดหนังสีดำ มีอาวุธมีดปลายแหลมความยาวประมาณ 30 ซม. อยู่บริเวณเอวทางด้านซ้าย สวมถุงเท้าสีดำ ตามร่างกายเน่าเปื่อย มีรอยสักตามตัว และรอยสักบริเวณหน้าอกสักว่า “สราลี จำเริญ” เสียชีวิตลักษณะศพนอนคร่อม รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นฟีโน่ จากการตรวจที่เกิดเหตุเบื้องต้นพบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. ตกอยู่ในที่เกิดเหตุจำนวน 2 ปลอก และจากการชันสูตรพลิกศพเบื้องต้นพบรอยลูกกระสุนปืนที่บริเวณท้ายทอยจำนวน 1 นัด และที่บริเวณด้านข้างลำตัวอีก 1 นัด จากการประเมินของแพทย์คาดว่าเสียชีวิตมาประมาณ 2-3 วัน จึงได้นำศพผู้ตายส่งสถาบันนิติเวชเพื่อชันสูตรพลิกศพ
ต่อมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ได้ทำการติดตามผู้ก่อเหตุจากภาพจากกล้องวงจรปิด จนกระทั่งทราบว่า
ผู้ก่อเหตุคือนายดวงฯ จึงได้เชิญตัวมาที่ สน.ประเวศ จากการสอบถามนายดวงฯ ได้ให้การรับสารภาพว่าเป็น
ผู้ก่อเหตุยิงนายมนัสฯ เสียชีวิตและจากการยืนยันของนายเจริญฯ หรือ เหน่ง และ นายจิรศักดิ์ฯ หรือ กอล์ฟ
ทั้งสองให้การว่า ตนได้ร่วมเดินทาง ไปกับผู้ตายจริง และอยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งยืนยันผู้ก่อเหตุคือ นายดวง หรือดุล ได้ใช้อาวุธปืน ยิงนายมนัส หรือดอน เสียชีวิตจริง จากนั้นจึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ประเวศ

คดีที่ 5 ภาพรวมผลการจับกุมอาวุธปืน ผลงาน บก.น.5
5.1 วันที่ 11 พ.ค.65 เวลา 09.30 น. ทำการจับกุม นาย ภัสสกรฯ อายุ 33 ปี และ
นางสาวกัญญาณัฐฯ อายุ 32 ปี โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต”และ “เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ( เมทแอมเฟตามีน )” “ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต”
พร้อมด้วยของกลาง
1. อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ใช้สำหรับยิงกระสุนปืน ขนาด .22มม. จำนวน 1 กระบอก
   2. กระสุนปืนกล ขนาด 7.62 มม.จำนวน 80 นัด
  3. กระสุนปืน ขนาด .38 มม. จำนวน 6 นัด
4. กระสุนปืน ขนาด .22 มม.จำนวน 22 นัด
สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้รับแจ้งว่านาย ภัสสกรฯ อายุ 33 ปี มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนซ่อนอยู่ในบ้านเลขที่ 288/4 ถ.พระราม 9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ชุดจับกุมได้ขออำนาจศาลอาญา อนุมัติหมายค้นที่ 340/2565 ให้ตรวจค้นบ้านเลขที่ 288/4 ถ.พระราม 9
แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเดินทางไปที่บ้านหลังดังกล่าวพบนาย ภัสสกรฯ
นางสาวกัญญาณัฐฯ เป็นผู้ดูแลและอยู่อาศัย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแสดงตัว สอบถามบุคคลทั้ง 2 แล้ว รับว่า
เป็นห้องของตนทั้ง 2 ที่ใช้พักอาศัยหลับนอน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงให้ทำการเปิดประตูห้องดังกล่าว เพื่อทำการตรวจค้น
ผลการตรวจค้นพบอาวุธปืนและเครื่องกระสุน จากนั้นนำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สน.มักกะสัน ดำเนินคดีตามกฎหมาย
5.2 วันที่ 13 พ.ค.65 เวลา 08.00 น. ได้ทำการจับกุม นายคณากร อายุ 25 ปี  โดยกล่าวหาว่า
“มีเครื่องกระสุนปืน (ขนาด.22) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต”
พร้อมด้วยของกลาง  ลูกกระสุนปืน ขนาด .22  บรรจุอยู่ในกล่องพลาสติกสีดำ จำนวน 49 นัด
สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมว่า นายคณากรฯ มีอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้ในความครอบครอง ซึ่งซุกซ่อนอยู่ภายในบ้านเลขที่ 89/4 ซอยพระยาสุเรนทร์ 35  แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ ขอหมายค้นบ้านหลังดังกล่าวต่อศาลอาญามีนบุรี ผลการตรวจพบเครื่องกระสุนปืน ขนาด .22 จำนวน 49 นัด จึงได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.คันนายาว ดำเนินคดีตามกฎหมาย
5.3 วันที่ 13 พ.ค.65 เวลา 16.05 น. ได้ทำการจับกุมจับกุมนายอาทิตย์ อายุ 38 ปี โดยกล่าวหาว่า  
“มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต”
พร้อมด้วยของกลาง
1. อาวุธปืนพกสั้นกึ่งอัตโนมัติ (แบล็งค์กัน) ขนาด .380 มม. จำนวน 1 กระบอก
2. ซองกระสุน (แม็กกาซีน) จำนวน 1 อัน
3. เครื่องกระสุนปืน ขนาด .38 มม. จำนวน 85 นัด
4. เครื่องกระสุนปืน ขนาด 38 Super จำนวน 2 นัด
5. เครื่องกระสุนปืน ขนาด 380 มม. จำนวน 38 นัด
6.ซองปืนพกสีดำจำนวน 1 ซอง
สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้สืบสวน ทราบว่า นายอาทิตย์ ฯ มีอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้ในความครอบครอง ซึ่งซุกซ่อนอยู่ภายในบริเวณบริเวณอาคารยูนิตี้ ทาวเวอร์ เลขที่ 555/40-41 ชั้น 6
ซอย อุดมสุข 31 สุขุมวิท 103 แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานครขอหมายค้นบ้านหลังดังกล่าวต่อศาลอาญาพระโขนง ผลการตรวจพบของกลางดังกล่าว จึงได้นำตัวส่งพนักงานสอบ สน.บางนา ดำเนินคดีตามกฎหมาย
5.4 วันที่ 13 พ.ค.65 เวลา 10.00 น. ได้ทำการจับกุมนายธีระพงศ์ อายุ ๓๖ ปี โดยกล่าวหาว่า  
“มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต”
พร้อมด้วยของกลาง
1. อาวุธปืนพกสั้นกึ่งอัตโนมัติ ( ปืนแปลง ) จำนวน 1 กระบอก
2. แม็กกาซีน จำนวน 1 อัน
3. เครื่องกระสุนปืนขนาด ๙ มม.   จำนวน 4 นัด
4. ซองปืนสีดำ จำนวน 1 ซอง
เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้สืบสวนทราบว่า นายธีระพงศ์ฯ มีอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้ใน
ความครอบครอง ซึ่งซุกซ่อนอยู่ภายในบริเวณตึกพรอนงค์แมนชั่น ตึกบี ห้อง 245 ถ.อุดมสุข ๖๐ แยก ๑ แขวงหนองบอน
เขตประเวศ กทม. ขอหมายค้นบ้านหลังดังกล่าวต่อศาลอาญาพระโขนง ผลการตรวจพบของกลางดังกล่าว
จึงได้นำตัวส่งพนักงานสอบ สน.บางนา ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

คดีที่ 6 จับกุมอาวุธปืนภายในโรงเรียนย่านสัมพันธวงศ์ สน.พลับพลาไชย 2 บก.น.6
วันที่ 12 พ.ค.65 เวลา 17.00 น. เจ้าพนักงานตำรวจได้สืบทราบและรับแจ้งจากสายลับ
(ขอปิดนาม) แจ้งว่าที่บริเวณลานจอดรถภายในโรงเรียนย่านสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร
มีชายวัยกลางคน อายุประมาณ 50-60 ปี รูปร่างสูงใหญ่ ล่ำสัน สีผิวดำ แดง ทรงผมรองทรง การแต่งกายลักษณะคล้ายทหาร เดินถืออาวุธปืนยาวห่อหุ้มด้วยผ้าขาวม้า เดินไปมา อยู่ในลานจอดรถของโรงเรียนย่านสัมพันธวงศ์ แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร เมื่อทราบดังนั้น เจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมจึงได้รายงานผู้บังคับบัญชาและร่วมกันวางแผนตรวจสอบจับกุม จากนั้น เจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมจึงได้เดินทางไปตรวจสอบบริเวณดังกล่าว เมื่อเดินทางไปถึงพบชายอายุประมาณ 50-60 ปี ตรงกับตำหนิรูปพรรณที่สายลับแจ้ง เดินถืออาวุธปืนยาว โดยมีผ้าขาวม้า ห่อหุ้มอยู่บริเวณดังกล่าว เจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมจึงได้แสดงตัว ซึ่งก่อนการค้นเจ้าพนักงานตำรวจทุกนายได้แสดงความบริสุทธิ์ใจ
ให้ผู้ต้องหาดูจนเป็นที่พอใจแล้ว จึงขอทำการตรวจค้น
ผลการตรวจค้นพบ
  1.อาวุธปืนลูกซองยาว ขนาดเบอร์ 12 แบบเซมิออโตเมติก ยี่ห้อ HUGLU หมายเลขปืน
กท.6554098 จำนวน 1 กระบอก (ผู้ต้องหาถืออยู่ในมือขณะจับกุม)
2. ซองกระสุนแบบ 2 นัด จำนวน 1 ซอง
3. กระสุนลูกซองขนาดเบอร์ 12 จำนวน 2 นัด
4. ผ้าขาวม้าลายหมากรุก จำนวน 1 ผืน
5. กระเป๋าสะพายแบบผ้า สีส้ม จำนวน 1 ใบ
6. สำเนาใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืนส่วนบุคคล (ใบ ป.)3 เลขที่ 48/2565 
จำนวน 1 ใบ เจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุม จึงได้ตรวจยึดของกลางไว้ และได้แจ้งให้ผู้ถูกจับกุมทราบว่าได้กระทำความผิดฐาน “ มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต , พกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว และ โดยไม่มีเหตุอันสมควร ” ในชั้นจับกุม
ผู้ถูกจับกุมให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และให้การว่าตนพักอาศัยอยู่ที่วัดย่านสัมพันธวงศ์ โดยอาวุธปืนลูกซองยาวกระบอกดังกล่าว ตนได้ซื้อมาจากร้านขายปืนย่านวังบูรพา เมื่อประมาณเดือนเมษายน  โดยตนได้ทำเรื่องขอใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนส่วนบุคคล (ใบ ป.3) แต่ยังไม่มีใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุน (ใบ ป.4) จากนั้น จึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมด้วยของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สน.พลับพลาไชย 2 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

คดีที่ 7 จับกุมผู้ต้องหาร่วมกันก่อเหตุปล้นทรัพย์เสื้อรุ่นสถาบันแล้วหลบหนีไปพื้นที่ สน.บางบอน
วันที่ 13 พ.ค.65 เวลาประมาณ 13.30 น. ชุดสืบสวน สน.บางบอน ได้ทำการสืบสวนติดตาม จับกุมตัวผู้ก่อเหตุเป็นเยาวชนอายุระหว่าง 16 – 17 ปี มาได้ 3 ราย
พร้อมด้วยของกลาง 
1. ปืนประดิษฐ์เอง แบบปากกา มีด้ามปืน ไม่ทราบขนาด จำนวน 1 กระบอก
2. เสื้อยืดแขนสั้นสีขาว จั๊มคอ แขน สีแดง หมายเลข รุ่น 87 วิทยาลัยราชสิทธาราม จำนวน 2 ตัว
3. เสื้อเชิ้ตสีขาว แขนสั้น จำนวน 1 ตัว
4. รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่น wave 125i  สีดำ แดง
5. รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่น PCX สีดำ แดง
โดยกล่าวหาว่า ปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 12 พ.ค.65 เวลาประมาณ 17.00 น. ผู้เสียหาย จำนวน 2 ราย คือ นายจารุวัฒน์ฯ อายุ 19 ปี และนายณัฐธีร์ฯ อายุ 16 ปี ทั้งสองเป็นนักศึกษาวิทยาลัยย่านบางบอน ได้มาแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน
สน.บางบอน ว่าได้ขับขี่รถจักรยานยนต์มาตามถนนเอกชัยขาเข้า ขณะจอดที่จุดเกิด
เหตุเพื่อรอกลับรถ ได้ถูกผู้ต้องหาทั้งสามซึ่งเป็นนักศึกษาวิทยาลัยย่านธนบุรี ขับขี่รถจักรยานยนต์ ตามมาประกบและได้ทำร้ายร่างกาย โดยได้ใช้อาวุธปืนบังคับข่มขู่ให้ถอดเสื้อรุ่นสถาบัน แล้วหลบหนีไป
                   ต่อมาวันที่ 13 พ.ค.65 เวลาประมาณ 13.30 น. ชุดสืบสวน สน.บางบอน ได้ทำการสืบสวนติดตามนำตัว
ผู้ก่อเหตุมาได้พร้อมของกลาง เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งสามรายรับสารภาพ จึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่ง สน.บางบอน
เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย 

คดีที่ 8 ทลายแหล่งผลิตอาวุธปืนจำหน่ายออนไลน์ แม่สุดใจ บก.สปพ.
วันที่ 12 พ.ค.65 เวลา 10.00 น. ได้ทำการจับกุม นายพศิน (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 49 ปี บริเวณห้องชั้น 3 ภายในบ้านเลขที่ 1/214 หมู่ 8 ต.กระทุ่มล้ม อ.สามพราน จ.นครปฐม ต่อเนื่องร้าน Flash Express สาขา KRL_SP กระทุ่มล้ม ต.กระทุ่มล้ม อ.สามพราน จ.นครปฐม
พร้อมด้วยของกลาง จำนวน 19 รายการ ดังนี้
1. แท่นเจาะ จำนวน 1 เครื่อง
2. ปากกาจับ จำนวน 1 ตัว
3. เครื่องเจียร จำนวน 1 ตัว
4. สว่าน จำนวน 1 ตัว
5. เลื่อย จำนวน 1 อัน
6. ค้อน จำนวน 1 อัน
7. แผ่นขยายแม็กกาซีน จำนวน 3 อัน
8. ดอกเจียร จำนวน 10 อัน
9. ดอกขยาย จำนวน 4 อัน
10. ป้าย QR code และป้าย ID LINE จำนวน 3 แผ่น
11. ชิ้นส่วนปืนแบลงค์กันสีดำ จำนวน 1 ชุด (11 ชิ้น)
12. ชิ้นส่วนปืนแบลงค์กันสีเงิน จำนวน 1 ชุด (8 ชิ้น)
13. ลำกล้องอาวุธปืน ดัดแปลงแล้ว (บรรจุอยู่ในกระป๋องนม) จำนวน 14 อัน
14. ปืนยี่ห้อ colt ขนาด .22 ทะเบียน น.ว.2/4633 พร้อมซองกระสุน จำนวน 1 กระบอก
15. กระสุนปืนขนาด .380 จำนวน 82 นัด
16. กระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 49 นัด
17. กระสุนปืนขนาด .22 magnum จำนวน 2 นัด
18.โทรศัพท์มือถือยี่ห้อวีโว่ รุ่น Y50 จำนวน 1 เครื่อง
19.อาวุธปืน(ไทยประดิษฐ์)ยี่ห้อZoraki 2914 ขนาด .380 พร้อมซองกระสุน จำนวน 1 กระบอก
โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า “ผลิตอาวุธปืน (ไทยประดิษฐ์) เพื่อการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต (พรบ.อาวุธปืนฯ มาตรา 24) และมีอาวุธปืน,ส่วนควบอาวุธปืน(ลำกล้องอาวุธปืนดัดแปลง) และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต”
ก่อนการจับกุมในคดีนี้ เมื่อวันที่ 23 มี.ค.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจงานสายตรวจ 3 กก.สายตรวจ
ได้ทำการจับกุมนายจตุพล (สงวนนามสกุล) และนายกกฤษฎา (สงวนนามสกุล) ในข้อหา “ร่วมกันผลิตอาวุธปืน
(ไทยประดิษฐ์) เพื่อการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต (พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา ๒๔)” เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนขยายผลจนทราบว่า ช่อง Youtube ชื่อว่า “แม่สุดใจ” เป็นช่องที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการดัดแปลงอาวุปืน โดยประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงและศึกษาทำตามได้โดยง่าย ซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่อาจทำให้เกิดภยันตรายสังคม เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เร่งรัดสืบสวนต่อไปจนทราบต่อมาว่า ผู้เผยแพร่ช่อง  Youtube “แม่สุดใจ” พักอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 1/214 หมู่ 8 ต.กระทุ่มล้ม อ.สามพราน
จ.นครปฐม จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และรวบรวมพยานหลักฐานยื่นคำร้องขอหมายค้นต่อศาลจังหวัดนครปฐม และศาลจังหวัดนครปฐม ได้อนุมัติหมายค้นให้เข้าค้นที่บ้านพักดังกล่าว
ในวันที่ 12 พ.ค.๖๕ เวลาประมาณ 10.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เดินทางไปยังบ้านเลขที่ 1/214 หมู่ 8
ต.กระทุ่มล้ม อ.สามพราน จ.นครปฐม เพื่อเข้าตรวจค้นตามหมายค้นของศาลจังหวัดนครปฐม เมื่อไปถึงพบนายพศิน (สงวนนามสกุล) อยู่ภายในบ้านสถานที่จะทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบของกลางรายการที่ 1 – 18 อยู่บริเวณห้องชั้น 3 ของบ้านที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการตรวจยึดของกลางตามรายการดังกล่าวข้างต้น นายพศิน ผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพว่าเมื่อวันที่ 11 พ.ค.65 เวลาประมาณ 17.05 น. ตนได้นำอาวุธปืนแบลงค์กันที่ตนได้ตัดแปลง/ซ่อมแซมแล้ว จำนวน 1 กระบอก (ของกลางรายการที่ 19) ไปจัดส่งให้แก่ลูกค้าที่ Flash express สาขา KRL_SP กระทุ่มล้ม โดยมีหมายเลขพัสดุคือ TH30012TT1PU9P จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ไปตรวจยึดของกลางรายการดังกล่าวที่ Flash express สาขา KRL_SP กระทุ่มล้ม มาตรวจสอบพบว่าเป็นอาวุธปืนแบลงค์กันดัดแปลงจริง จากนั้นนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สภ.โพธิ์แก้ว เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

คดีที่ 9 ศปจร.น. ทำการตรวจค้นและตรวจยึด แหล่งผลิตป้ายทะเบียนรถยนต์ที่ไม่ได้รับอนุญาตจากรมการขนส่งทางบก (ป้ายทะเบียนปลอม) จำนวนกว่า 500 รายการ
เมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปจร.น. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ท่าข้าม ทำการตรวจยึดรถยนต์ยี่ห้อ Porsche รุ่น 718 Boxster สีเทา ติดแผ่นป้ายทะเบียนแดง ล-7017 กรุงเทพมหานคร (ป้ายแดงปลอม)
ซึ่งทะเบียนที่แท้จริงของรถยนต์คันดังกล่าว คือ หมายเลขทะเบียน ฆพ 646 กรุงเทพมหานคร เป็นรถยนต์ที่ได้มีการแจ้งหายไว้ ในคดี “ร่วมกันลักทรัพย์ผู้อื่นโดยใช้กลอุบาย” ของ สน.ท่าข้าม จึงได้ทำการสืบสวนขยายผลหาแหล่งผลิตและช่องทางการซื้อขายเอกสารประกอบรถยนต์ปลอม
ต่อมาในวันที่ 17 พ.ค. 2565 เจ้าหน้าที่ ศปจร.น. พบมีการขายป้ายทะเบียน (ป้ายแดง) พร้อมสมุดคู่มือประจำรถใช้กับเครื่องหมายพิเศษ (สมุดคุมป้ายแดง) ผ่านช่องทางออนไลน์ จึงได้ทำการล่อซื้อเอกสารดังกล่าวจาก
นายปัญญาฯ (ทราบชื่อภายหลัง) สามารถตรวจยึดแผ่นป้ายทะเบียน (ป้ายแดง), สมุดคุมป้ายแดง และอุปกรณ์จำนวน 38 รายการ นำส่งพนักงานสอบสวน สน.บางชัน รายละเอียดของกลางดังนี้
1. ชุดแผ่นป้ายทะเบียน (ป้ายแดง) พร้อมสมุดคู่มือ จำนวน 32 ชุด (1 ชุด ประกอบด้วย แผ่นป้ายทะเบียน
2 แผ่น พร้อมสมุดคู่มือ 1 เล่ม) รวมแผ่นป้ายทะเบียน 64 แผ่น สมุดคู่มือ 32 เล่ม
2. สมุดคู่มือประจำรถ หมายเลข ท1765 กทม. จำนวน 1 เล่ม
3. สมุดคู่มือประจำรถยังไม่ระบุหมายเลข 1 รายการ จำนวน 20 เล่ม
4. ตราปั๊มตัวอักษร ขส สำหรับปั๊มนูนแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 1 ชุด
5. เครื่องปั๊มตัวเลขอารบิกสำหรับปั๊มสมุดคู่มือ จำนวน 1 ชิ้น
6. ตลับหมึกสำหรับตรายางสีดำ จำนวน 1 ตลับ
7. ตลับหมึกสำหรับตรายางสีม่วง จำนวน 1 ตลับ
รวมแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 64 แผ่น สมุดคู่มือ 53 เล่ม อุปกรณ์อื่นๆ 4 รายการ
จากนั้นได้ทำการสืบสวนขยายผลถึงนายสรพงษ์ฯ (ทราบชื่อภายหลัง) พบว่าเป็นผู้นำสมุดคุมป้ายแดงมาส่งให้กับนายปัญญาฯ จึงได้ทำการล่อซื้อสมุดคุมป้ายแดงจากนายสรพงษ์ฯ สามารถตรวจยึดของกลางเป็นสมุดคุมป้ายแดง
จำนวน 54 เล่ม นำส่งพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน
หลังจากนั้น ในวันที่ 19 พ.ค.2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปจร.น.สืบสวนขยายผลพบแหล่งผลิต
แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ปลอม อยู่ที่ร้าน ศ.ศิลป์ ตั้งอยู่เลขที่ 36/56 ถ.กาญจนาภิเษก ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง
จว.นนทบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปจร.น. จึงได้ขออนุมัติหมายศาลจังหวัดนนทบุรี ทำการเข้าค้นแหล่งผลิตดังกล่าว และได้ตรวจยึดของกลางจำนวน 421 ชิ้น รายละเอียดดังนี้
1. แผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ไม่ได้ผลิตจากกรมการขนส่งทางบกจำนวน 113 แผ่น
2. แผ่นอลูมิเนียมเตรียมไว้สำหรับผลิตแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์จำนวน 116 แผ่น
3. เครื่องปั๊มคอม้าใช้สำหรับขึ้นตัวอักษรในการผลิตแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ จำนวน
1 เครื่อง
4. อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น แม่พิมพ์อักษร, แม่พิมตัวเลข, แม่พิมจังหวัด ฯลฯ ซึ่งใช้ผลิตแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์อีกจำนวน 191 ชิ้น


คดีที่ 10 บก.สส.บช.น. ได้ทำการสืบสวนติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดกฎหมาย ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อให้การระดมป้องกันปราบปรามอาชญากรรม สัมฤทธิ์ผล ตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย โดยมี
ผลการจับกุมผู้ต้องหา จำนวน ทั้งสิ้น 29 ราย รวม 35 หมายจับ แบ่งเป็นคดีสำคัญและคดีที่น่าสนใจ ดังนี้
1.1 คดีเกี่ยวกับ พรบ.อาวุธปืน ฯ จำนวน 7 คน
1.2 คดีเกี่ยวกับ พรบ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ จำนวน 2 คน
1.3 คดีเกี่ยวกับ การฉ้อโกงประชาชน และ พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ
จำนวน 12 คน
1.4. คดีเกี่ยวกับ การกระทำความผิดอาญาอื่น จำนวน 8 คน
คดีที่ 11 วันที่ ๒๐ พ.ค. ๖๕ เวลาประมาณ ๑๗.๔๐ น. ได้ทำการจับกุมนายเสรี อายุ ๒๒ ปี ในความผิดฐานกระทำผิดฐาน“ทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส”                                                                        พร้อมด้วยของกลางคือ 
1. มีด ยาวประมาณ ๒๘ ซม. (รวมด้าม) จำนวน ๑ เล่ม 
1. กางเกงยีนส์ขาสั้น จำนวน ๑ ตัว
สืบเนื่องจาก วันที่ ๒๐ พ.ค.๖๕ เวลาประมาณ ๑๐.๕๐ น. ได้รับแจ้งว่า มีคนร้ายจำนวน ๑ คน
ใช้อาวุธมีดแทงเข้าที่บริเวณลำตัวของ นายณัฐพลฯ หรือนายบอส  ได้รับบาดเจ็บแล้วหลบหนีไป ผู้บาดเจ็บรักษาตัวที่โรงพยาบาลหัวเฉียว เหตุเกิดที่บริเวณทางเท้าหน้าร้านมาวินกลการ จำกัด ถนนหลวง แขวงบ้านบาตร
เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ จึงได้ประกอบกำลังกันออกไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ ภายหลังเกิดเหตุโดยทันที จนทราบว่าผู้ก่อเหตุคือ นายเสรี และยอมรับว่าตนเป็นผู้พึ่งก่อเหตุทำร้ายร่างกายโดยใช้อาวุธมีดแทงทำร้ายนายณัฐพลฯ จริง จึงแจ้งให้ผู้ถูกจับกุมทราบว่าต้องถูกจับกุม แจ้งข้อกล่าวหาพร้อมสิทธิ์ให้ทราบ แล้วนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.สำราญราษฎร์ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป



คดีที่ 12 เมื่อวันที่ 18 พ.ค. 65 เวลาประมาณ 07.00 น.  ได้มีเด็กนักเรียนโรงเรียนมัธยมย่าน
ปทุมวันถูกชายไทยไม่ทราบชื่อ 2 คน ข่มขู่กรรโชกทรัพย์ ระหว่างทางเดินไปโรงเรียน เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน
สน.ปทุมวัน จึงได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ทราบชื่อภายหลังคือ นายธนกฤต
สงวนนามสกุล อายุ 34 ปี เป็นผู้ขับขี่รถ จยย. ยี่ห้อ YAMAHA MIO GTX 125 i สีดำแดง โดยมี นายนันทศักดิ์ สงวนนามสกุล อายุ 22 ปี เป็นผู้ซ้อนท้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ปทุมวัน ได้ติดตามจากเส้นทางการหลบหนี
ของคนร้ายจนสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้ง 2 ราย และนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป จึงอยากประชาสัมพันธ์ถึงพี่น้องประชาชนว่าในช่วงนี้เป็นช่วงที่สถานศึกษาทั่วประเทศเปิดภาคเรียนพร้อมกัน อาจมีผู้ไม่หวังดีเข้ามาฉวยโอกาสก่อเหตุบริเวณรอบสถานศึกษาได้ ซึ่งทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เพิ่มกำลังสำหรับรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนในบริเวณรอบสถานศึกษามากขึ้น
คดีที่ 13 เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 65 เวลาประมาณ 02.50 น. ได้มีคนร้าย จำนวน 4 คน ได้มาก่อเหตุลักทรัพย์ ซึ่งผู้เสียหายได้ตรวจพบพอดีจึงเกิดเหตุทำร้ายผู้เสียหาย จากนั้นกลุ่มคนร้ายได้หลบหนีไปและวนกลับมาอีกครั้ง จำนวน 7 คน กลุ่มคนร้ายก่อเหตุพังร้านค้าของผู้เสียหายโดยใช้อาวุธปืนข่มขู่  ทรัพย์ที่ถูกประทุษร้าย เป็นสินค้ากิ๊ฟช็อป
ความเสียหาย  ทั้งหมดประมาณ40,000บาทโดยฝ่ายสืบสวนสน.จักรวรรดิได้จับกุมตัวผู้ต้องหาที่ก่อเหตุแล้วจำนวน
2ร ายดังนี้
1. นายโน้ต  สงวนนามสกุล  (จับกุมแล้ว)
2. น.ส.จริยา  สงวนนามสกุล (จับกุมแล้ว)
3. นายกรณ์  สงวนนามสกุล (ออกหมายจับแล้ว)
4. หญิงไม่ทราบชื่อ ชื่อเล่นบี (ออกหมายจับแล้ว)
5. นายรังสรรค์  สงวนนามสกุล 
6. นายนริศ  สงวนนามสกุล
7. ชาย ไม่ทราบชื่อ
ทั้งนี้ฝ่ายสืบสวน สน.จักรวรรดิ ดำเนินการเร่งรัดติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี จำนวน 
5 ราย เพื่อมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร., พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ 
นวลมา  ผบช.น. ได้เน้นย้ำเพื่อให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนว่า จะมุ่งเน้น การป้องกันอาชญากรรม ให้กับ
พี่น้องประชาชน และเมื่อเกิดเหตุแล้วจะเร่งทำการ สืบสวน ติดตามจับกุม คนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็วทุกคดีและจะดำเนินการกวาดล้างอาชญากรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครมีความปลอดภัยมากที่สุด
บช.น. ขอเรียนพี่น้องประชาชนว่า ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19
แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและยาเสพติดอย่างเคร่งครัด พบเห็นหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิด โปรดแจ้งสายด่วน ๑๙๑ หรือสถานีตำรวจท้องที่

บช.น. ขอเรียนพี่น้องประชาชนว่า ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19
แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและยาเสพติดอย่างเคร่งครัด พบเห็นหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิด โปรดแจ้งสายด่วน ๑๙๑ หรือสถานีตำรวจท้องที่

สองสาวเพื่อนซี้เปิดร้านขายขนมพิมพ์รังผึ้งสูตรโบราณ หรือที่ทางภาคใต้เรียกสั้นๆว่า ขนมพิมพ์ ที่นับวันจะหากินยากในเมืองสงขลา โดยได้รับการถ่ายทอดสูตรมาจากพี่สาวที่ขายขนมพิมพ์อยู่ที่ทะเลน้อยจังหวัดพัทลุง


วันนี้ 21 พฤษภาคม 2565 ที่บริเวณปากทางเข้าตลาดทรัพย์สินพลาซ่า ริมถนนหน้าที่ทำการไปรษณีย์สงขลา เขตเทศบาลนครสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา นางภัสวดี (พี่ติ๋ม) ทองมา อายุ 47 ปี และนางสมการี (พี่กระแต) เถรว่อง อายุ 52 ปี สอง เพื่อนซี้ได้มาเปิดร้านขายขนมพิมพ์รังผึ้งหรือที่ทางภาคใต้เรียกสั้นๆว่าขนมพิมพ์ซึ่งเป็นสูตรโบราณที่หากินได้ยาก ในเมืองสงขลา ขนมพิมพ์โบราณที่มีหน้าตาคล้ายวาฟเฟิลสไตล์ไทย ของพี่จิ๋มและพี่กระแตได้รับการยอมรับจากลูกค้าที่ทยอยกันเดินทางเข้ามาซื้อขนมพิมพ์สูตรโบราณกลับไปกินที่บ้านอย่างต่อเนื่องรวมทั้งแม่ค้าที่ขายของอยู่ในตลาดไม่สามารถออกมาซื้อได้ ก็โทรศัพท์สั่งเข้ามาให้นำขนมพิมพ์เข้าไปส่งในตลาดอยู่ตลอดเวลา บางครั้งทำแทบไม่ทัน ทั้งๆที่ในแต่ละแผ่นที่ทำ ใช้เวลาขนมสุกเพียง 20 วินาทีต่อ 1 แผ่นเท่านั้น
“ขนมพิมพ์รังผึ้ง” เมนูของหวานโบราณ ที่มีหน้าตาคล้ายวาฟเฟิลสไตล์ไทย แต่จะแตกต่างกันตรงสูตรของขนม “ขนมพิมพ์รังผึ้ง” สูตรโบราณดั้งเดิมจะไม่มีไส้ในตัวแป้ง แต่ปัจจุบันมีการดัดแปลงสูตร ให้มีความหลากหลาย น่าสนใจ และน่ากินยิ่งขึ้น โดยการเพิ่มไส้พวกข้าวโพด เผือก ฝอยทอง ลูกเกด ลงไปและสามารถเติมสีสันให้กับตัวแป้งได้ เช่น โกโก้ ใบเตย สำหรับขนมพิมพ์รังผึ้งสูตรโบราณดั้งเดิมจะไม่มีไส้ เป็นแป้งเปล่าที่เนื้อแป้งนุ่ม เย็นแล้วก็ยังนุ่มเหมือนเดิม
โดยได้สูตรมาจากพี่สาวคิดสูตรเองผสมเอง เป็นคนผสมสูตรให้ ปกติพี่สาวทำขนมพิมพ์ขายอยู่ที่ทะเลน้อยจังหวัดพัทลุง ขายมานานหลายปีแล้ว พี่สาวเป็นคนผสมแป้งและช่วยออกความคิดให้ โดยใช้แป้งสาลี ไข่ มะพร้าวอ่อน เป็นวัตถุดิบหลักในช่วงนี้ขาย 3 แผ่น 20 บาท
นางภัสวดี (พี่ติ๋ม) กล่าวว่า ทำขนมพิมพ์มา 2-3 ปีแล้ว ได้สูตรจากพี่สาวโดยพี่สาวเป็นคนผสมสูตรให้ ปกติพี่สาวทำขนมพิมพ์ขายอยู่ที่ทะเลน้อยจังหวัดพัทลุง ขายมานานหลายปีแล้ว พี่สาวเป็นคนผสมแป้งและช่วยออกความคิดให้ คิดสูตรเองผสมเอง โดยใช้แป้งสาลี มีไข่ มะพร้าวอ่อน ฟักทองหรือจะใส่ใบเตยก็แล้วแต่ในช่วงนี้ขาย 3 แผ่น 20 บาท ลูกค้าเยอะ ส่วนมากลูกค้าจะติดใจที่ทำคงที่คงเดิมทั้งความอร่อยก็เหมือนเดิม ไม่ได้ลดปริมาณอะไรลงเลยและก็ยังคงใช้ปริมาณเท่าเดิม ช่วงนี้ของแพง วัตถุดิบที่ทำก็มีราคาแพงขึ้น แต่ก็ยังขายราคาเหมือนเดิมคือ 3 แผ่น 20 บาท

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

” การทำบุญไม่จำเป็นว่าต้องมีมูลค่ามากมายอะไร ความดีของท่านไม่ได้อยู่ที่วัตถุ แต่อยู่ที่จิตใจ; ชีวิตนี้ไม่มีใครที่ได้สมปรารถนาในทุกเรื่อง “

รายการคืนคุณให้แผ่นดิน สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก

ศิริพร จงศิริ ผู้อำนวยการใหญ่ผลิตรายการคืนคุณให้แผ่นดิน สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก เดินทางมาจากกรุงเทพมหานครเพื่อมาทำบุญปิดทององค์พระประธานพระเจ้าเก้าตื้อ พระคู่บ้านคู่เมือง อายุ 518 ปี เป็นพระประธานในพระอุโบสถ วัดสวนดอก หรือวัดบุบผาราม ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ วัดสำคัญของนครเชียงใหม่ พระเจ้าเก้าตื้อเป็นพระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย ที่สวยงามองค์หนึ่งของล้านนาปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในอุโบสถวัดพระเจ้าเก้าตื้อ ศิริพร จงศิริ ผู้อำนวยการใหญ่ผลิตรายการคืนคุณให้แผ่นดิน,ในนามรายการคืนคุณให้แผ่นดินและเป็นตัวแทนท่านผู้ใหญ่ใจดีปิดทองหลังองค์พระปฎิมาได้มอบเงินทำบุญปิดทององค์พระประธานพระเจ้าเก้าตื้อ พระครูสมุห์โกเมนทร์ คุณวีโร วัดสวนดอกพระอารามหลวง ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
รับอนุโมทนาบุญครั้งนี้ด้วย สาธุ สาธุ สาธุ

CR: รายการคืนคุณให้แผ่นดิน สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก

“ออกแบบการเรียนรู้ เรียกคืนหน่วยความจำ อับเดตคุณภาพการศึกษา”ที่ โรงเรียนบ้านโคกเมา หมู่ที่ 7 บ้านโคกเมา ตำบลท่าช้าง อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา


นายอาจินต์ สุขศรีสังข์ ผอ.รร.กล่าวถึงพลังใจแห่งความเป็นครู และการพัฒนาที่ได้รับจาก
นายอุทัย กาญจนะ ผอ.สพป.สงขลา เขต 2 ลงพื้นที่ ให้กำลังแก่ ครู นักเรียนในการบริหารการจัดการศึกษา และพร้อมนำจุดเน้นของนายอุทัย กาญจนะ ผอ.เขตฯ ขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ให้มีมาตรฐาน สานฝันสู่ความเป็นเลิศ
ตามดูการออกแบบบรรยากาศสถานศึกษาหลากหลาย รูปแบบ มีการจัดผ่อนคลายบางมุมเหมือนรีสอร์ท บางมุมคลายทุกข์สุขใจ บางพื้นที่ลานวิ่งเล่นพัฒนาการ บางมุมสนามออกเหงื่อเรียนรู้ ส่วนชั้นเรียน สะอาด สบาย
โรงเรียนเป็นบ้าน น่าอยู่ น่าเรียน สีสัน ออกลาย รูปทรงเลขาคณิต ร่มรื่น จะนั่ง จะพัก
แวะมาดูครูเป็นแม่ครู พ่อครู อุ้ม หอบ กระเตง นักเรียนเข้าใหม่ แต่ครูหาทิ้งลูกศิษย์น้อยเลยบรรยากาศอบอุ่นเยี่ยงบ้าน ที่มีความสวยงามพร้อมเป็นแหล่งเรียนรู้ให้นักเรียนได้เรียนรู้ ทักษะวิชาการ (เก่ง ดี)ทักษะอาชีพ ทักษะชีวิตที่สามารถ นำความรู้ไปพัฒนา ใช้ในชีวิต
โดยมีนายอาจินต์ แม่ทัพ พร้อมจัดทัพ ครูออกแบบส่งต่อวิธีการสู่นักเรียนเรียนรู้ที่ครูตั้งใจการเรียนรู้ ที่เกิดกับผู้เรียน สอดรับ นโยบายและที่สำคัญกับจุดเน้นของ นายอุทัย กาญจนะ ผอ.เขตฯเริ่มปรับพื้นฐานความเป็นมิตร ครูกับนักเรียน
ปรับพื้นฐานการเรียนรู้ทบทวนเรียกคืนความทรงจำ เพื่อลดภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ ท่ามกลางการเรียนรู้ที่ รร.มีความสุขและปลอดภัย
ซึ่งในห้วงเวลาออกแบบการเรียกคืนความทรงจำ คัดกรองนักเรียนและปรับปรุงการเรียนรู้ ให้เท่าทันเท่าเทียม และระยะออกแบบการเรียนรู้แบบยกเครื่องแก่นักเรียนทุกคน ได้เรียนรู้ให้เกิดความรู้ มีทักษะ มีอาชีพ เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา สู่จุดเน้น สพป.สงขลา เขต 2 ที่สำคัญจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต นั่นหมายความว่า โรงเรียนแห่งนี้ ออกแบบการเรียนรู้แก่ผู้เรียนเกิดทักษะอย่างครอบคลุม ตอบโจทย์ผู้เรียน ผู้ปกครองและสังคมต่อไป

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

รายการคืนคุณให้แผ่นดิน สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก

คลิปความยาว 30 นาที

” โครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงและฟาร์มตัวอย่างอันเนื่องมาจากพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ณ บ้านจาเราะปูโงะ ต.เบตง อ.เบตง จ.ยะลา”

โครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงและฟาร์มตัวอย่าง อันเนื่องมาจากพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ บ้านจาเราะปูโงะ ตำบลเบตง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา
สภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นพื้นที่ลาดชัน แนวเทือกเขาสันกาลาคีรี ลักษณะดินเป็นดินลูกรัง มีแหล่งน้ำเป็นน้ำซับกั้นฝายดิน หน้าฝายดาดคอนกรีต ที่ตั้งห่างจากเขตเทศบาลเมืองเบตง 12 กิโลเมตร ติดชายแดนไทย -มาเลเซีย

โครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงและฟาร์มตัวอย่าง อันเนื่องมาจากพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เพื่อเป็นแหล่งจ้างงาน ช่วยเหลือราษฎรให้มีงานทำ มีรายได้พอเลี้ยงชีพ เพื่อเป็นแหล่งผลิตอาหารให้แก่ท้องถิ่นยามปกติและในยามฉุกเฉิน เพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้ให้แก่ราษฎร เกี่ยวกับการทำเกษตร ปศุสัตว์ และประมง สุดท้ายเพื่อให้ราษฎรได้รวมกลุ่มกันด้วยความรัก ความสามัคคีในการประกอบอาชีพและมีมาตรการระวังป้องกันตนเองจากภัยคุกคามของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ

อย่าพลาดติดตามชมรายการคืนคุณให้แผ่นดิน วันศุกร์ที่ 20 พ.ค. 2565 เวลา 23.00 น. – 23.30 น. สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก
อภิคม แก้วละเอียด พิธีกรภาคสนามรายการคืนคุณให้แผ่นดิน

CR: ศิริพร จงศิริ ผู้อำนวยการใหญ่ผลิตรายการคืนคุณให้แผ่นดิน สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก

เอ อนุชา เด้าฟ้าฟื้น สู่ผู้พิทักษ์ความม่วนจาก เด้าฟ้าฟื้น สู่ผู้พิทักษ์ความม่วนและดับเบิ้ลความสนุกคูณสอง นาม “ Super A”

จาก เอ อนุชา เด็ก บ้านๆหันมาจับไมค์ กลายมาเป็นเอ อนุชาเด้าฟ้าฟื้นล่าสุด สู่ผู้พิทักษ์ความม่วนและดับบิ้ลความสนุกคูณสอง นาม “ Super A” แน่นอนคำว่า Super A จะไม่มีอะไรธรรมดาๆอย่างแน่นอน การสร้างบทเพลงครั้งนี้ไม่เหมือก่อนแต่แรก เปลี่ยนการแต่งกาย ท่าเต้น รวมถึงลีลาต่างๆ ที่เอ อนุชา Super A
ลีลาการทำงานกับซิงเกิ้ลชุดนี้ เล่นเอาเหนื่อยกันไปตามๆ กัน เรียกได้ว่าเป็นเอ Super A เรียกเสียงในการแต่งการ ในการเด้าฟ้าฟื้นทำเอาแฟนคลับลอกเรียนตาม Super Aไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย การร้อง ท่าเต้น แม้กระทั้งชุดที่มีจุดเส่นห์ เรียกร้องให้แฟนเพลงได้ชมชันกันอย่างจริงจัง พร้อมท่าเต้น อยากให้ติดตาม เออนุชา Sper A เรียกได้ว่า แน่นอนที่สุด เห็นอดที่จะส่งเสริมความเป็นกันเองของ เอ อนุชา หรือ เอ Sper Aสู่ผู้พิทักษ์ความม่วนและดับเบิ้ลความสนุกคูณสอง นาม “ Super A” แน่นอนคำว่า Super Aคือสัญญาลักษณ์ของเอ อนุขา
ขอบพระคุณในการพิจารณาข่าว
ป้าปุ้ย (เฉพาะกิจ)

รมว.สุชาติ ร่วมงานเสวนา “Better Thailand Open Dialogue “ถามมา – ตอบไป เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่าเดิม”

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดงานเสวนา “Better Thailand Open Dialogue ถามมา–ตอบไป เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่าเดิม” โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมเสวนาและกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “อดีตปัจจุบัน และอนาคต ประเทศไทยที่ดีกว่าเดิม” ซึ่งในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงวิสัยทัศน์ข้อเสนอแนะ และทิศทางการปรับตัวรับมือเพื่อวางรากฐานรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆในอนาคตให้สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะต่อไป
สำหรับงานเสวนา “ถามมา – ตอบไป เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่าเดิม” นี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 – 20 พฤษภาคม 2565 ณ รอยัล พารากอน ฮอล์ สยามพารากอน ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับสมาคมนิสิตเก่าวิศวกรรมศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมาคมนิสิตเก่าคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสมาคมนิสิตเก่าเศรษฐศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมแบ่งปันประสบการณ์ และการดำเนินงานที่ผ่านมาในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยภายใต้วิกฤตการณ์ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 เวลา 15.00 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จะร่วมเวทีเสวนาในหัวข้อ“คุณภาพชีวิตยุคใหม่ ลดความเหลื่อมลํ้า ให้โอกาสทุกคน” กับรัฐมนตรีที่มีส่วนสำคัญในการทำงานเพื่อประเทศและประชาชนไทย นอกจากนี้ ภายในงานจะมีการเสวนาในหัวข้อสำคัญ ได้แก่ “มองเศรษฐกิจโลก สะท้อนเศรษฐกิจไทย” “ประเทศไทยก้าวต่อไปอย่างไร ในประเด็นการดำเนินการในภาคการผลิตและบริการ การปรับตัวรองรับวิกฤตที่เกิดขึ้นและการวางรากฐานการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาพื้นที่ และการวางรากฐานการพัฒนาในอนาคต“

“รัฐมนตรีเฉลิมชัย”รุกหนักเร่งดันพังงาเป็น”ครัวของอันดามัน”(Kitchen of Andaman)

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ สถานการณ์และผลการดำเนินงานภายใต้ พรบ.พระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทยในจังหวัดพังงา การพัฒนาแหล่งน้ำ และการดำเนินงานด้านประมงจังหวัดพังงา พร้อมพบปะและรับฟังปัญหาเกษตรกรในพื้นที่ โดยมีนางกันตวรรณ ตันเถียร กุลจรรยาวิวัฒน์ ประธานคณะกรรมาธิการเกษตรและสหกรณ์ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพังงา ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วม ณ สหกรณ์การเกษตรตะกั่วป่า จำกัด หมู่ที่ 9 ต.บางนายสี อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา
        ทั้งนี้ จังหวัดพังงามีการปลูกยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของจังหวัด มีพื้นที่สวนยางทั้งหมด 678,564 ไร่ ให้ผลผลิตประมาณ 138,073 ตัน/ปี ปัจจุบันการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้ดำเนินการรับขึ้นทะเบียนเกษตรกรชาวสวนยางใหม่และปรับปรุงทะเบียนเดิม เพื่อให้เกษตรกรชาวสวนยางทั้งที่มีเอกสารสิทธิและไม่มีเอกสารสิทธิในที่ดินสวนยาง ได้รับสิทธิตาม พรบ.การยางแห่งประเทศไทย พ.ศ.2558 ตามประกาศคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย อย่างทั่วถึง โดยได้จัดทำสมุดทะเบียนเกษตรกรชาวสวนยาง (สมุดเหลือง) มอบให้ประจำตัวเกษตรกรชาวสวนยางทุกราย ซึ่งมีเกษตรกรชาวสวนยางขึ้นทะเบียนกับ กยท. แล้ว 21,506 ราย เนื้อที่ 346,552 ไร่ และคนกรีดยาง จำนวน 2,698 ราย เป็นเกษตรกรที่มีเอกสารสิทธิ 18,058 ราย เนื้อที่ 287,728 ไร่ เกษตรกรที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ 2,851 ราย เนื้อที่ 42,236 ไร่ และเป็นเกษตรกรที่ถือครองทั้งพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์และไม่มีเอกสารสิทธิ์ จำนวน 597 ราย เนื้อที่ 16,588 ไร่
        นอกจากนี้ การยางแห่งประเทศไทยจังหวัดพังงา ได้ดำเนินงานตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในโครงการส่งเสริมการทำสวนยางพาราในรูปแบบแปลงใหญ่ จำนวน 8 แปลงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 – 2565 อีกทั้งยังส่งเสริม สนับสนุน ให้การปลูกแทน ตามพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย มาตรา 49(2) ด้วยยางพันธุ์ดี ไม้ยืนต้นที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และส่งเสริมการปลูกสร้างสวนยางอย่างยั่งยืน เน้นการปลูกสร้างสวนยางแบบผสมผสาน เพื่อเพิ่มรายได้จากผลผลิตอื่นนอกจากยางพารา ตามเป้าหมายปีงบประมาณ 2565 จำนวน 5,900 ไร่
        ในส่วนของกรมชลประทาน ได้พัฒนาแหล่งน้ำและระบบชลประทานในพื้นที่จังหวัดพังงา เพื่อสนับสนุนการใช้น้ำอุปโภคบริโภค การเกษตร และการท่องเที่ยว ที่เป็นรายได้หลักของจังหวัด รวม 166 โครงการ พื้นที่รับประโยชน์ประมาณ 60,960 ไร่ แบ่งเป็นโครงการชลประทานขนาดเล็ก 151 โครงการ โครงการพระราชดำริ ได้แก่ ฝายทดน้ำ 7 แห่ง อาคารอัดน้ำอีก 3 แห่ง และโครงการชลประทานขนาดกลาง เป็นฝายทดน้ำอีก 5 แห่ง นอกจากนี้ ยังได้มีโครงการการพัฒนาและปรับปรุงแหล่งน้ำทั้งที่กำลังปรับปรุงและปรับปรุงแล้วเสร็จหลายโครงการ รวมถึงมีแผนพัฒนาแหล่งน้ำเพิ่มเติมระหว่างปี 2566 – 2570 ด้วย
ในส่วนของการดำเนินงานด้านประมง จังหวัดพังงา มีกิจกรรมการดำเนินงาน ทั้งการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำคืนถิ่น กิจกรรมการเพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำจืดและสัตว์น้ำเค็ม และการผลิตพันธุ์สัตว์น้ำ ที่เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจชายฝั่ง นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินงานตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อาทิ โครงการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร โครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน การแก้ไขปัญหาการเลี้ยงกุ้งทะเล และ Fisherman Shop และ Fisherman Market เป็นต้น
        สำหรับกิจกรรมภายในงานได้มีการมอบสมุดเหลืองให้ตัวแทนเกษตรกรชาวสวนยางพาราที่ขึ้นทะเบียนใหม่ มอบต้นกระท่อมให้กับตัวแทนเกษตรกร มอบเวชภัณฑ์ให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ (จำนวน 60 ชุด) ให้กับผู้แทนกลุ่มเกษตรกร จำนวน 4 ราย มอบพันธุ์กุ้งก้ามกราม ขนาด 5 – 7 เซนติเมตร จำนวน 100,000 ตัว ให้กับตัวแทนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในเขตอำเภอกะปง อำเภอคุระบุรี และอำเภอตะกั่วป่า จำนวน 50 ราย รายละ 2,000 ตัว มอบพันธุ์ปลาตะเพียน ขนาด 3 – 5 เซนติเมตร จำนวน 200,000 ตัว และพันธุ์ปลาสุลต่าน ขนาด 3 – 5 เซนติเมตร จำนวน 50,000 ตัว ให้กับตัวแทนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ในเขตอำเภอกะปง อำเภอคุระบุรี และอำเภอตะกั่วป่า จำนวน 50 ราย รายละ 5,000 ตัว มอบพันธุ์กุ้งก้ามกราม ขนาด 5 – 7 เซนติเมตร จำนวน 50,000 ตัว เพื่อนำไปปล่อยให้กับผู้นำชุมชนอำเภอกะปง จำนวน 3 ชุมชน และผู้นำชุมชนอำเภอคุระบุรี จำนวน 3 ชุมชน และมอบพันธุ์ปลาตะเพียนขาว ขนาด 3 – 5 เซนติเมตร จำนวน 150,000 ตัว เพื่อนำไปปล่อยให้กับผู้นำชุมชนอำเภอตะกั่วป่า จำนวน 1 ชุมชน ผู้นำชุมชนอำเภอกะปง จำนวน 3 ชุมชน และผู้นำชุมชนอำเภอคุระบุรี
        “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องเกษตรกร โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ำ เพื่อเตรียมความพร้อมทั้งในภาคการเกษครและการท่องเที่ยวเชิงเกษตร มุ่งหวังให้จังหวัดพังงาเป็นครัวของอันดามัน ยืนยันพร้อมแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องชาวพังงาอย่างเต็มความสามารถ” ดร.เฉลิมชัย กล่าว

ศอ.บต. เสนอ 3 มาตรการ”ฟื้นเมืองหาดใหญ่” เปิดสถานบันเทิง 24 ชั่วโมง ให้เป็น “ดิวตี้ฟรีโซน” และ สร้างความเชื่อมั่นให้กลับมา


เตรียมเสนอ”ประวิตร” ในวันที่ 7 – 8 มิ.ย.ที่ หาดใหญ่
ที่ ห้องประชุม โรงแรมบุรีศรีภูฯ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อเวลา 09,00 น วันที่ 17 พ.ค. ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ศอ.บต. ได้มีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายหลังสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด ติดเชื้อไวรัส “โคโรนา 2019” คลี่คลาย โดยการเชิญ คณะกรรมการที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ฝ่ายเศรษฐกิจ ) ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา ตัวแทนภาคเอกชน โดยมีนายแวฮามะ บากา รองประธานคณะกรรมการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นประธานในที่ประชุม และนายธนวัฒน์ พูลศิลป์ ประธานหอการค้า ได้บรรยายพิเศษ เรื่อง ผลกระทบทางเศรษฐกิจของ จ.สงขลา จากสถานการณ์ของ”โควิด 19 “
นาวาเอก จักรพงษ์ อภิมหาธรรม ผอ.กองส่งเสริมและสนับสนุนงานพัฒนาฝ่ายพลเรือน ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต.) ได้ให้เหตุผลในการประชุมรับฟังความคิดเห็นจาก คณะกรรมการที่ปรึกษาและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ฝ่ายเศรษฐกิจ ) และ ตัวแทนเอกชนใน ซึ่งมีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มีตัวแทนของจังหวัดสงขลา และตัวเอกที่เป็นนักธุรกิจใน จ.สงขลา มาประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นในการ “ฟื้นฟูธุรกิจการค้าการท่องเที่ยว”ของ จ.สงขลา ในวันนี้ เพื่อนำข้อมูลข้อเสนอแนะจากที่ประชุมเพื่อนำเสนอต่อ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นประธาน คณะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( กพต.) ที่จะเดินทางมาพบปะกับ นักธุรกิจ และภาคส่วนอื่นๆ ที่ อ.หาดใหญ่ ในวันที่ 8 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ สำหรับในการประชุมวันนี้ ต้องการเห็นประเด็นของปัญหาและการแก้ปัญหาของ จ.สงขลา ในพื้นที่ อ.เมือง อ.หาดใหญ่ อ.สะเดา ในพื้นที่เมืองชายแดน เทศบาลตำบลสำนักขาม และเทศบาลตำบลปาดังเบซาร์ ที่เป็นเมืองชายแดน ซึ่งทั้งหมดมีความซบเซา จากการระบาดของ”โควิด 19 “และขณะนี้ คลี่คลายไปในทิศทางที่ดี และมีการเปิดพรมแดนระหว่างประเทศแล้ว จึงจำเป็นที่จะต้องฟื้นฟู ให้ เมืองทั้งหมด กลับมาเป็นเมืองเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเช่นเดิม เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และปากท้องของทุกภาคส่วน
ซึ่ง ศอ.บต. ได้เสนอแนวทางในการฟื้นฟู เมืองหาดใหญ่ จ.สงขลา ไว้ 3 ข้อด้วยกัน 1. ผลักดันให้ จ.สงขลา เป็นเขตปลอดภาษี หรือ “ดิวตี้ฟรีโซน” 2. ให้สถานบันเทิงเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง และ 3 .การสร้างความเชื่อมั่น เพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งภายในและภายนอก กลับมาทำธุรกิจและท่องเที่ยวใน จ.สงขลาอีกครั้ง ซึ่งในที่ประชุมได้มีการให้ข้อคิดเห็น และเห็นด้วยกับทั้ง 3 แนวทาง แต่ยังมีประเด็นปัญหาที่ ศอ.บต.ต้อง ผลักดันให้รัฐบาลแก้ปัญหาให้ตรงจุด เช่นเรื่องของ เงินกู้ดอดเบี้ยต่ำ ที่ สถาบันการเงินให้กู้แต่กับกลุ่มทุนที่ไม่เสี่ยง แต่ปฏิเสธในการให้กู้กับผู้นำธุรกิจ เอสเอ็มอี และ ชาวบ้านที่ค้าขายเล็กๆ และประชาชนทั่วไป และรัฐบาลไม่ควรที่จะกลับมาเก็บภาษีที่ดิน ภาษีต่างๆ ในขณะที่ ปัญหาต่างๆเพิ่งจะคลี่คลาย
มีการนำเสนอว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ของ อ.หาดใหญ่ อำเภอเมือง และ เมืองชายแดนอย่างด่านนอก และ ปาดังเบซาร์ มีความต่างกัน จะใช้นโยบายเดียวกันไม่ได้ อย่าง อ.เมือง ต้องขายความเก่า หาดใหญ่ขายความทันสมัย บันเทิง และ ด่านนอก ต้องมองถึงนักท่องเที่ยวที่เป็นเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียเป็นสำคัญ และไม่ว่าอย่างไร จะมองเฉพาะเรื่องธุรกิจการค้า การบันเทิงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูที่ภาพรวม เช่นอาชีพเกษตรกร ประมง และอื่นๆ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ ถ้าอาชีพเหล่านี้มีปัญหา ไม่มีกำลังซื้อ การที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นตามที่ต้องการเห็นก็เป็นไปได้อยาก
นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล เลขานุการคณะกรรมการที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นผู้สรุปการประชุมในครั้งนี้ ได้กล่าวว่า เห็นด้วยในการที่จะฟื้นหาดใหญ่แบบเฉาะหน้าด้วยการเปิดสถานบริการ ไม่ต้อง 24 ชั่วโมง แต่ให้อนุญาตให้เปิดได้ถึง ตี 4 อาจจะทำให้ หาดใหญ่ฟื้นคืนชีพได้ เพราะในอดีต หาดใหญ่ รุ่งเรืองเติบโตจาก สถานบันเทิง ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่เดินทางมาเที่ยวในยามราตรี ทุกวันนนี้สถานบันเทิงส่วนใหญ่ ในหาดใหญ่ ใน สงขลา ก็เปิดเกินเวลาที่กฎหมายกำหนดอยู่แล้ว โดยการจ่าย”ส่วย” ให้เจ้าหน้าที่ ถ้าเปิดได้ถึง 4 นาฬิกา จะได้ไม่ต้องทำผิดกฎหมาย และไม่ต้องจ่าย”ส่วย” ให้เจ้าหน้าที่ แต่ต้องระมัดระวังเรื่อง”การค้ามนุษย์” และเรื่อง”ศีลธรรม” ให้มาก ต้องมีการป้องกันในเรื่องนี้ ในส่วนเรื่อง “ดิวตี้ฟรีโซน” เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ต้องมีเรื่องกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องหลายเรื่อง ซึ่งเคยพูดกันมากว่า 10 แล้ว แต่ไม่ได้ทำอย่างจริงจัง ในเรื่องของความเชื่อมั่น ในพื้นที่ จ.สงขลา ยกเว้น 4 อำเภอ ไม่น่าจะมีปัญหา ซึ่งการสร้างความเชื่อมั่น เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก ที่ยากกว่าคือการ ฟื้นฟู เมืองชายแดนอย่าง “ด่านนอก” อ.สะเดา เมืองเศรษฐกิจชายแดนไทย-มาเลเซีย เพราะ เมืองนี้เกิดขึ้นแบบ ไร้แบบแผน และเติบโตด้วย ธุรกิจผิดกฎหมาย มีปัญหายาเสพติด การค้ามนุษย์ และผลประโยชน์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ และเป็นเมืองที่ต้องพึ่งพา ชาวมาเลเซีย มากกว่าคนในพื้นที่ ซึ่งการฟื้นฟูเมืองเศรษฐกิจเมืองนี้ ต้องให้ เจ้าของธุรกิจ นักลงทุน ในพื้นที่ มีส่วนในการเสนอความคิดเห็นด้วย จึงจะสามารถหาแนวทางในการฟื้นฟู
สำหรับหาดใหญ่ ในระยะยาวต้องมีการสร้าง”จุดขาย” เพราะ หาดใหญ่ ในอดีตโตมาจาก สินค้าหนีภาษี เรื่อง โสเภณี ไม่ได้โตจากการท่องเที่ยว หาดสวย น้ำใส ซึ่งเป็นการเติมโตที่พึ่งพึงชาวมาเลเซีย เป็นความรุ่งเรื่องเมื่อ 40 ปีก่อน ที่วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว แม้แต่ภูมิทัศของ ธุรกิจการค้า ก็เปลี่ยน แต่คนส่วนหนึ่งของหาดใหญ่ยังไม่เปลี่ยน ยังอยู่กับอดีต และยังคาดหวังว่าหาดใหญ่จะฟื้นด้วยชาวมาเลเซีย หาดใหญ่วันนี้ไม่มีจุดขาย หากไม่มีการสร้างจุดขายใหม่ขึ้นมา หาดใหญ่ก็จะเป็น”เมืองผ่าน” ซึ่งการเป็น เมืองผ่าน ก็ต้องคิดว่า จะทำอย่างไรกับการเป็นเมืองผ่าน และ เจ้าของธุรกิจรุ่นเก่าๆ ยังมี อิทธิพล ในหาดใหญ่ ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตนเองตาม ภูมิทัศน์ทางการค้าที่เปลี่ยนไปแล้ว จริงอยู่ องค์กรต่างๆ ที่เป็นของเอกชน มีการเปลี่ยนผู้นำเป็น คนรุ่นใหม่ แต่ถ้า เจ้าของธุรกิจ ไม่เชื่อ ไม่ฟัง ไม่ให้ความร่วมมือ การ ขับเคลื่อน องค์กรก็เป็นไปยาก และที่สำคัญ ราชการ คือ ปัญหาใหญ่ของการเปลี่ยนแปลง
ในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการนำ รายการสนธิทอล์กที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็น “หาดใหญ่ตายแล้ว “ และ”ใครทำให้หาดใหญ่ตาย มาเปิดให้ ผู้เข้าประชุมได้รับฟัง ข้อมูล ที่มีการนำไปวิพากษ์วิจารณ์ ด้วย

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

รายการคืนคุณให้แผ่นดิน สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก

” โครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงและฟาร์มตัวอย่างอันเนื่องมาจากพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ณ บ้านจาเราะปูโงะ ต.เบตง อ.เบตง จ.ยะลา”

โครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงและฟาร์มตัวอย่าง อันเนื่องมาจากพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ บ้านจาเราะปูโงะ ตำบลเบตง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา
สภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นพื้นที่ลาดชัน แนวเทือกเขาสันกาลาคีรี ลักษณะดินเป็นดินลูกรัง มีแหล่งน้ำเป็นน้ำซับกั้นฝายดิน หน้าฝายดาดคอนกรีต ที่ตั้งห่างจากเขตเทศบาลเมืองเบตง 12 กิโลเมตร ติดชายแดนไทย -มาเลเซีย

โครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงและฟาร์มตัวอย่าง อันเนื่องมาจากพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เพื่อเป็นแหล่งจ้างงาน ช่วยเหลือราษฎรให้มีงานทำ มีรายได้พอเลี้ยงชีพ เพื่อเป็นแหล่งผลิตอาหารให้แก่ท้องถิ่นยามปกติและในยามฉุกเฉิน เพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้ให้แก่ราษฎร เกี่ยวกับการทำเกษตร ปศุสัตว์ และประมง สุดท้ายเพื่อให้ราษฎรได้รวมกลุ่มกันด้วยความรัก ความสามัคคีในการประกอบอาชีพและมีมาตรการระวังป้องกันตนเองจากภัยคุกคามของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ

อย่าพลาดติดตามชมรายการคืนคุณให้แผ่นดิน วันศุกร์ที่ 20 พ.ค. 2565 เวลา 23.00 น. – 23.30 น. สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก
อภิคม แก้วละเอียด พิธีกรภาคสนามรายการคืนคุณให้แผ่นดิน

CR: ศิริพร จงศิริ ผู้อำนวยการใหญ่ผลิตรายการคืนคุณให้แผ่นดิน สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก

Design a site like this with WordPress.com
Get started