พ.ต.ท.วรภัทร รอง ผกก.ป.บางซื่อ พบเหตุ ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ พร้อมนำส่งร่วมกตัญญู

พ.ต.ท.วรภัทร สุขไทย รองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ

บางซื่อ2 เลิก ว.10 ห้องประชุม ทภ.1
ว.4 ถ.พระราม 5 พบเหตุ ว.40 ปากซอย ถ.ระนอง2 รถเก๋งBmw กับ จยย. จึงได้ให้การช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บโดยทันที (คนขับรถ จยย.)พร้อมทั้งได้มอบน้ำดื่มกับผู้ได้รับบาดเจ็บ เรียกมูลนิธิร่วมกตัญญู และโทรแจ้ง 191 ประสานร้อยเวร 30 สน.ดุสิต ให้รับทราบ และได้ให้รถยนต์คู่กรณี(เก๋ง BMW)เรียกประกันภัย โดยเบื้องต้นคนขับรถเก๋งรับว่าตนเป็นฝ่ายประมาท(เก๋งเลี้ยวเข้าซอย/จยย.มาทางตรง) จากนั้นได้นำผู้บาดเจ็บขึ้นรถกู้ภัยร่วมกตัญญูนำส่ง รพ.ฯ โดยเมื่อ จนท.ตร.สน.ดุสิต (ผบ.หมู่ จร.)มาถึง จึงได้ส่งมอบการดูแลที่เหตุให้ทาง สน.ดุสิต ดำเนินการฯ ต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เรียกประชุมติดตามความคืบหน้า คดีฆ่ายกครัว เร่งติดตามจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้งขบวนการ พร้อมประสานงานกัมพูชาล่าตัวนายทุนจีน

จากกรณีเมื่อวันที่ 28 ส.ค.66 ได้เกิดเหตุสลดกรณีนายสาณิช อายุ 42 ปี ได้ลงมือฆ่าปาดคอภรรยาและบุตรชายอีก 2 คน เสียชีวิตภายในบ้านของตนเองในพื้นที่ ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ก่อนจะพยายามปาดคอตนเองเพื่อหนีความผิดบาดเจ็บสาหัส สาเหตุเกิดมาจากตนเองเป็นหนี้สินจำนวนมากจนทำให้ถูกยึดบ้าน ประกอบกับถูกแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์หลอกเงินไปจำนวน 1.7 ล้านบาท จึงรู้สึกเครียดและหมดหนทางจนก่อเหตุดังกล่าว ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สืบสวนขยายผลกรณีดังกล่าว เนื่องจากมูลเหตุในการก่อเหตุดังกล่าวมีความเกี่ยวเนื่องกับแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนเป็นวงกว้าง วันนี้ (30 ส.ค.66) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้เรียกประชุมติดตามความคืบหน้าการสืบสวนขยายผลในคดีดังกล่าว ณ ห้องประชุม สภ.บางแก้ว

จากการสืบสวนขยายผลของเจ้าหน้าที่ ในส่วนของคดีฆ่านั้น เจ้าหน้าที่ได้มีการขออนุมัติหมายจับดำเนินคดีกับ นายสาณิชฯ ผู้ก่อเหตุในคดีนี้ไว้แล้ว ซึ่งปัจจุบันนายสาณิชฯ ยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอายัดตัวไว้แล้ว ส่วนการขยายผลดำเนินคดีกับแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์นั้น จากการสืบสวนพบบัญชีที่ถูกใช้ในการรับโอนเงินจากการหลอกลวงประชาชน จึงได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับเจ้าของบัญชีม้าแล้ว 11 ราย สามารถติดตามจับกุมได้แล้ว 2 ราย โดยผู้ต้องหาดังกล่าวเป็นเจ้าของบัญชีม้าที่อยู่ในจังหวัดสระแก้ว ทำหน้าที่กดเงินสดออกจากบัญชีและข้ามแดนนำไปให้นายทุนชาวจีนซึ่งอยู่ที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา รวมทั้งเข้าตรวจค้นตามหมายค้นเป้าหมายอีกหลายจุดในพื้นที่ริมชายแดน จว.สระแก้ว ตรวจยึดบัญชีธนาคาร เงินสด และบัตรเอทีเอ็มอีกหลายรายการ และพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังได้สั่งการให้ขยายผลดำเนินคดีกับนายทุนชาวจีนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยจะเดินทางไปประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกัมพูชาด้วยตนเอง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวเป็นเหตุสลดซึ่งประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยสาเหตุของการก่อเหตุฆาตกรรมดังกล่าว เกิดจากปัญหาหนี้สินและการถูกหลอกเงินจากแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนเป็นวงกว้าง จึงได้สั่งการให้มีการขยายผลดำเนินคดีกับแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์นี้ให้หมดทั้งขบวนการ โดยสืบสวนทราบว่า กลุ่มนี้มีนายทุนจีนเป็นหัวหน้าอยู่ที่ฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา ดังนั้นจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับนายทุนจีนกลุ่มนี้เพื่อนำตัวมาลงโทษให้ได้ โดยหลังจากนี้จะเดินทางไปประสานความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทางการกัมพูชา เพื่อขอให้ติดตามตัวผุ้ต้องหากลุ่มนี้กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยจนถึงที่สุด

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ลงพื้นที่ประชุมติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล

นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 ม.ค.66 ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะประธานกรรมการตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงกรณีปัญหาข้อพิพาทในที่ดินที่เกี่ยวข้องกับชุมชนชาวเลเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล ได้กำกับดูแลและเร่งแก้ไขปัญหาข้อพิพาท โดยใช้การบังคับใช้กฎหมายนำการเจรจา ใช้การบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด อาทิ กรมที่ดิน กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมอุทยานแห่งชาติฯ กรมการปกครอง กรมธนารักษ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทำให้สามารถนำเอาพื้นที่ถนนที่ประชาชนใช้ในการสัญจรคืนกลับมาให้กับชุมชนได้ นอกจากนี้ยังได้วางแนวทางในการแก้ไขปัญหาระยะยาว เพื่อแก้ไขการพิพาทเรื่องที่ดินให้ถูกต้อง รวมทั้งปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของชาวเลในพื้นที่เช่น การทำประมงพื้นบ้านในพื้นที่อุทยาน การตรวจสอบรังวัดที่ดินที่ถูกรุกล้ำเพื่อคืนพื้นที่ให้กับชาวบ้าน เป็นต้น

ความคืบหน้าล่าสุด วันนี้ (29 ส.ค.66) เวลาประมาณ 13.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะประธานกรรมการตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงกรณีปัญหาข้อพิพาทในที่ดินที่เกี่ยวข้องกับชุมชนชาวเล เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล พร้อมด้วย นายนรินทร์ ประทวนชัย รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พ.ต.ท.ประวุฒิ วงศ์สีนิล รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ผู้แทนกรรมการสิทธิมนุษยชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล เพื่อประชุมติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาที่ดินพิพาทบนเกาะหลีเป๊ะ โดยในที่ประชุมวันนี้ได้มีการติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับเรือประมงพาณิชย์ซึ่งลักลอบทำประมงในเขตอุทยานจำนวน 15 คดี ได้มีการออกหมายเรียกเจ้าของเรือ ไต๋เรือ และลูกเรือทั้งหมดแล้ว และได้ตรวจยึดเรือประมงของกลางรวม 26 ลำ จากทั้งหมด 28 ลำ อีก 2 ลำกำลังเตรียมการส่งมอบให้เรียบร้อย ในส่วนของการดำเนินคดีกับบุกรุกพื้นที่อุทยานนั้น หลังจากที่ได้ดำเนินการรังวัดพื้นที่โดยชัดเจนเรียบร้อยแล้วนั้น จะพิจารณาหากพบมีส่วนพื้นที่ใดที่ล้ำเข้ามาในเขตพื้นที่อุทยาน ทางกรมอุทยานจะร้องทุกข์ดำเนินคดีทุกจุดต่อไป ในส่วนของโรงแรมที่พักต่างๆ จะมีการดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.โรงแรมทั้งหมด และจะติดตามความคืบหน้าการดำเนินการจนแล้วเสร็จ นอกจากนี้จะยังมีการพิจารณาดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หากพบการกระทำผิดดังกล่าวจะดำเนินคดีโดยเด็ดขาดทั้งหมด หลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่ตรวจลำรางสาธารณะ และพบปะชาวบ้านในพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาและพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาพื้นที่เกาะหลีเป๊ะนั้น ในวันนี้ได้มีการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายเพื่อพิจารณาดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดทั้งหมด ซึ่งหลายส่วนมีความคืบหน้าไปมากแล้ว อาทิ คดีการลักลอบทำประมงในเขตอุทยาน ได้มีการตรวจยึดมาแล้วใกล้จะครบ 28 ลำ และจะติดตามผุ้เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีให้ครบถ้วน ส่วนของการบุกรุกพื้นที่อุทยาน ขณะนี้การรังวัดดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว จะเห็นภาพชัดเจนว่าจะต้องดำเนินคดีกับผู้ใดบ้าง ซึ่งกรมอุทยานจะร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในส่วนนี้ทั้งหมด รวมถึงในส่วนของโรงแรมบนพื้นที่ที่ไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.โรงแรม ก็จะดำเนินคดีทั้งหมดเช่นกัน หลังจากนี้จะเริ่มพิจารณาดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งหากพบว่ามีการกระทำผิดจริง จะดำเนินคดีไม่มียกเว้นให้ถึงที่สุด จากนั้นจะดำเนินการควบคู่ไปกับการฟื้นฟูพื้นที่เกาะหลีเป๊ะเพื่อพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่และประเทศชาติต่อไป

นิตยสาร COP’S ผ่านครบรอบปีที่ 17 ก้าวสู่ปีที่ 18 “ร้อยแปดพันก้าว” กับเรื่องราวที่ยังไม่หยุด


ทีมงานถึงไม่หยุดดั้นด้นคัดสรร “ยอดผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” เพื่อมอบรางวัล  COP’S Award ประจำปี 2566 ตอบแทน “ตำรวจน้ำดี” เป็น TOP COP’S ที่ทุ่มเทเสียสละ ทำงาน “ปิดทองหลังพระ”

พ.ต.ท.วรภัทร สุขไทย รองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ เจ้าของรางวัล ตำรวจดีเด่นต้นแบบงานป้องกันปราบปราม มูลนิธิบุณยะจินดาเพื่อข้าราชการตำรวจและครอบครัว นำทีมระดมกวาดมาเฟียหมอชิต วินมอเตอร์ไซค์ผีรีดเงินผู้โดยสารเกินจริง และแก๊งเคาะกระจกรถหน้าม้าทำเอกสารขนส่งทางบกได้จนรับคำชมเชยจากชาวบ้านท่วมท้น

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บินด่วนลงพื้นที่ ประชุมเร่งรัดคดีฆ่าปลัดอาวุโส พื้นที่ สภ.กันทรารมย์ ศรีสะเกษ

จากกรณีเมื่อวันที่ 27 ส.ค.66 ที่ผ่านมา เกิดเหตุ นายบุญชอบ พวงจำปา ปลัดอาวุโสอำเภอกันทรารมย์ ถูกคนร้ายขี่รถ จยย.ประกบยิงเสียชีวิต บนถนนสาธารณะบ้านโคก-บ้านหนองกี่ ตรงข้ามศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านหนองกี่ ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ พื้นที่ สภ.กันทรารมย์ ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอไปแล้วนั้น

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เร่งติดตามสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุในคดีดังกล่าวโดยเร็ว เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ สร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชนในพื้นที่ วันนี้ (28 ส.ค.66) เวลา 15.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ จึงได้ลงพื้นที่ เรียกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าการดำเนินคดีดังกล่าว ณ สภ.กันทรารมย์

จากการสืบสวนเบื้องต้น พบภาพจากกล้องวงจรปิดปรากฏภาพของคนร้ายขณะหลบหนีหลังก่อเหตุ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถพิสูจน์ได้ว่า ผู้ก่อเหตุในคดีนี้คือ นายอรรถมงคล อายุ 28 ปี ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขออนุมัติหมายจับและสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ พร้อมอาวุธปืนแบงค์กันดัดแปลง ขนาด .380 จำนวน 1 กระบอก โดยมุลเหตุจูงใจผู้ต้องหายอมรับว่าในการก่อเหตุเกิดจากที่ผู้ต้องหาเกิดความไม่พอใจที่ถูกผู้ตายซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการปราบปรามยาเสพติด มาคอยตักเตือนให้เลิก ประกอบกับตัวผู้ต้องหามีอารมณ์ก้าวร้าวรุนแรง จึงได้ก่อเหตุดังกล่าว

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวขอชื่นชม สภ.กันทรารมย์ ที่สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุในคดีดังกล่าวได้อย่างรวดเร็ว จากการสอบสวนผู้ต้องหาอ้างว่ามีความไม่พอใจที่ถูกผู้ตายตักเตือนให้เลิกยุ่งกับยาเสพติดบ่อยครั้ง จึงก่อเหตุยิงดังกล่าว เบื้องต้นได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนดำเนินการสืบสวนหาข้อมูลเพิ่มเติมว่า มีผู้อื่นที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องหรือจ้างวานหรือไม่ หากพบความเกี่ยวข้องจะได้นำตัวมาดำเนินคดีเพิ่มเติม นอกจากนี้ ผู้ต้องหาได้ใช้อาวุธปืนแบงค์กันดัดแปลง ซึ่งเป็นปืนที่ไม่สามารถได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ได้ ให้ดำเนินการสืบสวนเพิ่มเติมเพื่อหาแหล่งที่มาที่ผลิตหรือจำหน่าย เพื่อขยายผลดำเนินคดีต่อไป โดยในระยะยาวจะนำปัญหาเกี่ยวกับปืนแบงค์กันดัดแปลงนี้ หารือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ อาทิ กระทรวงมหาดไทย และกรมศุลกากร เพื่อหาแนวทางในการแก้ไขต่อไป

พ.ต.ท. วรภัทร รอง ผกก.ป.สน.บางซื่อรับรางวัล ข้าราชการดีเด่น

พ.ต.ท. วรภัทร สุขไทย รอง ผกก.ป.สน.บางซื่อ
เข้ารับรางวัลโล่ประกาศเกียรติคุณ ข้าราชการดีเด่น จาก ฯพณฯ ท่าน ชวน หลีกภัย
โดยทางสมาคมหนังสือพิมพ์ส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพการจัดงานและคัดเลือกผู้ได้รับรางวัลในวันนี้

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร่วมเป็นวิทยากรโครงการสัมมนาบูรณาการปราบปรามน้ำมันเถื่อน ที่จังหวัดระยอง

วันนี้ (28 ส.ค.66) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง (ศปนม.ตร.) ได้เข้าร่วมเป็นวิทยากร ในโครงการสัมมนาบูรณาการด้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ณ โรงแรมระยอง แมริออท รีสอร์ท แอนด์ สปา ซึ่งจัดขึ้นโดยกรมสรรพสามิต โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาจากหลายหน่วยงานอาทิ กรมสรรพสามิต สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมศุลกากร กรมสรรพากร กรมประมง กรมเจ้าท่า กรมธุรกิจพลังงาน กองทัพเรือ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และศรชล รวมทั้งสิ้นจำนวน 92 คน

ในการสัมมนาครั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้บรรยายในหัวข้อ สถิติและแนวโน้มการกระทำผิดในคดีที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันเถื่อน ซึ่งที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในฐานะ ผอ.ศปนม.ตร. ได้ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ในการปราบปรามและจับกุมดำเนินคดีผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการลักลอบขนส่งและจำหน่ายน้ำมันเถื่อนเป็นจำนวนมาก ซึ่งความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเถื่อนนี้ สร้างความเสียหายให้กับประเทศจากการสูญเสียรายได้จากภาษีน้ำมันมากถึงหลายร้อยล้านบาทต่อปี ซึ่งผู้กระทำผิดได้อาศัยช่องว่างระหว่างราคาน้ำมันที่ต่างกันของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ในการลักลอบนำเอาน้ำมันจากต่างประเทศมาจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย ในปีที่ผ่านมา ศปนม.ตร.ได้มีการจับกุมดำเนินคดีเกี่ยวกับน้ำมันเถื่อนมากถึง 2,993 คดี เพิ่มขึ้นจากปี 65 ร้อยละ 6.85 ตรวจยึดน้ำมันเถื่อนของกลางได้มากถึง 29,785,409 ลิตร ดำเนินคดีเปรียบเทียบปรับเป็นจำนวนเงิน 58.5 ล้านบาท มากขึ้นถึงร้อยละ 156.88 ซึ่งปัจจุบันผู้กระทำผิดส่วนใหญ่มักจะลักลอบนำเข้าน้ำมันเถื่อนในทางบกและทางทะเล ซึ่งการป้องกันปราบปรามนั้น จำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการร่วมกันของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า วันนี้ได้มีโอกาสมาบรรยายแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เข้าร่วมการสัมมนาจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามน้ำมันเถื่อน ปัจจุบันปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเถื่อนยังเป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศไทย เนื่องจากทำให้รัฐสูญเสียรายได้ในการบริหารประเทศหลักหลายร้อยล้านบาทต่อปี ปีที่ผ่านมา ศปนม.ตร. ได้ปฏิบัติการจับกุมความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเถื่อนได้จำนวนมาก สถิติเพิ่มขึ้นจากปีก่อนทั้งจำนวนคดี ปริมาณน้ำมันที่ตรวจยึดได้ และการดำเนินคดีเปรียบเทียบปรับ ดังนั้นการปราบปรามความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเถื่อนนั้น จึงต้องอาศัยการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด การสัมมนาในครั้งนี้จึงเกิดประโยชน์อย่างมาก จากการเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติ และการสร้างเครือข่ายของผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประสานงานในการปราบปรามน้ำมันเถื่อนต่อไป

กสทช. จับมือ ตำรวจ ประชุมอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายฯเพิ่มมาตรการสกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์

วันนี้ (25 ส.ค.66) เวลา 09.30 น. พล.ต.อ.ดร.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช.ด้านกฎหมายและประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ, พล.ต.ท.ดร.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ดูแลงานด้านอาชญากรรมเทคโนโลยี ได้เรียกประชุมอนุกรรมการบูรณาการแนวทางบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีโทรคมนาคม เพื่อเร่งเพิ่มมาตรการปราบปราม ซิมผี บัญชีม้าสถานีโทรคมนาคมเถื่อน, เสาสัญญาณตามแนวชายแดนผิดเงื่อนไข, ตลอดจนกำหนดคุณลักษณะเบอร์ต้องสงสัย และ สนับสนุนชุดข้อมูลการใช้ ตำแหน่งที่ใช้ โทรศัพท์ของกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพ แก่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ หอประชุม ชั้น 2 สำนักงาน กสทช.
พล.ต.อ.ณัฐธรฯ กล่าวว่า สืบเนื่องจากที่ กสทช. ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้ลงพื้นที่ตามแนวชายแดนกวาดล้างและจับกุมการลักลอบให้บริการโทรคมนาคมผิดกฎหมายบริเวณแนวชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน การตรวจสอบสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ เสาสัญญาณของผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม ตรวจสอบทิศทางการกระจายสัญญาณบริเวณชายแดน ให้ดำเนินการตามเงื่อนไขที่ กสทช.กำหนด ถือเป็นมาตรการเชิงรุกในการสกัดกั้นไม่ให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ตามแนวชายแดน ใช้ทรัพยากรทางเทคโนโลยีของไทย ในการหลอกลวงคนไทย โดยได้หารือเพิ่มมาตรการต่างๆ ที่สำคัญ ภายใต้ พรก.มาตรการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2566 ดังนี้
1) กำหนดเหตุอันควรสงสัยของหมายเลขโทรศัพท์ เช่น เบอร์ที่จดทะเบียน โดยไม่ใช่เจ้าของผู้ใช้งาน, เบอร์ที่เปิดโดยบุคคลเดียวเกินกว่า 5 หมายเลข, เบอร์ที่ถูกใช้งานอยู่เป็นประจำในพื้นที่ตามแนวตะเข็บชายแดนและ เบอร์ของบุคคลที่มีปริมาณการโทรออกมากกว่า 100 ครั้งต่อวัน เป็นต้น เพื่อเป็นแนวทางในการจัดทำระบบ กำหนดให้ผู้ใช้หมายเลขเหล่านี้เข้ามายืนยันตัวตน รวมไปถึงการตรวจสอบข้อมูลการใช้
2) กำหนดชุดข้อมูลที่จำเป็น อาทิ ชื่อ-นามสกุล ของผู้จดทะเบียน, ข้อมูลการใช้โทรศัพท์, รายละเอียดพื้นที่การใช้งาน (Cell site location), พิกัดเสาสัญญาณโทรศัพท์ (Base station) อื่นๆ และกำหนดระยะเวลาในการจัดส่งข้อมูลจากผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ให้ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจำแนกเป็นข้อมูลเร่งด่วนที่ใช้ในการสืบสวนติดตามตัวคนร้ายต้องนำส่งโดยเร็ว และข้อมูลที่ใช้ในการสอบสวนดำเนินคดีเชิงลึก ในลำดับถัดมา
3) กำหนดหมายเลข 179เลขบัตรประชาชน# แล้วกดโทรออก เพื่อให้สถาบันทางการเงินตรวจสอบชื่อผู้จดทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์ ว่าตรงกับชื่อเจ้าของบัญชีธนาคารที่ขอใช้บริการอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้งหรือไม่ เพื่อขจัดปัญหาซิมผี บัญชีม้า
4) กำหนดมาตรการกรณีผู้ถือครองซิมโทรศัพท์ 6-100 เลขหมาย ต้องลงทะเบียนแสดงตนภายใน 180 วัน นับจากวันที่ประกาศมีผลบังคับใช้ และผู้ถือครองซิมการ์ด ตั้งแต่ 101 เลขหมายขึ้นไป ลงทะเบียนแสดงตนภายใน 30 วัน ทั้งนี้อยู่ระหว่างการเสนอร่างประกาศ รวมทั้งการพัฒนารูปแบบการยืนยันตัวตนด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ป้องกันการสวมสิทธิแอบอ้างข้อมูลส่วนบุคคลในการลงทะเบียน
พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผบ.ตร.ได้มอบหมายให้ตนซึ่งรับผิดชอบงานด้านอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ทำงานร่วมกับ กสทช. โดยใกล้ชิด เป็น Working group เพื่อกำหนดลักษณะเบอร์ต้องสงสัย และรูปแบบชุดข้อมูลที่จำเป็นในการสืบสวนสอบสวน และกำหนดระยะเวลาในการส่งข้อมูลจากผู้ให้บริการ ให้ตำรวจได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อการสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิด และระงับยับยั้งความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
พล.ต.อ.ณัฐธรฯ ยังได้ฝากเตือนไปยังประชาชนให้ระมัดระวังในการค้นหาข้อมูลจากเว็บไซด์ต่างๆ และ Search Engine , โฆษณาทางแพลตฟอร์มออนไลน์ เพราะข้อมูลที่ปรากฎลำดับต้นๆ อาจเกิดจากการจ่ายเงินซื้อโฆษณาของกลุ่มมิจฉาชีพ โดยปลอมเป็นหน่วยงานของรัฐ หรือหน่วยงานต่างๆ หลอกเอาข้อมูลจากผู้หลงเชื่อ, รวมทั้งให้ระมัดระวังข้อความ SMS แนบลิงค์ และ เพจโฆษณาหลอกลวงในรูปแบบการลงทะเบียนรับเงินดิจิตอล ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากหน่วยงานของรัฐ หรือแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพราะอาชญากรทางเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการหลอกลวงอยู่ตลอดเวลา

พล.ต.ต.พันธนะ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ธนิต ผบก.สส.สตม.,พล.ต.ต.วริศร์สิริภ์ ผบก.ตม.3, ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหา3รายสำคัญ

ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. สั่งการให้ สตม.สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด
ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม.,พล.ต.ต.วริศร์สิริภ์ ลีละสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.อภิมุข กานตยากร รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.ศท.ตม.ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.พรรณศักดิ์ วรวิบูลย์สวัสดิ์ รอง ผบก.สศป.ฯ ปฏิบัติราชการ บก.ตม.3, พ.ต.อ.สรธรรศจ์ เอี่ยมละออ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงษ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม., พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.๓ ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

1.บก.สส.สตม. รวบเยอรมันแก๊ง Hell angles ส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดน
ตามที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ สตม. พิจารณาดำเนินการกรณี สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี มีหนังสือมายังกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอให้ส่งตัวนายเด็น (นามสมมติ) สัญชาติเยอรมัน เป็นผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อนำตัวไปรับโทษตามคำพิพากษาในความผิดอาญาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญาสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดยอัยการสูงสุดได้ยื่นคำร้องขอศาลอาญาออกหมายจับนายเด็นไว้แล้ว
กก.2 บก.สส.สตม. จึงได้สืบสวนติดตามนายเด็นเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย จากการตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. นายเด็นเดินทางเข้ามาในประเทศไทยด้วยวีซ่าคนอยู่ชั่วคราว (NON-90) และได้รับการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรถึงวันที่ 12 ก.ค.2567 จากการสืบสวนทราบว่า นายเด็นหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ อ.เมือง จว.เชียงราย ชุดจับกุมได้ติดตามเฝ้าดูจนพบบุคคลที่มีลักษณะคล้ายนายเด็น จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและ ขอทำการตรวจสอบหนังสือเดินทาง พบว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันตามหมายจับศาลอาญา จึงได้แสดงหมายจับและนำตัว
พฤติการณ์การกระทำความผิด นายเด็นเป็นสมาชิกแก๊งมอเตอร์ไซค์นอกกฎหมาย “Hells Angels” ในเมืองคีล สาธารณรัฐเยอรมนี ร่วมกับพวก 2 คน ลอบทำร้ายผู้เสียหายที่บริเวณสระว่ายน้ำสาธารณะในเมืองคีล โดยให้แฟนสาวของตนทำหน้าที่เป็นนกต่อ เพื่อให้ผู้เสียหายสนใจและเข้าไปที่สระว่ายน้ำ และฉวยโอกาสทำร้ายผู้เสียหายโดยยิงที่ต้นขาซ้าย จนได้รับบาดเจ็บสาหัส

2.บก.สส.สตม. รวบ 3 ผู้ต้องหา แก๊งยาเสพติดรายใหญ่ของอินโดนีเซีย หนีซุกไทย
กรณีผู้ต้องหารายสำคัญซึ่งรัฐบาลอินโดนีเซียได้เพิกถอนหนังสือเดินทางอินโดนีเซีย จำนวน 3 ราย คือ
1.นายสตีเว่น (นามสมมติ) อายุ 28 ปี
2.นายวายู (นามสมมติ) อายุ 30 ปี
3.นางพิสก้า (นามสมมติ) อายุ 26 ปี
บุคคลตามหมายจับรัฐบาลอินโดนีเซียกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และพากันหลบหนีมาอยู่ในประเทศไทย
จากการตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า ผู้ต้องหาทั้ง 3 รายได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวและการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่สิ้นสุด ผบก.สส.สตม. จึงได้อนุมัติให้ เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับ มีพฤติการณ์ที่สมควรเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรแล้วขึ้นบัญชีเป็นบุคคลเฝ้าระวังไว้ และสั่งการให้ กก.ปอพ.บก.สส.สตม.สืบสวนติดตามจับกุมร่วมกับ บช.ปส. เพื่อนำตัวมาดำเนินการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสืบทราบว่า นายวายูและนางพิสก้า หลบหนีมาอาศัยอยู่บริเวณคอนโด พื้นที่บางกะปิ กทม. จึงได้ร่วมกันเข้าตรวจสอบ พบบุคคลซึ่งมีตำหนิรูปพรรณเหมือนกับนายวายูและนางพิสก้า จึงได้แสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง พบว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับที่ถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร จึงแจ้งหนังสือเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้ทราบ และนำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการต่อไป
ต่อมาขณะเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนติดตามบุคคลที่เหลือนั้น ได้รับแจ้งจาก ตม.จว.จันทบุรี ว่าได้มีบุคคลต่างด้าวชื่อ นายสตีเว่น สัญชาติ อินโดนีเซีย กำลังจะเดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. ขึ้นทะเบียนเป็นบุคคลเฝ้าระวัง จึงได้ตรวจสอบหนังสือเดินทาง พบว่า เป็นนายสตีเว่น บุคคลเดียวกันกับที่ บก.สส.สตม.ได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรไว้ จึงได้ร่วมกันนำตัว นายสตีเว่น ส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการต่อไป
จากการสอบถามผู้ต้องหาทั้ง 3 รายให้การรับว่าได้วางแผนเดินทางเข้ามาหลบซ่อนในประเทศไทยในลักษณะปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยว และให้แยกย้ายกันหลบซ่อนตัวเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกจับพร้อมกัน และมีการติดต่อกันผ่านแอพพลิเคชั่นที่ใช้ในการโทรผ่านอินเตอร์เน็ต

3.สืบ ตม.3 จับกุม “แก้วเขาดิน” เครือข่ายขนคนรายใหญ่ พื้นที่สระแก้ว
กก.สส.บก.ตม.3 ตรวจสอบในสื่อสังคมออนไลน์พบว่า มีชาวกัมพูชา เรียกกันทั่วไปว่า นางแก้ว (นามสมมติ) ประกอบกิจการรถตู้ในพื้นที่ใกล้ด่านชายแดน อ.คลองหาด จว.สระแก้ว ใช้สื่อสังคมออนไลน์ประกาศเชิญชวนลูกค้า ชาวกัมพูชา ว่าสามารถพาคนกัมพูชาเดินทางเข้าออก-ออกประเทศไทยผ่านชายแดนกัมพูชาได้อย่างสะดวก และมีข้อมูล เชิงลึกว่า เครือข่ายของนางแก้วยังลักลอบขนต่างด้าวเข้าเมืองโดยผ่านช่องทางที่ผิดกฎหมายด้วย จึงได้วางแผนจับกุมแก้วมาดำเนินคดีตามกฎหมาย
กก.สส.บก.ตม.3 ได้เฝ้าติดตามพฤติกรรมนางแก้วมาโดยตลอด จนกระทั่งต่อมาได้ตรวจสอบพบว่า จะมีการลักลอบขนคนจำนวนมาก จากพื้นที่ ต.คลองหาด จว.สระแก้ว เข้ามาใน กทม. โดยในครั้งนี้คาดว่านางแก้วได้เดินทางมาด้วย เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ เมื่อเดินทางมาถึง ถนนหมายเลข 3259 บริเวณหน้าหน่วยพิทักษ์ ป่าซับวัวแดง ต.วังใหม่ อ.วังสมบูรณ์ จว.สระแก้ว พบรถยนต์ตู้ ยี่ห้อโตโยต้า สีขาว ทะเบียน กทม. และรถยนต์ตู้ยี่ห้อ โตโยต้า สีขาว ทะเบียน จว.ระยอง ขับอยู่บนถนน ลักษณะคล้ายกับรถยนต์ตู้ที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ของนางแก้ว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ไล่ติดตามและเรียกให้หยุดรถ แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอตรวจสอบรถยนต์ตู้ทั้ง 2 คันดังกล่าว ผลการตรวจสอบพบว่า
1.รถยนต์ตู้ทะเบียน จว.ระยอง
1.1 นายประดิษฐ์ (นามสมมติ) สัญชาติไทย เป็นผู้ขับรถ
1.2 คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา จำนวน 5 ราย เดินทางเข้าประเทศไทยโดยผิดกฎหมายทั้งหมด
2.รถยนต์ตู้ทะเบียน กทม.
2.1 นายมนตรี (นามสมมติ) สัญชาติไทย เป็นผู้ขับรถ
2.2 นายบำเหน็จ (นามสมมติ) สัญชาติไทย เป็นผู้โดยสารและเจ้าของรถ
2.3 นายชานนท์ (นามสมมติ) สัญชาติไทย เป็นผู้โดยสาร
2.4 คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา จำนวน 5 ราย เดินทางเข้าประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย 4 ราย และถูก
กฎหมาย 1 รายซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า เป็นบุคคลเดียวกับหญิงสาวในสื่อสังคมออนไลน์ชื่อนางแก้ว
จากการสอบถามคนต่างด้าวทั้งหมดให้การว่า นางแก้วและนายชานนท์จะทำหน้าที่ติดต่อประสานงานพาคนต่างด้าวชาวกัมพูชาโดยสารรถยนต์ตู้เข้ามาในประเทศไทย ผ่านช่องทางธรรมชาติบริเวณชายแดน เพื่อมาทำงานในประเทศไทย โดยคนต่างด้าวจะต้องเสียค่าใช้จ่ายให้กับนางแก้วรายละ 3,500 บาท ในขบวนการนี้มี นายบำเหน็จ, นายมนตรี และนายประดิษฐ์ ทำหน้าที่ ขับรถรับ-ส่งคนต่างด้าวจากชายแดน จว.สระแก้วไปส่งที่ กทม. ซึ่งนายชานนท์จะแบ่งรายได้ให้กับผู้ทำหน้าที่ขับรถ รายละ 1,000 บาทต่อคน สำหรับคนต่างด้าวที่เอกสารไม่ถูกต้อง ซึ่งคนขับรถจะทราบดีว่าคนต่างด้าวชาวกัมพูซาที่โดยสารรถของตนจะไม่มีหนังสือเดินทาง หรือเอกสารประจำตัวไม่ถูกต้อง เจ้าหน้าที่ ชุดจับกุมจึงแจ้งข้อกล่าวหา คนไทยทั้ง 4 รายและนางแก้วว่า ร่วมกันให้การช่วยเหลือซ่อนเร้น หรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งบุคคลต่างด้าวให้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ส่วนคนกัมพูชา 9 รายแจ้ง ข้อกล่าวหาว่า เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต นำส่ง พงส.กก.สส.บก.ตม.3 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิม
พระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ http://www.immigration.go.th

พิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ นายเศรษฐา ทวีสิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

Design a site like this with WordPress.com
Get started