ก่อนออกหมายจำคุก จากนั้นเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ ได้นำตัวนายทักษิณ ไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
สำหรับคดีทั้ง 3 คดี ดังนี้
(1) คดีหมายเลขดำที่ อม. 3/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 4/2551 ระหว่าง คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้เข้าเป็นคู่ความแทน โจทก์ พันตำรวจโททักษิณหรือนายทักษิณ ชินวัตร จำเลย
(2) คดีหมายเลขดำที่ อม. 1/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 10/2552 ระหว่าง คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้เข้าเป็นคู่ความแทน โจทก์ พันตำรวจโททักษิณหรือนายทักษิณ ชินวัตร ที่ 1 กับพวกรวม 47 คน จำเลย
(3) คดีหมายเลขดำที่ อม. 9/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 5/2551 ของศาลนี้ ระหว่างอัยการสูงสุด โจทก์ พันตำรวจโททักษิณหรือนายทักษิณ ชินวัตร จำเลยจึงรับตัวจำเลยหรือจำเลยที่ 1 ในคดีทั้งสามคดีดังกล่าวไว้
ศาลได้แจ้งให้จำเลยหรือจำเลยที่ 1 ทราบคำพิพากษาแล้ว โดยคดีหมายเลขดำที่ อม. 3/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 4/2551 ลงโทษจำคุก 3 ปี (สามปี ) คดีหมายเลขดำที่ อม. 1/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 10/2552 ลงโทษจำคุก 2 ปี (สองปี) และคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม. 9/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 5/2551 ลงโทษจำคุกรวม 5 ปี (ห้าปี) นับโทษจำคุกของจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม. 4/2551 และต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ ในคดีหมายเลขแดงที่ อม. 10/2552
โดยสรุป นายทักษิณ จะรับโทษใน 3 คดี โดยคดีแรก คดีปล่อยเงินกู้ของบริษัทเอ็กซิมแบงก์ โทษจำคุก 3 ปี ให้นับโทษในคดีหวยบนดินที่เป็นคดีที่สอง ที่มีโทษจำคุก 2 ปีไปด้วย จึงเหลือการจำคุกในคดีที่หนึ่งและคดีที่สอง เพียง 3 ปี ส่วนคดีแปลงสัญญาสัมปทานหุ้นชินคอร์ป ที่มีโทษจำคุก 5 ปี ให้นับต่อจาก 3 ปีในสองคดีแรก โดยนายทักษิณ ต้องโทษจำคุกจริง 8 ปี








































































