ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษา 3 คดี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รวมจำคุก 8 ปี

ก่อนออกหมายจำคุก จากนั้นเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ ได้นำตัวนายทักษิณ ไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

สำหรับคดีทั้ง 3 คดี ดังนี้

(1) คดีหมายเลขดำที่ อม. 3/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 4/2551 ระหว่าง คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้เข้าเป็นคู่ความแทน โจทก์ พันตำรวจโททักษิณหรือนายทักษิณ ชินวัตร จำเลย

(2) คดีหมายเลขดำที่ อม. 1/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 10/2552 ระหว่าง คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้เข้าเป็นคู่ความแทน โจทก์ พันตำรวจโททักษิณหรือนายทักษิณ ชินวัตร ที่ 1 กับพวกรวม 47 คน จำเลย

(3) คดีหมายเลขดำที่ อม. 9/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 5/2551 ของศาลนี้ ระหว่างอัยการสูงสุด โจทก์ พันตำรวจโททักษิณหรือนายทักษิณ ชินวัตร จำเลยจึงรับตัวจำเลยหรือจำเลยที่ 1 ในคดีทั้งสามคดีดังกล่าวไว้

ศาลได้แจ้งให้จำเลยหรือจำเลยที่ 1 ทราบคำพิพากษาแล้ว โดยคดีหมายเลขดำที่ อม. 3/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 4/2551 ลงโทษจำคุก 3 ปี (สามปี ) คดีหมายเลขดำที่ อม. 1/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 10/2552 ลงโทษจำคุก 2 ปี (สองปี) และคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม. 9/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 5/2551 ลงโทษจำคุกรวม 5 ปี (ห้าปี) นับโทษจำคุกของจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม. 4/2551 และต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ ในคดีหมายเลขแดงที่ อม. 10/2552

โดยสรุป นายทักษิณ จะรับโทษใน 3 คดี โดยคดีแรก คดีปล่อยเงินกู้ของบริษัทเอ็กซิมแบงก์ โทษจำคุก 3 ปี ให้นับโทษในคดีหวยบนดินที่เป็นคดีที่สอง ที่มีโทษจำคุก 2 ปีไปด้วย จึงเหลือการจำคุกในคดีที่หนึ่งและคดีที่สอง เพียง 3 ปี ส่วนคดีแปลงสัญญาสัมปทานหุ้นชินคอร์ป ที่มีโทษจำคุก 5 ปี ให้นับต่อจาก 3 ปีในสองคดีแรก โดยนายทักษิณ ต้องโทษจำคุกจริง 8 ปี

จังหวัดอำนาจเจริญ ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ให้บริการตรวจรักษาโรคทั่วไปแก่ประชาชนพร้อมแนะนำรักษาสุขภาพ


วันนี้ (22 สิงหาคม 2566) ที่ ณ วัดสร้างถ่อนอก หมู่ที่ 1 ตำบลสร้างถ่อน้อย อำเภอเมืองหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ นายฤทธิสรรค์ เทพพิทักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ เป็นประธานในการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. บริการประชาชนในพื้นที่ตำบลสร้างถ่อน้อย อำเภอหัวตะพาน และได้มอบชุดยาพระราชทาน จำนวน 50 ชุด ให้ผู้นำชุมชนไปแจกจ่ายประชาชนที่มีฐานะยากจนในพื้นที่ จำนวน 50 ครัวเรือน โดยมีนายแพทย์ถิรพุทธิ เฉลิมเกียรติสกุล รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอำนาจเจริญ นำทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ออกให้บริการช่วยเหลือประชาชนในการรักษาป้องกันโรคและส่งเสริมฟื้นฟูสุขภาพอนามัยของประชาชน
หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอำนาจเจริญ โรงพยาบาลอำนาจเจริญ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในพื้นที่ ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ให้บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป บริการด้านทันตกรรม บริการแพทย์แผนไทย แนะนำการส่งเสริมสุขภาพ การควบคุมโรคติดต่อตามฤดูกาล การตรวจเช็คมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง ตลอดจนชี้แจงข้อมูลข่าวสาร รณรงค์ให้ความรู้ต่าง ๆ แก่ประชาชน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดี โดยเฉพาะช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ต้องรักษาสุขภาพตนเองให้ดี เช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ และปรุงสุกใหม่ๆ พักผ่อน นอนหลับให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกาย ทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง
จังหวัดอำนาจเจริญ ได้รับพระราชทานให้เป็นจังหวัด พอ.สว. ลำดับที่ 49 เมื่อปีพุทธศักราช 2537 เป็นต้นมา ปัจจุบันมีอาสาสมัคร พอ.สว. สายแพทย์ พยาบาล สาธารณสุขและอื่นๆ รวม 1,558 คน ได้จัดกิจกรรมออกปฏิบัติงานเพื่อให้บริการประชาชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และปัจจุบันสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงเป็นประธานกิตติมศักดิ์ มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทำให้หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ดำเนินการช่วยเหลือประชาชนมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
มนัส เอมโอด ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดอำนาจเจริญ 093-565-0759

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร่วมเป็นวิทยากรงานสมัชชาสิทธิมนุษยชน 2566 หารือการผลักดันการบริหารจัดการทะเบียนประวัติอาชญากร

วันนี้ (23 ส.ค.66) เวลา 14.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้ร่วมเป็นวิทยากรในการอภิปรายในงานสมัชชาสิทธิมนุษยชน ประจำปี พ.ศ.2566 ซึ่งจัดขึ้นที่ โรงแรมเซนทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 23-24 ส.ค.66 จัดขึ้นโดย คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยในปีนี้ได้มีการจัดการอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นใน 3 หัวข้อหลัก ได้แก่ การขับเคลื่อนการดำเนินการตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2566, การผลักดันการบริหารจัดการทะเบียนประวัติอาชญากร และอนาคตกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ซึ่งในวันนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้มีการแก้ไขระเบียบต่างๆ เกี่ยวกับการจัดเก็บทะเบียนประวัติอาชญากรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ได้เข้าร่วมเป็นวิทยากรในหัวข้อดังกล่าวด้วย

ในการอภิปรายนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้นำเสนอเกี่ยวกับการดำเนินการตามโครงการ “ลบประวัติล้างความผิด คืนชีวิตให้ประชาชน” ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งโครงการดังกล่าวเกิดจากการที่มีพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาเกี่ยวกับระบบการจัดเก็บประวัติอาชญากร และการถอนชื่อออกจากทะเบียนประวัติอาชญากร ซึ่งเมื่อบุคคลใดมีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลดังกล่าวแล้ว ก็จะส่งผลกระทบต่อการพิจารณาเข้าทำงานต่างๆ ขาดโอกาสในการกลับไปใช้ชีวิตโดยปกติสุขได้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ในครั้งที่ยังดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.ในขณะนั้น ให้แก้ไขปัญหาดังกล่าว โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ได้เล็งเห็นปัญหาดังกล่าวที่สร้างผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนในวงกว้าง เนื่องจากตรวจสอบพบว่า มีรายการทะเบียนประวัติที่ไม่มีการรายงานผลคดีถึงที่สุดคงค้างอยู่มากถึง 13 ล้านรายการ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ จึงได้เร่งแก้ไขปัญหาและบริหารจัดการตรวจสอบผลคดีของรายการคงค้างทั้งหมดจนเสร็จสิ้นภายในระยะเวลาเพียง 1 ปีเศษ ต่อมาในปี พ.ศ.2565 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. มอบหมายให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ พิจารณาปรับปรุงแก้ไขระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทะเบียนประวัติ ร่วมกับกองทะเบียนประวัติอาชญากร และศูนย์นิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เพื่อคืนความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนได้สามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้

ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 เม.ย.66 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ประกาศ ระเบียบ ตร.ว่าด้วยประมวลระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 32 การพิมพ์ลายนิ้วมือ พ.ศ.2566 เพื่อแก้ไขการจัดเก็บประวัติแบบใหม่ โดยแบ่งฐานข้อมูลออกเป็น 3 ทะเบียน ได้แก่ ทะเบียนประวัติผู้ต้องหา (ผู้ต้องหาคดีอาญาแต่คดียังไม่ถึงที่สุด), ทะเบียนประวัติผู้กระทำผิดที่มิใช่อาชญากร (ผู้ต้องหาที่มีคำพิพากษาจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือรอลงการโทษ) และทะเบียนประวัติอาชญากร (ผู้ต้องหาที่มีคำพิพากษาจำคุกเกินกว่า 1 เดือน แต่มิใช่คดีประมาท) ซึ่งฐานข้อมูลที่ใช้ในการตรวจสอบยืนยันประวัติทั่วไป จะถูกใช้แค่ทะเบียนประวัติอาชญากรเท่านั้น ในส่วนอื่นจะไม่มีการเปิดเผยโดยทั่วไปแต่อย่างใด จากการปรับปรุงแก้ไขระเบียบดังกล่าว ทำให้พี่น้องประชาชนไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนประวัติอาชญากรตามหลักเกณฑ์มากถึง 9.3 ล้านราย ซึ่งทำให้พี่น้องประชาชนในกลุ่มดังกล่าว สามารถกลับไปใช้ชีวิตและเข้าสมัครงานได้ตามปกติต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้รับทราบถึงปัญหาของพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากระบบการจัดเก็บทะเบียนประวัติอาชญากรแบบเดิม ทำให้เสียโอกาสในการใช้ชีวิตโดยปกติสุขเป็นจำนวนมาก จึงได้เร่งผลักดันในการปรับปรุงฐานข้อมูลของทะเบียนประวัติที่ขาดการรายงานผลคดีถึงที่สุดจำนวนถึง 13 ล้านรายการให้เป็นปัจจุบันภายในระยะเวลาเพียง 1 ปีเศษ รวมทั้งได้แก้ไขระเบียบการจัดเก็บลายนิ้วมือผู้ต้องหาใหม่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่สังคมและพี่น้องประชาชนส่วนรวมให้ได้มากที่สุด โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนตามรัฐธรรมนูญไทย รู้สึกภูมิใจที่มีพี่น้องจำนวนมากถึง 9.3 ล้านรายที่ได้รับประโยชน์จากหลักเกณฑ์ใหม่ ซึ่งทำให้ไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนประวัติอาชญากร​ ตามโครงการลบประวัติล้างความผิดคืนชีวิตให้กับประชาชน จากนี้จะมีการพิจารณาจัดทำช่องทางเว็บไซต์ที่ทำให้ประชาชนสามารถตรวจสอบคุณสมบัติและประวัติอาชญากรเบื้องต้นได้ต่อไป

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วยคุณสุมนา นายกสมาคมบ้านตำรวจ ร่วมกิจกรรมในโครงการธรรมนำใจ ครั้งที่ 6

วันที่ 23 ส.ค.66 เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วยคุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมบ้านตำรวจ และคณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงของ ตร. ร่วมกิจกรรมในโครงการธรรมนำใจ ครั้งที่ 6 ในการนี้ ได้รับเมตตาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม จ.ชลบุรี เเสดงธรรมเทศนาเรื่อง “ธรรมะปฏิบัติสำหรับข้าราชการตำรวจ” ณ ห้องประชุมแจ้งยอดสุข ชั้น 2 อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ ตร.

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ สั่งขยายผลจับกุมเครือข่ายลักลอบขนย้ายแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเข้ากรุงหลังมีการหลบหนีเจ้าหน้าที่จนเกิดอุบัติเหตุและมีผู้เสียชีวิต

จากกรณีเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.66 เกิดเหตุรถตู้ลักลอบขนย้ายแรงงานต่างด้าวเสียหลักพลิกคว่ำ ทำให้เกิดไฟลุกท่วม พบผู้เสียชีวิตภายในซากรถคันดังกล่าวจำนวน 4 ราย บาดเจ็บอีก 6 ราย เหตุเกิดบริเวณถนนสายเอเชีย ช่องทางคู่ขนานเบี่ยงไปทางถนนพหลโยธิน ขาเข้ากรุงเทพมหานคร ช่วงหลักกิโลเมตรที่ 1 หน้าโรงเรียนเชียงรากน้อย ต.เชียงรากน้อย อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ตามที่สื่อมวลชนได้นำเสนอไปแล้วนั้น

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร./ผอ.ศพดส.ตร. ได้สั่งการให้มีการสืบสวนขยายผล และตรวจสอบข้อมูลของขบวนการลักลอบขนย้ายแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายดังกล่าว เบื้องต้นสืบทราบว่า ขบวนการดังกล่าวมีการแบ่งหน้าที่และจัดขบวนรถในการลักลอบขนย้ายแรงงานต่างด้าว ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถสกัดจับกุมผู้ต้องหาพร้อมแรงงานต่างด้าวได้ในพื้นที่ สภ.เมืองนครสวรรค์, สภ.บางปะอิน และ สภ.พระอินทร์ราชา จึงได้มีการบูรณาการร่วมกันโดย ศพดส.ตร., ตำรวจภูธรภาค 1, ตำรวจภูธรภาค 6, กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5, สภ.เมืองนครสวรรค์, สภ.บางปะอิน และ สภ.พระอินทร์ราชา ร่วมกันสืบสวนขยายผลเครือข่ายลักลอบขนย้ายแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย
เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่า กลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้พร้อมแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ สภ.เมืองนครสวรรค์, สภ.บางปะอิน. และ สภ.พระอินทร์ราชา นั้นเป็นกลุ่มเครือข่ายเดียวกัน มีพฤติการณ์ในการขับรถตู้รับส่งทั่วไป เมื่อมีงานรับแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย จะมี นายธนะเมศฐ์ฯ หรือ นายต้น และ นายณรงค์ศักดิ์ฯ หรือ นายต่อ เป็นผู้ประสานงานระหว่างกลุ่มคนขับรถตู้ และจะมีผู้ทำหน้าที่คอยส่งงานจากจังหวัดตาก ทราบภายหลังคือ นายวิเชียรฯ โดยมีการนัดหมายสถานที่รับแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ อ.บ้านตาก จ.ตาก เพื่อให้กลุ่มรถตู้เข้าไปรับแล้วตัวแรงงานต่างด้าว ก่อนนำไปส่งตามจุดต่างๆ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่แรงงานต่างด้าวนั้นๆ แจ้งไว้ โดยในวันเกิดเหตุ มีการจัดเตรียมรถตู้และรถนำทางในการไปรับส่งแรงงานต่างด้าวทั้งหมด 9 คัน เมื่อรับแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว จะมีรถนำทางทำหน้าที่ตรวจสอบเส้นทางว่ามีการตั้งด่านตรวจหรือมีเจ้าหน้าอยู่ตามจุดใดหรือไม่ จากนั้นกลุ่มรถตู้ที่ขนแรงงานต่างด้าวจะขับตามออกมาโดยทิ้งระยะห่างกันไม่มาก จากข้อมูลดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุม นายสมชายฯ (คนขับรถตู้) พร้อมแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย จำนวน 13 ราย และ น.ส.ปาริฉัตรฯ (คนขับรถนำ) ในพื้นที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ และ จับกุม นายจิตจ่าฯ (คนขับรถตู้) พร้อมแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย จำนวน 13 ราย ในพื้นที่ สภ.บางปะอิน ส่วน นายโอภาสฯ (คนขับรถตู้) พยายามหลบหนีการจับกุม จนกระทั่งมาประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำในพื้นที่ สภ.พระอินทร์ราชา จนมีผู้เสียชีวิต ส่วนผู้ต้องหารายอื่นที่หลบหนีไปได้นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขออนุมัติหมายจับและสามารถจับกุมได้ทั้งหมด
ต่อมา ได้มีการขยายผลเพื่อติดตามจับกุมผู้ว่างจ้างจากกรณีดังกล่าว คือ นายวิเชียรฯ ซึ่งเป็นผู้ติดต่อและสั่งการกลุ่มคนขับรถตู้ในการขนย้ายแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในครั้งนี้ และยังเป็นผู้ติดต่อประสานงานกับกลุ่มคนรับแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบข้ามมาจากฝั่งประเทศเมียนมาผ่านช่องทางธรรมชาติ ก่อนจะนำมาส่งตามจุดที่ นายวิเชียรฯ สั่งการ ซึ่งทราบพฤติการณ์ว่าในขบวนการดังกล่าวมีการลักลอบขนย้ายแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายมาแล้วหลายครั้ง เมื่อกลุ่มรถตู้สามารถนำแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายไปส่งตามจุดต่างๆ เรียบร้อยแล้ว นายวิเชียรฯ จะให้บุคคลในบ้านนำเงินค่าว่าจ้างไปฝากให้กับ นายธนะเมศฐ์ฯ เพื่อกระจายให้กลุ่มคนขับรถยนต์ตู้ต่อไป ซึ่งจากการตรวจสอบบ้านพักของ นายวิเชียรฯ ในพื้นที่ อ.บ้านตาก จ.ตาก ยังพบรถยนต์กระบะและรถยนต์บรรทุกจำนวนหนึ่ง โดยมีการสร้างโรงจอดรถไว้สำหรับเปลี่ยนยางอะไหล่โดยเฉพาะ ซึ่งน่าเชื่อว่าใช้ในการลักลอบขนย้ายแรงงานตามแนวชายแดน อีกทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขยายผลไปถึงนายหน้าฝั่งประเทศเมียนมา ซึ่งมีหน้าที่ในการรวบรวมกลุ่มแรงงานต่างด้าวก่อนที่จะลักลอบเดินทางเข้ามายังประเทศไทย และกลุ่มบุคคลที่รับแรงงานต่างด้าวที่ข้ามมาตามช่องทางธรรมชาติ เพื่อไปส่งตามจุดที่ นายวิเชียรฯ สั่งการ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการขออนุมัติหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และมีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาในคดีนี้ทั้งสิ้น 18 ราย ( แจ้งข้อกล่าวหา 16 ราย, แยกคดีเนื่องจากเป็นเยาวชน 1 ราย, เสียชีวิต 1 ราย) โดยจะดำเนินคดีใน 3 ข้อหาคือ

  • ร่วมกันโดยรู้ว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ให้เข้าพัก อาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม
  • ร่วมกันนำหรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรหรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการอุปการะหรือช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวให้เข้ามาในราชอาณาจักร
  • ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ
    อีกทั้งยังได้ตรวจยึดและอายัดรถยนต์ของกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่งใช้ในการกระทำความผิดและน่าเชื่อว่าได้มาจากการกระทำความผิดในการลักลอบขนย้ายแรงงานต่างด้าวไว้เป็นจำนวนมาก
    พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า จากการจับกุมขบวนการลักลอบขนย้ายแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ได้มีการปราบปรามมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังพบการกระทำความผิดอยู่ ดังนั้นจึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการสืบสวนขยายผลเพื่อดำเนินคดีกับทั้งขบวนการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบขนแรงงานดังกล่าว ซึ่งมีการกระทำความผิดในลักษณะขององค์กรอาชญากรรม ซึ่งมีส่วนหนึ่งที่ตระเตรียมกระทำความผิดในประเทศต้นทางและส่วนหนึ่งเกิดขึ้นในประเทศไทย อีกทั้งยังมีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน เบื้องต้นในกรณีนี้ได้ดำเนินการกับผู้ต้องหาตั้งแต่นายหน้าฝั่งเมียนมา ผู้ลักลอบพาข้ามแดน และคนสั่งการรถที่ทำหน้าที่ขนย้ายบุคคลต่างด้าว ซึ่งหลังจากนี้จะดำเนินการในส่วนของคดีฟอกเงินและติดตามยึดอายัดทรัพย์สินของกลุ่มผู้ต้องหาทั้งหมด หากสืบสวนพบผู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมจะดำเนินการตามกฎหมายให้ถึงที่สุดต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อม ผอ.สำนักพุทธ และกรมบังคับคดี ร่วมเป็นสักขีพยานตรวจสอบและส่งมอบทรัพย์สินวัดบางคลาน

หลังจากเมื่อวันที่ 17 ส.ค.66 เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมประชุมหารือเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีวัดหิรัญญาราม ณ ศาลากลางจังหวัดพิจิตร โดยกำหนดการตรวจสอบและส่งมอบทรัพย์สินร่วมกัน เพื่อให้เกิดความถูกต้องและเป็นไปด้วยความเรียบร้อย นั้น

วันนี้ (22 ส.ค.66) เวลา 11.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สมาชิกวุฒิสภา นางเพ็ญรวี มาแสง รองอธิบดีกรมบังคับคดี นายมานะ สิมมา ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย นายสมบัติ พิมพ์สอน ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมประชุมหารือกัน ณ ที่ว่าการอำเภอโพทะเล จ.พิจิตร เพื่อกำหนดขั้นตอนการตรวจสอบและส่งมอบทรัพย์สินของวัดบางคลาน จากกลุ่มอดีตเจ้าอาวาสเก่า ให้กับเจ้าอาวาสวัดรูปใหม่ เพื่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ต่อมาเวลา 13.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เดินทางไปยังวัดบางคลาน เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในการตรวจสอบทรัพย์สินาภายในวัด โดยมีชาวบ้านในพื้นที่ของทั้งสองฝ่าย ร่วมต้อนรับกับเป็นจำนวนมาก ซึ่งการตรวจสอบรายการทรัพย์สินของวัดในวันนี้ จะยึดตามรายการที่ปรากฏในบัญชีของศาลฎีกาจำนวน 161 รายการ ซึ่งการดำเนินการตรวจสอบและส่งมอบทรัพย์สินของวัดทั้งหมด เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและโปร่งใส โดยมีผู้แทนจากส่วนกลางและผู้แทนของทั้งสองฝ่ายร่วมเป็นสักขีพยานเพื่อยืนยันความถูกต้อง โดยใช้เวลา 4 ชม.ครึ่งในการตรวจสอบ และพูดคุยกับชาวบ้าน โดยทุกฝ่ายให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า หลังจากที่ได้มีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางในการแก้ปัญหาและบังคับใช้กฎหมายของกรณีวัดบางคลานไปแล้วนั้น ในวันนี้ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากส่วนกลาง ได้เดินทางมาร่วมเป็นสักขีพยานในการตรวจสอบและส่งมอบทรัพย์สินของวัดบางคลาน เพื่อให้เป็นไปอย่างถูกต้องและเรียบร้อย ซึ่งในวันนี้ พี่น้องประชาชน รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่ายได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ตรวจสอบทรัพย์สินของวัดอยู่ครบทั้ง 161 รายการตามบัญขีที่ปรากฏของศาลฎีกา สามารถยุติความขัดแย้งในเรื่องการส่งมอบทรัพย์สินได้เรียบร้อยในเบื้องต้น ต่อจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและหน่วยงานท้องถิ่น จะร่วมกันดูแลรักษาความเรียบร้อยของพื้นที่บริเวณวัดบางคลาน เพื่อคืนความสงบสุขให้กับพี่น้องในพื้นที่ต่อไป

สน.บางซื่ิอ ล่าแก็งค์เคาะกระจก ป่วนประชาชน สร้างความเดือดร้อน


วันที่ 22 ส.ค.66 เวลา 08.38 น ได้รับการร้องเรียนจากสายลับพบ ผู้ก่อเหตุแก๊งเคาะกระจก บริเวณ ซ.พหลโยธิน 18 จำนวน 1 ราย สามารถถ่ายรูปป้ายทะเบียน ผู้ก่อเหตุไว้ได้

รับแจ้งจากสายลับว่ามีผู้ก่อเหตุเคาะกระจกช่วงเช้า จำนวน 1 ราย และผู้แจ้งสามารถแคปเจอร์รูปจากคลิปวิดีโอขณะก่อเหตุฯ ได้อย่างชัดเจน

ผกก.สน.บางซื่อ จึงได้สั่งการให้ จนท.ตร.บางซื่อ ออกไปติดตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุเคาะกระจกก่อความเดือดร้อนรำคาญ และนำมาปรับเต็ม 2,000 บ ให้ได้

วันนี้ 22 สิงหาคม 2566
เวลา 11.00 น.

บางซื่อ2 พร้อมกำลังสายตรวจ,ชุดเคลื่อนที่เร็ว ว.20 แก๊งค์เคาะกระจก ข้อหาก่อความเดือดร้อนรำคาญฯ บริเวณกรมขนส่งทางบก จำนวน 1 ราย

ผลการปฏิบัติงานป้องกันปราบปรามสามารถติดตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุมาเปรียบเทียบปรับเต็มจำนวน 2,000 บ และตักเตือนไปยังผู้ประกอบการ ตรอ. หากขยายผลพบว่าเป็นลูกจ้างของ ตรอ.เจ้าใด จะขยายผลดำเนินคดีไปยังผู้ประกอบการ ตรอ.เจ้านั้นด้วย

โดยขณะออกตรวจพบว่าผู้ประกอบการ ตรอ.หลายร้าน เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมลูกจ้างเปลี่ยนจากการเคาะกระจกมาเป็นการถือป้าย เชิญชวนลูกค้ามาต่อ พรบ./ภาษี/โอนรถ ทำให้ในซอยพหลโยธิน 18 การจราจรคล่องตัว รถไม่ติดขัดแต่อย่างใด

มูลนิธิโรงพยาบาลตำรวจ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จัดพิธีสมโภชและพุทธาภิเษกครั้งยิ่งใหญ่หลวงพ่อโสธร รุ่น “ตร. 108 ปี” เสริมสร้างสิริมงคลแก่ตำรวจทั่วประเทศ

ด้วยมูลนิธิโรงพยาบาลตำรวจ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ได้จัดสร้างและมอบพระพุทธรูป หลวงพ่อโสธร รุ่น “ตร 108 ปี” หน้าตักขนาด 38 นิ้ว ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อประดิษฐานเป็นพระประจำอาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ เรียบร้อยแล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์สมโภชพิธีพุทธาภิเษก และพิธีอัญเชิญพระพุทธรูปหลวงพ่อโสธรดังกล่าวขึ้นประดิษฐาน ณ หอพระหลวงพ่อโสธร เพื่อให้ข้าราชการตำรวจและประชาชนและกราบบูชาเพื่อเป็นสิริมงคลสืบต่อไป

พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า วันนี้ (20 ส.ค.66) เวลา 09.09 น. เป็นต้นไป พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ข้าราชการตำรวจ สมาคมแม่บ้านตำรวจ และมูลนิธิโรงพยาบาลตำรวจ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์สมโภชและพุทธาภิเษกพระพุทธรูปหลวงพ่อโสธร รุ่น “ตร.108 ปี” หน้าตัก 38 นิ้ว ซึ่งได้อัญเชิญมาประดิษฐานยังหอพระหลวงพ่อโสธร หน้าอาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการนี้ สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) ได้เมตตาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์

สำหรับ พิธีเจริญพระพุทธมนต์สมโภชและพุทธาภิเษกครั้งนี้ ถือเป็นพิธีมงคลครั้งสำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งภายในพิธี ฯ ได้นิมนต์พระเถราจารย์จากทั่วประเทศ จำนวน 108 รูป ร่วมสวดเจริญพระพุทธมนต์ และพุทธาภิเษกพระพุทธรูปหลวงพ่อโสธร, พระกริ่งหลวงพ่อโสธร และเหรียญรูปอาร์ม พระพุทธโสธร รุ่น “ตร.108 ปี” ซึ่งมีรายละเอียดการจัดงาน ดังนี้
•เวลา 09.00 น. แขกผู้มีเกียรติพร้อม ณ มณฑลพิธีลานด้านหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 4
•เวลา 09.09 น. ผบ.ตร.เป็นประธานพิธีบวงสรวงเทพยดาบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ มณฑลพิธีลานด้านหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 4
•เวลา 10.09 น. พิธีเจริญพระพุทธมนต์สมโภชพระพุทธรูปหลวงพ่อโสธร รุ่น ตร.108 ปี เจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมนี วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เป็นพระธานสงฆ์ ณ มลฑลพิธีห้องประชุมแจ้งยอดสุข อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
•เวลา 11.00 น. ถวายภัตตาหารเพล/ รับประทานอาหารกลางวัน
•เวลา 13.15 น. พิธีพุทธาภิเษกพระพุทธรูปหลวงพ่อโสธร รุ่น ตร.108 ปี
โดยพระเถราจารย์ 108 รูป ณ มลฑลพิธีด้านหน้าอาคาร อาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
•เวลา 17.00 น. พิธีอัญเชิญพระพุทธรูปหลวงพ่อโสธร รุ่น ตร.108 ปี ประดิษฐาน ณ หอพระหลวงพ่อโสธร หน้าอาคารศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
•เวลา 17.30 น. เสร็จพิธี

¬พระพุทธโสธร รุ่น “ตร. 108 ปี” มีวัตถุประสงค์จัดสร้างขึ้นเพื่อจัดหารายได้มอบให้แก่มูลนิธิโรงพยาบาลตำรวจ ในพระบรมราชินูปถัมภ์, มูลนิธิสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจและครอบครัว และสมาคมตำรวจ เพื่อใช้เป็นเงินสนับสนุนในการช่วยเหลือ และเป็นสวัสดิการให้กับข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ อีกทั้งในปี 2566 เป็นปีประวัติศาสตร์ครบรอบ 108 ปี กรมตำรวจ ซึ่งตัวเลข 108 มีความเชื่อว่าจะนำมาซึ่งโชคลาภและสิริมงคล โดยในทางพระพุทธศาสนาเชื่อว่าจะทำให้เกิดสัมฤทธิ์ผล 108 คือ ผลรวมของพระพุทธคุณ (56) พระธรรมคุณ (38) และพระสังฆคุณ (14) จึงเป็นที่มาของชื่อรุ่นว่า “ตร. 108 ปี” และมี “รูปพระแสงดาบเขนและโล่” ประกอบแบบพิมพ์ ทั้งนี้ สำหรับเหรียญรูปอาร์มพระพุทธโสธรเนื้อทองแดง จะได้มีการแจกจ่ายให้กับข้าราชการตำรวจทุกนายทั่วประเทศ เพื่อเป็นสิริมงคล และเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานต่อไป

พล.ต.อ.วิสนุ จเรตำรวจแห่งชาติและคณะเดินทางมาตรวจเยี่ยมสน.บางซื่อ

วันนี้(18 สิงหาคม 2566) เวลา15.00น.
พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ/จเรตำรวจแห่งชาติและคณะเดินทางมาตรวจเยี่ยมสน.บางซื่อ
พร้อมเป็นตัวแทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบพระนิรันตรายแก่ข้าราชการตำรวจ สน.บางซื่อ
โดยมี
-พ.ต.อ.ภูวดล อุ่นโพธิ
ผกก. สน.บางซื่อ
-พ.ต.ท.วรภัทร สุขไทย
รอง ผกก ป.สน.บางซื่อ
-พ.ต.ท.หญิง ชุติมา ศิริเมธาวี/หัวหน้างานสอบสวน
-พ.ต.ท.พูนพัฒน์ ธรรมรชต์เจริญ/รอง ผกก สสฯ
-พ.ต.ท.ธีรยุทธ มีเจริญ
รอง ผกก.จร.สน.บางซื่อ
และข้าราชการตำรวจ
ในสังกัด สน.บางซื่อ
ร่วมให้การต้อนรับและรับ-มอบพระนิรันตราย
ทั้งนี้เพื่อเคารพสักการะบูชาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจ
ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการต่อไป

ณ.ห้องประชุมชั้น2

สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ฯ เปิดยุทธการโค่นเสาสัญญาณแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกตุ๋นคนไทย


.
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ พร้อม เจ้าหน้าที่ กสทช. เปิดยุทธการตรวจค้นจับกุมเสาสัญญาณเถื่อนตามแนวชายแดน ส่งสัญญาณข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เอื้อกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ใช้หลอกลวงคนไทย
.
สืบเนื่องจากกลุ่มคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีการไปตั้งฐานกระทำความผิดอยู่ตามแนวชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน และโทรศัพท์มาหลอกลวงคนไทย ในรูปแบบต่างๆ ทำให้เกิดความเสียหายขึ้นเป็นจำนวนมาก พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ให้ความสำคัญในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมอบหมายให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบงานป้องกันปราบปราม กวดขันปราบปรามการลักลอบกระทำความผิดในลักษณะดังกล่าวตามแนวชายแดนมาอย่างต่อเนื่อง
.
วันนี้ ( 16 สิงหาคม 2566 ) พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับ พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กรรมการ กสทช. ด้านกฎหมายและประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 และ พล.ต.ต.ณัฐพงษ์ สัตยานุรักษ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว นำกำลังลงพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เพื่อตรวจสอบสถานีวิทยุคมนาคมที่ไม่ได้รับอนุญาต และสถานีวิทยุคมนาคมที่ได้รับอนุญาตแต่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขการได้รับอนุญาต เช่น หันตัวส่งสัญญาณไปยังประเทศเพื่อนบ้าน รวมจำนวน 27 สถานี
.
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ฯ กล่าวว่า สืบเนื่องจากการหลอกลวงและกระทำผิดทางเทคโนโลยีในปัจจุบันที่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนเป็นวงกว้างและมีมูลค่าความเสียหายที่สูงมาก ถือเป็นนโยบายสำคัญเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการปราบปรามอย่างจริงจัง โดยจากแนวทางการสืบสวนพบว่าแก๊ง Call Center ส่วนใหญ่ อยู่บริเวณแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ได้อาศัยสัญญาณโทรศัพท์และสัญญาณอินเทอร์เน็ตจากประเทศไทยในการกระทำผิดหลอกลวงคนไทย จึงมอบหมายให้ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ทำการสืบสวนจนพบว่าบริเวณใกล้กับแนวชายแดน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว มีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายประกอบด้วย
.
การลักลอบตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต และหันสายอากาศไปยังประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน 4 สถานี อันเป็นการกระทำความผิดฐาน “มีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมและตั้งสถานีวิทยุโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต” จึงได้ทำการรื้อถอนและตรวจยึดอุปกรณ์ที่ใช้กระทำความผิด นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี
.
และพบว่า มีสถานีวิทยุคมนาคมที่ได้รับอนุญาต แต่มีสายอากาศ หรือ sector หันไปทางประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน 23 สถานี โดยเจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ผู้รับใบอนุญาต เร่งแก้ไขปรับปรุงหรือปฏิบัติให้ถูกต้อง โดยให้ถอนการติดตั้งสายอากาศบางจุด หรือปรับทิศทางสายอากาศ เพื่อมิให้แพร่สัญญาณออกนอกประเทศไทย
.
นอกจากนี้ยังสามารถล่อซื้อจับกุมผู้ลักลอบจำหน่าย ซิมการ์ดโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือซิมม้า ซึ่งมีการลงทะเบียนใช้งานโดยบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช้ผู้ใช้งานจริง บริเวณแนวชายแดน ในพื้นที่ตลาดโรงเกลือได้เป็นจำนวนมาก จึงได้ดำเนินการจับกุมผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และตรวจยึดของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
.
“ปฏิบัติการครั้งนี้ ถือเป็นความร่วมมือของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงาน กสทช. เราสามารถทลายสถานีส่งสัญญาณบริเวณแนวชายแดน ซึ่งเป็นเครื่องมือของกลุ่มมิจฉาชีพที่มีการลักลอบนำสัญญาณจากประเทศไทยเข้าไปใช้ในประเทศเพื่อนบ้าน และย้อนกลับมาหลอกลวงคนไทย ถือเป็นการตัดวงจรของกลุ่มแก๊ง Call Center คือ ซิม สาย เสา ซึ่งหากมีการตัดสัญญาณที่มีการลักลอบได้ จะทำให้การกระทำความผิดน้อยลงและกระทำได้ยากขึ้น โดยขณะนี้กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือตำรวจไซเบอร์ได้ลงพื้นที่ X-Ray ตรวจสอบพื้นที่แนวชายแดนทุกด้านแล้ว และจะมีปฏิบัติการในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อกดดันปราบปรามและตัดวงจรอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างถอนรากถอนโคน ”
.
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ฯ ยังได้ฝาก ประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชนว่า กลุ่มมิจฉาชีพมีการปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่ ๆ ตลอดเวลา เพื่อหลอกลวงข้อมูลจากเหยื่อ และมักแอบอ้างหน่วยงานของรัฐ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ จึงขอให้พิจารณาตรวจสอบข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนทุกครั้ง หากไม่แน่ใจแนะนำให้สอบถามกับหน่วยงานโดยตรง หรือสามารถสอบถามได้ที่ หมายเลขสายด่วน 1441 หรือ หมายเลขสายตรง 081-866-3000

Design a site like this with WordPress.com
Get started