พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อม ผอ.สำนักพุทธ และกรมบังคับคดี ลงพื้นที่พิจิตร ประชุมร่วมท้องถิ่นแก้ปัญหาวัดบางคลาน

จากกรณีเมื่อวันที่ 6 เม.ย.66 มีกลุ่มชายฉกรรจ์บุกเข้าไปในวัดหิรัญญาราม หรือวัดบางคลาน ต.บางคลาน อ.โพทะเล จ.พิจิตร และทำร้ายร่างกายไวยาวัจกร และกลุ่มคนงานได้รับบาดเจ็บ เหตุจากความขัดแย้งเกี่ยวกับการปลดอดีตเจ้าอาวาส จากกรณีใช้เงินวัดผิดวัตถุประสงค์ ซึ่ง สภ.โพทะเล ภ.จว.พิจิตร ได้มีการดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหารวม 21 คน แต่ต่อมาเมื่อกลุ่มเจ้าอาวาสใหม่จะเข้าไปบริหารภายในเขตวัด กลับเกิดความวุ่นวายระหว่างกลุ่มชาวบ้านฝั่งของอดีตเจ้าวาสเข้ายึดพื้นที่วัด ทำให้เป็นปัญหายืดเยื้อจนมาถึงปัจจุบัน ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอไปแล้ว นั้น

วันนี้ (17 ส.ค.66) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย นายอินทพร จั่นเอี่ยม รักษาการ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นางเพ็ญรวี มาแสง รองอธิบดีกรมบังคับคดี นายมานะ สิมมา ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมหารือเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีวัดหิรัญญาราม ณ ศาลากลางจังหวัดพิจิตร โดยเมื่อวันที่ 9 ส.ค.66 ที่ผ่านมา นายพยนต์ อัศวพิชยนต์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ได้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินและแก้ไขปัญหาวัดบางคลาน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรเป็นประธานกรรมการ และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมปฏิบัติ เบื้องต้นในส่วนของการบังคับใช้กฎหมายนั้น จะมีการยึดคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นหลัก โดยจะให้กรมบังคับคดีพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการเปิดทรัพย์และตรวจสอบทรัพย์สินภายในวัดว่าอยู่ครบถ้วนตามรายการทรัพย์สินที่แสดงในชั้นศาลฎีกาหรือไม่ ซึ่งกรณีดังกล่าวต้องให้เจ้าอาวาสรูปใหม่เข้าทำหน้าที่ หากมีการตรวจพบการทุจริตหรือการร้องเรียนอื่น ก็จะต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติมโดยละเอียดอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ส่วนเรื่องการแต่งตั้งเจ้าอาวาสนั้น เป็นเรื่องของคณะสงฆ์ ทางคณะทำงานจะไม่มีการแทรกแซงแต่อย่างใด

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า วันนี้ได้มีการประชุมร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักพระพุทธศาสนา กรมบังคับคดี ฝ่ายปกครองจังหวัดพิจิตร และผู้แทนกระทรวงมหาดไทย ในการหารือวิธการแก้ไขปัญหาของวัดบางคลาน ซึ่งเป็นปัญหาที่ต่อเนื่องกันมาเป็นระยะเวลานาน โดยที่ประชุมมีมติให้มีการดำเนินการตามคำสั่งศาลให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยจะให้กรมบังคับคดี ร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการเกี่ยวกับการตรวจสอบทรัพย์สินของทางวัดให้ครบถ้วน เพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลฎีกาเป็นหลัก โดยจะดำเนินการในวันที่ 22 ส.ค.66 เวลา 10.00 น. และจะดำเนินการให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย หากตรวจสอบพบการทุจริตอื่นใด ก็จะต้องตรวจสอบและดำเนินคดีตามกฎหมาย ขอยืนยันจะดำเนินการเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนในบริเวณวัดบางคลานให้เร็วที่สุด

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยออนไลน์แก็งคอลเซ็นเตอร์ทำตัวเป็นปลิง หลอกดูดเลือดนักข่าว สูญเงิน 1.2 ล้าน


สืบเนื่องจาก พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. / หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน เนื่องจากในช่วงนี้ มีคดีแก็งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้นักข่าวติดตั้งแอปพลิเคชันดูดเงิน สุดท้ายนักข่าวสูญเงินไป 1.2 ล้าน จึงได้ร่วมกันแถลงข่าวให้ประชาชนทราบ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2566 เวลา 14.00 น. ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ตอท. กล่าวว่า กรณีนี้ได้มีคนร้ายแก็งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์หาเหยื่อแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน หลอกให้อัพเดทข้อมูลการชำระภาษีที่ดิน จากนั้นคนร้ายได้ให้เหยื่อเพิ่มเพื่อนไลน์ และให้กดลิงก์เข้าเว็บไซต์กรมที่ดินปลอม ต่อมาให้กดดาวน์โหลดที่ข้อความโฆษณา(Banner) ตรากรมที่ดิน เพื่อติดตั้งแอปพลิเคชันควบคุมโทรศัพท์ของเหยื่อ คนร้ายได้ให้เหยื่อดำเนินการตามขั้นตอน โดยอ้างว่าเพื่อความปลอดภัยและปกป้องข้อมูลของเหยื่อ และให้เหยื่อยืนยันตัวตน โดยให้เหยื่อกรอกข้อมูลรหัสส่วนตัวที่ตั้งขึ้นสำหรับเข้าแอปพลิเคชัน เป็นตัวเลข จำนวน 6 ตัว จำนวน 2 ครั้ง เพราะจะใช้รหัสนี้ทุกครั้งในการเข้าแอปพลิเคชัน (ทำให้เหยื่อหลงไปตั้งรหัสซ้ำกับแอปพลิเคชันธนาคารจริงหรือตั้งรหัสแอปพลิเคชันธนาคารตรงกับ วันเดือนปีเกิด หรือเลขโทรศัพท์ หรือบัตรประชาชน) แล้วให้กดยินยอมที่หน้าจอ 3 จุด จากนั้นหน้าจอโทรศัพท์ของเหยื่อปรากฏการทำงานเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยคนร้ายได้ชวนเหยื่อคุยและบอกให้รอจนครบ 100% ระหว่างชวนคุยนั้น คนร้ายจะนำรหัสที่ได้ หรือหมายเลขโทรศัพท์ หรือวันเดือนปีเกิดกดเข้าแอปธนาคาร หรือหลอกให้เหยื่อกดเข้าแอปธนาคารด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อจะได้เห็นเลขรหัส จากนั้นคนร้ายได้หลอกให้เหยื่อสแกนใบหน้าโดยอ้างว่ายืนยันข้อมูลบุคคลและอัพเดทข้อมูลในกรมที่ดิน แต่ความจริงเป็นการปรับยอดการโอนในแอปให้สูงขึ้นหรือโอนเงินเกิน 50,000 บาทต่อครั้ง แล้วคนร้ายก็จะโอนเงินออกจากบัญชีของเหยื่อออกไป รวมทั้งได้ทำรายการถอนเงินสดจากบัตรเครดิตมาใส่ในบัญชีธนาคาร แล้วถอนเงินออกไปจนหมด
จุดสังเกต

  1. ของปลอม
    1.1 ไลน์เป็นชื่อบัญชีส่วนบุคคล และจะไม่ขอเพิ่มเพื่อนโดยเจ้าหน้าที่
    1.2 นามสกุลของโดเมนของเว็บไซต์ มักลงท้ายด้วย .cc และไม่ได้ให้โหลดผ่าน Google Play (ให้กด 3 จุดด้านล่างขวา และบอกให้กดโหลด “ช่องทางอื่น” หรือ “chrome”)
    1.3 ไม่สามารถกดเมนูปุ่มใดๆได้ ยกเว้นปุ่มเมนูที่คนร้ายบอก
  2. ของจริง
    2.1 ไลน์เป็นชื่อ Smart Lands ซึ่งเป็นบัญชีทางการ (Official) ไม่สามารถโทรคุยกับคนทั่วไปได้
    2.2 แอปพลิเคชันของจริงจะโหลดได้จาก Google Play หรือ App store เท่านั้น
    2.3 สามารถกดเมนูเพื่อเข้าไปยังหน้าจอต่างๆได้ตามปกติ
    วิธีป้องกัน
  3. หาช่องทางตัดสาย แล้ว “เช็ค ก่อน เชื่อ” คือโทรหาเบอร์ call center หน่วยงานที่คนร้ายแอบอ้างก่อนว่า “จริงหรือไม่” กรมที่ดินเบอร์ สายด่วนกรมที่ดิน หมายเลข 02-141-5555 หรือ กรมพัฒนาธุรกิจ เบอร์ 1570, 02 528 7600 หรือ หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เบอร์ 1129 และ การไฟฟ้านครหลวง เบอร์ 1130 ซึ่งเป็น ซึ่งเป็น 3 แอป ยอดนิยมในการหลอก เพื่อสอบถามว่ามีจริงหรือไม่ หรือโทรมาที่ 1441 ก่อนดำเนินการใดๆ
  4. ไม่กดลิงก์ใน SMS หรือไลน์แปลกปลอม ที่เราไม่รู้จักตัวจริงหรือไลน์ทางการของหน่วยงานนั้นมาก่อน และที่สำคัญ อย่าติดตั้งแอปพลิเคชัน ใดๆ ตามคำแนะนำเป็นอันขาด หากต้องการติดตั้งแอปพลิเคชันใดๆ ควรโหลดและติดตั้งจาก Google Play หรือ Apple Store โดยเข้าไปค้นหา “ชื่อ” ด้วยตนเอง ห้ามบันทึกลิงก์(Copy) จากคนที่เราไม่รู้จักให้มาแล้วนำไปวางในช่องเว็บเบราว์เซอร์เพื่อติดตั้งแอปพลิเคชัน
    พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 กล่าวว่า สำหรับคดีคุณประวีณมัย บ่ายคล้อย นักข่าวช่อง 3 ที่โดนคนร้ายแก็งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้ติดตั้งแอปพลิเคชันควบคุมโทรศัพท์แล้วโอนเงินออกไปนั้น ถือได้ว่าคุณประวีณมัยฯ รู้ตัวว่าถูกหลอกและสามารถโทรศัพท์ไปยังศูนย์รับแจ้งเหตุภัยทางการเงินของธนาคาร(สายด่วนธนาคาร) เพื่อระงับบัญชีม้าไว้ได้อย่างรวดเร็ว (ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566) จากนั้นได้เข้าไปแจ้งความร้องทุกข์ที่ สน.ภาษีเจริญ ภายในเวลา 72 ชม. และพนักงานสอบสวนได้มีหนังสือภายในเวลาไม่เกิน 7 วัน สั่งให้ธนาคารอายัดเงินไว้ ทำให้สามารถอายัดบัญชีได้ทันบางส่วน จากนั้นได้มีการส่งเรื่องมาจาก บก.สอท.1 เพื่อทำการสืบสวนสอบสวนต่อ ซึ่งขณะนี้ บก.สอท.1 ได้ดำเนินการอายัดบัญชีม้าทั้ง 6 แถว รวม 24 บัญชี ไว้ และได้เรียกเจ้าของบัญชีทุกบัญชีให้มาชี้แจง เพื่อพิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมายอาญาต่อไป
    สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน จึงขอแจ้งเตือนให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบว่าปัจจุบันยังมีคนร้ายแก็งคอลเซ็นเตอร์แอบอ้างกรมที่ดิน ตั้งแต่เดือน มี.ค.2566 ถึงปัจจุบัน มีกว่า 800 เคส โดยเฉพาะเดือน ก.ค.2566 ที่ผ่านมา มีการหลอกหลวงโดยวิธีการดังกล่าวมากถึง 190 เคส เพื่อให้ติดตั้งแอปพลิเคชันควบคุมโทรศัพท์เพื่อโอนเงินออกไป และยังมีภัยออนไลน์ที่คนร้ายได้พัฒนาวิธีการหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ อยู่เป็นจำนวนมาก และเพื่อให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ในรูปแบบใหม่ สามารถติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนภัยออนไลน์ได้ผ่านทาง http://www.เตือนภัยออนไลน์.com Facebook https://www.facebook.com/เตือนภัยออนไลน์ หมายเลขโทรศัพท์ 081-866-3000 หรือโทรศัพท์สายด่วน 1441 กรณีถูกคนร้ายหลอกลวงแจ้งความตำรวจผ่านระบบ http://www.thaipoliceonline.com

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เข้าร่วมประชุมหารือศูนย์ประสานงานเฉพาะกิจเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ในจังหวัดเมียวดี ร่วมกับ 4 ประเทศภาคี เพื่อร่วมจัดแผนปฏิบัติการพร้อมรับมือองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ

วันนี้ (16 ส.ค.66) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) พร้อมคณะได้เดินทางเข้าร่วมการประชุมศูนย์ประสานงานไตรภาคีเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ในพื้นที่จังหวัดเมียวดี สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติแห่งราชอาณาจักรไทย กระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้น ณ โรงแรมแชงกรีล่า จ.เชียงใหม่ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจากทั้ง 3 ประเทศเข้าร่วมประชุม รวมทั้งผู้แทนจากกระทรวงป้องกันความสงบ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ด้วย

การจัดตั้งศูนย์ประสานงานเฉพาะกิจนี้ เป็นอีกหนึ่งความร่วมมือระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจากทั้ง 3 ประเทศ คือ ไทย จีน และเมียนมา ซึ่งเล็งเห็นความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหลอกลวงคนไปทำงานในแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นปัญหาที่มีเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อทุกประเทศในภูมิภาค ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายหลักหลายพันล้านบาท จึงได้มีแผนการในการร่วมมือกันปราบปรามอาชญากรรมดังกล่าว รวมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการในการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ซึ่งในครั้งนี้ได้มีผู้แทนจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งเล็งเห็นความสำคัญและเสนอความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นประเทศที่ 4 ซึ่งจะทำให้การปราบปรามอาชญากรรมซึ่งกำลังกระจายตัวไปทั่วภูมิภาคนี้ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการหารือเกี่ยวกับสถานที่ตั้งศูนย์ประสานงาน ซึ่งคาดว่าจะตั้งศูนย์ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ของไทย รวมทั้งมีการจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมเพื่อแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ประสานงานของแต่ละประเทศเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งยังมีแผนที่จะขยายความร่วมมือเพิ่มไปยังอีก 2 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา และเวียดนาม รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ตำรวจสากลและ UN ร่วมสังเกตการณ์ และหลังจากนี้จะผลักดันให้มีการปฏิบัติการร่วมกันในการปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ โดยบูรณาการร่วมกันของเจ้าหน้าที่จากประเทศภาคีทั้งหมด และโดยทางการจีนจะมีการสนับสนุนในการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ รวมถึงงบประมาณและเทคโนโลยีในการปฏิบัติการต่างๆ ในการนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการปราบปรามแก๊งค์คอลเซนเตอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ รวมทั้งการประสานงานระหว่างประเทศในการเข้าช่วยเหลือเหยื่อจากการถูกหลอกลวงไปทำงานคอลเซนเตอร์ร่วมกับประเทศต่างๆ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมหารือเกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์ประสานงานช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของไทย จีน และเมียนมา ซึ่งถือเป็นความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติครั้งสำคัญซึ่งเดินทางเข้าสู่ระยะที่ 2 แล้ว แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญในการปราบปรามและแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ การหลอกคนไปทำงานในแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ซึ่งในครั้งนี้ ทางการลาวได้เห็นความสำคัญและเข้าประสานความร่วมมือเป็นประเทศที่ 4 จะทำให้การดำเนินการประสานงานของทุกประเทศมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หลังจากการประชุมในครั้งนี้แล้ว จะทำให้การจัดตั้งศูนย์ประสานงานเป็นโครงร่างที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น รวมทั้งแผนปฏิบัติงานร่วมกันของทุกประเทศ จากนี้จะเร่งขับเคลื่อนให้การจัดตั้งศูนย์ประสานงานให้เกิดขึ้นได้โดยเร็ว และมีการบูรณาการร่วมกันของประเทศภาคีเข้าปฏิบัติการปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ เพื่อตอบสนองต่อการเกิดขึ้นของอาชญากรรมให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที

สังสรรค์กระชับมิตร “ทอนส์ 79” ครั้งที่ 45สุนทร ช่วยตระกูล บก.ข่าว ยุทธศาตร์ เว็บไซค์ มหาราษฏร์

14 สิงหาคม 2566 18.00 น.
ผู้ร่วมงานมีท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี รมว.กระทรวงพาณิชย์, ท่านองอาจ คล้ามไพบูลย์, ท่านวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์, ท่านผล อนุวัตรนิติการ อดีตประธานศาลอุทธรณ์ ภาค 7, ดร.อุดม เสริมศิริมงคล ประธานห้างสรรพสินค้า พาต้า ปิ่นเกล้า, พล.ท.อนันต์ เครือแก้ว อดีตที่ปรึกษารมว. กลาโหม, พล.ต.อ. สุนทร ซ้ายขวัญ อดีตนายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ในพระบรมราชูปถัมภ์, พล.ท.มีชัย ห้องริ้ว อดีต รองแม่ทัพ ภาคที่ 1, พล.อ ประเสริฐ ยังประภากร อดีตนายทหารราชองค์รักษ์, พล.ท.ไกรเทพ อนุศักดิ์, พล.อ.ต.ณัฏอรรถ ถวิลหวัง อดีต เสนาธิการกองพลบินที่1, พล.ต.ท. กรีรินทร์ อินทรแก้ว พล.ต.ต.ประเสริฐ กาฬรัตน์, พล.ต.ต.วิบูลย์ ผกามาศ, อดีตผู้พิพากษา ชูวงศ์ ละอองศิริวงศ์, ผู้พิพากษา มานิต ศรีทอง, อดีต ส.ว. สมพงศ์ สระกวี, รต.ปรพล อดิเรกสาร ที่ปรึกษารองประธานรัฐสภาคนที่1, ดร.เจริญรัตน์ ศิริรัตนสุวรรณ ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาฯ, สมนึก วิทยารักษ์สรรค์ ประธาน บ.นสพ.พิมพ์ไทย รายวัน, พ.ต.อ.บรรดล ตัณฑ์ไพบูลย์, พ.ต.อ.พินิจ ไชยเสนีย์, อดีตอธิบดี ฐานิส ศรียะพันธ์, ผบ.เทวพงศ์พันธ์ เมืองยม, ดร.วิชา จุ้ยชุม, ดร.โพยม จันทร์น้อย, ดร.สมบัติ ชนะสิทธิ์, อจ.จำนง อุไรรัตน์, พชร จินดาโชติ, กิตติศักดิ์ สัจจัง, จิตรานันท์ เทพแก้ว, เบิ้ม ภูเก็ต, ชาตรี สระบุรี, พี่ใหญ่ พิมพ์ไทย ธีระยุทธ ผู้พัฒน์ และ ทีม ปชส.ตร.บชน., องอาจ คล้ามไพบูลย์ อดีต รมต.สำนักนายกฯ, บก.สำนักข่าวความมั่นคง กริชสุวรรณ มีสุข, บก.นกสีเหลือง นสพ.เบาะแสอาชญากรรม ฯลฯ

และเพื่อนมิตรสื่อมวลชน แขกหลายวงการ ร่วมงานคึกคัก
โรงแรมรัตนโกสินทร์ ราชดำเนิน ห้องราชา 1-5

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แถลงปิดคดีฆ่าหั่นศพแพทย์ชาวโคลอมเบียร่วมกับสถานทูตประสานญาติอำนวยความสะดวกรับศพกลับ

จากกรณีเมื่อวันที่ 3 ส.ค.66 สภ.เกาะพะงัน ภ.จว.สุราษฎร์ธานี รับแจ้งพบชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์ท่อนล่าง บรรจุอยู่ในถุงขยะ ที่บริเวณบ่อขยะ หมู่ 4 ต.เกาะพะงัน อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ต่อมาทราบว่าชิ้นส่วนดังกล่าวเป็นของ นายเอ็ดวิน มิเกล อาร์เรต้า อาร์เตก้า อายุ 44 ปี สัญชาติโคลอมเบีย ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวที่เกาะพะงัน ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียนำเสนอไปแล้วนั้น

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เร่งสืบสวนติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญดังกล่าวโดยเร็ว เนื่องจากเป็นเหตุที่ประชาชนและสื่อมวลชน รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ส่งผลต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8 และ พล.ต.ต.ศรัญญู ชำราญราช ผบก.ภ.จว. สุราษฎร์ธานี เร่งสืบสวนหาตัวคนร้ายที่ก่อเหตุในคดีดังกล่าวโดยเร็ว
จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า ก่อนเกิดเหตุ ผู้ตายได้มีการนัดหมายกับ นายแดเนียล ซานโช่ อายุ 29 ปี สัญชาติสเปน ซึ่งมีความสนิทสนมกัน เพื่อมาเที่ยวที่เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี โดยนายแดเนียลฯ เดินทางมาถึงประเทศไทยก่อนในวันที่ 31 ก.ค.66 และผู้ตายมาถึงประเทศไทยในวันที่ 1 ส.ค.66 ก่อนจะเดินทางไปพบกันที่เกาะพะงันในวันที่ 2 ส.ค.66 โดยที่ผู้ตายได้มีการจองโรงแรมสำหรับตนเองไว้แล้ว และนายแดเนียลฯ ได้จองห้องพักแยกไว้อีกที่หนึ่ง ก่อนที่นายแดเนียลฯ จะพาผู้ตายไปที่ห้องพักของตน และก่อเหตุฆาตกรรมภายในห้องดังกล่าว และได้หั่นศพออกเป็นหลายชิ้น ยัดใส่กระเป๋าเดินทางแบบสะพายข้าง และนำชิ้นส่วนไปทิ้งที่กลางทะเล ส่วนชิ้นส่วนร่างกายท่อนล่างนั้น ไม่สามารถนำใส่กระเป๋าได้ จึงได้แยกใส่ถุงดำและนำไปทิ้งที่บ่อขยะที่พบชิ้นส่วน
จากการรวบรวมพยานหลักฐานทำให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 1 ส.ค.66 นายแดเนียลฯ ได้มีการไปซื้อของเพื่อตระเตรียมการในการก่อเหตุ อาทิ มีดสับขนาด 8 นิ้ว, ถุงขยะขนาดใหญ่, น้ำยาล้างทำความสะอาด และถุงมือยาง ทำให้ทราบว่า มีการวางแผนที่จะก่อเหตุไว้ล่วงหน้า นอกจากนี้หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมด้วย พฐ. ได้เข้าตรวจสอบที่ห้องพักของนายแดเนียลฯ พบว่า บริเวณห้องน้ำ ซิงค์ล้างจาน และตู้เย็น มีร่องรอยการทำความสะอาด บริเวณท่อน้ำทิ้งพบคราบเลือด เนื้อเยื่อ คราบไขมัน และเส้นขน คาดว่าเป็นของผู้ตาย จากพยานหลักฐานดังกล่าวทั้งหมด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ดำเนินคดีกับนายแดเนียลฯ ในความผิดฐาน ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตาย โดยนายแดเนียลฯ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ในส่วนของการติดตามชิ้นส่วนร่างกายของผู้ตายนั้น นายแดเนียลฯ ให้การว่ามีการแยกชิ้นส่วนศพออกเป็น 17 ชิ้น ล่าสุดเจ้าหน้าที่ค้นพบชิ้นส่วนแล้วจำนวน 8 ชิ้น ยังเหลืออีก 9 ชิ้น ซึ่งเป็นส่วนของแขนขวา ขาซ้าย และลำตัวท่อนบน ที่ยังคงสูญหาย อยู่ระหว่างติดตามหาต่อไป ซึ่งหลังจากนี้จะร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตโคลอมเบีย ในการประสานงานกับพ่อแม่ของผู้ตาย เพื่อช่วยเหลืออำนวยความสะดวกในการแจ้งความคืบหน้าและการรับศพกลับต่อไป
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีที่สื่อมวลชนและประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ สร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เร่งทำงานอย่างหนักเพื่อนำเอาความเชื่อมั่นของประชาชนกลับมา ซึ่งคดีดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้อย่างรวดเร็ว เบื้องต้นได้กำชับเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน รวมทั้งการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ ให้ดำเนินการโดยรอบคอบและครบถ้วน นอกจากนี้ยังได้ประสานงานร่วมกันกับสถานเอกอัครราชทูตโคลอมเบีย เพื่อประสานงานกับญาติของผู้เสียชีวิต เพื่ออำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการตรวจยืนยันและรับศพกลับไปยังประเทศโคลอมเบียให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมคุณแม่สุมิตรา เข้ารับพระราชทานรางวัลงานวันแม่แห่งชาติ ประจำปี 2566

เมื่อวันที่ 13 ส.ค.66 เวลา 17.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย คุณแม่สุมิตรา หักพาล เข้าร่วมงานวันแม่แห่งชาติ ประจำปี 2566 ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ ชั้น 4 ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ แจ้งวัฒนะ พร้อมเข้ารับพระราชทานรางวัลแม่ดีเด่นแห่งชาติ และโล่เกียรติคุณลูกที่มีความกตัญญูกตเวทีอย่างสูงต่อแม่ ประจำปี 2566 จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

พิธีดังกล่าวจัดขึ้นโดยสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีหน่วยงานราชการและองค์กรต่างๆ เข้าร่วมเฉลิมพระเกียรติของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 91 พรรษา และเพื่อยกย่อง เทิดทูนพระคุณ และบทบาทของมารดาที่มีต่อสถาบันครอบครัวและสังคม นอกจากนี้ มีการพระราชทานรางวัลแม่ดีเด่นประจำปี 2563 – 2566 รวมกว่า 252 คน พระราชทานโล่เกียรติคุณแก่ลูกที่มีความกตัญญูกตเวทีอย่างสูงต่อแม่ ประจำปี 2566 จำนวน 164 คน, พระราชทานโล่รางวัลแก่ผู้ชนะเลิศการประกวดงานเขียนเทิดพระคุณของแม่ จำนวน 3 คน และพระราชทานโล่เกียรติคุณแก่ผู้มีอุปการคุณ จำนวน 80 คน ซึ่งในวันนี้ คุณแม่สุมิตรา หักพาล มารดาของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับพระราชทานพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นคุณแม่ดีเด่นประจำปี 2566 และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังได้รับคัดเลือกให้เข้ารับพระราชทานโล่เกียรติคุณลูกที่มีความกตัญญูกตเวทีอย่างสูงต่อแม่ ประจำปี 2566 อีกด้วย

” วันแม่แห่งชาติ ประจำปี ๒๕๖๖ สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ” ได้คัดเลือกแม่ดีเด่นแห่งชาติ และลูกที่มีความกตัญญูกตเวทีอย่างสูงต่อแม่ ประจำปี ๒๕๖๖

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประธานในพิธีเปิดงานวันแม่แห่งชาติประจำปี ๒๕๖๖ ในวันอาทิตย์ที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๖ เวลา ๑๗.๓๐ น. ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ ชั้น ๔ ศูนย์การประชุมวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร

โดย พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/ นายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้รับพระราชทานโล่เกียรติคุณลูกที่มีความกตัญญูกตเวทีอย่างสูงต่อแม่ และนางสุมิตรา หักพาล (คุณแม่พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล ) รับพระราชทานรางวัลแม่ดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๖๖ ทั้งนี้ สมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมแสดงความยินดี กับ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , นายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และนางสุมิตรา หักพาล (คุณแม่พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล) ด้วย

CR: ศิริพร จงศิริ ที่ปรึกษา สมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ , ผู้อำนวยการใหญ่ผลิตรายการคืนคุณให้แผ่นดิน สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร่วมพิธีทำลายอาวุธปืนของกลาง หลังคดีถึงที่สุด


รวมยอดการทำลายอาวุธปืนของกลางตั้งแต่ 1 ต.ค.65 – 31 ก.ค.66 กว่า 70,000 กระบอก
สั่งกำชับตำรวจเข้มมาตรการอาวุธปืนต่อเนื่องตามนโยบายรัฐบาล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นประชาชนวันที่ 11 ส.ค.66 เวลา 15.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เดินทางมาเป็นประธาน ในพิธีทำลายอาวุธปืนของกลาง โดยมี พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ตร.รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร.(สส1), พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วย ผบ.ตร.(สส4), พล.ต.ท.กฤษฎา สุรเชษฐพงษ์. ผบช.สกบ, พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.ภ.2, พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2, พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย รอง ผบช.ทท., พล.ต.ต. ชมชวิณ ปุระธนานนท์ รอง ผบช.ภ.7 รรท.ผบก.ภ.จว.ชลบุรี, พล.ต.ต.พงษ์พันธ์ วงศ์มณีเทศ ผบก.ภ.จว.ระยอง, พล.ต.ต.ภพพล จักกะพาก ผบก.อก.บช.ทท., พร้อมกับนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง, นายปิยะ ปิตุเตชะ นายก อบจ.ระยอง, นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการบริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน), นายทวันทร์ บุญยะวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวสท์เทค เอ็กซ์โพเนนเชียล จำกัด เข้าร่วมพิธีเป็นสักขีพยาน ณ โรงงานกลุ่มบริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) อ.นิคมพัฒนา จว.ระยอง การจัดพิธีในครั้งนี้ สืบเนื่องจากตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สำนักงาน ตำรวจแห่งชาติ ดำเนินมาตรการปราบปรามอาวุธปืนผิดกฎหมายทุกมิติ เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ของประชาชน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายดังกล่าว ได้สั่งการหน่วยระดม กวาดล้างจับกุม ขยายผล ทลายเครือข่ายอาวุธปืนผิดกฎหมาย รวมทั้งการลักลอบค้าปืนออนไลน์ พร้อมกำชับ การจำหน่าย ทำลายอาวุธปืนของกลาง เพื่อป้องกันมิให้มีการนำเอาอาวุธปืนดังกล่าวกลับมาใช้ก่อเหตุในคดีอาญา หรือลักลอบจำหน่ายไปยังบุคคลไม่หวังดี ตกอยู่ในมือของคนร้าย รวมทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้พี่น้องประชาชนด้วย ผบ.ตร.จึงมอบหมายให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบการทำลายอาวุธปืนของกลาง ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้ สำนักงานส่งกำลังบำรุง โดยกรมสรรพาวุธ สำรวจอาวุธปืนของกลางที่เก็บรักษาไว้ ตามคำสั่งศาลเพื่อรอทำลาย และให้สถานีตำรวจทั่วประเทศสำรวจอาวุธปืนของกลางตามระเบียบที่หน่วยงานระดับสถานีสามารถทำลายได้เองเพิ่มเติมอีกด้วย การทำลายอาวุธปืนของกลางของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นการนำเอาอาวุธปืนของกลาง ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาให้ริบเป็นของกลางและคดีถึงที่สุดแล้ว โดยถูกเก็บรักษาไว้ที่กองสรรพาวุธ แล้วขออนุมัติ เพื่อทำลายอาวุธปืนของกลาง โดยจะใช้วิธีการทำลายผ่านเครื่องจักรคุณภาพสูง เพื่อให้อาวุธปืนของกลางทั้งหมด สิ้นสภาพที่จะนำมาใช้งานได้ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินการทำลายด้วยวิธีการดังกล่าว มีรายละเอียด ดังนี้ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 23 ก.พ.66 จำนวน 23,387 กระบอก ครั้งที่ 2 ในวันนี้ (11 ส.ค.66) จำนวน 10,377 กระบอก ซึ่งการทำลายทั้งสองครั้ง จำนวน 33,764 กระบอก ได้รับความอนุเคราะห์จาก บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) สนับสนุนเครื่องจักรคุณภาพสูงในการทำลายอาวุธปืนของกลางจำนวนดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีอาวุธปืนของกลางอีกส่วนหนึ่งที่เข้าระเบียบที่หน่วยระดับสถานีสามารถทำลายเองได้ มีรายละเอียดการทำลาย ดังนี้ ครั้งที่ 1 วันที่ 23 ก.พ.66 สถานีตำรวจทั่วประเทศทำลายเอง จำนวน 7,176 กระบอก ครั้งที่ 2 ในวันนี้ สถานีตำรวจทั่วประเทศทำลายเอง จำนวน 31,496 กระบอก รวมจำนวนอาวุธปืนที่สถานีตำรวจทั่วประเทศทำลายเอง 38,672 กระบอก ยอดรวมอาวุธปืนของกลางที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำลายตั้งแต่ 1 ต.ค.65 – 31 ก.ค.66 จำนวนทั้งสิ้น 72,436 กระบอก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า “พิธีทำลายอาวุธปืนของกลางครั้งนี้ เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้พี่น้องประชาชน ไม่ให้มีการนำอาวุธของกลางซึ่งคดีถึงที่สุดแล้ว ออกไปใช้ในทางมิชอบ อย่างไรก็ตาม การทำลายอาวุธปืนของกลาง เป็นเพียงหนึ่งในมาตรการปราบปรามอาวุธปืนผิดกฎหมายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ได้สั่งการให้เพิ่มความเข้มดำเนินการอย่างต่อเนื่องทุกมิติ ทั้งการระดมกวาดล้าง จับกุมแหล่งผลิต จำหน่าย โดยเฉพาะการลักลอบจำหน่ายออนไลน์ เมื่อจับกุมได้ให้ขยายผลดำเนินการกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังทุกราย รวมทั้งประสานฝ่ายปกครองในการเพิกถอนใบอนุญาต เพื่อแก้ปัญหาอาวุธปืนผิดกฎหมาย ไม่ให้นำมาก่อเหตุความรุนแรงในสังคม ตามนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน”

ป.ป.ส. เปิดเวทีเสวนา เตือนภัยการใช้ยาเสพติดชนิดใหม่และการเสพยาแบบผสม อันตรายถึงชีวิต !

วันศุกร์ที่11สิงหาคม 2566 นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) มอบหมายให้นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร รองเลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นประธานเปิดการประชุม
เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับยาเสพติดและสารเสพติดชนิดใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับโทษ และผลกระทบของยาเสพติดและสารเสพติดชนิดใหม่ ให้กับเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ส. และประชาชนทั่วไปได้รู้ถึงโทษและพิษภัยของยาเสพติด และสารเสพติดชนิดใหม่ ซึ่งภายในงานได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้มากความรู้จากหลายสถาบันมาให้ข้อมูล พร้อมร่วมตอบข้อสงสัยต่าง ๆ ณ ห้องประชุมชิดชัย วรรณสถิตย์ สำนักงาน ป.ป.ส. โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังกว่า 120 คน ประกอบด้วย ผู้แทนจากสื่อโซเชียลมีเดีย เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ครู D.A.R.E) และอื่น ๆ เป็นต้นและถ่ายทอดสดผ่านช่องทาง Facebook live เพจสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด

นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร รองเลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า “ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาสำคัญระดับชาติ
ที่ส่งผลกระทบต่อสังคม เป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องรีบแก้ไข ซึ่งในปัจจุบัน สำนักงาน ป.ป.ส. พบว่ามีการลักลอบจำหน่าย
ยาเสพติดและสารเสพติดในโลกออนไลน์มากขึ้น เช่น LINE Twitter หรือ Facebook เป็นต้น ทำให้เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงยาเสพติดได้ง่ายขึ้น อีกทั้งพบพฤติกรรมการเสพยาหรือสารเสพติดหลายชนิดผสมกันกำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่น โดยอ้างว่าทำให้เกิดอาการมึนเมาทำให้สนุก และตอบสนองความต้องการที่หลากหลายได้มากกว่าการเสพยาเสพติด
เพียงชนิดเดียว นอกจากนี้ยังพบว่ามีการแอบลักลอบขายสารเสพติดชนิดใหม่และยาเสพติดสังเคราะห์ด้วย”

“จากการสำรวจผู้ใช้ยาเสพติดในปัจจุบัน พบการใช้ยาเสพติดและสารเสพติด เช่น ยาบ้า ไอซ์ ยาอี คีตามีน HAPPY WATER เคนมผง กัญชาโรยเฮโรอีน คุกกี้เห็ดเมา เจลลี่กัญชา เป็นต้น โดยการใช้ยาเสพติดหรือสารเสพติดเหล่านี้ส่งผลเสียต่อร่างกายเป็นอย่างมาก เช่น ทำลายสมอง ทำลายระบบกล้ามเนื้อหัวใจ ระบบเส้นเลือด กดการหายใจ ซึ่งส่งผลต่อร่างกายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะจากการใช้ยาเสพติดผสมหลายประเภท และสร้างปัญหา ผลกระทบต่าง ๆ ต่อคนรอบข้าง และสังคมอีกด้วย เช่น คลุ่มคลั่งทำร้ายตนเองและผู้อื่น ทำลายข้าวของ
การสร้างการรับรู้เกี่ยวกับยาเสพติด และสารเสพติดชนิดใหม่ รวมถึงการใช้ยาเสพติดแบบผสมให้กับกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมรับฟังในวันนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญและเร่งด่วน เพื่อให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่สามารถ
นำองค์ความรู้ที่ได้ไปกระจายบอกต่อให้คนใกล้ชิด หรือคนรู้จักได้ทราบถึงความน่ากลัวจากการใช้ยาเสพติดทั้งในแบบปกติ และแบบผสมได้ อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อการเฝ้าระวัง ป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติดในกลุ่มเป้าหมายของ
แต่ละพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม” นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร รองเลขาธิการ ป.ป.ส.กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ สำนักงาน ป.ป.ส. ได้เชิญนักวิชาการมากความรู้จากหลายสถาบัน ประกอบด้วย ผศ.นพ.สหภูมิ ศรีสุมะ
ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยาสารเสพติด คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ดร.นพ.วรตม์ โชติพิทยาสุนนท์
จากกรมสุขภาพจิต รองศาสตราจารย์ ดร.ณรงค์ศักดิ์ หนูสอน จากมหาวิทยาลัยนเรศวร นางสาวกนิษฐา ไทยกล้า จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายสมบัติ เทพเสนา ผู้อำนวยการส่วนพัฒนาสารสนเทศด้านลดอุปสงค์ สำนักงาน ป.ป.ส. และนางสาวสรารัตน์ กมลยะบุตร จากสถาบันวิชาการและตรวจพิสูจน์ยาเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. เพื่อร่วมถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ยาเสพติดโลกออนไลน์ในปัจจุบัน และผลกระทบของยาเสพติด หรือสารเสพติดชนิดต่าง ๆ รวมถึงแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น พร้อมร่วมตอบข้อซักถาม และข้อสงสัยต่าง ๆ จากผู้เข้าร่วมงาน และสื่อมวลชนในช่วงท้าย

…………………………………………

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยออนไลน์แก็งค์คอลเซ็นเตอร์หลอกให้นักเรียนนักศึกษาถ่ายคลิปตัวเองเรียกค่าไถ่จากพ่อแม่


สืบเนื่องจาก พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. / หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน เนื่องจากในช่วงนี้ มีคดีนักเรียนนักศึกษาถูกคนร้ายหลอกให้เรียกค่าไถ่จากพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคดีจึงขอเตือนภัยพี่น้องประชาชน ให้ระมัดระวังดูแลบุตรหลานของตนเอง และขอให้ครู บุคลากรทางการศึกษา ช่วยกันสอดส่องดูแลนักเรียน นักศึกษา มิให้ตกเป็นเหยื่อ ดังนี้
เมื่อวันที่ 11 ส.ค.2566 พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ ตร./ หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรทางเทคโนโลยี ได้แถลงว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2565 มีคดีข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center) จำนวน 20,000 กว่าเคส ข่มขู่ว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด จำนวน 2,000 กว่าเคส ซึ่งเดิมเป็นการโทรศัพท์หลอกบุคคลทั่วไปให้โอนเงิน แต่ช่วงนี้มีเคสที่น่าสนใจ จำนวน 4 เคส ซึ่งทั้ง 4 เคส มีรูปแบบการกระทำผิดในลักษณะเดียวกัน กล่าวคือคนร้ายใช้วิธีการโทรศัพท์หาพ่อแม่แล้วส่งรูปบุตรหลานที่ถูกควบคุมตัวไว้มาให้ โดยที่พ่อแม่ไม่สามารถติดต่อบุตรหลานได้ จำต้องโอนเงินให้ไป ซึ่งหลังจากโอนเงินแล้ว บุตรหลานก็สามารถติดต่อกลับมาได้ ซึ่งเบื้องต้น พ่อแม่คาดว่า เป็นเรื่องการเรียกค่าไถ่ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่สอบสวนลึกๆ พบว่า เป็นคดีที่บุตรหลานถูกแก็งค์คอลเซ็นเตอร์โทรมาข่มขู่บุตรหลานว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด และบังคับให้ถ่ายคลิป หรือ ภาพถ่าย ส่งให้กลุ่มคนร้ายนำไปเรียกค่าไถ่จากพ่อแม่อีกครั้ง โดยให้โอนเงินผ่านบัญชีบุตรหลานของตนเองหรือเข้าบัญชีม้า แล้วหลบหนีไป
สำหรับแผนประทุษกรรมคดีนี้ กลุ่มคนร้ายได้ใช้วิธีการโทรศัพท์ผ่านระบบ Voip (Voice Over Internet Protocol) หรือระบบ Internet โทรเข้าโทรศัพท์มือถือหรือโทรศัพท์พื้นฐานของผู้เสียหายหรือเหยื่อ โดยสุ่มหรือเลือกกลุ่มนักศึกษาในระดับชั้นอุดมศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่ตั้งใจเรียนดี โดยคนร้ายได้อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ เจ้าหน้าที่ธนาคาร หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วแต่จะอ้างเพื่อข่มขู่ทำให้เหยื่อตกใจกลัวว่ามีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือมีหมายจับต่างๆ และมีความผิดมูลฐานฟอกเงิน โดยทำทีอ้างว่าสามารถช่วยเหลือไม่ให้ถูกดำเนินคดีได้ และเสนอให้ความช่วยเหลือ โดยให้ผู้เสียหายหรือเหยื่อโอนเงินมายังบัญชีธนาคาร(บัญชีม้า) ที่กลุ่มคนร้ายได้จัดเตรียมไว้และหลอกลวงเงินของผู้เสียหายไป หากนักศึกษาหรือเหยื่อไม่มีเงินกลุ่มคนร้ายก็แนะนำให้ผู้เสียหายหรือเหยื่อไปย้ายหรือออกจากห้องพักหรือที่พักปัจจุบันที่พักอยู่ใกล้กับสถานศึกษา และคนร้ายให้เหยื่อหรือผู้เสียหายไปเปิดซิมโทรศัพท์ใหม่ ซื้อเชือกมัด ผ้าเทปกาวจากร้านค้าเพื่อใช้พูดคุยโต้ตอบกับคนร้าย อีกทั้งคนร้ายยังสั่งการให้ผู้เสียหายหรือเหยื่อทำทีปิดโทรศัพท์ และสั่งการให้ผู้เสียหายหรือเหยื่อใช้ผ้าเทปและเชือกมัดมือมัดเท้าตัวเอง และถ่ายคลิปวีดิโอโดยใช้เครื่องของผู้เสียหายหรือเหยื่อเองเก็บเอาไว้ เพื่อสร้างสถานการณ์ว่าถูกลักพาตัวและส่งคลิปดังกล่าวให้คนร้ายทางแอพพลิเคชั่นทางโทรศัพท์ จากนั้นคนร้ายจะส่งคลิปไปยังพ่อแม่หรือผู้ปกครอง เพื่อเรียกค่าไถ่จากพ่อแม่หรือผู้ปกครองของผู้เสียหายหรือเหยื่อ โดยการโอนเงินมีอยู่ 2 รูปแบบ 1.พ่อแม่โอนเงินไปให้เหยื่อแล้วเหยื่อโอนเงินต่อไปให้คนร้าย 2. พ่อแม่โอนเงินให้คนร้าย
ข้อสังเกตุ และข้อควรระวัง

  1. คนร้ายอาจจะหาข้อมูลหรือสุ่มคัดเลือกเหยื่อเป็นกลุ่มนักศึกษาระดับชั้นอุดมศึกษา ซึ่งพักอาศัยอยู่ตามหอพักหรือที่พักใกล้สถานศึกษาโดยเหยื่อเป็นบุคคลที่อยู่หอพักหรือที่พักเพียงคนเดียว ไม่ได้พักอาศัยอยู่กับพ่อแม่หรือผู้ปกครอง
    2. คนร้ายได้วางแผน และมีสคริปต์เพื่อเตรียมการพูดหลอกลวง และใช้ถ้อยคำที่มีประสบการณ์มาก เพื่อข่มขู่และชักจูงให้เหยื่อตกใจกลัว (เช่น โทรมาอ้างเป็นเจ้าหน้าที่แจ้งว่ามีพัสดุตกค้าง แจ้งว่ามีหมายจับ หรือมีคนเอาข้อมูลไปเปิดบัญชีธนาคารแล้วเอาบัญชีไปใช้ในการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน) ขู่ว่าถ้าถูกดำเนินคดีจะไม่ได้เรียนต่อ และคล้อยตามคำสั่งของคนร้าย
  2. คนร้ายใช้โทรศัพท์ผ่านระบบ Internet (VOIP : Voice Over Internet Protocol) ซึ่งหมายเลขดังกล่าวจะมีหมายเลขไม่ถึง 10 หลักและมีเครื่องหมาย +697 +698 ซึ่งสังเกตุได้ว่าน่าจะเป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่โทรมาจากต่างประเทศหรือโทรผ่านระบบ Internet หากผู้เสียหายโทรย้อนกลับไปยังเบอร์ของคนร้าย จะไม่สามารถติดต่อได้ และหมายเลขดังกล่าวอาจจะไม่มีอยู่จริง เป็นการที่คนร้ายสร้างหมายเลขโทรศัพท์หรือปลอมเบอร์ (Fake)
  3. คนร้ายได้มีการพัฒนารูปแบบการหลอกลวง โดยผสมผสานระหว่างแผนประทุษกรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์กับแผนประทุษกรรมการเรียกค่าไถ่ โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มนักศึกษา เพื่อทดแทนปริมาณเหยื่อที่ปัจจุบันอาจจะไม่ค่อยเชื่อถือของแผนประทุษกรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิม
  4. คนร้ายเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายไปที่กลุ่มนักศึกษา เพราะนักศึกษาพักอยู่คนเดียวห่างจากครอบครัว มีการสั่งซื้อของ มีการหัดเริ่มลงทุนมีการยุ่งเกี่ยวกับการพนัน จึงทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เข้าถึงได้ง่ายและข้อมูลที่ใช้ข่มขู่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นจริง ควรระวังไม่ให้เหยื่อที่อยู่หอพักตามลำพัง ควรจะมีบัดดี้อยู่ด้วย
    แนวทางการป้องกัน
    สำหรับนักศึกษา
    1. สังเกตเบอร์ที่โทรเข้ามาก่อนรับสาย หากเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก หรือเป็นเบอร์ที่มีเครื่องหมาย +697 +698 นำหน้าให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจจะเป็นแก็งคอลเซ็นเตอร์
    2. สังเกตความผิดปกติของปลายสายได้จากคำถาม เช่น การถามชื่อ และข้อมูลส่วนตัวโดยตรง หรือการใช้ข้อความอัตโนมัติในการตอบรับแล้วให้เรากดเบอร์เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ เป็นต้น ถ้ามีการสนทนาทาง Video call ให้มีสติและสังเกตปากกับเสียงตรงกันหรือไม่ หรือ ภาพและท่าทางมีความผิดปกติหรือไม่(คนร้ายสามารถใช้โปรแกรมปลอมใบหน้าขณะสนทนาได้)
    3. หากคนร้ายข่มขู่ว่ากระทำผิด และต้องไปแจ้งความหรือติดต่อเจ้าหน้าที่ ให้นัดหมายไปพบเจ้าหน้าที่เพื่อแจ้งความ สอบสวนปากคำ ชี้แจง หรือยื่นพยานเอกสารพยานวัตถุ ณ สถานที่เกิดเหตุหรือสถานที่ราชการด้วยตนเอง หากมั่นใจว่าปลายสายเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือมิจฉาชีพ วางสายทันที แจ้งเบาะแส กับหน่วยงานที่ดูแล เช่น ตำรวจ ธนาคาร ค่ายมือถือ หรือ กสทช.
    4. หากคนร้ายให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบ ให้สันนิษฐานว่าเป็นแก็งคอลเซ็นเตอร์ เนื่องจากข้อมูลบัญชีมีเพียงธนาคารที่ตรวจสอบได้ห้ามบอกข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทางการเงิน รวมถึงห้ามโอนเงินตามคำกล่าวอ้าง
    5. โหลดแอปฯ Who’s call ซึ่งสามารถตรวจสอบหมายเลข และจะระบุหมายเลขที่ไม่รู้จัก ช่วยให้ทราบว่าใครโทรมาทันที
    ​6. หากคนร้ายส่งเอกสารมาข่มขู่ ให้ตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่ออกเอกสารนั้นๆ โดยตรง หรือโทรหาตำรวจท้องที่ เบอร์ 191 หรือเบอร์ 1441 และเบอร์ 081-8663000 หรือเข้าพบพนักงานสอบสวนท้องที่เกิดเหตุ หรือปรึกษากับผู้ปกครอง
    ​สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง นอกจากต้องรู้เกี่ยวกับวิธีป้องกันตัวสำหรับศึกษาดังกล่าวข้างต้นแล้ว สิ่งที่ต้องรู้เพิ่มเติม มีดังนี้
  5. หากคนร้ายข่มขู่ให้โอนเงินพร้อมส่งคลิปมาให้ดู ให้รีบปรึกษาบุคคลที่ไว้วางใจ เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ หรือ
    โทรสายด่วน 191 ,1441 และเบอร์ 081-8663000 เพื่อพิจารณาแยกแยะว่าเป็นแก็งคอลเซ็นเตอร์หรือมีการจับตัวเรียกค่าไถ่จริงๆ และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ให้ความช่วยเหลือถูกวิธี
  6. ก่อนโอนเงินให้ดูว่าเป็นบัญชีที่อยู่ในแบล็คลิสต์ที่ใช้กระทำความผิด หรือบัญชีม้าหรือไม่
    ผศ.ดร.ศุภกร ปุญญฤทธิ์ ช่วยราชการสำนักงาน รมว.กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า นายอเนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้รับทราบว่ามีคนร้ายแก็งคอลเซ็นเตอร์ หลอกให้นักศึกษาจับตัวเองเรียกค่าไถ่จากผู้ปกครอง เพื่อให้ผู้ปกครองโอนเงินให้คนร้าย จึงมีความห่วงใยนักศึกษาและพ่อแม่ผู้ปกครอง และได้มอบหมายให้มาร่วมแถลงข่าวกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในเรื่องแผนประทุษกรรมของคนร้าย ไม่ว่าจะเป็นวิธีกลโกง จุดสังเกต และวิธีป้องกัน เพื่อจะได้นำข้อมูลดังกล่าวไปแจ้งเตือนนักศึกษา พ่อแม่ผู้ปกครองให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ในรูปแบบนี้ และไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของคนร้ายแก็งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว
    พล.ต.อ.สมพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีนี้คนร้ายจะเลือกเหยื่อที่เป็นนักศึกษา ซึ่งอาจจะไม่รู้เท่าทันคนร้าย อีกทั้งเป็นจุดอ่อนไหวของพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีความรักความห่วงใยบุตร – ธิดาของตนเองเป็นทุนเดิม โดยมีแผนประทุษกรรม ดังนี้
  7. หลอกให้เหยื่อย้ายหรือเปลี่ยนที่พัก ไปหาเช่าที่พักใหม่ เพื่อไม่ให้พ่อแม่ผู้ปกครองตามหาตัวได้ และหลอกเหยื่อว่ามี
    ตำรวจนอกเครื่องแบบสะกดรอยเฝ้าดูอยู่ห้ามออกไปจากห้องเช่าที่พักใหม่
  8. หลอกให้เหยื่อ ลบแอปพลิเคชันที่เป็นช่องทางติดต่อสื่อสารออกจากเครื่อง เช่น Line FB Twitter TikTok เป็นต้น
    เพื่อไม่ให้เหยื่อติดต่อกับคนอื่น
  9. หลอกให้เหยื่อปิดมือถือเบอร์เดิม เพื่อไม่ให้พ่อแม่ติดต่อได้ และหลอกให้เปิดเบอร์ใหม่ใช้ในการติดต่อกับคนร้าย
    รวมถึงให้สแกน QR Code เพื่อใช้และควบคุม Line เหยื่อ ผ่าน Pc-iPad ตลอดเวลา
    สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน จึงขอแจ้งเตือนให้พี่น้องประชาชนนักเรียน นักศึกษา และผู้ปกครอง ที่อาจตกเป็นเหยื่อกลโกงของแก็งคอลเซ็นเตอร์ในรูปแบบนี้ ได้รู้เท่าทันรูปแบบกลโกงของคนร้ายที่ได้พัฒนาวิธีการหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ และเพื่อให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ในรูปแบบใหม่ สามารถติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนภัยออนไลน์ได้ผ่านทาง http://www.เตือนภัยออนไลน์.com Facebook https://www.facebook.com/เตือนภัยออนไลน์ หมายเลขโทรศัพท์ 081-866-3000 หรือโทรศัพท์สายด่วน 1441 กรณีถูกคนร้ายหลอกลวงแจ้งความตำรวจผ่านระบบ http://www.thaipoliceonline.com
Design a site like this with WordPress.com
Get started