พล.ต.ต.นพศิลป์ รอง ผบช.น. พร้อมด้วย พ.ต.อ.วิทวัฒน์ รรท.ผบก.น.5 แถลงรายงานผลการจับกุมแก๊งคนร้ายลักรถจักรยานยนต์ (แก๊งดาว บางแค)

วันนี้(อังคารที่ 31 ต.ค.66) เวลา 10.00 น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พร้อมด้วย พ.ต.อ.วิทวัฒน์ ชินคำ รรท.ผบก.น.5, พ.ต.อ.ปนาถพล ปุณศรี รอง ผบก. น.5, พ.ต.อ.วชิรากรณ์ วงศ์บุญ ผกก.สน.คลองตัน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน  สน. คลองตัน

“ สน.คลองตัน รายงานผลการจับกุมแก๊งคนร้ายลักรถจักรยานยนต์ (แก๊งดาว บางแค) ”
กองบัญชาการตำรวจนครบาล โดย พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์
รอง ผบช.น. ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์และรถจักรยานยนต์ กองบัญชาการตำรวจนครบาล          (ศปจร.น.) ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.วิทวัฒน์  ชินคำ รรท.ผบก.น.5, พ.ต.อ.ปนาถพล ปุณศรี รอง ผบก.น.5,
พ.ต.อ.วชิรากรณ์ วงศ์บุญ ผกก.สน.คลองตัน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.คลองตัน ได้ร่วมกันจับกุมตัว
1. นายอภินัทธ์ หรือบอล อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 (จับกุมตามหมายจับของศาลอาญาพระโขนงที่           จ.651/2566 ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2566)
2. นายณัชธฤต หรือสรวง อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาที่ 2 (จับกุมความผิดซึ่งหน้ารับของโจรส่ง    สน.โคกคราม และรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีในส่วนของ สน.คลองตัน)
โดยมีผู้ร่วมก่อเหตุ คือ
1. นายสมยศ หรือจุก อายุ 24 ปี (ผู้ร่วมกันก่อเหตุกับนายอภินัทธ์ฯ) ผู้ต้องหาที่ 3 อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีของ สน.คลองตัน
2. นายริน สัญชาติเมียนมาร์ อายุ 46 ปี ผู้รับซื้อรถจักรยานยนต์ นำส่งออกชายแดนดินต่อจังหวัดกาญจนบุรี ผู้ต้องหาที่ 4 อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีของ สน.คลองตัน
3. นายบุญคงคา หรือดาว อายุ 26 ปี (ผู้สั่งการและติดต่อกับนายอภินัทธ์ฯ , นายสมยศฯ และนายณัชธฤต) ผู้ต้องหาที่ 5 อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีของ สน.คลองตัน
4. นายประสาน อายุ 43 ปี ผู้ขนส่ง (เชิญตัวพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ) ผู้ต้องหาที่ 6 อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีของ สน.คลองตัน
โดยกล่าวหาว่า    “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพานะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือรับของโจร”
พร้อมด้วยของกลาง 1. ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นเวฟ 125 ไอ สีขาว-แดง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 1 คัน (เจอที่บ้านที่จับกุม) (แจ้งหายไว้ที่ สน.โคกคราม เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2566)
2.รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่น ct 125 สีครีม ไม่ติดทะเบียน (แจ้งหาย สน.คลองตัน เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2566)
                    3.รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นเวฟ 125 ไอ สีขาว-แดง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน (ทะเบียน 6ขฆ 7466 กรุงเทพมหานคร) จำนวน 1 คัน  (แจ้งหายไว้ที่ สน.ลาดพร้าว เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2566)
            4.รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นเวฟ 125 ไอ สีเทา-น้ำเงิน ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน (ทะเบียน 6ขษ 6862 กรุงเทพมหานคร) จำนวน 1 คัน (แจ้งหายไว้ที่ สน.หัวหมาก เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2566 )
           5.รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นเวฟ 125 ไอ สีขาวแดง ทะเบียน 1กร 7365 กทม. (ตรวจยึดที่ กาญจนบุรี) อยู่ระหว่างตรวจสอบผู้ครอบครอง
            6.รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นเวฟ 125 ไอ สีเทาน้ำเงิน ทะเบียน 6ขณ 6589 กทม. (ตรวจยึดที่ กาญจนบุรี)  (แจ้งหาย สภ.โพธิ์แก้ว ภ.จว.นครปฐม เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2566)                 7. รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่น คลิ๊ก สีขาว ไม่ติดทะเบียน ตรวจสอบแล้วเป็นรถของนายจุกฯ ที่ใช้ในการก่อเหตุ จอดไว้ที่คอนโด นิรันดร บางแค อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับ
8.กระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีขาว มีตู้ทึบ จำนวน 1 คัน ของนายประสาน 
9.อาวุธปืนสั้นกึ่งอัตโนมัติ ยี่ห้อ กล็อก 19 ขนาด 9 มม. มีทะเบียน จำนวน 1 กระบอก
10.อาวุธปืนสั้นกึ่งอัตโนมัติ ยี่ห้อ คิมเบอร์ ขนาด .45 มีทะเบียน จำนวน 1 กระบอก
11.เครื่องกระสุนขนาด 9 มม. จำนวน 148 นัด
12.เครื่องกระสุนขนาด .45 จำนวน 45 นัด
13.เครื่องกระสุนปืนลูกซอง ขนาดเบอร์ 12 จำนวน 5 นัด
14.เครื่องกระสุนยาง ขนาดเบอร์ 12 จำนวน 5 นัด
วันที่จับกุม 27 ตุลาคม 2566เวลาประมาณ 09.10 น. บริเวณบ้านเช่า ย่านบางแค แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กทม.
พฤติการณ์ ก่อนเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.คลองตัน ได้รับแจ้งเหตุว่ามีคนร้ายก่อเหตุลักทรัพย์รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายในพื้นที่ สน.คลองตัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำสืบสวนเพื่อติดตามจับกุมคนร้ายเรื่อยยมาจนทราบว่าผู้ก่อเหตุลักทรัพย์รถจักรยานยนต์ในคดีดังกล่าวคือ นายอภินัทธ์ อายุ 27 ปี จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอาญาพระโขนงออกหมายจับ ตามหมายจับของศาลอาญาพระโขนงที่ จ.651/2566 ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2566
สืบสวนทราบว่าผู้ต้องหาพักอาศัยอยู่ที่บ้านเช่าซอย ซอยนาวีเจริญทรัพย์ แขวงบางแคเหนือ
เขตบางแค กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ขออำนาจศาลอาญาธนบุรีเพื่อทำการตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าว ตามหมายค้นของศาลอาญาธนบุรีที่ 548/2566 ลงวันที่ 26 ตุลาคม 2566
ต่อมาวันที่ 27 ตุลาคม 2566 เวลาประมาณ 09.10 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.คลองตัน ได้นำหมายค้นเข้าตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าวพบนายณัชธฤต หรือสรวง แสดงตัวเป็นผู้ครอบครอง และพบรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นเวฟ 125 ไอ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 1 คัน จอดอยู่ภายในชั้น 1 ของบ้านหลังดังกล่าว
เมื่อตรวจสอบพบว่ารถจักรยานยนต์คันดังกล่าว ได้ถูกแจ้งหายไว้ที่ สน.โคกคราม เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2566 เวลา09.33 น. และพบนายอภินัทธ์  นอนพักอยู่ชั้น 3 ของบ้านหลังดังกล่าว และเมื่อตรวจค้นภายในบ้านพบอาวุธปืน
มีทะเบียน จำนวน 2 กระบอก ยี่ห้อกล็อก, คิมเบอร์  และเครื่องกระสุนขนาดต่าง ๆ  ตรวจยึดส่ง สน.เพชรเกษม เพื่อตรวจสอบและดำเนินคดีต่อไป
จากการขยายผลทำให้ทราบว่าในการลักรถจักรยานยนต์แต่ละครั้งนั้น มีนายบุญคงคา หรือดาว       เป็นผู้สั่งการให้ทำการลักรถจักรยานยนต์ และจะให้นายสมยศ หรือจุก มารับนายอภินัทธ์ฯ ไปก่อเหตุลักรถจักรยานยนต์ทุกคืน คืนละ 1-2 ครั้ง ครั้งละ 1-2 คัน ทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลตามรายการที่ได้รับสั่งมา เมื่อเจอรถที่ต้องการนายสมยศหรือจุก จะใช้วิธีนำไขควงตัวทีแทงที่เบ้ากุญแจแล้วหมุนสตาร์ทรถขับหลบหนี โดยหลังจากที่นายอภินัทธ์ฯ ได้ลักรถจักรยานยนต์มา จะนำมาเก็บไว้ที่บ้านที่พักอาศัย และทำการเปลี่ยนบล็อกกุญแจ จากนั้นนายณัชธฤตฯ จะเป็นผู้ติดต่อนายริน ชาวเมียนมาร์ เพื่อประเมินราคาตามสภาพการใช้งาน หรือตามระยะทางของรถจักรยานยนต์แต่ละคัน หากตกลงราคากันได้แล้ว จะได้รับเงินค่ารถจักรยานยนต์คันละ 28,000 – 30,000 บาท โดยนายรินฯ จะโอนเงินบัญชีธนาคารนายอภินัทธ์ฯ จากนั้นนายอภินัทธ์ฯ จะเป็นผู้ไปถอนเงินแล้วนำฝากให้นายบุญคงคา หรือดาวฯ จำนวน 20,000 บาท และนายบุญคงคาฯ ก็จะแบ่งให้นายสมยศ หรือจุกฯ เอง ในส่วนเงินอีกจำนวน 10,000 บาทนั้น จะนำมาแบ่งกันกับนายณัชธฤตฯ คนละ 5,000 บาท และรับเพิ่มเติมพบว่าเริ่มก่อเหตุมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566
และซักถามขยายผลนายอภินัทธ์ฯ ทราบว่า เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2566 ตนได้มีการก่อเหตุลักทรัพย์ในพื้นที่ สน.คลองตัน (ซอยพัฒนาการ 20 แยก 8) แต่ไม่สามารถเอารถไปต่อได้เนื่องจากรถจักรยานยนต์ที่ลักทรัพย์มานั้นดับไม่สามารถขับขี่ได้ จึงจอดทิ้งไว้ที่บริเวณใต้ทางด่วนซอยปรีดีพนมยงค์ 2 เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ตรวจยึดรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่น ct 125 สีครีม ไม่ติดทะเบียน(แจ้งหาย สน.คลองตัน 11 ต.ค.66) เพื่อดำเนินการต่อไป
เมื่อได้ราคารถจักรยานายอภินัทธ์ฯ จะเป็นผู้ติดต่อกับนายประสาน ซึ่งทำหน้าที่ขนส่งรถจักรยานยนต์ที่ลักมา โดยนายประสานฯ จะใช้รถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีขาว มีตู้ทึบ ขับมารับรถจักรยานยนต์บริเวณลานจอดรถสำนักงานเขตบางแคเป็นประจำ เพราะไม่มีคนพลุกพล่าน และสะดวกในการขนย้าย โดยจะมา 2 วันครั้ง เนื่องจากรถกระบะสามารถขนได้ครั้งละ 2 คัน โดยจะนำรถจักรยานยนต์ไปส่ง จว.กาญจนบุรี เพื่อเตรียมส่งออกประเทศเพื่อนบ้าน และนายประสานจะได้รับค่าจ้างในการขนส่ง คันละ 2,000 บาท จากนายริน ชาวเมียนมาร์
เมื่อสืบสวนขยายผลทำให้ทราบว่านายประสาน  นั้นพักอาศัยอยู่ที่ หมู่บ้านเอื้ออาทรที่จังหวัดปทุมธานี จึงได้เดินทางไปตรวจสอบบริเวณดังกล่าว พบรถจักรยานยนต์ 2 คัน คือรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นเวฟ 125 ไอ สีขาว-แดง ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน (ทะเบียน 6ขฆ 7466 กรุงเทพมหานคร) จำนวน 1 คัน  (แจ้งหายไว้ที่     สน.ลาดพร้าว วันที่ 24 ตุลาคม 2566) และรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นเวฟ 125 ไอ สีเทา-น้ำเงิน ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน (ทะเบียน 6ขษ 6862 กรุงเทพมหานคร) จำนวน 1 คัน (แจ้งหายไว้ที่ สน.หัวหมาก วันที่ 24 ตุลาคม 2566 )
รถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีขาว มีตู้ทึบ จำนวน 1 คันและขยายผลเพิ่มเติม ทราบว่ายังมีรถจักรยานยนต์ 2 คัน จอดไว้ที่ จ.กาญจนบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.คลองตัน จึงได้ไปตรวจยึดเพิ่มเติม ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นเวฟ 125 ไอ สีขาวแดง ทะเบียน 1กร 7365 กทม. (ตรวจยึดที่ กาญจนบุรี) อยู่ระหว่างตรวจสอบผู้ครอบครอง และรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นเวฟ 125 ไอ สีเทาน้ำเงิน ทะเบียน 6 ขณ 6589 กทม. (ตรวจยึดที่ กาญจนบุรี)  (แจ้งหาย สภ.โพธิ์แก้ว ภ.จว.นครปฐม เมื่อ 26 ตุลาคม 2566) 
และเมื่อถามสอบที่พักของนายสมยศ หรือจุกฯ ทราบว่าพักอยู่ที่อพาร์ทเม้นต์ แห่งหนึ่งย่านบางแค เมื่อไปตรวจสอบ พบรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นคลิ๊ก สีขาว ไม่ติดทะเบียน ตรวจสอบแล้วเป็นรถของนายจุกฯ ที่ใช้ในการก่อเหตุ จอดไว้ที่คอนโด นิรันดร บางแค อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับ
เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.คลองตัน จึงได้จับกุมตัวนายณัชธฤต ไทยยากรณ์ ส่ง สน.โคกคราม ดำเนินคดีตามกฎหมายในข้อกล่าวหาว่า “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพานะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือรับของโจร”
ส่วนของนายอภินัทธ์ ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลอาญาพระโขนงที่ จ.651/2566 ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2566 ความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพานะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือรับของโจร” จึงได้จับกุม ส่งพนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ดำเนินคดีตามกฎหมาย
                        
ณ ลานอเนกประสงค์ บช.น./ทีมงานประชาสัมพันธ์ บช.น.

“รองฯ กิตติ์รัฐ”พร้อมคณะ เรียกประชุมตัดวงจรผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในปี 2567 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล

พร้อมตรวจเยี่ยม รับฟัง และมอบนโยบายการดำเนินการป้องกันปราบปราม และสกัดกั้นการแพร่ระบาดยาเสพติด ตามภารกิจเร่งด่วน ของ ตร.

วันนี้ (30 ต.ค. 66) เวลา 13.30 น.ที่ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.(ปป) , พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร.(ปป 2), พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. (ปป 3), พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. (ปป 4) และ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผบช.ภ.6 รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร.(ปป 5) ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยม รับฟัง และมอบนโยบายการดำเนินการป้องกันปราบปราม และสกัดกั้นการแพร่ระบาดยาเสพติด ตามภารกิจเร่งด่วน ตัดวงจรผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในปี 2567 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และ ตร.

โดยมี พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. รรท.ผบช.ปส. พร้อมด้วย รอง ผบช.ปส. , ผบก.,รอง ผบก.และ ผกก.ในสังกัด บช.ปส.เข้าร่วมประชุมและบรรยายสรุปผลการปฏิบัติงานสำคัญที่ผ่านมาและแผนที่จะดำเนินการต่อไป ตลอดจนปัญหาข้อขัดข้อง ในการดำเนินมาตรการลดจำนวนผู้เสพยาเสพติด ,มาตรการจับกุมผู้ค้ายาเสพติด และมาตรการสกัดกั้นยาเสพติด อย่างเป็นรูปธรรมและเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อไปโดยเสร็จสิ้นการประชุม เวลา 15.30 น.

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ลงพื้นที่กาฬสินธุ์และร้อยเอ็ด ตรวจเยี่ยมครอบครัวตำรวจและประชาชนที่ประสบอุทกภัย

วันนี้ (วันศุกร์ที่27 ต.ค.66) เวลาประมาณ 11.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.(มค) ที่รับผิดชอบงานบรรเทาสาธารณภัย และงานบริการประชาชน ตามที่ ผบ.ตร. มอบหมาย พร้อมด้วย พล.ต.ต.อรรคพงษ์ พิมลศิริ รอง ผบช.ภ.4 ข้าราชการตำรวจ ภ.จว.กาฬสินธุ์ นายอำเภอกมลาไสย นายอำเภอฆ้องชัย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ลงพื้นที่ สภ.กมลาไสย จว.กาฬสินธุ์ และหมู่บ้านฟากบาว ต.กมลาไสย อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ และ วัดโนนศิลาเลิง หมู่บ้านโนนศิลาเลิง ต.โนนศิลาเลิง อ.ฆ้องชัย จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นพื้นที่ประสบอุทกภัย มอบข้าวสาร อาหารแห้ง และถุงยังชีพ ให้กับครอบครัวข้าราชการตำรวจ จำนวน 13 ราย และพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยกว่า 300 หลังคาเรือน และต่อมาเวลาประมาณ 15.00 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ รอง ผบ.ตร.(มค) ได้เดินทางต่อไปยังวัดบ้านหนองแค อ.จังหาร จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นพื้นที่ประสบอุทกภัยเช่นเดียวกัน โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ร่วมกับ พล.ต.ต.ธนพล รอดคลองตัน รอง ผบช.ภ.4 พล.ต.ต.กิตติศักดิ์ จำรัสประเสริฐ ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด นายอำเภอจังหาร กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้มอบข้าวสาร อาหารแห้ง และถุงยังชีพให้กับพี่น้องประชาชน และข้าราชการตำรวจที่ได้รับความเดือดร้อนอีกกว่า 200 หลังคาเรือน รวมทั้งไปเยี่ยมผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงที่พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ที่ไม่สามารถเดินทางออกจากบ้านตัวเองได้ พร้อมมอบถุงยังชีพให้ถึงตัวอีกด้วย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ รอง ผบ.ตร.(มค) เปิดเผยว่า ในพื้นที่จังหวัดภาคอีสานในหลายจังหวัดประสบปัญหาอุทกภัยมาตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ย.66 ได้ติดตามสถานการณ์อุทกภัยมาโดยตลอด หลายพื้นที่ยังมีน้ำท่วมขัง หลายพื้นที่ถึงแม้น้ำจะลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ความเสียหาย ความเดือดร้อนยังคงอยู่ หลายพื้นที่ท่วมซ้ำซาก ปีที่แล้วก็ท่วม ปีนี้ก็ท่วม บางพื้นที่ท่วมทุกปี เพราะอยู่ใกล้แม่น้ำสำคัญ เช่น แม่น้ำชี เป็นต้น ดังเช่น ที่อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ ยังคงประสบปัญหาอุทกภัยอยู่อีก 6 ตำบล 72 หมู่บ้าน ซึ่งจากการติดตามสถานการณ์ก็ทราบว่าทางจังหวัด อำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็ได้ร่วมบูรณาการกำลังกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ช่วยกันให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนด้วยความเข้มแข็งเป็นอย่างดี การเดินทางลงพื้นที่ครั้งนี้ มีความตั้งใจลงมาให้กำลังใจพี่น้องประชาชน เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย และข้าราชการตำรวจในพื้นที่ โดยได้เลือกข้าวสารอาหารแห้ง และสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น บรรจุใส่ถุงยังชีพมาด้วยตนเอง รวมทั้งยังทราบว่าชาวบ้านเป็นกังวลในเรื่องของความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ประกอบสัมมาอาชีพตามปกติไม่ได้ เนื่องจากเรือกสวนไร่นาถูกน้ำท่วม ก็เกรงว่าโจรผู้ร้ายจะออกอาละวาดซ้ำเติมก่อเหตุลักทรัพย์อีก จึงลงพื้นที่มาดูด้วยตาตนเอง และกำชับว่าหากพื้นใด ประสบปัญหาอุทกภัยหนัก ก็ขอให้จัดตั้ง ศปก.ส่วนหน้า ดังเช่นที่ ภ.จว.ร้อยเอ็ด ดำเนินการ ให้การช่วยเหลือดูแลความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ พื้นที่ใดปัญหาเบาบางก็ให้ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในสถานีตำรวจเป็นหลัก กำชับให้พี่น้องข้าราชการตำรวจช่วยกันดูแล เน้นการป้องกันเหตุ เพื่อให้ไม่ให้เกิดความเดือดร้อนกับพี่น้องประชาชน จากนี้ก็จะได้สำรวจว่าพื้นที่จังหวัดใด ที่ยังมีความเดือดร้อนอยู่ ก็จะได้ออกตรวจเยี่ยมให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชน และเป็นกำลังใจให้กับทั้งข้าราชการตำรวจ พี่น้องประชาชน และข้าราชการ เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่อีก สำหรับการตรวจเยี่ยมครั้งนี้ ก็ขอชื่นชม ภ.จว.กาฬสินธุ์ และ ภ.จว.ร้อยเอ็ด ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชนในพื้นที่

“รวบแก๊งแขกขาว ร่วมกันลักทรัพย์”

วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 26 ต.ค.66) เวลา 11.00 น. พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รรท.ผบช.ภ.1 พร้อมด้วย พล.ต.ต.นราเดช ทิพย์รักษ์ รอง ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.อภิชาติ วรรณภักดิ์ ผบก.สส.ภ.1, พ.ต.อ.สมพล วงศ์ศรีสุนทร รอง ผบก.ฯ รรท.ผบก.ภ.จว.นนทบุรี, พ.ต.อ.คมกฤษณ์ คำบุศย์ ผกก.สส.ภ.จว.นนทบุรี และ พ.ต.อ.ธนะเมศฐ์ วิจิตรจริยา ผกก.สภ.รัตนาธิเบศร์
ร่วมแถลงข่าวผลการจับกุมผู้ต้องหาก่อเหตุลักทรัพย์ร้านทองออโรร่า ห้างพันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน ต.บางเขน อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี
โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ได้จับกุมผู้ต้องหา จำนวน 4 ราย ได้แก่

  1. MR.FAHMI JAMAL FAREED HUSAIN อายุ 66 ปี
  2. MRS.THURAYYA SHARIF ABDEL-KHALEQ ALABSI อายุ 68 ปี
  3. MiSS MARIAM FATHI JAMAL HUSAIN อายุ 40 ปี
  4. MR.MOHAMMAD FATHI JAMAL HUSSEIN อายุ 24 ปี
    โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันลักทรัพย์ โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป”

จากกรณีเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2566 เวลา 14.40 น. คนร้ายที่ก่อเหตุลักทรัพย์ร้านทองออโรร่า ห้างพันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน ต.บางเขน อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี โดยทำทีหลอกล่อจะมาซื้อทองแล้วอาศัยจังหวะลักเอาทองรูปพรรณ น้ำหนักรวม 8 บาท มูลค่าความเสียหาย 290,720 บาท แล้วหลบหนีไป
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน บก.สส.ภ.1 ,สืบสวน สภ.รัตนาธิเบศร์ , กก.สส.ภ.จว.นนทบุรี , กก.สส.บก.น.1 , บก.สส.สตม. ได้ร่วมกันสืบสวนจนทราบผู้กระทำความผิดและได้ประสานกับพนักงานสอบสวน สภ.รัตนาธิเบศร์ ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดนนทบุรี อนุมัติหมายจับ ซึ่งคนร้ายที่ก่อเหตุสัญชาติตะวันออกกลาง จำนวน 4 คน
ต่อมาวันที่ 25 ตุลาคม 2566 สภ.รัตนาธิเบศร์ ได้ประสานขอให้กองตรวจคนเข้าเมือง (ตม.สวนพลู) ให้เพิกถอนวีซ่าบุคคลตามหมายจับดังกล่าว แล้วนำตัวมาควบคุมยังห้องกักขังกองตรวจคนเข้าเมือง (ตม.สวนพลู) จากนั้นเจ้าพนักงานตำรวจชุดสืบสวน จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาชาวตะวันออกกลางทั้ง 4 คน ตามหมายจับมาสอบสวนดำเนินคดียัง สภ.รัตนาธิเบศร์ ต่อไป

โดยมี เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าว ณ สภ.รัตนาธิเบศร์

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ ลงพื้นที่ชุมชนบ้านติ้ว อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ตรวจเยี่ยมครอบครัวตำรวจและประชาชนที่ประสบอุทกภัย

วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 26 ต.ค.66) เวลาประมาณ 17.30 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.(มค) ที่รับผิดชอบงานบรรเทาสาธารณภัย และงานบริการประชาชน ตามที่ ผบ.ตร. มอบหมาย ได้ลงพื้นที่ชุมชนบ้านติ้ว และ สภ.บ้านติ้ว ต.บ้านติ้ว อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ที่ประสบอุทกภัย มอบข้าวสาร อาหารแห้ง และถุงยังชีพ ให้กับครอบครัวข้าราชการตำรวจ และพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยกว่า 300 หลังคาเรือน พร้อมทั้งตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญ ข้าราชการตำรวจ สภ.บ้านติ้ว จว.เพชรบูรณ์ ที่ตัวอาคารที่ทำการและอาคารบ้านพัก ประสบอุทกภัยเช่นเดียวกัน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ รอง ผบ.ตร.(มค) เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมข้าราชการตำรวจและประชาชนที่ประสบอุทกภัยนี้ เป็นส่วนหนึ่งในหน้างานที่รับผิดชอบ ประกอบกับส่วนตัวก็มีความตั้งใจที่จะมาให้กำลังใจเพื่อนข้าราชการตำรวจ และพี่น้องประชาชนที่ประสบภัย จึงได้จัดเตรียมถุงยังชีพ ข้าวสาร อาหารแห้ง มาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชน พร้อมทั้งถือโอกาสกำชับข้าราชการตำรวจในพื้นที่ ให้ช่วยกันตรวจตราดูแลรักษาความปลอดภัยบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชน ไม่ให้โจรผู้ร้ายออกอาละวาด ก่อเหตุลักทรัพย์ ซ้ำเติมพี่น้องประชาชนอีก และในวันพรุ่งนี้ คือวันศุกร์ที่ 27 ต.ค.66 ก็จะไปตรวจเยี่ยมพื้นที่ประสบอุทกภัยในจังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดร้อยเอ็ด ต่อไป

ซิโน-ไทย ผลักดัน STECON POWER จับมือ 2 พันธมิตรจัดตั้ง DC POWER BN1 เปิดศักราชใหม่แห่งนวัตกรรมดิจิทัลในกรุงเทพ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


DC POWER BN1 ได้ก่อตั้งขึ้นจากการร่วมมือกันเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง STECON POWER Co.,Ltd., SITEM Corporation Co.,Ltd. และ MyTelehaus SDN. BHD.มุ่งมั่นสู่การปรับเปลี่ยนอนาคตแห่งดิจิทัลของกรุงเทพ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
DC POWER BN1 ตั้งอยู่ใจกลางศูนย์กลางดิจิทัลของกรุงเทพฯ
DC POWER BN1 มีความยินดีที่จะประกาศเปิดตัวโครงการ Data Center บนถนนบางนา-ตราด กม.4.5 กรุงเทพฯ ประเทศไทย ซึ่งเป็นพื้นที่ของ Sino-Thai ตั้งอยู่ในจุด Strategic Location ที่มี network exchange connectivity ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ซึ่ง 1 อาคารถูกออกแบบให้สามารถรองรับปริมาณ IT load ได้ถึง 6 เมกกะวัตต์ หากรวมกันทั้งหมด 4 อาคาร จะมี IT Load รวมเป็น 24 เมกกะวัตต์ โดยถนนบางนา-ตราด กม.4.5 เป็นถนนที่เชื่อมต่อการเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว และปราศจากความเสี่ยงจากน้ำท่วม จึงถือว่าเป็นทำเลที่สมบูรณ์แบบในการให้บริการ Data Center ที่ครบวงจร และด้วยการออกแบบที่จะทำให้การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพ โดยตั้งเป้าให้มี target PUE น้อยกว่า 1.6 และมีกำลังไฟฟ้าที่สามารถรองรับธุรกิจ Data Center ได้ ณ ปัจจุบันที่ 10 เมกกะวัตต์ พร้อมยังรองรับความสามารถในการขยายกำลังไฟฟ้าสูงสุดได้ถึง 50 เมกกะวัตต์ในอนาคตอีกด้วย ซึ่งบริษัทร่วมทุนมีความมุ่งมั่นที่จะได้ Uptime Tier 3 Design Certificate ซึ่งเป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรม รวมไปถึงการคำนึงถึงเรื่องของการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ทางบริษัทจึงออกแบบให้อาคารเป็นไปตามมาตรฐาน LEED ในระดับ Gold Standard เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนหรือ ESG และ Carbon Neutrality ผสานรวมเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ล้ำสมัย เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่สำคัญของลูกค้าของเราปลอดภัยจากภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นทั้งหมด ปฏิบัติตามมาตรฐานการ กฎระเบียบและข้อบังคับในระดับสากล และระดับประเทศอย่างเคร่งครัดเพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าทุกคนจะได้รับการปกป้องข้อมูลที่แข็งแกร่งและความต่อเนื่องในการดำเนินงานการผสมผสานความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีของ 3 ผู้นำในอุตสาหกรรมเพื่อก่อให้เกิด DC POWER BN1

นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการบริษัท Sino-Thai Engineering & Construction PLC.:
นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กล่าวว่า “เนื่องด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้บริษัท Sino-Thai ต้องการมองหาสิ่งใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายในธุรกิจ ที่สำคัญเพื่อมาเสริมความแข็งแกร่งให้กับ บริษัท Sino-Thai โดยได้นำบริษัทย่อย คือ บริษัท STECON POWER จำกัด ที่มี Sino-Thai ถือหุ้น 100% ดำเนินธุรกิจหลักด้านพลังงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องของข้อมูลทุกธุรกิจมีความจำเป็นต้องใช้ในปัจจุบัน ทำให้เป็นที่มาของโครงการ Data Center เรามีพันธมิตรที่มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญในด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ อย่าง บริษัท SITEM Corporation จำกัด และบริษัท MyTelehaus จากประเทศมาเลเซียที่มีความชำนาญในด้านการวางระบบ Cyber และการบริหารจัดการ Data Center เราจึงได้ตัดสินใจจับมือกันจัดตั้งบริษัทร่วมทุน ในชื่อของ บริษัท DC POWER BN1 จำกัด ขึ้น โดย STECON POWER ถือหุ้นในสัดส่วน 60% SITEM 20% และ MyTelehaus 20%
เราวางแผนในการสร้างอาคาร Data Center จำนวน 4 อาคาร แบ่งเป็น 4 เฟส คือ อาคาร A B C และ D โดยเบื้องต้นจะเริ่มก่อสร้าง เฟส C และ เฟส D ก่อน Sino-Thai เรามีความพร้อมด้านงานวิศวกรรมและก่อสร้าง พันธมิตรของเราทั้ง 2 องค์กร มีความพร้อมในด้านงานระบบ และการบริหารจัดการ Data Center เป็นความลงตัวที่นำจุดแข็งของทุกฝ่ายมาร่วมกันทำธุรกิจนี้
เราจึงมีความมั่นใจว่าโครงการ Data Center ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ จะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยในข้อมูลสูงสุด ที่สำคัญไปมากกว่านั้น เราต้องการผลักดันให้ STECON POWER ก้าวขึ้นสู่การเป็นบริษัทชั้นนำในด้าน Data Center ในอนาคตของภูมิภาคอาเซียน”

นายสัมพันธ์ ชนะบูรณาศักดิ์ กรรมการบริษัท STECON Power:
นายสัมพันธ์ กล่าวว่า “STECON POWER นั้น เรามุ่งหวังและวางแผนด้านการลงทุนด้านพลังงานและสาธารณูปโภค ทั้งในประเทศไทย และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะใช้ความรู้และความเชี่ยวชาญในการก่อสร้างระบบ Infrastructure และประสบการณ์อันยาวนานในการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่จะเป็นรากฐานที่สำคัญในการขยายตัวธุรกิจของกลุ่ม Sino-Thai Engineering & Construction ไปยังธุรกิจอื่นที่สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการลงทุนที่ตอบโจทย์ในด้านต่างๆ ไม่เพียงแต่การสร้างรายได้จากงานก่อสร้างเพียงอย่างเดียว
ความร่วมมือครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนที่มีชื่อว่า DC POWER BN1 เพื่อลงทุนในธุรกิจ Data Center ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเรายังคาดหวังว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาอย่างมากในธุรกิจนี้ พร้อมกับสร้างรายได้ให้กับประเทศได้อย่างมหาศาลจากการร่วมมือกันในครั้งนี้
โครงการนี้ เราวางแผนเริ่มก่อสร้างเฟสแรกในปี 2024 โดยคาดว่าใช้ระยะเวลาในการดำเนินการประมาณ 18 เดือน จะมีรูปแบบเป็นกลุ่มอาคาร Data Center ที่มีพื้นที่ใช้สอยกว่า 18,000 ตรม. รองรับ IT Load กว่า 24 MW และมีระบบที่รองรับการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพและมี reliability สูง อีกทั้งเรามีความได้เปรียบในเรื่องของทำเลที่ตั้ง ซึ่งสามารถเดินทางได้สะดวก โดยใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ใกล้กับสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ
ผมขอขอบคุณพาร์ทเนอร์ทั้ง 2 บริษัท คือ SITEM Corporation และ MyTelehaus ที่ได้มองเห็นประโยชน์ของการร่วมมือกัน ซึ่งทั้ง 2 บริษัท มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในด้านงานระบบวิศวกรรม และการดูแล Data Center ในหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย เราเชื่อมั่นว่าความเชี่ยวชาญของทั้ง 2 บริษัท จะช่วยให้เราบรรลุวัตถุประสงค์ในการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งสามารถนำเสนอรูปแบบ Data Center ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าระดับโลกให้กับบริษัท DC POWER BN1 และผลักดันการลงทุนธุรกิจ Data Center ซึ่งจะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป”

นายกฤษณ ไทยดำรงค์ กรรมการผู้จัดการบริษัท SITEM Corporation:
นายกฤษณ กล่าวว่า “บริษัท Sitem Corporation มีประสบการณ์กว่า 28 ปีในธุรกิจออกแบบ ก่อสร้างและดูแลอาคาร Data center แบบ 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน ในประเทศไทย เรามีบริษัทย่อยในประเทศสิงค์โปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม ที่ทำงานด้านระบบปรับอากาศเฉพาะสำหรับData center กับผู้ให้บริการ Data Center ระดับโลก
เรามองเห็นโอกาสในการพัฒนาโครงการ Data Center ในประเทศไทย ในช่วง 3ปีนี้ ในการตอบสนองความต้องการของพื้นที่ data center ในกรุงเทพ ที่มีไม่พอเพียงกับความต้องการของตลาด จึงมั่นใจว่าสามารถใช้ความรู้ประสบการณ์ด้าน Data Center เสริมกับเครือข่ายในภูมิภาค และความเชี่ยวชาญจากพาร์ทเนอร์ของเรา Sino-Thai บริษัทก่อสร้างระดับชั้นแนวหน้าของประเทศไทย ที่ผ่านงานรับเหมาก่อสร้างงานมาแล้วทุกประเภท ทั้งจากภาครัฐและเอกชน และด้วยผลงานที่มีคุณภาพ ทำให้ได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้า คู่ค้า และ ผู้ถือหุ้น มาเป็นเวลานาน

Chris Ow Yong กรรมการบริษัท MyTelehaus:
Chris Ow Yong กล่าวว่า ” MYTelehaus เป็นผู้พัฒนา Data center เราสร้าง บำรุงรักษา พร้อมทั้งดำเนินการ Data center ในประเทศมาเลเซีย บุคลากรของเราดำเนินการธุรกิจนี้มาเป็นเวลากว่า 20 ปี โดยเราได้สร้าง Data center ที่ออกแบบตามความต้องการของลูกค้าเป็นแห่งแรกๆ ในมาเลเซียเสร็จสมบูรณ์ในปีพ.ศ. 2546 ความสำเร็จของเราในโครงการ Data center หลายแห่งมาจากความสามารถของเราในการจัดหาโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้ มีความปลอดภัยสูง และมีความยืดหยุ่นในการออกแบบ ด้วยความยั่งยืนเพื่อรองรับการเติบโตและธุรกิจ เราเชื่อว่าประสบการณ์และประวัติการดำเนินงานของเรา ที่ผนวกรวมกับความเชี่ยวชาญของพาร์ทเนอร์ของเรา ทั้งประสบการณ์ด้านก่อสร้างจาก Sino-Thai มากกว่า 60 ปี และการออกแบบและดูแลอาคาร Data center จาก SITEM จะมีส่วนช่วยให้โครงการ DC POWER BN1 ประสบความสำเร็จเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและธุรกิจในประเทศไทย”

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมกับ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร จัดพิธีทิ้งกระจาด แจกเครื่องอุปโภคบริโภคและชุดยาสามัญประจำบ้านรวม 500 ชุด


.
วันนี้ (วันพุธที่ 25 ตุลาคม 2566) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิฯ พร้อมด้วย นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ จัดเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย น้ำมันพืช น้ำปลา ขนม และชุดยาสำเร็จรูป รวมมูลค่า 126,133.40 บาท (หนึ่งแสนสองหมื่นหกพันหนึ่งร้อยสามสิบสามบาทสี่สิบสตางค์) ร่วมกับวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร นำโดย พระธรรมวชิรปาโมกข์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส และ พระศรีวิศาลคุณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส จัดชุดเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำดื่ม น้ำยาล้างจาน และน้ำตาลทราย รวมจำนวน 500 ชุด เพื่อประกอบพิธีทิ้งกระจาด (ซิโกว) นำแจกจ่ายให้แก่ผู้ยากไร้ ในการนี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้จัดทีมเจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัย และอาสาสมัคร อำนวยความสะดวกแก่วัดและประชาชนที่มาร่วมงาน โดยมี นายขวัญเมือง บุญประสงค์ ผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย พร้อมด้วย นายวิธาน พรหมสินธุศักดิ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนโรงเรียนเทพศิรินทร์ ร่วมในพิธี ณ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ
.
ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ http://www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ http://www.facebook.com/atpohtecktung
.
มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

แอปพลิเคชัน และ #สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง1418

#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

ป่อเต็กตึ๊งซับน้ำตาช่วยผู้เหลือประสบอัคคีภัยชาวชุมชนตรอกสาเก

เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ 2566 เวลา 09.30 น. มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดยคุณอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และคุณรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ร่วมกับ มูลนิธิฯ/สมาคมจีนต่างๆได้ลงพื้นที่สงเคราะห์ผู้ประสบอัคคีภัย บริเวณชุมชนตรอกสาเก ถนนราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร จำนวน 15 ครอบครัว 22 คน ตามรายละเอียดดังนี้.-

  1. มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สงเคราะห์เป็นเงินสดคนละ 3,000 บาท จำนวน 22 คน เป็นเงิน 66,000 บาท (หกหมื่นหกพันบาทถ้วน) พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภครายบุคคลจำนวน 19 ชุด ชุดละ 1,500 บาท เป็นเงิน 28,500 บาท (สองหมื่นแปดพันห้าร้อยบาทถ้วน) และเครื่องอุปโภคบริโภครายครอบครัวจำนวน 3 ชุด ชุดละ 2,500 บาท เป็นเงิน 7,500 บาท (เจ็ดพันห้าร้อยบาทถ้วน) รวมสงเคราะห์ทั้งสิ้น 102,000 บาท (หนึ่งแสนสองพันบาทถ้วน)
  2. มูลนิธิไกรสิทธิการกุศล มอบเงินสด คนละ 400 บาท จำนวน 22 คน เป็นเงิน 8,800 บาท
  3. มูลนิธิส่งเสริมศีลธรรมสงเคราะห์ มอบเงินสด ครอบครัว ละ 400 บาท จำนวน 15 ครอบครัว เป็นเงิน 6,000 บาท
  4. พุทธสมาคมปทุมรังษี มอบข้าวสาร คนละ 10 กก. จำนวน 22 คน รวม 220 กก. เป็นเงิน 3,300 บาท
    รวม 4 องค์กร รวมสงเคราะห์ให้แก่ผู้ประสบอัคคีภัยเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 120,100 บาท (หนึ่งแสนสองหมื่นหนึ่งร้อยบาทถ้วน)
    โดยมีนายโกศล สิงหนาท ผู้อำนวยการเขตพระนคร มาร่วมในพิธีมอบ ณ บริเวณที่เกิดเหตุ
    หมายเหตุ เกิดเหตุเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2566 เวลา 09.12 น.

รองสุรเชษฐ์ร่วมกับเอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจำประเทศไทย ให้การต้อนรับและกล่าวเปิดการประชุมหารือระดับภูมิภาคเพื่อต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศเด็กที่จังหวัดภูเก็ต

วันที่ 23-24 ต.ค.66 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และ ผอ.ศพดส.ตร. ร่วมกับ ดร.แองเจลา แมคโดนัลด์ เอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจำประเทศไทย และ คุณเฮเลน ชไนเดอร์ ผู้บังคับการศูนย์ป้องกันปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศเด็กและการแสวงหาประโยชน์จากเด็กของสำนักงานตำรวจเครือรัฐออสเตรเลีย ให้การต้อนรับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่ NGOs จาก 9 ประเทศ ได้แก่ประเทศไทย ออสเตรเลีย กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม ที่เดินทางมาร่วมประชุมหารือระดับภูมิภาคเพื่อต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก หรือ CSERD 2023 (Countering Child Sexual Exploitation Regional Dialogue) ณ โรงแรมทราย ลากูน่า จ.ภูเก็ต ซึ่งจะมีการประชุมระหว่างวันที่ 23-27 ต.ค.66 โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ รอง ผบ.ตร. กล่าวในที่ประชุมว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมเพื่อมุ่งเน้นการทำงานร่วมกันระหว่างประเทศ การทำงานข้ามพรมแดน เสริมสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคในการต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก หรือการแสวงหาประโยชน์จากเด็กในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานตำรวจเครือรัฐออสเตรเลีย (AFP) และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อร่วมมือและเพิ่มพูนความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ มุ่งพัฒนาศักยภาพในระดับภูมิภาคเพื่อต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศเด็กให้มีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ รอง ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีความร่วมมือกับ สำนักงานตำรวจเครือรัฐออสเตรเลีย (AFP) ในด้านต่างๆ เป็นอย่างดียิ่งมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นปฏิบัติการ Taskforce Storm, การจัดตั้งเครือข่ายป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติเพื่อประสานงานระหว่างหน่วยงาน โดยดำเนินการผ่านระบบบริหารจัดการข้อมูลคดีและข่าวกรอง (Case Management and Intelligence System – CMIS) ,การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ในประเทศไทย (Thai Centre of Excellence to counter TIP) และการสนับสนุนหลักสูตรการฝึกอบรมด้านสกุลเงินดิจิทัลและนิติวิทยาศาสตร์ดิจิทัล การเจรจา และการสอบสวน โดยสนับสนุนบุคคลากรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเดินทางไปอบรมที่ประเทศออสเตรเลีย หรือที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้คือ การให้ความร่วมมือและสนับสนุนประเทศไทย ในการจัดประชุมเฟิร์สไทยแลนด์ อินเตอร์เนชันแนล ไดอะลอก (1st Thailand International Dialogue) เพื่อแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ในภูมิภาคอาเซียน สำหรับการแก้ปัญหาการต่อต้านการล่วงละเมิดเด็กในประเทศไทย ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาการล่วงละเมิดเด็กเป็นอย่างมาก โดยได้จัดตั้ง ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์ขับเคลื่อน และควบคุมการปฏิบัติการดำเนินการแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดเด็กอย่างจริงจัง โดยเน้นการทำงาน 3 ส่วนหลัก คือ การปราบปราม, การป้องกัน และการพัฒนาบุคลากร ในส่วนการปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีสถิติผลการจับกุม ปราบปรามการล่วงละเมิดเด็ก 9 เดือนแรก ของปี พ.ศ.2566 จำนวน 411 คดี เฉลี่ย 45 คดีต่อเดือน ในปี พ.ศ.2565 จำนวน 482 คดี เฉลี่ย 40 คดีต่อเดือน เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5 คดีต่อเดือน คิดเป็น 11.25 เปอร์เซนต์ โดยข้อหาที่มีผลการจับกุมสูงสุด คือ การครอบครองสื่อลามกเด็ก จำนวน 164 คดี รองลงคือ การล่วงละเมิดทางเพศ จำนวน 154 คดี และเป็นคดีค้ามนุษย์ ถึง 75 คดี คิดเป็น 18 เปอร์เซนต์ ซึ่งถือเป็นจำนวนการขยายผลไปสู่ความผิดฐานค้ามนุษย์ได้สูงที่สุดในรอบ 9 ปี และข้อมูลเบาะแสจาก Cybertipline Report 9 เดือนแรกของปี 2566 จำนวน 297,432 CT เฉลี่ย 33,048 CT ต่อเดือน ในปี พ.ศ.2565 จำนวน 523,159 CT เฉลี่ย 43,596 CT/เดือน ลดลงเฉลี่ย 10,488 CT ต่อเดือน คิดเป็น 24 เปอร์เซนต์ เป็นผลมาจากการเจ้าหน้าที่มีความชำนาญมากขึ้นและปราบปรามจริงจังเด็ดขาด ในส่วนการป้องกัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2565 ได้จัดทำโครงการ D.A.R.E 2 C.A.R.E. ซึ่งเป็นโครงการให้ความรู้แก่เด็กและเยาวชนในสถานศึกษาและในปี 2566 ได้มีการขยายไปสู่ผู้ปกครองและชุมชน เพื่อให้ผู้ปกครองและชุมชนมีส่วนร่วมในการป้องกันบุตรหลานถูกล่วงละเมิดอีกส่วนนึง นอกจากนี้ยังได้ทำโครงการ Child Safe Friend Tourism Project เป็นโครงการที่อบรมบุคลากรการท่องเที่ยว และผู้ประกอบการ เพื่อช่วยกันสอดส่องดูแลเด็กและเยาวชนในสถานที่ที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกล่วงละเมิด และในส่วนการพัฒนาบุคลากร ได้ดำเนินการจัดการฝึกอบรมด้านต่างๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพและความชำนาญให้กับผู้ปฏิบัติ เช่น อบรมกระบวนการ NRM, อบรมการใช้เครื่องมือพิเศษ เช่น Cellebrite ในการทำ Digital Forensic รวมทั้งการกระจายอำนาจ โดยการจัดตั้งศูนย์ TICAC ให้ครอบคลุมทั้งประเทศ การดำเนินการทั้งหมดนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ให้ความสำคัญในเรื่องการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์มาโดยตลอด โดยเฉพาะการป้องกันปราบปรามการล่วงละเมิดเด็ก โดยได้บูรณาการปฏิบัติกับทุกภาคส่วนในทุกมิติ ทั้งในประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับสากล เพื่อขจัดปัญหาการล่วงละเมิดเด็ก อย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับไปสู่ Tier1 ในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ประจำปี

บางซื่อ 2,2-2 ปล่อยแถวกวาดล้างวินผี ภายในพื้นที่ บขส พร้อมด้วยชุดเคลื่อนที่เร็ว,สายตรวจ,จราจร

วันนี้ 24 ตุลาคม 2566
เวลา 06:00

รวมทั้งสิ้น จำนวน 20 นาย


สน.บางซื่อ วันที่ 24 ต.ค.66 เวลา 06.30 น

บางซื่อ 1,2,2-2,20 พร้อมกำลังสายตรวจ, ชุดเคลื่อนที่เร็ว, จราจร สน.บางซื่อ ว.20 ผู้ต้องหา วินผี บขส.หมอชิต2 ได้ผู้ต้องหา 7 ราย,พร้อมรถ จยย ของกลาง 7 คัน นำส่งพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ในข้อหา
1.ขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่สาธารณะ
2.ใช้รถผิดประเภท(ป้ายขาว)
เบื้องต้นผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา นำส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีต่อไป

ตามนโยบายของท่าน
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.
พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร.
พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.
พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.น.
พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ ผบก.น.2
มีนโยบายกวาดล้างอาชญากรรมในช่วงเทศกาลสำคัญและวันหยุดยาว โดยเฉพาะสถานีขนส่งผู้โดยขนาดใหญ่ เช่น บขส.หมอชิต2 ,BTS หมอชิต,MRT จตุจักร ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบของ สน.บางซื่อ
วันที่ 24 ต.ค.66 เวลา06.00น.
ภายใต้การอำนวยการของ
พ.ต.อ.ภูวดล อุ่นโพธิ ผกก.สน.บางซื่อ
ได้สั่งการให้
พ.ต.ท.วรภัทร สุขไทย
รอง ผกก.ป.สน.บางซื่อ
พ.ต.ท.ชัยวัฒน์ พริ้งสกุล
รอง.ผกก.สอบสวน.สน.บางซื่อ
พ.ต.ต.ปิยะราษฎร์ ปวิธธาตรี
สวป.สน.บางซื่อ
ร.ต.ท.สมพงษ์ โบสถ์หอม
รอง สวป.สน.บางซื่อ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่สายตรวจ,ชุดเคลื่อนที่เร็ว สน.บางซื่อ กวดขันจับกุมกรณี วินผี
ไม่มีใบขับขี่สาธารณะ/ใช้รถผิดประเภท(ป้ายขาว)/ ดังนี้

  1. นายยงยุทธ เจือรัมย์
    ข้อหา -ไม่มีใบขับขี่สาธารณะ
    -ใช้รถผิดประเภท (วินป้ายขาว)
    2.นายสังวาลย์ พลศิริ
    ข้อหา -ไม่มีใบขับขี่สาธารณะ
    -ใช้รถผิดประเภท (วินป้ายขาว)
    3.นายกฤต ศักดิ์ตั้งเจริญ
    ข้อหา -ไม่มีใบขับขี่สาธารณะ
    -ใช้รถผิดประเภท (วินป้ายขาว)
    4.นาย ธนานุวัฒน์ วิเชียรศรี
    ข้อหา -ไม่มีใบขับขี่สาธารณะ
    -ใช้รถผิดประเภท (วินป้ายขาว)
    5.น.ส.วรัญญา ศรีวิชัย
    ข้อหา -ไม่มีใบขับขี่สาธารณะ
    -ใช้รถผิดประเภท (วินป้ายขาว)
    6.น.ส.ขนิษฐา นามี
    ข้อหา -ไม่มีใบขับขี่สาธารณะ
    -ใช้รถผิดประเภท (วินป้ายขาว)
    7.นายวิรัตน์ อันสมศรี
    ข้อหา -ใช้รถผิดประเภท (วินป้ายขาว)

โดยผู้ต้องหาทั้ง 7 คน มีพฤติการณ์กล่าวคือ เป็นวินผี จยย.รับจ้าง ไม่มีใบขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะ/ใช้รถผิดประเภท(ป้ายขาว) รับ-ส่ง ผู้โดยสารจากด้านหลัง บขส.หมอชิต(ฝั่งขาเข้า) มาส่งผู้โดยสารบริเวณหน้า BTS/MRT สวนจตุจักร เป็นประจำ สอบถามเบื้องต้น ผู้ต้องหารับสารภาพ จนท.ตำรวจชุดจับกุม จึงได้ตรวจหาสารเสพติดผู้ต้องหาทั้ง 7 คน ไม่มีพบสารเสพติด จึงแจ้งข้อหาและฐานความผิด ของผู้ต้องหาทั้ง 7 ทราบ และนำส่งพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ดำเนินคดีต่อไป

Design a site like this with WordPress.com
Get started