สมาคมเครือข่ายผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนนานาชาติ ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566


และเสวนาเรื่อง “จรรยาบรรณสื่อกับการตรวจสอบทุจริต” วันเสาร์ที่ 23 กันยายน 2556 เวลา 8.00 – 12.00 น. ณ โรงแรม ทีเค.พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น ห้อง ลาเวนเดอร์ 1โดยผู้ร่วมเสวนา ดังนี้
1. หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
2. ศาสตรจารย์ (พิเศษ) ชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล สุวรรณภูมิ
3. ผศ.วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ ประธานกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัย กรรมการ สภามหาวิทยาลัยรามคำแหง รักษาราชการแทน อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง
4. นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)
5.คุณไชยวัฒน์ หาญสมวงศ์ ประธานกิตติมศักดิ์สภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย
6. นายกฤดาการ เลียบวงศ์ บรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์ ภัยสยามนิวส์
7. ดร.โรจนศักดิ แสงธศิริวิไล นายกสมาคมเครือข่ายผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนนานาชาติ (พิธีกรผู้ดำเนินรายการบนเวที่เสวนา)
และประชุมรายงานผลการดำเนิน 1 ปี สมาคมเครือข่ายผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนนานาชาติ และพิธีมอบเกียรติบัตรผู้เข้าร่วมและเสวนา ในครั้งนี้

สมาคมเครือข่ายผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนนานาชาติ ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2566
และเสวนาเรื่อง “จรรยาบรรณสื่อกับการตรวจสอบทุจริต” วันเสาร์ที่ 23 กันยายน 2556 เวลา 8.00 – 12.00 น. ณ โรงแรม ทีเค.พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น ห้อง ลาเวนเดอร์ 1
https://thailandtoday2020news.blogspot.com/2023/09/2566_24.html
http://thailandtoday2020news.com/2291/
https://vt.tiktok.com/ZSNeySeuj/

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เสริมสร้าง อนาคตเด็กไทย” มอบทุนการศึกษาทุกระดับปีสุดท้าย และทุนฯ ต่อเนื่องทุกระดับชั้นแก่เยาวชนที่ประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ประจำปี 2566

วันนี้ (วันจันทร์ที่ 25 กันยายน 2566 เวลา 10.00 น.) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ เป็นประธานในพิธี นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ นายสัก กอแสงเรือง รองประธานกรรมการ นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย คณะกรรมการมูลนิธิฯ และผู้ช่วยกรรมการมูลนิธิฯ ร่วมในพิธีมอบทุนการศึกษาทุกระดับปีสุดท้าย และทุนการศึกษาต่อเนื่องทุกระดับชั้น ประจำปี 2566 ให้แก่นักเรียน นักศึกษาที่ประพฤติดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ จำนวน 156 สถาบัน 910 ทุน รวมงบประมาณ 12,615,000 บาท (สิบสองล้านหกแสนหนึ่งหมื่นห้าพันบาทถ้วน) เพื่อให้เยาวชนได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมโดยไม่ต้องละทิ้งหรือยุติการศึกษาลงเพราะขาดแคลนทุนทรัพย์ เติมเต็มความมุ่งหวังในชีวิต เติบโตพร้อมมีวิชาความรู้ สร้างอนาคตของตนเองและครอบครัว เป็นคนดีของสังคมและประเทศชาติ อีกทั้งยังเป็นการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของผู้ปกครอง โดยมีเยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นตัวแทนรับมอบ ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคาร 2 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เปิดเผยว่า การมอบทุนการศึกษาแก่นักเรียน นิสิต และนักศึกษา เยาวชนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ เป็นหนึ่งในนโยบายหลักในงานสังคมสงเคราะห์ของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ดำเนินการมาแล้วเป็นเวลากว่า 50 ปี เป็นความมุ่งหวัง เพื่อช่วยเหลือปกป้องสังคม สนับสนุนให้เยาวชนมีโอกาสเท่าเทียมทางการศึกษา ไม่ต้องละทิ้งหรือยุติการศึกษาเพราะขาดแคลนทุนทรัพย์ สร้างเยาวชนให้เป็นคนดีของสังคม มีความรู้ สร้างอนาคตตามที่มุ่งหวังของตนเองและครอบครัว เป็นทรัพยากรมีคุณภาพของสังคม ประเทศชาติ โดยเมื่อเดือนมิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้ดำเนินการมอบทุนฯ แก่เยาวชนในระดับชั้นประถมศึกษาไปแล้ว 1,500 ทุน และในวันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม 2566 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง กำหนดลงพื้นที่จังหวัดนครพนม เพื่อมอบทุนการศึกษาในส่วนภูมิภาค (ทุนสัญจร) ให้แก่นักเรียน นิสิต นักศึกษาในพื้นที่จังหวัดนครพนม สกลนคร มุกดาหาร และบึงกาฬ รวม 4 จังหวัด 53 สถาบัน 265 ทุน เป็นลำดับต่อไป

รวมงบประมาณการมอบทุนการศึกษาแก่เยาวชน นิสิต นักศึกษา ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ประจำปี 2566 เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 17,870,000 บาท (สิบเจ็ดล้านแปดแสนเจ็ดหมื่นบาทถ้วน)

ตลอดระยะเวลากว่า 113 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง รวมถึงการพัฒนาด้านการศึกษา เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ http://www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ http://www.facebook.com/atpohtecktung

กสทช. ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติทลายเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามแนวชายแดนแม่สอด

เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 66 เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.ดร.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช.ด้านกฎหมายและประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ, พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบงานด้านป้องกันและปราบปราม, พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช. สอท., นายสุธีระ พึ่งธรรม ผอ.สำนักกิจการภูมิภาค, นายจาตุรนต์ โชคสวัสดิ์ ผอ.สำนักกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม, นายภาณุพงษ์ ชัยศรีทิพย์ ผู้อำนวยการสำนักงาน กสทช. เขต 31, พล.ต.ต.อำนาจ
ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. และ พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย ผบก.สอท.4 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ สำนักงาน กสทช. และ สอท. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมสถานีวิทยุคมนาคมและเสาสัญญาณผิดกฎหมายตามแนวชายแดน อ.แม่สอด จว.ตาก ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ามีการลักลอบส่งสัญญาณโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ตไปยังประเทศเพื่อนบ้านโดยผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาอาชญากรรมด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเว็บพนันออนไลน์ ที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยในปัจจุบัน
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ร่วมมือกับ สำนักงาน กสทช. ในการเดินหน้าปราบปรามสถานีโทรคมนาคมผิดกฎหมาย และจัดระเบียบเสาสัญญาณตลอดแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ตั้งแต่ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด, อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว และ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อสกัดไม่ให้มีการเผยแพร่สัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาได้มีการกวาดล้างจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างต่อเนื่อง ทำให้ขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการย้ายฐานปฎิบัติการเข้าสู่พื้นที่ใหม่ๆ ที่ยังสามารถอาศัยสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตจากฝั่งไทยได้ และปลอดภัยจากการกวาดล้างจับกุม โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนด้าน อ.แม่สอด จว.ตาก ที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจและบางส่วนอยู่ภายใต้อิทธิพลของชนกลุ่มน้อย ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ชุดปฏิบัติการร่วมตำรวจและ กสทช. ได้มีการลงพื้นที่หาข่าวจนนำมาสู่การปฎิบัติการในครั้งนี้ โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
กรณีที่ 1 เข้าจับกุมสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต และหันทิศทางสายอากาศไปยังประเทศเพื่อนบ้านในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก จำนวน ๒ สถานี และในพื้นที่ อ.แม่สาย และ อ.เชียงของ
จ.เชียงราย จำนวน 4 สถานี เป็นความผิดฐาน “มีและใช้ซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคมและตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต” ตามมาตรา 6 และ 11 แห่ง พรบ.วิทยุคมนาคมฯ มีโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือจำคุกไม่เกินห้าปี หรือทั้งปรับทั้งจำ และความผิดฐาน “ประกอบกิจการโทรคมนาคมซึ่งต้องได้รับใบอนุญาตแบบที่หนึ่งโดยไม่ได้อนุญาต” ตามมาตรา 67 (1) แห่งพรบ.ว่าด้วยการประกอบกิจการโทรคมนาคมฯ มีโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท พร้อมทั้งจับกุมผู้กระทำผิด จำนวน 3 ราย ในการนี้ ได้ทำการรื้อถอนสถานีวิทยุคมนาคมผิดกฏหมายดังกล่าวทั้งหมด และทำการยึดอุปกรณ์โทรคมนาคมที่ใช้กระทำความผิดได้เป็นจำนวนมาก นำส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
กรณีที่ 2 พบการตั้งสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ และหันทิศทางสายอากาศไปยังประเทศ
เพื่อนบ้าน ฝั่ง อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งทำให้คลื่นสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ข้ามเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน
เป็นเหตุให้พื้นที่การให้บริการผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมเกินกว่าอาณาเขตพื้นที่ประเทศไทย และล่วงล้ำไปยังอาณาเขตประเทศข้างเคียง โดยตรวจสอบพบสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่เข้าลักษณะดังกล่าวจำนวนหลายสถานี ในกรณีนี้ สำนักงาน กสทช. ได้ดำเนินการแจ้งให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมทั้งหมด เร่งแก้ไขปรับปรุงหรือปฏิบัติให้ถูกต้อง โดยให้ถอนการติดตั้งสายอากาศบางจุด หรือ ปรับทิศทางสายอากาศ หรือ ดำเนินการด้วยวิธีอื่นใด มิให้แพร่สัญญาณคลื่นความถี่ออกนอกเขตพื้นที่ประเทศไทย เพื่อให้พื้นที่การให้บริการ อยู่ภายในอาณาเขตพื้นที่ประเทศไทย
นอกจากนี้ ตั้งแต่ พ.ค.66 – ปัจจุบัน ได้ตรวจพบการจำหน่ายซิมการ์ดโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงทะเบียนการใช้งานโดยใช้ชื่อบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ใช้งานที่แท้จริงเพื่อจำหน่ายให้กับบุคคลอื่น จำนวน 7,668 ซิมการ์ด จับกุมผู้ต้องหา จำนวน 20 คน แบ่งเป็นคนไทย 12 คน และต่างชาติ 8 คน ดำเนินคดีตาม
พรก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฯ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กสทช. ได้มีการบูรณาการความร่วมมือในการเดินหน้าปราบปรามสถานีโทรคมนาคมผิดกฏหมาย ควบคู่ไปกับการจัดระเบียบเสาสัญณาณไม่ให้แพร่สัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน กวดขันจับกุมผู้ขายและผู้เป็นธุระจัดหา ซิมผี บัญชีม้า เพื่อตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์และพนันออนไลน์ไม่ให้ทำงานได้สะดวกเหมือนเคย ซึ่งได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการผู้รับใบอนุญาตเป็นอย่างดี พร้อมทั้งมีการหารือในการปรับปรุงระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อตีกรอบการใช้เทคโนโลยีให้เป็นไปตามที่ภาครัฐกำหนด สร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับพี่น้องประชาชน
ทั้งนี้ได้ฝากเตือนไปยังพี่น้องประชาชน ให้มีความระมัดระวังการใช้การใช้งานเทคโนโลยี เพราะปัจจุบันแก๊งมิจฉาชีพมีการพัฒนารูปแบบการหลอกลวงอยู่ตลอดเวลา มีการออกอุบายใหม่ๆ ที่เน้นสร้างความน่าเชื่อถือ ทำให้เหยื่อตกใจตื่นตระหนก ตกหลุมพรางของแก๊งมิจฉาชีพ ขอให้ประชาชนตั้งสติ อย่าตกใจ ไม่เชื่อ ไม่โอน ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวโดยเด็ดขาด นอกจากนี้ยังพบว่า แก๊งมิจฉาชีพได้มีการจ่ายเงินซื้อโฆษณา เพื่อให้ลิงค์หรือเว็บไซด์ปลอมมาแสดงอยู่ในลำดับต้นๆ หรือสามารถเข้าถึงผู้ใช้แพลตฟอร์มเป็นจำนวนมาก มีการปลอมยอดติดตามหรือยอดไลท์เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ทำให้เมื่อประชาชนที่ถูกหลอกลวงออนไลน์ต้องการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ กดเข้าไปในลิงค์หรือเว็บไซต์ปลอม ถูกหลอกซ้ำซ้อนสร้างความเสียหายมากขึ้นไปอีก ดังนั้น หากเกิดข้อสงสัยหรือต้องการติดต่อกับหน่วยงานของรัฐหรือเอกชน ขอให้สืบค้นข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สรุปความคืบหน้าดำเนินคดี กรณีโกดังดอกไม้ไฟระเบิดพื้นที่มูโนะขยายผลดำเนินคดีบริษัทลักลอบจำหน่ายดอกไม้ไฟ-เจ้าหน้าที่รัฐปล่อยปละละเลย

จากกรณีเมื่อวันที่ 29 ก.ค.66 เวลา 15.05 น. เกิดเหตุโกดังเก็บดอกไม้ไฟระเบิดที่บ้านมูโนะ หมู่ 1 ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ทำให้บ้านเรือนประชาชนที่อยู่บริเวณโดยรอบได้รับความเสียหายกว่า 649 หลังคาเรือน มีผู้เสียชีวิต 11 ราย ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 389 ราย มูลค่าความเสียหายมากกว่า 260 ล้านบาท ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สืบสวนหาสาเหตุของการเกิดเหตุระเบิดดังกล่าว รวมทั้งตรวจสอบการเก็บรักษาดอกไม้เพลิงดังกล่าว และดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนขยายผลหาแหล่งที่มา ที่เก็บดอกไม้ไฟที่เกี่ยวข้อง แหล่งจำหน่ายดอกไม้ไฟ และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดดังกล่าว ซึ่งทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก จำนวน 3 ราย คือ

  1. น.ส.ปิยะนุช (สงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี (เจ้าของโกดัง)
  2. นายสมปอง (สงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี (ผู้ดูแลโกดัง)
  3. นายปฐมพร (สงวนนามสกุล) อายุ 50 ปี (ช่างรับเหมา)
    ในความผิดฐาน กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายสาหัส และได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ, ร่วมกันทำ สั่ง นำเข้า หรือค้าซึ่งดอกไม้เพลิง โดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานตามพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และร่วมกันก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ครบแล้วทั้ง 3 ราย โดยในคดีนี้ พนักงานสอบสวนได้มีการสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องจำนวน 822 ปาก มีเอกสารในสำนวนมากกว่า 6,529 แผ่น โดยสรุปสำนวนการสอบสวนส่งอัยการจังหวัดนราธิวาสแล้วในวันที่ 18 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา
    นอกจากนี้ จากการสืบสวนพบว่า เหตุการณ์ระเบิดดังกล่าว ส่วนหนึ่งเกิดมาจากการปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบการนำเข้า จำหน่าย และเก็บรักษาดอกไม้ไฟ บางรายมีการเรียกรับผลประโยชน์เพื่อแลกกับการไม่ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐรวม 16 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำนวน 4 ราย เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบล จำนวน 4 ราย เจ้าหน้าที่ศุลกากร จำนวน 7 รายและเจ้าหน้าที่ทหาร 1 ราย ประกอบด้วย
  4. พ.ต.ท.สุพจน์ (สงวนนามสกุล)
  5. จ.ส.ต.มาหาหมัดฟาโร (สงวนนามสกุล)
  6. ส.ต.อ.สุทิน (สงวนนามสกุล)
  7. ส.ต.อ.ต่วนอูเซ็น (สงวนนามสกุล)
  8. ด.ต.รูสลาม (สงวนนามสกุล) นายก อบต.มูโนะ
  9. นายซูกีปลี (สงวนนามสกุล)รรท.ผอ.กองช่างฯ
  10. น.ส.สุดสาย (สงวนนามสกุล)ปลัด อบต.มูโนะ
  11. น.ส.วิมล (สงวนนามสกุล)นายทะเบียน
  12. นายภัทรเทพ (สงวนนามสกุล)นายตรวจศุลกากรท่าเรือ
  13. นายปรัชญา (สงวนนามสกุล)นายตรวจศุลกากรท่าเรือ
  14. นายพนมชัย (สงวนนามสกุล)นายตรวจศุลกากรท่าเรือ
  15. นายวรกานต์ (สงวนนามสกุล)นายตรวจศุลกากรท่าเรือ
  16. นายรณกฤต (สงวนนามสกุล)นายตรวจศุลกากรท่าเรือ
  17. นายพลวรรธน์ (สงวนนามสกุล)นายตรวจศุลกากรท่าเรือ
  18. นายสยุมภู (สงวนนามสกุล)นายตรวจศุลกากรท่าเรือ
    16.จ.ส.อ. ชัยยะ (สงวนนามสกุล)
    ดำเนินคดีในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหาย หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เจ้าหน้าที่รัฐทั้ง 16 ราย ได้รับมอบตัวและแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ดำเนินการส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.แล้วจำนวน 8 ราย อยู่ในระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีอีก 8 ราย
    และกรณีการลักลอบจำหน่ายดอกไม้ไฟ เจ้าหน้าที่สืบสวนเพิ่มเติมทราบว่า ดอกไม้ไฟในโกดังที่เกิดเหตุ ซึ่งผู้ต้องหาได้สั่งซื้อมานั้น มาจากผู้ค้าหลายรายทั้งในเขตพื้นที่จ.สงขลา กรุงเทพฯ และปริมณฑล จึงได้เปิดปฏิบัติการเข้าตรวจค้นเป้าหมายมากกว่า 17 จุด ซึ่งเป็นผู้ค้า และ ผู้นำเข้าดอกไม้ไฟ จากต่างประเทศ จึงได้ตรวจยึดของกลางเป็นดอกไม้ไฟมากถึง 9,596 ลัง ซึ่งเป็นของกลางที่ลักลอกนำเข้าประเทศโดยผิดกฎหมาย จากเครือข่ายจำนวน 7 บริษัท จากนั้นมีการลักลอบค้าและจำหน่ายดอกไม้ไฟให้กับสมปองฯโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ประกอบด้วย
  19. บ.โอเอ็นจี ทูเก็ตเตอร์ จำกัด
  20. บ.ทีพีบี ไฟร์เวิร์ค จำกัด
  21. ร้านเอเชีย คลองแงะ
  22. บ.สุรเสียง (ประเทศไทย) จำกัด
  23. บ.ไดมอนโดม จำกัด
  24. บ.เคทูเค ไฟร์เวิร์ค จำกัด
  25. บ.ทองทาดา จำกัด
    โดยดำเนินคดีในความผิดฐาน ค้าดอกไม้เพลิง โดยฝ่าฝืนคำสั่งฯ, ไม่ได้ขออนุญาตในการค้าและการขนส่งดอกไม้ไฟ, มีและนำเข้าซึ่งประทัดไฟโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งการดำเนินคดีกับทั้ง 7 บริษัท อยู่ในระหว่างการสอบสวน ซึ่งได้แจ้งข้อกล่าวหาและรับสารภาพ แล้วบางส่วน จะดำเนินการเสร็จสิ้นในสัปดาห์หน้าทั้งหมด
    ในส่วนของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โกดังระเบิดดังกล่าวนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ประสานความช่วยเหลือจากหน่วยงาน 3 ส่วนด้วยกัน
  26. ศอ.บต. สำหรับผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอยู่ในระหว่างพิจารณาหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการ หากเข้าข่ายตามหลักเกณฑ์ของ ศอ.บต.
  27. กองทุนยุติธรรมจังหวัด ได้รวบรวมคำขอจากญาติผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บจำนวน 389 ราย อยู่ในระหว่างพิจารณาเรื่องค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา สำหรับผู้ที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว หากเข้าหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะได้รับความช่วยเหลือรายละ 200,000 บาทสำหรับผู้เสียชีวิต
  28. โยธาจังหวัดนราธิวาส ในการให้ความช่วยเหลือเรื่องการซ่อมแซมบ้านเรือนของประชาชนที่ได้รับความเสียหายทั้งหมด 649 หลัง อยู่ในระหว่างพิจารณาดำเนินการ โดยจะได้งบประมาณจากกองทุนสำนักนายกรัฐมนตรี 100 ล้านบาท เงินบริจาคของพี่น้องประชาชนอีกจำนวนประมาณ 33.9 ล้านบาท เงินช่วยเหลือจากองค์กรเอกชนและส่วนราชการ 35.3 ล้านบาท รวมถึงงบประมาณในส่วนกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทยอีกจำนวนหนึ่ง
    พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้พี่น้องชาวมูโนะได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง ท่าน ผบ.ตร.เห็นความสำคัญ จึงได้สั่งการให้ควบคุมดูแลการดำเนินคดีโดยละเอียดรอบคอบ ดังนั้นจึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนขยายผลดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความเสียหายดังกล่าวทั้งหมด ขณะนี้สำนวนการสอบสวนคดีดังกล่าวได้ดำเนินการจนเสร็จสิ้นแล้ว นอกจากมีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการระเบิดจำนวน 3 รายแล้ว ได้มีการดำเนินคดีกับบริษัทที่จำหน่ายดอกไม้ไฟโดยฝ่าฝืนกฎหมายจำนวน 7 บริษัท และขยายผลดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จำนวน 16 ราย โดยจากนี้หากมีพยานหลักฐานเชื่อมโยงกับบุคคลใดเพิ่มเติมอีก ก็จะนำตัวมาดำเนินคดีจนถึงที่สุดต่อไป นอกจากนี้ ยังได้ประสานงานติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว เบื้องต้นแต่ละหน่วยงานอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาหลักเกณฑ์เพื่อเร่งมอบเงินช่วยเหลือให้กับผู้เสียหาย เพื่อเยียวยาและฟื้นฟูบ้านเรือนจากความสูญเสียดังกล่าวโดยเร็ว

พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ประธานพิธีมอบประกาศนียบัตรเชิดชูเกียรติแก่ พ.ต.ท.วรภัทร สุขไทยรอง ผกก.ป.สน.บางซื่อ

วันนี้ 21 ก.ย.66 เวลา 13.30 น.

พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. และ รอง ผบช.น. ได้จัดพิธีมอบประกาศนียบัตรเชิดชูเกียรติแก่ข้าราชการตำรวจในสังกัด บช.น. ตามโครงการ “ตำรวจดีเด่น 2566 ” ตามนโยบายผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และได้มอบประกาศเกียรติคุณพร้อมเงินรางวัลแก่ข้าราชการตำรวจที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น ตามโครงการ “ตำรวจทำดีมีรางวัล” โดยมี ผบช.น. และ รอง ผบช.น.มอบรางวัลให้แก่ข้าราชการตำรวจ ณ ห้องประชุม ชั้น 2 บก.อคฝ.

โดยหนึ่งในนั้นมี พ.ต.ท.วรภัทร สุขไทย
รอง ผกก.ป.สน.บางซื่อ เพียงผู้เดียวที่ได้รับทั้ง 2 รางวัล ได้แก่
1.ประกาศนียบัตรเชิดชูเกียรติ “ตำรวจดีเด่น 2566” สายงานป้องกันปราบปราม จากท่าน ผบ.ตร.
2.ประกาศเกียรติคุณ เป็นข้าราชการตำรวจ ที่มีจิตวิญญาณเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ สมควรแก่การยกย่องสรรเสริญ และเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ข้าราชการตำรวจทั้งหลายฯ จากท่าน ผบช.น.

โดยท่าน พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ได้ชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ของ พ.ต.ท.วรภัทร สุขไทย ที่ทำได้อย่างจริงจัง เข้มข้น ต่อเนื่องสามารถปราบปรามมาเฟียหมอชิต แก๊งวินผี บขส.หมอชิต และแก๊งเคาะกระจก บริเวณโดยรอบกรมขนส่งทางบก ให้หมดไปจากพื้นที่ สน.บางซื่อ ได้เป็นอย่างดี และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางซื่อ ทุกนาย รักษามาตรฐานในการปฏิบัติหน้าที่ ให้ทำความดี บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ตลอดไป

พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7 แถลงจับกุมเครือข่ายยาเสพติด พื้นที่จังหวัดเพชรบุรี

วันที่ 20 ก.ย.2566 เวลา 11.30 น. ตำรวจภูธรภาค 7 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7, พล.ต.ท.บุญญฤทธิ์ รอดมา ผทค.พิเศษ ตร.รรท.รอง ผบช.ภ.7, พล.ต.ต.วรายุทธ สุขวัฒน์ ผทค.พิเศษ ตร. รรท.รอง ผบช.ภ.7, พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.ภ.7 และ พล.ต.ต.ปรีดา อิ่มเจริญ ผบก.ศฝร.ภ.7/หน.ชป.ปส.ภ.7
กองบังคับการสืบสวนสอบสวน โดย พล.ต.ต.ประสพชัย มัตสยะวนิชกูล ผบก.สส.ภ.7, พ.ต.อ.อภิชิต สุรพินิจ รอง ผบก.สส.ภ.7, พ.ต.อ.สุภาพ วัยนิพิฐพงษ์ รอง ผบก.สส.ภ.7 และ พ.ต.อ.จอม สิงห์น้อย ผกก.สส.2บก.สส.ภ.7
ตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ปิติ นฤขัตร พิชัย ผบก.ภ.จว.เพชรบุรี, พ.ต.อ.กานต์ ธรรมเกษม รอง ผบก.ภ.จว.เพชรบุรี, พ.ต.อ.โกศล ยามา รอง ผบก.ภ.จว.เพชรบุรี, พ.ต.อ.ธัญญะ ครุฑเผือก รอง ผบก.ภ.จว.เพชรบุรี, พ.ต.อ.ครรชิต โขวัฒนชัย ผกก.สส.ภ.จว.เพชรบุรี และ พ.ต.อ.วันชัย ขาวรัมย์ ผกก.สภ.เมืองเพชรบุรี
สำนักงาน ปปส.ภาค 7 ภายใต้การอำนวยการของ นายทัศน์พงษ์ วัฒนายากร ผอ.สำนักงาน ปปส.ภาค 7
ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายยาเสพติด ได้ผู้ต้องหา 3 คน คือนายนายณัฐทวี หรือฟลุ๊ค เขียวทับ อายุ 30 ปี ที่อยู่ 66/4 ม.7 ต.หนองปากโลง อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม และนายเมือง หรือเมือง คำป่าน อายุ 51 ปี ที่อยู่ 66/1 ม.7 ต.หนองปากโลง อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม นางสาวสุภารัตน์ หรือนิ่ม เจริญชัต อายุ 21 ปี ที่อยู่ 56/16 ม.1 ต.หัวยจรเข้ อ.มืองนครปฐม จ.นครปฐม
โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาม้า ) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยกระทำเพื่อการดำเนินการโดยผิดกฎหมายพร้อมด้วยของกลางในคดี ประกอบด้วย 1.ยาบ้า จำนวนประมาณ 1,200,000 เม็ด 2.รถยนต์กระบะบรรทุก ยี่ห้อ อีซูซุ สีขาว ทะเบียน 3 ผข 3087 กทม. จำนวน 1 คัน 3.รถยนต์กระบะบรรทุก ยี่ห้อ อีซูซุ สีขาว หมายเลขทะเบียน ผด 26 11 นตรปฐม จำนวน 1 ดัน 4.โทรศัพท์เคลื่อนที่ พร้อมซิมการ์ด จำนวน4 เครื่อง และขยายผลตรวจยึดทรัพย์สิน จำนวน 17 รายการ ประมาณราคา 2,854,000 บาท จับกุมผู้ต้องหาได้ที่ ริมถนนเพชรเกษมขาล่องใต้ ม.1 ต.เวียงคอย อ.เมืองเพชรบุรี จ.เพชรบุรี

ตำรวจไทย คว้ารางวัลความร่วมมือในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติเป็นปีแรก จากสาธารณรัฐประชาชนจีน

หลังปราบทุนจีนเทา คอลเซ็นเตอร์ และทัวร์ศูนย์เหรียญ โดยมี 46 ชาติร่วมแสดงจุดยืน ขณะที่รัฐมนตรีตรีจีนให้คำมั่น นักท่องเที่ยวจีนไปไทยทะลุ 10 ล้านคนแน่ หลังไทยเปิดฟรีวีซ่า

หลังจากที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ มาอย่างต่อเนื่องทั้งในส่วนของทุนจีนสีเทาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไปจนถึง ปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวได้เห็นประเทศไทยเพียงด้านเดียว มายาวนาน รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงของจีน ได้ประกาศมอบรางวัลเหรียญสดุดี The Gold Great Wall Commemorative Award (เหรียญทองกำแพงเมืองจีนสดุดีตำรวจชั้นสูงสุด)หรือรางวัลความร่วมมืออันดียิ่งในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการมอบรางวัลนี้ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นอกจากมอบรางวัลการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติแล้ว รัฐบาลจีน ยังได้แสวงหาความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติกับนานาประเทศโดยมี กลุ่มประเทศมากกว่า 46 ประเทศสนใจเข้าร่วม ประชุมความร่วมมือปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ที่เมืองเหลียนหยุนก่าง มณฑลเจียงซู สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมี นายหวังเฉี่ยว หง รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงคำมั่นคงของจีนเป็นประธาน

และจากการพูดคุยแบบทวิภาคีระหว่างรัฐมนตรช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน กับ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะตัวแทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มาประชุมในครั้งนี้ ได้มีการพูดคุยถึงแนวทางในการดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว โดยระบุว่าขณะนี้รัฐบาลไทยเปิดกว้างให้นักท่องเที่ยวจีนเข้าไปท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า และจะ ใช้เทคโนโลยีในการติดตามดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะตามหัวเมืองสำคัญในโครงการสมาร์ทเซฟตี้โซน ซึ่งปัจจุบันได้นำร่องในหลายเมืองแล้ว

ขณะที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนเปิดเผยว่า ไทยยังคงเป็นประเทศปลายทางที่คนจีน อยากเดินทางไปท่องเที่ยวโดยที่ผ่านมามีคนจีนไปเที่ยวเมืองไทยมากกว่า 12,000,000 คนแต่หลังจากสถานการณ์โควิดทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงแต่เชื่อมั่นว่ามาตรการที่จะทำร่วมกันจากนี้จะทำให้คนจีนมีความมั่นใจและเดินทางไปเที่ยวประเทศไทยมากกว่า 10,000,000 คนอย่างแน่นอน

ทั้งนี้น่าจะเริ่มต้นในช่วงเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดยาวของชาวจีน โดย กลุ่มจังหวัดที่ชาวจีนอยากแวะไปเยือนอย่างเป็นทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกและภาคใต้ โดยเฉพาะกระบี่ ภูเก็ต และพังงา

นอกจากนี้ยัง เปิดเผยด้วยว่าจะส่งหน่วยปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีไปทำงานร่วมกับประเทศไทยในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลังจาก พบเบาะแสว่ามีกลุ่มคนจีนไปแอบฟังคอลเซ็นเตอร์ตามตะเข็บชายแดนระหว่างประเทศไทยกับลาว เมียนมาร์ และกัมพูชา พร้อมทั้งระบุว่าที่ผ่านมาได้ส่งทีมงานเข้าไปกวาดล้างรอบแรกแล้วในพื้นที่ของชนกลุ่มน้อยในเมียนมาร์ จึงได้ผู้ต้องหาชาวจีนกลับมานับ 100 คน

ร่วมมอบดอกไม้ให้กับ พล.ต.ท.ณัฐ สิงห์อุดม ผบช.ตชด. เนื่องในพิธีสวนสนามเทิดเกียรติ ในวาระเยี่ยมอำลาและจะเกษียณอายุราชการ


.
ที่ผ่านมาได้ทำงานร่วมกับ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ส.ส และ กมธ. ตำรวจ สภาผู้แทนฯ เดินทางไปเยี่ยมเยียน เจ้าหน้าที่ ครู และนักเรียนใน รร.ตชด. ในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ รวมไปถึงผลักดันนโยบายเบี้ยเลี้ยงครู ร.ร ตชด และงบประมาณแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตชด. ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ในสภา จนประสบความสำเร็จเห็นเป็นรูปธรรม ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้ร่วมกันสานต่อการทำงาน โดยมีผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งต่อไปในอนาคต
.

#ตำรวจตระเวนชายแดน #ตชด

ผบ.ตร. พร้อมภาคีเครือข่าย ร่วมเข้าพิธีมอบรางวัลโล่ประกาศเกียรติคุณหน่วยงานที่มีผลงานดีเด่น


“โครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย”
และรางวัลพลเมืองดีส่งคลิปขับขี่ฝ่าฝืนกฎหมายตาม “โครงการอาสาตาจราจร”

วันนี้ (20 ก.ย.66) เวลา 13.30 น. ณ ห้องศรียานนท์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนน วุฒิสภา นางสาวพรรณี ปิติกุลตัง กรรมการผู้จัดการและผู้บริหาร บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ คุณกานดา
วัฒนายิ่งสมสุข ที่ปรึกษาฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) คุณนิตยา ลีธีระกุล ผู้บริหารสถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.91 และคุณอัจฉรา บัวสมบูรณ์ ผู้บริหารสถานีวิทยุ จส.100 พร้อมด้วยคณะทำงานศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สำหรับพิธีการมอบรางวัลที่จัดขึ้นในวันนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับหน่วยงานที่มีการขับเคลื่อนโครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย ได้อย่างดีเยี่ยม ผลงานดีเด่น เป็นที่ประจักษ์สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยยึดหลัก 5S ให้ตำรวจจราจรทุกนายถือปฏิบัติ ได้แก่ SMILE (ยิ้มแย้มแจ่มใส) SMART (มีบุคลิกภาพที่ดี) SALUTE (ปฏิบัติต่อประชาชนด้วยความสุภาพ) SERVICE MIND (ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตใจบริการ) และ STANDARD (ยกระดับการปฏิบัติให้มีมาตรฐานเดียวกัน) และในโครงการนี้ ได้รับความร่วมมือจากบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ซึ่งมีแผนงานรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ภายใต้โครงการ ส่งเสริมการบังคับใช้กฎหมาย โครงการนี้ สามารถลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุได้ถึง 1,550 ราย บริษัทกลางฯ ได้สนับสนุนงบประมาณ เป็นเงินรางวัล จำนวน 4,890,000 บาท เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับหน่วยงานและผู้ปฏิบัติงานที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการ โดยหน่วยงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ คือ ตำรวจภูธรภาค 1 (รายละเอียดตามเอกสารแนบ)
พร้อมกันนี้ ได้จัดพิธีมอบรางวัล โครงการอาสาตาจราจร ให้กับประชาชนเจ้าของคลิปกล้องหน้ารถที่บันทึกอุบัติเหตุทางถนนหรือการกระทำผิดกฎจราจรที่สำคัญ ประจำเดือน ก.ค. และเดือน ส.ค.2566 รวมรางวัลทั้งสิ้น 40 รางวัล เงินรางวัลสูงสุด 20,000 บาท รวมเงินรางวัลที่จะมอบในวันนี้ เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 200,000 บาท โดยบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) และ กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เป็นผู้สนับสนุนเงินรางวัล โดยทั้ง 2 เดือนนี้ มีรางวัลพิเศษ จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 10,000 บาท เป็นรางวัลให้กับพลเมืองดี ที่ช่วยเหลือผู้พิการทางสายตาข้ามถนน และเป็นรางวัลให้กับคลิปที่ได้รับความสนใจจากโซเชียล และมีการติดตามดำเนินการในทันที

ผบ.ตร.กล่าวว่า นับแต่เริ่มโครงการมาจนถึงปัจจุบัน สังคมมีความตื่นตัว มีคลิปการกระทำผิดกฎจราจรจากภาคประชาชนส่งมาให้คณะทำงานพิจารณาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลเบาะแสเหล่านี้ แสดงถึงความสนใจ ใส่ใจกับปัญหาการจราจร และจะเป็นการขับเคลื่อนที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาการจราจร เพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนนให้กับผู้ใช้ทาง ความสำเร็จที่เกิดขึ้นของทุกโครงการ เป็นสิ่งยืนยันได้อย่างประจักษ์ชัด ทั้งสถิติอุบัติเหตุทางถนนที่ลดลงของโครงการสุภาพบุรุษจราจรฯ และแนวโน้มการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ส่งคลิปมาร่วมกิจกรรมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ของโครงการ อาสาตาจรจร นับเป็นเครื่องชี้วัดความสำเร็จที่ถือได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจร่วมกันของทุกหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง นับเป็นบันไดอีกขั้นหนึ่งสู่การแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนอย่างยั่งยืน ต่อไป

ผบ.ตร. ร่วมพิธีมอบเงินรายได้ จัดสร้างพระพุทธโสธรรุ่น “ตร.108 ปี” ให้ 4 หน่วยงาน (มูลนิธิโรงพยาบาลตำรวจ โรงพยาบาลตำรวจ สมาคมตำรวจ และมูลนิธิสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจและครอบครัว )

พร้อมนำตัวแทน นรต.รุ่น 38 และภาคเอกชนร่วมบริจาคสมทบ ได้ยอดรวมกว่า 57 ล้านบาท

วานนี้ (19 ก.ย.66) เวลา 15.00 น. ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย คุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมเป็นสักขีพยานพิธีมอบเงินรายได้จากการเปิดให้เช่าบูชาพระพุทธโสธรรุ่น “ตร.108 ปี” โดยมี พล.ต.อ.จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ รองประธานมูลนิธิโรงพยาบาลตำรวจ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เป็นผู้แทนมอบ

ทั้งนี้ รายได้จากการเปิดให้เช่าบูชาพระพุทธโสธรรุ่น “ตร.108 ปี” จำนวนทั้งสิ้น 46,010,000 บาท ได้ถูกแบ่งบริจาคเป็น 4 ส่วน ตามวัตถุประสงค์ในการจัดสร้าง ดังนี้
1) มอบให้ มูลนิธิโรงพยาบาลตำรวจ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เพื่อปรับปรุงห้องฟอกเลือดล้างไต และจัดซื้อเครื่องฟอกเลือดล้างไต และอุปกรณ์ที่จำเป็น จำนวน 30,010,000 บาท
2) มอบให้โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อสมทบจัดซื้อเครื่อง เพทซีทีสแกน (PET CT Scan) เพื่อประสิทธิภาพสูงในการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง จำนวน 10,000,000 บาท โดยมี พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ นายแพทย์ใหญ่ (สบ8) เป็นผู้รับมอบแทนมูลนิธิฯ และ รพ.ตร. /
3) มอบให้ สมาคมตำรวจ เพื่อกิจกรรมสาธารณกุศล หรือสาธารณประโยชน์ จำนวน 3,000,000 บาท โดยมี พล.ต.อ.วินัย ทองสอง เป็นผู้รับมอบ
4) มอบให้มูลนิธิสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจและครอบครัว เพื่อเป็นสวัสดิการ หรือช่วยเหลือข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ จำนวน 3,000,000 บาท โดยมี พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล

ผบ.ตร. ยังร่วมกับ พล.ต.อ.ปรีชา เจริญสหายานนท์ และ พล.ต.อ. มนตรี ยิ้มแย้ม เป็นตัวแทนนักเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 38 มอบเงินสมทบอีกจำนวน 9,800,000 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1) จัดซื้อเครื่องเพทซีทีสแกน (PET/CT Scan) จำนวน 5,000,000 บาท / 2) บริจาคเครื่องบำบัดทดแทนไตต่อเนื่อง รุ่น PrisMax จำนวน 2 เครื่อง มูลค่า 2,800,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาลตำรวจ และ 3) มอบให้สมาคมแม่บ้านตำรวจ เพื่อบำรุงขวัญแก่ข้าราชการตำรวจ จำนวน 2,000,000 บาท โดย คุณสุมนา กิตติประภัสร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เป็นผู้รับมอบ

นอกจากนี้ ยังได้มีภาคเอกชนร่วมบริจาคเงินแก่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็นแก่การช่วยเหลือผู้ป่วยและสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ โดยมีรายนามของผู้บริจาค ดังนี้ 1) บริษัท สหพิพัฒนกิจ จำกัด โดย คุณคุปโกเมน วิริยาภิรมย์กรรมการผู้จัดการ เป็นผู้แทนมอบ จำนวน 1,000,000 บาท / 2) บริษัทโรลลิ่ง คอนเซปต์ อินโนเวชั่น จำกัด โดย คุณประสงค์ สุดอำพัน ตัวแทนผู้บริหาร เป็นผู้แทนมอบ จำนวน 500,000 บาท / 3) คุณไกรสร จันศิริ จำนวน 200,000 บาท และ 4) คุณพิพัฒน์ เตียรวัฒน์ จำนวน 200,000 บาท รวมยอดรวมการบริจาคในครั้งนี้ทั้งสิ้น 57,710,000 บาท

Design a site like this with WordPress.com
Get started